Geek Daily EP208 : เมื่อ Google เปิดตัว Gemini และมั่นใจว่าจะล้ม ChatGPT จาก OpenAI

Gemini เป็น large language model ล่าสุดของ Google ซึ่ง Sundar Pichai เปิดเผยครั้งแรกในงานประชุมนักพัฒนา Google I/O เมื่อเดือนมิถุนายน และตอนนี้ได้ทำการเปิดตัวออกสู่สาธารณะ ซึ่งจากคำกล่าวของ Pichai และ CEO ของ Google DeepMind อย่าง Demis Hassabis Gemini ถือเป็นก้าวกระโดดอย่างมหาศาลของโมเดล AI ที่ในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ของ Google เกือบทั้งหมด

Gemini ไม่ใช่แค่ AI โมเดลเดียว มีเวอร์ชัน lite ในชื่อ Gemini Nano ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรันบนอุปกรณ์ Android แบบออฟไลน์  มีเวอร์ชันที่แรงขึ้น คือ Gemini Pro ที่ในไม่ช้าจะใช้ในการขับเคลื่อน AI services ของ Google จํานวนมาก และเป็น AI backbone ของ Bard ที่เริ่มใช้งานตั้งแต่วันนี้ รวมถึงโมเดลที่มีความสามารถมากที่สุดที่ชื่อ Gemini Ultra ที่เป็น AI model ที่ทรงพลังที่สุดของ Google ที่เคยสร้างมา และดูเหมือนกําลังออกแบบมาเพื่อ data center และการประยุกต์ใช้งานในองค์กรธุรกิจ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4tmvkaee

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2s5e5ar9

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/27nu2yy3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdefp2xm

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/sbj7eXxhQpc

The Meaning of Life กับความหมายของการมีชิวิตอยู่สำหรับยอดคนอย่าง Elon Musk

ความหมายของชีวิตคืออะไร? สำหรับ Elon Musk  มันแทบจะเป็นคำถามของเขามาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ มันเกิดจากช่วงชีวิตวัยเด็กของเขาที่แทบจะเป็นวิกฤติสำหรับชายอย่าง Elon Musk ซึ่งกว่าที่เขาจะผ่านพ้นช่วงนั้นมาเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศแคนาดา มันก็เป็นช่วงเวลายาวนานสำหรับเขา

Musk นั้นอ่านหนังสือมามากมาย ซึ่ง หนังสือเกี่ยวกับปรัชญานั้น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อ่านมาหลายเล่มมาก มันไม่ควรเป็นหนังสือที่เด็กน้อยอย่าง Musk อ่านเลยตอนยังเยาว์วัย

หนึ่งในหนังสือเชิงปรัชญาที่เขาชอบมากที่สุดคือ The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy โดย Douglas Adams ซึ่งเป็นหนังสือที่เสนอมุมมองเชิงปรัชญาในหลาย ๆ ด้าน เนื้อหานั้นเป็นเหมือนการรวมเอาหนังสืออย่าง Monty Python และ Star Wars มารวมกัน

สิ่งสำคัญที่ Musk ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้คือ แนวคิดในการตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ มนุษย์ทุกคนนั้นมักจะมีคำถามอยู่เสมอ หากไม่เข้าใจในสิ่งใด ซึ่งเหมือน Musk ที่กำลังตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง ว่าความหมายในการคงอยู่ของชีวิตเขานั้นมีไว้เพื่ออะไร?

ตอนที่เขาเรียนอยู่ University of Pennsylvania นั้น เขาได้เริ่มตั้งคำถามว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ผลกระทบมากที่สุดต่ออนาคตของมนุษย์เราในวันข้างหน้า?

ทำไมเขาจึงต้องคำถามเหล่านี้ ส่วนนึงก็มาจากหนังสือนวนิยายที่เขาชอบอ่านของ Isaac Asimov ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนในดวงใจของ Musk เลยก็ว่าได้  ซึ่งนวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov นี่เองเป็นแรงบัลดาลใจให้ Musk คิดเรื่องใหญ่ ๆ ที่ผลกระทบต่อโลกเราที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้ Musk (CR:Jamie Todd Robin)
นวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้ Musk (CR:Jamie Todd Robin)

หลาย ๆ ไอเดียของ Musk ก็มาจากนวนิยายของ Asimov เนี่ยแหละ แต่เขาไม่ได้คิดแบบเพ้อฝันแบบนวนิยาย เขาคิดโดยพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมที่เขาได้ร่ำเรียนมา ทั้งเรื่องของกระสวยอวกาศ หรือ เรื่องพลังงานที่จะใช้ขับเคลื่อนมัน Musk เปรียบเทียบกับความเป็นจริงอยู่เสมอโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคิด

มี 3 สิ่งที่ Musk นั้นคิดเสมอว่าจะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของมนุษย์เรามากที่สุด  สิ่งแรกนั้นคือ อินเทอร์เน็ต ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปยังผู้ใช้งานทั่วโลกในขณะนั้น สิ่งที่สองก็คือ พลังงานที่ยั่งยืน และสิ่งสุดท้ายก็คือการสำรวจอวกาศ

มันเป็น 3 สิ่งหลักที่อยู่ในใจ Musk เสมอ สิ่งที่ impact ต่อโลกเราในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ Musk ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ 3 ไอเดียดังกล่าวเท่านั้น เขายังคิดถึงเรื่อง Artificial intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ และ ความรู้ด้านชีววิทยา เช่น การถอดรหัส DNA ของมนุษย์ที่เขามองว่าตอนนี้เทคโนโลยีที่มีอยู่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก มันยังมีความผิดพลาดอยู่อีกมาก เขาเปรียบเทียบการพยายามทำการอ่านรหัส DNA ของมนุษย์นั้นก็เปรียบเสมือนการอ่าน code ดี ๆ นี่เองซึ่งมักจะมี error อยู่เสมอ

สำหรับโลกของ อินเทอร์เน็ตนั้น Musk ได้เริ่มใช้งานแบบจริง ๆ จัง ๆ เมื่อตอนเรียนในสาขาฟิสิกส์ ซึ่งเขาต้องใช้ อินเทอร์เน็ตในการค้นคว้าหางานวิจัย ตอนนั้นคือปี 1994 เขามองเห็นศักยภาพของอินเทอร์เน็ตทันที และคิดว่าอินเทอร์เน็ตมันต้องเปลี่ยนโลกได้อย่างแน่นอน

ช่วงที่ Musk เริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ตมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เดิมนั้นโลกของการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ต้องพึ่งพาห้องสมุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ อินเทอร์เน็ตมันได้เปลี่ยนโลกของข้อมูลข่าวสารทั่วโลกทั้งหมดให้มาสู่ที่ปลายนิ้วเพียงเท่านั้น

ในวัยเด็กนั้น การที่จะหาข้อมูลต่าง ๆ แบบที่หาได้ใน wikipedia.org ในปัจจุบันนั้น ต้องอ่านผ่าน encyclopedia เล่มหนาเต๊อะ ต่างจาก wikipedia ในโลก อินเทอร์เน็ตที่มีการอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทันสถานการณ์อยู่ตลอด ต่างจากการอ่าน encyclopedia ที่มีการอัพเดทข้อมูลอย่างเร็วที่สุดปีละครั้งเพียงเท่านั้น

encyclopedia หนังสือที่อัพเดทข้อมูลเพียงปีละครั้ง ที่ตอนนี้ยกเลิกการพิมพ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (CR: Fox 8 News)
encyclopedia หนังสือที่อัพเดทข้อมูลเพียงปีละครั้ง ที่ตอนนี้ยกเลิกการพิมพ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (CR: Fox 8 News)

ส่วนเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น Musk เติบโตขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งพบปัญหากับวิกฤติทางด้านพลังงานอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งปัญหาน้ำมันซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่สำคัญที่สุดของแอฟริกาใต้ หนักหนาถึงขั้นที่ว่าในประเทศแอฟริกาใต้มีพลังงานเหลือให้ประชากรใช้ได้เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น

และไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องในแอฟริกาใต้เท่านั้น แนวคิดเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น มาจากหนังสือนวนิยายของ Isaac Asimov นักเขียนคนโปรดของเขาอีกด้วย Musk นั้นมองปัญหาใหญ่ ๆ อยู่สม่ำเสมอ เรื่องพลังงานนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของโลก

ซึ่ง Musk นั้นคิดว่าโลกเรามีความเป็นไปได้ที่ แหล่งพลังงานและแหล่งอาหาร นั้นจะอยู่ได้อีกไม่กี่สิบปี หากไม่ทำอะไรสักอย่าง มันจะเป็นปัญหาระดับโลกในอนาคต มันอาจจะส่งผลให้ เกิดความตื่นตระหนกวุ่นวายกันทั่วโลกเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ การใช้ความรุนแรง การปล้น นั้นจะกลายเป็นทางเดียวที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ซึ่งในนวนิยายของ Asimov ก็มีการกล่าวถึงในเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน มันอาจจะเกิดสงครามระหว่างประเทศ เพื่อแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะด้านพลังงานและอาหาร และเมื่อนั้นอาจจะมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นจริงก็ได้

Musk ได้กล่าวถึงการบริโภคพลังงานของมนุษย์เราในยุคปัจจุบัน นั้นสูงขึ้นกว่า 9 เท่า เมื่อเทียบกับในยุคปี 1850 หากไม่แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจรัง มันก็จะเกิดปัญหาระดับโลกได้ กระบวนการผลิตน้ำมันมันนั้นก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

Peak Oil คือ จุดที่การผลิตน้ำมันดิบอยู่ในอัตราสูงสุด ซึ่งเจ้าขอทฤษฏี Peak Oil คือ ดร.เอ็ม คิง ฮับเบิร์ต นักธรณีวิทยาชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปี 1956 เขาได้พยากรณ์ไว้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เลยจากจุดนั้นปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จะลดลงเรื่อย ๆ 

ซึ่งพยากรณ์ดังกล่าวของ ดร.ฮับเบิร์ต นั้นเป็นจริง ถึงแม้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐ ขึ้นถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1970 หลังจากนั้นก็ลดต่ำลงมาโดยตลอด จึงมีผู้นำทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น

ทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต (CR:ScienceDirect)
ทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต (CR:ScienceDirect)

ซึ่ง Musk นั้นก็เป็นคนสนใจในทฤษฏีดังกล่าวนี้เป็นอย่างมาก เขาคาดการณ์ว่า Peak Oil จะเกิดขึ้นในปี 2020 และน้ำมันจะเริ่มหมดไปในช่วงปี 2050 โลกเรานั้นใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนโดยเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 87 ล้านบาร์เรล ในปี 2010 ซึ่งมันทำให้เราจะมีน้ำมันใช้จนถึงแค่เพียง 40 ปีเท่านั้น

แนวคิดสำคัญของ Musk ก็คือ ก่อนที่น้ำมันจะหมดโลก เราควรที่จะเก็บมันไว้ใช้ในอนาคต ในวันที่เราต้องการใช้มันจริง ๆ มากกว่า ในเมื่อในตอนนี้ เราสามารถใช้พลังงานทางเลือกอื่น ๆ ได้อยู่ มันไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่เราต้องนำน้ำมันที่กำลังจะหมดไปมาใช้ให้หมดในยุคของเราแบบทันที

เรื่องของน้ำมันที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นเป็นเรื่องนึงที่ Musk ใส่ใจ แต่อีกประเด็นเขาก็ยังสนใจประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหานี้ คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เขามองว่าโลกที่ไม่ใช่พลังงานจากน้ำมันเหล่านี้นั้น จะเป็นโลกที่สะอาดขึ้น ปัญหาใหญ่คือเรื่องก๊าซ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาโลกร้อนที่จะเกิดกับโลกเราในอนาคต

ส่วนอีกเรื่องที่ Musk สนใจนั้นคือ การอพยพ ย้ายไปอยู่ในดาวดวงอื่นนั้น หลายคนอาจจะมองเป็นสิ่งที่เพ้อฟัน เป็นเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ Musk นั้นก็มองว่า ทุกเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร การแพทย์ หรือ อาวุธสงครามต่าง ๆ นั้น ล้วนเกิดจากจินตนาการที่เคยเป็นเรื่องที่เพ้อฟันแทบจะทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ทั้งเรื่องปัญหาโลกร้อน หรือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโลกใบนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ Musk มองว่ามันเป็นการเตรียมตัวรับอนาคตที่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น

เขาได้กล่าวถึง หากมนุษย์เราสามารถที่จะมีชีวิตในดาวดวงอื่นได้ เราก็ต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศ และ รู้จักที่จะทำให้มันเกิดความสมดุล ไม่งั้นมันสุดท้ายมันก็จะกลายสภาพให้เป็นโลกเราที่เห็นในปัจจุบันอยู่ดี

ซึ่งสุดท้ายคิดเสมอว่า โครงการด้านอวกาศใหม่ ๆ นั้นถือเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญให้กับมนุษย์โลก ซึ่งการที่เขาได้สร้างบริษัทอย่าง spaceX ขึ้นมาในภายหลังนั้น มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ ต่อยุคใหม่ของเทคโนโลยีทางด้านอวกาศ ซึ่งอาจจะทำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เราไปตลอดกาลก็เป็นได้

Geek Story EP177 : Yin and Yang กับเส้นทางสู่ความสมดุลของ Apple ภายใต้การนำของ Jobs และ Cook

หยินหยางเป็นหลักการที่มีความสำคัญในศาสตร์ของชาวจีนโบราณ ซึ่งมองว่าพลังที่ดูเหมือนตรงกันข้ามกันนั้นสามารถเสริมกัน เชื่อมโยงถึงกันและพึ่งพาซึ่งกันและกันได้

ความน่าสนใจคือ Apple ในยุคที่ Steve Jobs ดำรงตำแหน่ง CEO และ Tim Cook รับตำแหน่ง COO นั้นทั้งคู่ดูเหมือนจะมีพลังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง Jobs นั้นดูเหมือนเป็นนักสร้างสรรค์ นักนวัตกรรม แต่เขามีคุณลักษณะนิสัยแบบก้าวร้าว แข็งกร้าว เอาแต่ใจ ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยฟังผู้อื่น ดื้อดึง มั่นใจในตัวเองมาก ๆ

แต่ Tim Cook นั้นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่แทบจะตรงข้ามกับ Jobs เพราะเขา ใจเย็น สงบนิ่ง ทำอะไรเป็นระบบ ละเอียดรอบคอบ ถ่อมตัว ประนีประนอม ชอบเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และมักแสดงความเห็นด้วยกับผู้อื่นตลอดเวลา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3b4x26hj

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3jczp423

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/5av73c7m

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4h432exa

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/eSQipMlwcJo

Cypherpunks Gangster อิทธิพล ความคิด สู่ชะตาลิขิตในการถือกำเนิดขึ้นของ Bitcoin

การถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตเป็นประโยชน์สำหรับชายที่มีชื่อว่า Hal Finney ซึ่งทำให้เขาสามารถเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ ในสถานที่ห่างไกลที่กำลังมีแนวคิดเกี่ยวกับลัทธิไซเบอร์ยูโทเปียที่มีความคลุมเครือ ซึ่งหากมองในอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางของพวกหัวรุนแรงได้เช่นเดียวกัน

Hal เป็นลูกหนึ่งในสี่คนของวิศวกรปิโตรเลียม เขาอ่านหนังสือแคลคูลัสเพื่อความสนุกสนาน เข้าเรียนที่ California Institute of Technology เขามักจะท้าทายสติปัญญาของตัวเองอยู่เสมอ ในช่วงปีแรกเขาได้เข้าเรียนหลักสูตรทฤษฎีสนามโน้มถ่วงซึ่งออกแบบมาสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา

แต่เขาไม่ใช่เด็กเนิร์ดทั่วไป ชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้รักการเล่นสกีในภูเขาแคลิฟอร์เนียเขาเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมเหมือนในหมู่นักเรียนส่วนใหญ่ของ Cal Tech 

Hal ได้เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ที่เก่าแก่ที่สุดเช่น Cypherpunks และ Extropians ซึ่ง ในชุมชนดังกล่าวได้มีการถกเถียงกันว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถที่จะกำหนดอนาคตที่พวกเขาฝันไว้ได้อย่างไร

คำถามสำคัญที่ครอบงำความคิดของคนในกลุ่มเหล่านี้ก็คือเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงความสมดุลของอำนาจระหว่างประชาชนคนทั่วไปและรัฐบาลที่มีอำนาจได้อย่างไร

ต้องบอกว่าเทคโนโลยีได้มอบอำนาจใหม่ให้กับผู้คนทั่วไป อินเทอร์เน็ตที่เพิ่งตั้งไข่ทำให้คนเหล่านี้สามารถสื่อสารและเผยแพร่ความคิดของพวกเขาในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน

ในยุคก่อนหน้าเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลกลางได้เก็บบันทึกเกี่ยวกับพลเมืองของตน ซึ่งมันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 นานก่อนที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติจะถูกตรวจสอบว่าแอดสอดแนมโทรศัพท์มือถือของประชาชนทั่วไปและนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook จะกลายเป็นประเด็นถกเถียงในระดับชาติ

Cypherpunks เห็นว่าการเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่โลกดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชนคนทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถทำสิ่งเดิม ๆ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น จึงตั้งคำถามขึ้นมาว่าผู้คนสามารถที่จะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร

Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)
Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)

แนวคิดดังกล่าวมันได้เริ่มก่อตัวขึ้นเนื่องจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมที่เริ่มแพรกระจายไปในแคลิฟอร์เนียช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ความสงสัยเกี่ยวกับรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้กับชายอย่าง Hal ที่ทำงานเพื่อสร้างโลกใบใหม่ผ่านการเขียนโค้ดโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น

Hal ได้ซึมซับความคิดเหล่านี้ที่ Cal Tech และในการอ่านนวนิยายของ Ayn Rand ซึ่งในขณะนั้นประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวในยุคอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มได้แพร่กระจายไปไกลนอกเหนือจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมหรือในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน

Cypherpunks ยังมองไม่เห็นวิธีแก้ปัญหา แต่ Hal และคนอื่น ๆ มุ่งค้นหาคำตอบทางเทคโนโลยีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสตร์แห่งการเข้ารหัสข้อมูล 

ในอดีตเทคโนโลยีการเข้ารหัสเป็นสิทธิพิเศษที่สงวนไว้สำหรับสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น เอกชนสามารถพยายามเข้ารหัสการสื่อสารของตนได้ แต่รัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธมักมีอำนาจในการถอดรหัสรหัสดังกล่าว 

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 นักคณิตศาสตร์จาก Stanford และ MIT ได้สร้างชุดของนวัตกรรมที่ทำให้เป็นไปได้เป็นครั้งแรกสำหรับคนธรรมดาในการเข้ารหัสด้วยวิธีที่สามารถถอดรหัสได้โดยผู้รับที่ตั้งใจไว้เท่านั้น และไม่สามารถที่จะถอดรหัสมันได้แม้กระทั่งโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุด

The Extropians และ Cypherpunks ทำการทดลองต่างๆ มากมายที่สามารถช่วยเสริมพลังอำนาจให้กับคนธรรมดาทั่วไปที่จะสามารถต่อต้านแหล่งอำนาจดั้งเดิม ซึ่งเรื่องของเงินเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะจินตนาการอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้นของกลุ่มดังกล่าว

เงินเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงระบบนิเวศของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับทุกอย่าง ซึ่งสำหรับเหล่าโปรแกรมเมอร์สกุลเงินที่มีอยู่ซึ่งใช้ได้เฉพาะในเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่งและขึ้นอยู่กับธนาคารที่ไร้ความสามารถทางเทคโนโลยีดูเหมือนจะเป็นการถูกจำกัดโดยไม่จำเป็น

นอกเหนือจากความทะเยอทะยานเหล่านี้แล้ว Cypherpunks มองว่าระบบการเงินที่มีอยู่เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นข้อมูลไม่กี่ประเภทที่มักจะมีการเปิดเผยเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างง่ายดาย

รูปแบบของเงินสดต้องบอกว่าเป็นวิธีการชำระเงินแบบไม่เปิดเผยตัวตนมานานแล้ว แต่เงินสดไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเข้าสู่อาณาจักรดิจิทัลได้ ทันทีที่เงินกลายเป็นดิจิทัล กลุ่มบุคคลที่สามบางราย เช่น ธนาคารก็มักจะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถที่จะติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ของคนทั่วไปได้

สิ่งที่ Hal และ Cypherpunks ต้องการคือเงินสดสำหรับยุคดิจิทัลที่สามารถรักษาความปลอดภัยและไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องสละความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

และแล้ววันหนึ่งในปี 2008 สิ่งที่เขาตามหามานานก็โผล่มากับชายที่ไร้ตัวตน เขาได้คลิกที่เว็บไซต์ที่เขาได้รับทางอีเมล : www.bitcoin.org

ต้องบอกว่า Hal เองก็ได้เห็น Bitcoin ผ่านตาครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ในข้อความที่ส่งไปยังหนึ่งในรายชื่ออีเมลที่เขาสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งเมลที่โต้ตอบไปมานั้นส่วนใหญ่จะมาจากคนคุ้นเคยที่เขาคุยด้วยมานานหลายปีที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ดและส่วนใหญ่ก็ทำงานที่เดียวกับเขา

แต่อีเมลฉบับนี้มาจากชื่อที่ไม่คุ้นเคย – Satoshi Nakamoto – และอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า “e-cash” ด้วยชื่อที่ติดปากว่า Bitcoin เงินดิจิทัลซึ่งเป็นสิ่งที่ Hal ทดลองมาเป็นเวลานานมากพอที่จะทำให้เขาสงสัยว่ามันจะใช้งานได้หรือไม่

แต่มีบางอย่างปรากฏขึ้นในอีเมลฉบับนี้ Satoshi ได้กล่าวถึงรูปแบบเงินดิจิทัลชนิดหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องให้ธนาคารหรือบุคคลที่สามจัดการ มันเป็นระบบที่สามารถอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์รวมของผู้คนที่ใช้มันได้ทั้งหมด

Hal ถูกดึงดูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำกล่าวอ้างของ Satoshi ที่ว่าผู้ใช้สามารถเป็นเจ้าของและซื้อขาย Bitcoins ได้โดยไม่ต้องให้ข้อมูลระบุตัวตนกับหน่วยงานกลาง ซึ่งตัว Hal เองก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำงานกับโปรแกรมที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถหลบเลี่ยงการจ้องมองของรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

หลังจากอ่านคำอธิบายเก้าหน้าซึ่งมีอยู่ใน paper แล้ว Hal ก็ได้ตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้น:

“ตอนที่วิกิพีเดียเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ ๆ ผมไม่เคยคิดว่ามันจะได้ผล แต่มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยเหตุผลเดียวกันนี้” เขาเขียน

เมื่อเผชิญกับความสงสัยจากผู้อื่นในรายชื่อ mailing list โดย Hal ได้เรียกร้องให้ Satoshi เขียนโค้ดจริงสำหรับระบบที่เขาได้อธิบายไว้ ไม่กี่เดือนต่อมาในวันเสาร์ของเดือนมกราคม Hal ดาวน์โหลดโปรแกรมของ Satoshi จากเว็บไซต์ Bitcoin ไฟล์ simple.exe ติดตั้งโปรแกรม Bitcoin และเปิดหน้าต่างบนเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ของเขาโดยอัตโนมัติ

เมื่อโปรแกรมเปิดขึ้นเป็นครั้งแรกโปรแกรมจะสร้างรายการ address ของ Bitcoin โดยอัตโนมัติซึ่งจะเป็นหมายเลขบัญชีของ Hal ในระบบและรหัสผ่านหรือคีย์ส่วนตัวซึ่งทำให้เขาสามารถเข้าถึงได้

โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)
โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)

นอกเหนือจากนั้นโปรแกรมยังมีฟังก์ชันเพียงไม่กี่ฟังก์ชัน เมนูหลัก “Send Coins” ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นตัวเลือกสำหรับ Hal ที่จะทดลองใช้งานเนื่องจากเขาไม่มีเหรียญให้ส่ง แต่ก่อนที่เขาจะกดไปยังส่วนต่าง ๆ ของโปรแกรม โปรแกรมก็ error

แต่มันไม่ได้ขัดขวางความกระตือรือร้นของ Hal หลังจากดู log ในคอมพิวเตอร์ของเขา เขาเขียนถึง Satoshi เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ของเขาพยายามเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย

นอกเหนือจาก Hal แล้ว ใน log ยังแสดงให้เห็นว่ามีคอมพิวเตอร์อีกเพียงสองเครื่องในเครือข่ายและทั้งสองเครื่องมาจากที่อยู่ IP address เดียวซึ่งน่าจะเป็นของ Satoshi ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในแคลิฟอร์เนีย

ภายในหนึ่งชั่วโมง Satoshi ก็เขียนตอบกลับโดยแสดงความผิดหวังกับความล้มเหลว เขาบอกว่าเขากำลังทดสอบอย่างหนักและไม่เคยพบปัญหาใด ๆ แต่เขาบอก Hal ว่าเขาได้ตัดทอนโปรแกรมเพื่อให้ดาวน์โหลดได้ง่ายขึ้น

Satoshi ส่งโปรแกรมเวอร์ชันใหม่ให้ Hal พร้อมกับคืนค่าเก่าบางส่วนและขอบคุณ Hal สำหรับความช่วยเหลือ

ในที่สุด Hal ก็ได้ใช้งานมันอีกครั้ง แล้วเขาก็คลิกที่ฟังก์ชั่นที่ทำให้เกิดเสียงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเมนู : “สร้างเหรียญ” เมื่อเขาทำการคลิกที่เมนูดังกล่าวหน่วยประมวลผลในคอมพิวเตอร์ของเขาก็ส่งเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประมวลผลอย่างหนักแบบเห็นได้ชัด

คำแนะนำที่ Satoshi อธิบายไว้ในในซอฟต์แวร์ กล่าวว่าจริงๆ แล้ว การสร้างเหรียญอาจใช้เวลา “เป็นวันหรือเดือนขึ้นอยู่กับความเร็วของคอมพิวเตอร์ของคุณ และการแข่งขันบนเครือข่าย”

Hal ปิดท้ายข้อความสั้น ๆ เพื่อบอก Satoshi ว่าทุกอย่างได้ผล: “ผมต้องออกไปข้างนอก แต่ผมจะปล่อยให้เวอร์ชันนี้ทำงานต่อไปสักพัก”

Hal ได้อ่านมากพอที่จะเข้าใจงานพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์ของเขากำลังทำอยู่ เมื่อโปรแกรม Bitcoin ทำงานแล้วโปรแกรมจะเข้าสู่ช่องแชทที่กำหนดเพื่อค้นหาคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ใช้งานซอฟต์แวร์ซึ่งในขณะนั้นจะเป็นเพียงแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Satoshi เท่านั้น

ระบบเครือข่ายของ Bitcoin จะทำการเก็บข้อมูลธุรกรรมการส่ง Bitcoin ที่ส่งหากันในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง โดยข้อมูลนี้จะถูกว่า “บล็อก” โดยบล็อกใหม่ของ Bitcoin แต่ละบล็อกจะถูกกำหนดให้กับ address ของผู้ใช้ที่เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายและชนะการแข่งขันเพื่อไขปริศนาการคำนวณ 

เมื่อคอมพิวเตอร์ชนะการแข่งขันรอบหนึ่งและได้รับเหรียญใหม่ เครื่องอื่น ๆ ทั้งหมดในเครือข่ายจะอัปเดตบันทึกที่ใช้ร่วมกันของจำนวน Bitcoins ที่เป็น address Bitcoin ของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น จากนั้นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเริ่มแข่งโดยอัตโนมัติเพื่อแก้ปัญหาใหม่เพื่อปลดล็อกชุดเหรียญถัดไป

เมื่อ Hal กลับไปที่คอมพิวเตอร์ของเขาในตอนเย็นเขาก็เห็นทันทีว่า คอมพิวเตอร์ของเขาได้สร้าง 50 Bitcoins ซึ่งถูกบันทึกไว้ที่ address Bitcoin ของเขาและยังบันทึกไว้ใน Public Ledger ที่คอยติดตาม Bitcoins ทั้งหมด บล็อกเหรียญที่สร้างขึ้นเหล่านี้เป็นหนึ่งใน 4,000 Bitcoins แรกที่นำมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไรเลยจาก Bitcoins ที่เขาได้รับ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของ Hal ลดลง ในอีเมลแสดงความยินดีถึง Satoshi ที่เขาส่งไปยังรายชื่อ mailing list ทั้งหมด ทำให้เขารู้สึกมีความหวังกับสิ่งประดิษฐ์สิ่งใหม่นี้

“ลองนึกภาพว่า Bitcoin ประสบความสำเร็จและกลายเป็นระบบการชำระเงินที่โดดเด่นในการใช้งานทั่วโลก” เขาเขียน “ถ้าอย่างนั้นมูลค่ารวมของสกุลเงินควรเท่ากับมูลค่ารวมของความมั่งคั่งทั้งหมดในโลก”

จากการคำนวณของเขาเองนั่นจะทำให้ Bitcoin แต่ละเหรียญจะมีมูลค่าประมาณ 10 ล้านดอลลาร์

“แม้ว่าอัตราต่อรองของ Bitcoin ที่จะประสบความสำเร็จในระดับนี้จะมีน้อย อาจจะเป็นโอกาสเพียงแค่ 100 ล้านต่อ 1 แต่มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” เขาเขียนก่อนที่จะออกจากระบบ

Geek Monday EP204 : Amazon Q กับพลังของ Generative AI สำหรับองค์กรธุรกิจ

Amazon กำลังดิ้นรนต่อสู้อย่างหนักเพื่อสลัดภาพลักษณ์ที่ว่าพวกตนกําลังล้าหลังในการผลักดันการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

OpenAI มี ChatGPT Google มีแชทบอท Bard ไมโครซอฟท์มี Copilots ในวันอังคารที่ผ่านมา Amazon ได้เข้าร่วมการแข่งขันแชทบอทและประกาศผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ของตัวเอง Amazon Q โดยจะโฟกัสไปที่การใช้งานสำหรับองค์กรธุรกิจ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/8whtwjxv

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/6hxmrv5c

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/mryzjjke

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/23dx9ywe

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/vSSrHTS-23c

References Image : https://www.platformer.news/p/amazons-q-has-severe-hallucinations