AI ทำนายรัฐประหาร เมื่อนักวิทยาศาสตร์พัฒนาอัลกอริทึมเพื่อทำนายความพยายามรัฐประหารครั้งต่อไป

นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลที่ได้ทำการติดตามความรุนแรงทางการเมืองทั่วโลกกำลังพยายามปรับปรุงความพยายามของพวกเขาในการทำนายการจลาจลของอเมริกา แต่เทคโนโลยีเดียวกันนี้ก็สามารถนำมาใช้เพื่อทำนายจุดจบที่เลวร้ายอย่างการรัฐประหารได้เช่นกัน

มันเริ่มมาจากการคาดการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในอเมริกา นับตั้งแต่ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกจากตำแหน่งในขณะนั้น บุกโจมตีศาลาว่าการสหรัฐฯเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นความพยายามที่จะล้มล้างผลลัพธ์ของ การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020

เทคโนโลยี Machine Learning ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างแบบจำลองการคาดการณ์ประเภทนี้มีอยู่แล้วมาระยะหนึ่งแล้ว แต่มักจะเน้นไปที่ประเทศต่างๆ เช่น ยูเครนหรือตุรกี ซึ่งความพยายามในการทำรัฐประหารและความไม่สงบทางการเมืองโดยทั่วไปที่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา

โดยการผสมผสานข้อมูลทางประวัติศาสตร์กับข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและแม้กระทั่งการหยุดชะงักของรูปแบบการขนส่งต่าง ๆ ภายในประเทศ

การสร้างแบบจำลองประเภทนี้อาศัยแนวคิดที่ว่าสัญญาณเตือนจะปรากฏขึ้น และหากอัลกอริธึมปัญญาประดิษฐ์สามารถเรียนรู้จากข้อมูลเก่าโดยใช้เทคโนโลยี Machine Learning อาจทำนายสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศใด ๆ ได้

จนถึงตอนนี้ องค์กรไม่แสวงผลกำไร 2 แห่งอย่าง CoupCast แห่งมหาวิทยาลัย Central Florida และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Armed Conflict Location & Event Data (ACLED) ได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้ โดยได้ออกคำเตือนครั้งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2020 ว่า มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการโจมตีอาคารของรัฐบาลกลาง

ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะสังเกตเห็นประโยชน์ของ AI ประเภทนี้ โดยกระทรวงกลาโหม, CIA และกระทรวงการต่างประเทศได้ใช้ AI เพื่อทำนายการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในต่างประเทศแล้ว 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและเอฟบีไอ กลับไม่ได้ใช้ข้อมูลดังกล่าว ในขณะที่พวกเขาเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุดสองแห่งที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการก่อการร้ายในประเทศ

โดยธรรมชาติ การสอดแนมทางการเมืองใดๆ ก็ตามที่รัฐบาลจับตามองจะทำให้เกิดข้อกังวลด้านจริยธรรม Jonathan Bellish ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการบริหารของกลุ่ม One Earth Future ซึ่งเป็นผู้นำคนเก่าของ CoupCast ได้กล่าวว่า เขากังวลว่าเครื่องมือประเภทนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อปราบปรามการประท้วงอย่างสันติ 

โจนาธาน พาวเวลล์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ทำงานในโครงการนี้ที่ UCF ในปัจจุบัน กล่าวว่าความเป็นไปได้ดังกล่าว “เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างแท้จริงและน่ากลัวอย่างมากหากประชาชนต้องการที่จะประท้วงอย่างสันติวิธีจริง ๆ ”

และแน่นอน มีข้อเท็จจริงที่ว่า พฤติกรรมของมนุษย์ในขณะนี้ ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างน่าเชื่อถือโดยคอมพิวเตอร์อีกต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการจลาจลเช่นการบุกโจมตีศาลากลางสหรัฐนั้นมักจะอยู่นอกขอบเขตของพฤติกรรมของชาวอเมริกันที่คาดเดาได้ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้ันมาก่อน

ในขณะที่การใช้แอปพลิเคชันสำหรับ AI เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีการพยายามทำรัฐประหารครั้งต่อไปที่ไหนและเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่มีอัตราความรุนแรงทางการเมืองสูงกว่าหรือในประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่า เช่น ในอเมริกาเหนือและยุโรป

ซึ่งน่าสนใจนะครับ ประเทศไทยเราก็เป็นหนึ่งในประเทศทีมีจำนวนครั้งในการรัฐประหารลำดับต้น ๆ และรูปแบบแพทเทิร์นที่นำไปสู่การรัฐประหาร ก็มีความน่าสนใจว่า AI จะสามารถเรียนรู้จากประวัติศาสตร์การเมืองของเราได้หรือไม่ หากสามารถทำนายได้จริง ๆ ก็ถือเป็นเรื่องน่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียวครับผม

References : https://www.washingtonpost.com/technology/2022/01/06/jan6-algorithms-prediction-violence
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2557

อดีตผู้บริหาร Google เตือนว่าตอนนี้นักวิจัยด้าน AI กำลัง “สร้างพระเจ้า”

อดีตผู้บริหารของ Googleได้ออกมาเตือนถึงสิ่งที่นักวิจัยกำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI และยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกว่ามันกำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อมนุษยชาติ

Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google หรือ Google X ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะไทม์

เขาเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ซึ่งเป็น AI ที่ทรงพลังและมีความรู้สึกที่เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์อย่าง Skynet จาก “The Terminator” เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราอาจพบว่าตัวเองกำลังจ้องมองวันโลกาวินาศที่เกิดจากเครื่องจักรที่เปรียบเหมือนพระเจ้า

Gawdat บอกกับ เดอะไทม์ ว่าเขาได้รับข้อมูลที่น่ากลัวในขณะที่ทำงานร่วมกับนักพัฒนา AI ที่ Google X ซึ่งสร้างอาวุธหุ่นยนต์ที่สามารถค้นหาและหยิบลูกบอลขนาดเล็กได้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง Gawdat กล่าวว่าแขนข้างหนึ่งของหุ่นยนต์คว้าลูกบอลและดูเหมือนจะยกมันขึ้นเพื่อแสดงให้นักวิจัยเห็น ด้วยท่าทางที่สำหรับเขาดูเหมือนว่ามันกำลังแสดงออกทางด้านอารมณ์ออกมา

Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับ AI (CR:CNBC)
Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับ AI (CR:CNBC)

Gawdat กล่าวว่า “ผมรู้สึกได้ว่านี่มันเป็นเรื่องน่ากลัวจริงๆ “มันทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว”

ภัยคุกคามที่แท้จริง

Elon Musk ได้เตือนโลกซ้ำ ๆเกี่ยวกับอันตรายของ AI สักวันหนึ่งที่เอาชนะมนุษยชาติ

Elon Musk ได้เตือนโลกมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของ AI (CR:Daily Express)
Elon Musk ได้เตือนโลกมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของ AI (CR:Daily Express)

ตัวอย่างเช่นอัลกอริธึมการจดจำใบหน้าและการรักษาแบบคาดการณ์ล่วงหน้าได้ก่อให้เกิดอันตรายอย่างแท้จริงในชุมชนที่ด้อยโอกาส อัลกอริธึมนับไม่ถ้วนยังคงเผยแพร่และประมวลการเหยียดเชื้อชาติในโลกออนไลน์

สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ผ่านการกำกับดูแลและระเบียบข้อบังคับ แต่ Gawdat คิดว่าการพัฒนา AI นั้นเป็นการสร้างพระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป็นที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2029 ซึ่งใกล้จะถึงแล้ว ความฉลาดของเครื่องจักรจะแยกส่วนออกจากงานเฉพาะ ถึงตอนนั้นจะมีเครื่องจักรที่ฉลาดกว่ามนุษย์ เครื่องจักรเหล่านี้จะไม่เพียงแต่ฉลาดขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะรู้มากขึ้น (เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมดได้)

พวกมันจะสื่อสารระหว่างกันได้ดีขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความรู้  เมื่อมนุษย์ประสบอุบัติเหตุในการขับรถ มนุษย์ก็จะเรียนรู้ แต่เมื่อรถยนต์ที่ขับด้วยตนเองผิดพลาด รถยนต์ที่ขับด้วยตนเองทุกคันจะเรียนรู้มันไปพร้อมกันได้ทันที

สติปัญญารูปแบบใหม่นี้สามารถมองปัญหาเร่งด่วนที่สุดบางอย่างด้วยมุมมองที่โลกสวยที่สุด ด้วยความรู้ที่ไร้ขอบเขตและความเฉลียวฉลาดที่เหนือชั้น เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่ชาญฉลาดที่มนุษย์เราอาจไม่เคยคิดมาก่อน

Supermachines เหล่านี้สามารถแก้ปัญหาร้ายแรงที่มนุษย์ไม่เคยแก้มันได้ทุกอย่าง เช่น สงคราม อาชญากรรมรุนแรง ความอดอยาก ความยากจน หรือการเป็นทาสในยุคปัจจุบัน

พวกมันสามารถกลายเป็นฮีโร่ของเราได้เช่นกัน แต่โปรดจำไว้ว่า AI ต่างจากมนุษย์ที่มีระบบค่านิยมและศีลธรรมที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะเผชิญกับความขัดแย้งกันที่มีความตึงเครียดมากมายขนาดไหนก็ตามที

แต่หาก AI ได้รับมอบหมายให้แก้ไขยาก ๆ เช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน วิธีแก้ปัญหาแรกที่น่าจะเกิดขึ้น ก็คือการจำกัดวิถีชีวิตที่สิ้นเปลืองของมนุษย์เรา หรือแม้แต่กำจัดมนุษยชาติไปโดยสิ้นเชิงเลยก็เป็นได้ 

ซึ่งท้ายที่สุดมนุษย์เราคือปัญหา ความโลภของเรา ความเห็นแก่ตัวและภาพลวงตาของการพลัดพรากจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ความรู้สึกว่าเราเหนือกว่าชีวิตรูปแบบอื่น

นั่นเป็นสาเหตุของปัญหาทุกประการที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เครื่องจักรจะมีสติปัญญาในการออกแบบโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาที่ร้ายแรงเหล่านี้ แต่พวกมันจะมีศีลธรรมพอที่จะรักษาชีวิตพวกเราไว้หรือไม่ เมื่อในตอนนั้นมนุษย์เราถูกมองว่าเป็นปัญหา มันก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้นั่นเองครับผม

References : https://www.thetimes.co.uk/article/can-this-man-save-the-world-from-artificial-intelligence-329dd6zvd
https://futurism.com/the-byte/google-exec-ai-god
https://wonderfulengineering.com/ai-researchers-are-creating-god-warns-former-google-exec/

Darkside of Instagram กับอิทธิพลที่มีผลต่อสภาพจิตใจอันบอบบางของกลุ่มวัยรุ่นทั่วโลก

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่กำลังสร้างปัญหาไปทั่วโลกเลยนะครับสำหรับ Instagram แม้มันจะดูเป็นสังคมในอุดมคติ ที่ทุกต่างมาโชว์สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้ง ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต การท่องเที่ยว การแต่งตัว หรือ การอวดเรือนร่างต่าง ๆ นา ๆ

แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า แม้กระทั่งเจ้าของแพล็ตฟอร์มอย่าง Facebook เองนั้นก็รู้ดีว่า แพล็ตฟอร์ม Instagram ของพวกเขาอันตรายแค่ไหน โดยเฉพาะกับหมู่วัยรุ่น ที่ตอนนี้มันกำลังสร้างปัญหาต่อสภาพจิตใจของวัยรุ่นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ

จากการศึกษาของ Wall Street Journal ที่ได้เข้ามาทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา Instagram มีผลกระทบต่อเหล่าวัยรุ่นหรือฐานผู้ใช้งานอายุน้อย ๆ อย่างไรบ้าง

ซึ่งผลออกมาเรียกได้ว่าน่าตกใจมาก ๆ มีรายงานเกี่ยวกับความคิดการฆ่าตัวตายถึง 13% ของผู้ใช้งานชาวอังกฤษ และ 6% ของผู้ใช้ชาวอเมริกันก็ประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกัน

“32% ของเด็กสาววัยรุ่นกล่าวว่า พวกเขารู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างการของพวกเขา Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง”

มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า 14% ของเด็กชายในสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวว่า Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น

ตามรายงานของ Wall Street Journal นั้น ผู้บริหารระดับสูงของ Facebook ได้ทบทวนงานวิจัยดังกล่าวที่เกิดขึ้นแล้ว มีการอ้างถึงการนำเสนอต่อ Mark Zuckerberg ซีอีโอของบริษัทเมื่อปีที่แล้ว

Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)
Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)

แต่อย่างไรก็ตาม Facebook ได้รายงานว่า ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ได้ง่ายนัก โดยมีรายงานว่า Facebook กำลังสร้าง Instagram เวอร์ชั่นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี

แต่ก็ต้องบอกว่า เหล่าฐานผู้ใช้รุ่นเยาว์ ไปจนถึงวัยรุ่นเหล่านี้ มันคือกุญแจความสำเร็จที่สำคัญของ Instagram ที่ Facebook ค่อนข้างหวงแหนมาก ๆ

หากมีแพล็ตฟอร์มใด ที่คิดจะมาแย่งฐานนี้ของ Facebook เราจะเห็นได้ว่า Facebook พร้อมลุยแบบเต็มที่เพื่อที่จะกำจัดหรือควบรวมบริษัทเลยทีเดียว อย่าง case ของ SnapChat ที่เคยพุ่งแรงขึ้นมา Facebook ก็ทำทุกวิถีทางทั้ง copy ฟีเจอร์ หรือ พยายามเจรจาขอซื้อ จนสุดท้าย SnapChat ก็ผ่อนแรงลงไป

ตอนนี้ น่าจะมี App เดียวที่กลายเป็นหนามยอกอกของ Facebook นั่นก็คือ TikTok ที่กำลังมาแย่งฐานผู้ใช้งานกลุ่มนี้ที่เปรียบเสมือนไข่ในหินของ Facebook ซึ่งจะเห็นได้ว่าตอนนี้ Facebook เองก็ทุ่มเท ทุกสรรพกำลังเพื่อต่อสู้ ตัวอย่างเช่นการเพิ่ม Reels เข้ามา Instagram นั่นเอง

Karina Newton หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Instagram ได้กล่าวถึงรายงานดังกล่าวว่า บริษัทกำลังค้นคว้าวิธีที่จะดึงผู้ใช้ออกจากการหมกมุ่นอยู่กับโพสต์ Instagram บางประเภท

Lori Trahan หนึ่งในสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงข้อกังวลด้านสุขภาพจิตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย และเรียกร้องให้ Facebook ละทิ้งแผนการสร้าง Instagram สำหรับเด็ก และมุ่งโฟกัสไปที่การปกป้องผู้ใช้งานที่อายุน้อยแทน

“เอกสารภายในของ Facebook แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของบริษัทในการปกป้องเด็กบน Instagram โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง มันเป็นการละเลยโดยสิ้นเชิง และมันก็เกิดขึ้นหลายปีแล้ว” Trahan กล่าว

Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)
Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)

ไม่ตั้งใจแก้หรือไม่รู้จะแก้ยังไง

ต้องบอกว่า ในยุคปัจจุบันนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เรากระทำบนโลกออนไลน์ ล้วนถูกจับจ้อง ถูกตามรอย ถูกประเมิน ทุก ๆ การกระทำที่เราได้ทำไป ล้วนถูกจับตาดูด้วยความระมัดระวัง และบันทึกไว้

ไม่ว่าจะเป็นภาพใดบ้าง ที่เราหยุดมอง และมองมันนานแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รู้ถึงขนาดที่ว่า ตอนไหนที่ใครกำลังเหงา

พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าตอนไหนที่ใครซึมเศร้า เป็นคนชอบเก็บตัว หรือ เข้าสังคม มีอาการทางประสาทชนิดใด ซึ่งพวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับเรามากยิ่งกว่า ที่ใครจะเคยคาดคิดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

และที่สำคัญข้อมูลเหล่านี้นั้น ได้ถูกนำไปวิเคราะห์อยู่แทบจะตลอดเวลา โดยจะถูกนำป้อนเข้าสู่ระบบ ซึ่งแทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอยู่เลยด้วยซ้ำ

ซึ่งพลังของเทคโนโลยี AI Machine Learning ที่อยู่เบื้องหลังระบบเหล่านี้ ทำให้มันคาดการณ์ได้แม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเราจะทำอะไร และ เราเป็นใคร

พวกเขาได้สร้างโมเดล ที่คาดเดาการกระทำของเรา ตัวอย่างเช่น เรามักจะเห็นว่า ระบบเหล่านี้สามารถที่จะทำนายได้ว่า วีดีโอแบบไหนที่จะทำให้เราต้องดูต่อไป และถูกผูกติดกับแพล็ตฟอร์มของพวกเขาไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเรื่องของอารมณ์ ที่ระบบพวกนี้สามารถทำนายได้ว่า อารมณ์แบบไหนที่สามารถกระตุ้นเราได้

พวกเขามีทีมวิศวกรยอดอัจฉริยะ ที่มีหน้าที่ในการ Hack จิตวิทยาของมนุษย์ โดยใช้วิธีการที่จะเจาะลึกลงไปในก้านสมองของเรา และทำการปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างในตัวเราจากข้างใน

และสุดท้ายก็สามารถป้อนคำสั่งเราได้ ในระดับที่ลึกลงไป โดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ และนั่นคือการที่พวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของจิตใจมนุษย์นั่นเอง

แต่ที่น่าสนใจคือ สำหรับวัยเด็กหรือกลุ่มวัยรุ่นนั้น การกระทำเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ ดึงความสนใจของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ

Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)
Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)

แม้ว่าโลกเราผ่านการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน สื่อต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ การเข้ามาถึงของอินเทอร์เน็ต รวมถึงโลกของ Social Media

ซึ่งก็มักจะมีคำพูดว่า มนุษย์เราจะสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับมันได้ในท้ายที่สุด และจะเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด เหมือนที่เราได้เคยเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับสิ่งอื่นๆ ที่เคยผ่านมาในแต่ละยุคสมัย

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เครือข่าย Social Media ยักษ์ใหญ่ในตอนนี้ แทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอีกต่อไป เพราะมันได้ปล่อยให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี AI ที่มีความซับซ้อนสูงที่ขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งผมก็เคยเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไปในหลายโพสต์ แม้กระทั่งผู้นำด้านการพัฒนา AI ของ Facebook เอง ก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันอย่างไร

เพราะมีน้อยคนนัก แม้กระทั่งวิศวกรระดับอัจฉริยะของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เองก็ตามที่จะเข้าใจได้ว่า คอมพิวเตอร์ หรือ AI เหล่านี้มันกำลังจะทำอะไรอยู่ ซึ่งเทคโนโลยีด้าน AI เหล่านี้ มีความคิดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีมนุษย์เป็นผู้เขียน Code ให้กับมันก็ตามที

ดังนั้นมันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในโลกที่ มนุษย์เราเองนั้น ไม่สามารถที่จะไปควบคุมระบบเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นฝ่าย AI ต่างหากที่ควบคุมข้อมูลของพวกเราอยู่นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2021/09/14/facebook-documents-show-how-toxic-instagram-is-for-teens-wsj.html
https://orge.medium.com/instagram-beware-of-the-toxic-culture-behind-it-7ecff96108b4
https://about.instagram.com/blog/announcements/using-research-to-improve-your-experience
https://www.wsj.com/articles/facebook-knows-instagram-is-toxic-for-teen-girls-company-documents-show-11631620739
The Social Dilemma (Netflix)

Geek Daily EP50 : เมื่อเทคโนโลยี AI จดจำใบหน้าทำงานผิดพลาดจนส่งผู้บริสุทธิ์เข้าคุก

ตำรวจรัฐนิวเจอร์ซีย์ตกอยู่ภายใต้ความกดดัน หลังจากกล่าวหาและจับกุมผู้ต้องสงสัยอย่างไม่ถูกต้องโดยอาศัยซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าที่ทำงานผิดพลาด

Nijeer Parks รู้สึกประหลาดใจที่ได้ทราบว่าตำรวจในเมือง Woodbridge มีหมายจับสำหรับการจับกุมรายชื่ออาชญากรรมรวมถึงการขโมยของในร้าน ซึ่งเขาไม่เคยไปเมืองนั้นมาก่อน แต่เมื่อเขาไปที่สถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับกุมเขาทันที

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/2LjCek1

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/is1x-RxCfAQ

Geek Monday EP73 : Recap บทบาทเทคโนโลยีกับโลกธุรกิจในปี 2020

ห่างหายจากการจัด Podcast มาประมาณ 1 อาทิตย์ เนื่องจากใช้เวลาในช่วงหวัดหยุดยาวปีใหม่ ในการพักผ่อนกับครอบครัว สำหรับ EP จะเป็นรายการ EP แรกต้อนรับปี 2021 ของ Geek Forever Podcast

โดยจะมาเริ่มต้นด้วยการทบทวน Case Study ที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีกับโลกธุรกิจในปีที่ผ่านมาที่ผมได้เคยเล่าผ่านรายการ Geek Monday กันนะครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ 

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/3b4wtS4

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/S5Nbqo8pgJQ