Geek Daily EP243 :  Dojo ความหวังสุดท้ายของ Elon Musk กับอาวุธลับของ Tesla ในการพิชิตตลาดรถยนต์ไร้คนขับ

Elon Musk ได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัท Tesla โดยเขากล่าวว่าบริษัทจะทุ่มงบประมาณมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี 2024 เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า “Project Dojo” ซึ่งเป็นโครงการที่มีความทะเยอทะยานสูง และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการเทคโนโลยี

Musk มีเป้าหมายที่จะใช้พลังการประมวลผลอันมหาศาลของ Dojo เพื่อพัฒนาความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติของรถยนต์ Tesla ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการสร้างระบบขับขี่อัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4eburyf5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/pua5w86d

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yc6aznf5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/V_vJPAQuw2E

นักลงทุนอัจฉริยะหรือนักพนันผู้โชคดี? ถอดรหัสความสำเร็จของ Masayoshi Son ฉายา ‘คนบ้า’ แห่งวงการเทคโนโลยี

ในโลกแห่งธุรกิจและเทคโนโลยี มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและสร้างความฮือฮามาโดยตลอด นั่นคือ มาซาโยชิ ซัน (Masayoshi Son) ชายผู้มาจากครอบครัวผู้อพยพเกาหลีที่ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความยากจนในญี่ปุ่น แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

เรื่องราวของมาซาโยชิเริ่มต้นจาก ปู่ย่าตายายของเขาอพยพมาญี่ปุ่นจากเกาหลีใต้โดยซ่อนตัวในเรือประมงเล็กๆ พวกเขามาถึงญี่ปุ่นโดยไม่มีอะไรติดตัวเลย ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก และไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้

ชีวิตในวัยเด็กของมาซาโยชิก็ไม่ได้สดใสนัก เขาถูกมองว่าเป็นคนนอกในสังคมญี่ปุ่นเพราะเชื้อสายของเขา เพื่อนร่วมชั้นถึงกับขว้างก้อนหินใส่เขา ส่วนพ่อของเขาแทบจะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ต้องทำงานสารพัดอย่างเท่าที่จะหาได้ ตั้งแต่เลี้ยงหมูไปจนถึงขายเหล้าเถื่อน

แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความฝันอันยิ่งใหญ่ เด็กชายผู้นี้ได้วางแผนชีวิตของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนมัธยมต้น เขาตั้งใจว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดในญี่ปุ่น ความมุ่งมั่นนี้นำพาให้เขาได้พบกับ เด็น ฟูจิตะ ผู้นำแมคโดนัลด์เข้ามาในญี่ปุ่น ซึ่งต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเขา

ด้วยคำแนะนำของฟูจิตะ มาซาโยชิตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาเพื่อไล่ตามความฝันทางธุรกิจ เมื่ออายุเพียง 16 ปี เขาเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ฝึกภาษาอังกฤษ และเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายอเมริกัน

แต่ด้วยความกระตือรือร้นและความสามารถอันโดดเด่น เขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างรวดเร็ว โดยเรียนเศรษฐศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

ช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยทางธุรกิจของมาซาโยชิ เขาเริ่มคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ โดยใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาที ด้วยความคิดที่ว่านี่คือการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

แนวคิดนี้นำไปสู่การคิดค้นอุปกรณ์แปลภาษาพกพา ซึ่งต่อมาเขาได้ขายสิทธิบัตรให้กับบริษัท Sharp ในราคา 1.7 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี

นอกจากนี้ มาซาโยชิยังริเริ่มธุรกิจนำเข้าเครื่องเกมอาร์เคด Space Invaders จากญี่ปุ่นมาสู่สหรัฐฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างกำไรให้เขามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 เดือน

ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของมาซาโยชิ ซัน สู่การเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

การก่อตั้ง SoftBank และการผจญภัยในโลกเทคโนโลยี

หลังจากจบการศึกษา มาซาโยชิกลับไปญี่ปุ่นตามที่สัญญากับแม่ไว้ ด้วยเงินที่หาได้จากอเมริกา เขาตั้งใจจะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในบ้านเกิด หลังจากวิเคราะห์ไอเดียธุรกิจหลายสิบแบบ เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ชื่อ SoftBank

แม้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1980 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มาซาโยชิมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ เขาเชื่อมั่นว่า SoftBank จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์เลยก็ตาม

การเริ่มต้นของ SoftBank ไม่ได้ราบรื่นนัก มาซาโยชิพยายามสร้างความสนใจในธุรกิจคอมพิวเตอร์ด้วยการทำนิตยสาร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนแนะนำให้เขาล้มเลิก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขายังคงทุ่มเททรัพยากรและความพยายามเข้าไปในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

ในที่สุด ความพยายามของเขาก็เริ่มเห็นผล SoftBank ได้รับประโยชน์จากความต้องการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่แล้วโชคร้ายก็เกิดขึ้น มาซาโยชิได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้มาซาโยชิมุ่งมั่นที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เร็วกว่าเดิม และกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น เพราะเขาตระหนักว่าชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 SoftBank เติบโตอย่างรวดเร็ว มีพนักงานถึง 800 คนและมีรายได้พันล้านดอลลาร์ มาซาโยชินำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม และเริ่มขยายการลงทุนไปสู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ

หนึ่งในการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการลงทุนในบริษัท Yahoo ด้วยมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Yahoo เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่นานหลังจากนั้น มูลค่าของมันพุ่งขึ้นเป็น 808 ล้านดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับ SoftBank

มาซาโยชิไม่เคยหยุดนิ่ง เขามักจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในโอกาสใหม่ๆ เสมอ เมื่อถึงปลายทศวรรษ 1990 SoftBank ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เหมือนกองทุนร่วมลงทุน (venture capital fund) โดยเน้นการซื้อและลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่มาซาโยชิเชื่อมั่นในศักยภาพ

การลงทุนของมาซาโยชิมักจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและกล้าได้กล้าเสีย เช่น การลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ใน E-Trade หลังจากโทรศัพท์คุยกับผู้ก่อตั้งเพียงครั้งเดียว หรือการลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ใน Alibaba ทั้งที่บริษัทยังไม่มีแผนธุรกิจหรือรายได้ชัดเจน เพียงเพราะเขาเห็น “ประกายในดวงตา” ของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง

มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)
มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)

แม้ว่าไม่ใช่ทุกการลงทุนจะประสบความสำเร็จ แต่มาซาโยชิเข้าใจดีว่าในโลกของการลงทุนแบบ venture capital เพียงเจอห่านทองคำในธุรกิจที่ประสบความสำเร็๗เพียงรายเดียวก็สามารถเอาชนะความล้มเหลวอื่นๆ ทั้งหมดได้ เขาไม่จำเป็นต้องถูกต้องในทุกการลงทุน ตราบใดที่เขามีความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่กี่ครั้ง

Vision Fund และความท้าทายในยุค AI

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 มาซาโยชิยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยีจะเป็นการเปลี่ยนจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปสู่มือถือ ด้วยวิสัยทัศน์นี้ เขาได้ติดต่อ Steve Jobs และขอสิทธิ์ขาย iPhone แต่เพียงผู้เดียวในญี่ปุ่น

แม้ว่า Jobs จะปฏิเสธในตอนแรกเพราะ SoftBank ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทมือถือในญี่ปุ่น แต่มาซาโยชิก็ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจซื้อ Vodafone Japan ในราคาประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์นั้นมา การตัดสินใจอันกล้าหาญนี้ทำให้ SoftBank สามารถขายสัญญาโทรศัพท์ได้จำนวนมหาศาล เพราะทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ใช้ iPhone รุ่นใหม่

ต่อมา มาซาโยชิได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าจะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยี เขาเชื่อว่าสังคมกำลังเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า Singularity ซึ่งเป็นจุดที่ปัญญาประดิษฐ์จะเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ด้วยความเชื่อนี้ เขาจึงริเริ่มโครงการ Vision Fund

Vision Fund เป็นกองทุนร่วมลงทุนขนาดมหึมาถึง 100 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใหญ่กว่ากองทุนอื่นๆ กว่า 4 เท่า วัตถุประสงค์หลักของกองทุนนี้คือการลงทุนในเทคโนโลยี AI และบริษัทที่นำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ

การระดมทุนสำหรับ Vision Fund เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง มาซาโยชิสามารถระดมทุนเบื้องต้น 45 พันล้านดอลลาร์จากซาอุดีอาระเบียภายในเวลาเพียง 45 นาที นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนจาก SoftBank เอง รวมถึงจากอาบูดาบี และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Foxconn

อย่างไรก็ตาม Vision Fund ก็ไม่ได้ปราศจากข้อวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนกล่าวหาว่ามาซาโยชิกำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่และบิดเบือนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทต่างๆ โดยการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่อาจไม่ได้เป็น “บริษัทเทคโนโลยี” อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ วิธีการลงทุนของมาซาโยชิที่มักจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณและการประชุมเพียงไม่กี่นาที ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ตัวอย่างเช่น การลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ใน WeWork หลังจากการประชุมที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โดยที่เขาไม่ได้ดูเอกสารนำเสนอด้วยซ้ำ

มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)
มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)

มาซาโยชิยังถูกกล่าวหาว่าใช้เงินทุนเป็นอาวุธ โดยทุ่มเงินไม่จำกัดให้กับบริษัทต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนมากที่สุดจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในตลาดที่มีผู้ชนะเพียงรายเดียว แต่วิธีการนี้ก็ทำให้หลายบริษัทละเลยการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและทำกำไรได้จริง

แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาซาโยชิ ซัน เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกเทคโนโลยี เขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความกล้าที่จะเสี่ยง ซึ่งทำให้เขาสามารถมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม

บทสรุป: มรดกและคำถามที่ยังคงค้างคาใจ

เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และความกล้าที่จะเสี่ยง เขาเริ่มต้นจากเด็กชายผู้ยากจนในครอบครัวผู้อพยพ และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา มาซาโยชิได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การปฏิวัติอินเทอร์เน็ต การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมาร์ทโฟน และล่าสุดคือการมาถึงของยุค AI เขามักจะเป็นคนแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ และได้รับผลตอบแทนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม วิธีการลงทุนของมาซาโยชิก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้ง การตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณ และการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่ยังไม่มีกำไร ทำให้หลายคนสงสัยว่าเขากำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของการลงทุนแบบ “ทุ่มสุดตัว” ของเขาที่มีต่อระบบนิเวศของสตาร์ทอัพและตลาดเทคโนโลยีโดยรวม

แม้ว่าจะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้วิจารณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มาซาโยชิ ซัน ได้สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อโลกเทคโนโลยี การลงทุนของเขาได้ช่วยให้บริษัทมากมายเติบโตและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของเขาก็เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความกล้าที่จะเสี่ยงและความรอบคอบในการลงทุน แม้ว่าความกล้าและวิสัยทัศน์ของมาซาโยชิจะน่าชื่นชม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาถึงความยั่งยืนและผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจทางธุรกิจด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ยังคงค้างคาใจคือ มาซาโยชิ ซัน เป็นนักลงทุนอัจฉริยะที่มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนกว่าใคร หรือเป็นเพียงนักพนันที่โชคดีกันแน่? คำตอบอาจจะไม่ใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่อาจเป็นการผสมผสานระหว่างความฉลาด วิสัยทัศน์ ความกล้า และโชคที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น กล้าที่จะฝัน และไม่กลัวที่จะเสี่ยงเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถหรือควรทำตามแนวทางของเขาทั้งหมด แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของเขาได้

ในท้ายที่สุด มรดกของมาซาโยชิ ซัน อาจไม่ใช่แค่บริษัทที่เขาสร้างหรือเงินที่เขาทำได้ แต่เป็นการกระตุ้นให้เราทุกคนคิดใหญ่ มองไกล และกล้าที่จะท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะบางทีสิ่งที่ดูเหมือนความบ้าคลั่งในวันนี้ อาจกลายเป็นความปกติในวันข้างหน้าก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Masayoshi_Son
https://money.cnn.com/interactive/technology/masayoshi-son-profile/index.html
https://fortune.com/2023/11/07/wework-bankruptcy-unicorns-venture-capital-softbank-masayoshi-son-billionaire/
https://www.linkedin.com/pulse/from-discrimination-billionaire-story-masayoshi-son-tech-vishwkarma/

AI ทำนายรัฐประหาร เมื่อนักวิทยาศาสตร์พัฒนาอัลกอริทึมเพื่อทำนายความพยายามรัฐประหารครั้งต่อไป

นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลที่ได้ทำการติดตามความรุนแรงทางการเมืองทั่วโลกกำลังพยายามปรับปรุงความพยายามของพวกเขาในการทำนายการจลาจลของอเมริกา แต่เทคโนโลยีเดียวกันนี้ก็สามารถนำมาใช้เพื่อทำนายจุดจบที่เลวร้ายอย่างการรัฐประหารได้เช่นกัน

มันเริ่มมาจากการคาดการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในอเมริกา นับตั้งแต่ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกจากตำแหน่งในขณะนั้น บุกโจมตีศาลาว่าการสหรัฐฯเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นความพยายามที่จะล้มล้างผลลัพธ์ของ การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020

เทคโนโลยี Machine Learning ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างแบบจำลองการคาดการณ์ประเภทนี้มีอยู่แล้วมาระยะหนึ่งแล้ว แต่มักจะเน้นไปที่ประเทศต่างๆ เช่น ยูเครนหรือตุรกี ซึ่งความพยายามในการทำรัฐประหารและความไม่สงบทางการเมืองโดยทั่วไปที่อาจเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา

โดยการผสมผสานข้อมูลทางประวัติศาสตร์กับข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและแม้กระทั่งการหยุดชะงักของรูปแบบการขนส่งต่าง ๆ ภายในประเทศ

การสร้างแบบจำลองประเภทนี้อาศัยแนวคิดที่ว่าสัญญาณเตือนจะปรากฏขึ้น และหากอัลกอริธึมปัญญาประดิษฐ์สามารถเรียนรู้จากข้อมูลเก่าโดยใช้เทคโนโลยี Machine Learning อาจทำนายสิ่งเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศใด ๆ ได้

จนถึงตอนนี้ องค์กรไม่แสวงผลกำไร 2 แห่งอย่าง CoupCast แห่งมหาวิทยาลัย Central Florida และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Armed Conflict Location & Event Data (ACLED) ได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้ โดยได้ออกคำเตือนครั้งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2020 ว่า มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการโจมตีอาคารของรัฐบาลกลาง

ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะสังเกตเห็นประโยชน์ของ AI ประเภทนี้ โดยกระทรวงกลาโหม, CIA และกระทรวงการต่างประเทศได้ใช้ AI เพื่อทำนายการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในต่างประเทศแล้ว 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและเอฟบีไอ กลับไม่ได้ใช้ข้อมูลดังกล่าว ในขณะที่พวกเขาเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุดสองแห่งที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการก่อการร้ายในประเทศ

โดยธรรมชาติ การสอดแนมทางการเมืองใดๆ ก็ตามที่รัฐบาลจับตามองจะทำให้เกิดข้อกังวลด้านจริยธรรม Jonathan Bellish ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการบริหารของกลุ่ม One Earth Future ซึ่งเป็นผู้นำคนเก่าของ CoupCast ได้กล่าวว่า เขากังวลว่าเครื่องมือประเภทนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อปราบปรามการประท้วงอย่างสันติ 

โจนาธาน พาวเวลล์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ทำงานในโครงการนี้ที่ UCF ในปัจจุบัน กล่าวว่าความเป็นไปได้ดังกล่าว “เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างแท้จริงและน่ากลัวอย่างมากหากประชาชนต้องการที่จะประท้วงอย่างสันติวิธีจริง ๆ ”

และแน่นอน มีข้อเท็จจริงที่ว่า พฤติกรรมของมนุษย์ในขณะนี้ ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างน่าเชื่อถือโดยคอมพิวเตอร์อีกต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการจลาจลเช่นการบุกโจมตีศาลากลางสหรัฐนั้นมักจะอยู่นอกขอบเขตของพฤติกรรมของชาวอเมริกันที่คาดเดาได้ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้ันมาก่อน

ในขณะที่การใช้แอปพลิเคชันสำหรับ AI เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีการพยายามทำรัฐประหารครั้งต่อไปที่ไหนและเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่มีอัตราความรุนแรงทางการเมืองสูงกว่าหรือในประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่า เช่น ในอเมริกาเหนือและยุโรป

ซึ่งน่าสนใจนะครับ ประเทศไทยเราก็เป็นหนึ่งในประเทศทีมีจำนวนครั้งในการรัฐประหารลำดับต้น ๆ และรูปแบบแพทเทิร์นที่นำไปสู่การรัฐประหาร ก็มีความน่าสนใจว่า AI จะสามารถเรียนรู้จากประวัติศาสตร์การเมืองของเราได้หรือไม่ หากสามารถทำนายได้จริง ๆ ก็ถือเป็นเรื่องน่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียวครับผม

References : https://www.washingtonpost.com/technology/2022/01/06/jan6-algorithms-prediction-violence
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2557

อดีตผู้บริหาร Google เตือนว่าตอนนี้นักวิจัยด้าน AI กำลัง “สร้างพระเจ้า”

อดีตผู้บริหารของ Googleได้ออกมาเตือนถึงสิ่งที่นักวิจัยกำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI และยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกว่ามันกำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อมนุษยชาติ

Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google หรือ Google X ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะไทม์

เขาเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ซึ่งเป็น AI ที่ทรงพลังและมีความรู้สึกที่เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์อย่าง Skynet จาก “The Terminator” เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราอาจพบว่าตัวเองกำลังจ้องมองวันโลกาวินาศที่เกิดจากเครื่องจักรที่เปรียบเหมือนพระเจ้า

Gawdat บอกกับ เดอะไทม์ ว่าเขาได้รับข้อมูลที่น่ากลัวในขณะที่ทำงานร่วมกับนักพัฒนา AI ที่ Google X ซึ่งสร้างอาวุธหุ่นยนต์ที่สามารถค้นหาและหยิบลูกบอลขนาดเล็กได้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง Gawdat กล่าวว่าแขนข้างหนึ่งของหุ่นยนต์คว้าลูกบอลและดูเหมือนจะยกมันขึ้นเพื่อแสดงให้นักวิจัยเห็น ด้วยท่าทางที่สำหรับเขาดูเหมือนว่ามันกำลังแสดงออกทางด้านอารมณ์ออกมา

Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับ AI (CR:CNBC)
Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับ AI (CR:CNBC)

Gawdat กล่าวว่า “ผมรู้สึกได้ว่านี่มันเป็นเรื่องน่ากลัวจริงๆ “มันทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว”

ภัยคุกคามที่แท้จริง

Elon Musk ได้เตือนโลกซ้ำ ๆเกี่ยวกับอันตรายของ AI สักวันหนึ่งที่เอาชนะมนุษยชาติ

Elon Musk ได้เตือนโลกมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของ AI (CR:Daily Express)
Elon Musk ได้เตือนโลกมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของ AI (CR:Daily Express)

ตัวอย่างเช่นอัลกอริธึมการจดจำใบหน้าและการรักษาแบบคาดการณ์ล่วงหน้าได้ก่อให้เกิดอันตรายอย่างแท้จริงในชุมชนที่ด้อยโอกาส อัลกอริธึมนับไม่ถ้วนยังคงเผยแพร่และประมวลการเหยียดเชื้อชาติในโลกออนไลน์

สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ผ่านการกำกับดูแลและระเบียบข้อบังคับ แต่ Gawdat คิดว่าการพัฒนา AI นั้นเป็นการสร้างพระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป็นที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2029 ซึ่งใกล้จะถึงแล้ว ความฉลาดของเครื่องจักรจะแยกส่วนออกจากงานเฉพาะ ถึงตอนนั้นจะมีเครื่องจักรที่ฉลาดกว่ามนุษย์ เครื่องจักรเหล่านี้จะไม่เพียงแต่ฉลาดขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะรู้มากขึ้น (เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมดได้)

พวกมันจะสื่อสารระหว่างกันได้ดีขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความรู้  เมื่อมนุษย์ประสบอุบัติเหตุในการขับรถ มนุษย์ก็จะเรียนรู้ แต่เมื่อรถยนต์ที่ขับด้วยตนเองผิดพลาด รถยนต์ที่ขับด้วยตนเองทุกคันจะเรียนรู้มันไปพร้อมกันได้ทันที

สติปัญญารูปแบบใหม่นี้สามารถมองปัญหาเร่งด่วนที่สุดบางอย่างด้วยมุมมองที่โลกสวยที่สุด ด้วยความรู้ที่ไร้ขอบเขตและความเฉลียวฉลาดที่เหนือชั้น เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่ชาญฉลาดที่มนุษย์เราอาจไม่เคยคิดมาก่อน

Supermachines เหล่านี้สามารถแก้ปัญหาร้ายแรงที่มนุษย์ไม่เคยแก้มันได้ทุกอย่าง เช่น สงคราม อาชญากรรมรุนแรง ความอดอยาก ความยากจน หรือการเป็นทาสในยุคปัจจุบัน

พวกมันสามารถกลายเป็นฮีโร่ของเราได้เช่นกัน แต่โปรดจำไว้ว่า AI ต่างจากมนุษย์ที่มีระบบค่านิยมและศีลธรรมที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะเผชิญกับความขัดแย้งกันที่มีความตึงเครียดมากมายขนาดไหนก็ตามที

แต่หาก AI ได้รับมอบหมายให้แก้ไขยาก ๆ เช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน วิธีแก้ปัญหาแรกที่น่าจะเกิดขึ้น ก็คือการจำกัดวิถีชีวิตที่สิ้นเปลืองของมนุษย์เรา หรือแม้แต่กำจัดมนุษยชาติไปโดยสิ้นเชิงเลยก็เป็นได้ 

ซึ่งท้ายที่สุดมนุษย์เราคือปัญหา ความโลภของเรา ความเห็นแก่ตัวและภาพลวงตาของการพลัดพรากจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ความรู้สึกว่าเราเหนือกว่าชีวิตรูปแบบอื่น

นั่นเป็นสาเหตุของปัญหาทุกประการที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เครื่องจักรจะมีสติปัญญาในการออกแบบโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาที่ร้ายแรงเหล่านี้ แต่พวกมันจะมีศีลธรรมพอที่จะรักษาชีวิตพวกเราไว้หรือไม่ เมื่อในตอนนั้นมนุษย์เราถูกมองว่าเป็นปัญหา มันก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้นั่นเองครับผม

References : https://www.thetimes.co.uk/article/can-this-man-save-the-world-from-artificial-intelligence-329dd6zvd
https://futurism.com/the-byte/google-exec-ai-god
https://wonderfulengineering.com/ai-researchers-are-creating-god-warns-former-google-exec/

Darkside of Instagram กับอิทธิพลที่มีผลต่อสภาพจิตใจอันบอบบางของกลุ่มวัยรุ่นทั่วโลก

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่กำลังสร้างปัญหาไปทั่วโลกเลยนะครับสำหรับ Instagram แม้มันจะดูเป็นสังคมในอุดมคติ ที่ทุกต่างมาโชว์สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้ง ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต การท่องเที่ยว การแต่งตัว หรือ การอวดเรือนร่างต่าง ๆ นา ๆ

แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า แม้กระทั่งเจ้าของแพล็ตฟอร์มอย่าง Facebook เองนั้นก็รู้ดีว่า แพล็ตฟอร์ม Instagram ของพวกเขาอันตรายแค่ไหน โดยเฉพาะกับหมู่วัยรุ่น ที่ตอนนี้มันกำลังสร้างปัญหาต่อสภาพจิตใจของวัยรุ่นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ

จากการศึกษาของ Wall Street Journal ที่ได้เข้ามาทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา Instagram มีผลกระทบต่อเหล่าวัยรุ่นหรือฐานผู้ใช้งานอายุน้อย ๆ อย่างไรบ้าง

ซึ่งผลออกมาเรียกได้ว่าน่าตกใจมาก ๆ มีรายงานเกี่ยวกับความคิดการฆ่าตัวตายถึง 13% ของผู้ใช้งานชาวอังกฤษ และ 6% ของผู้ใช้ชาวอเมริกันก็ประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกัน

“32% ของเด็กสาววัยรุ่นกล่าวว่า พวกเขารู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างการของพวกเขา Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง”

มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า 14% ของเด็กชายในสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวว่า Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น

ตามรายงานของ Wall Street Journal นั้น ผู้บริหารระดับสูงของ Facebook ได้ทบทวนงานวิจัยดังกล่าวที่เกิดขึ้นแล้ว มีการอ้างถึงการนำเสนอต่อ Mark Zuckerberg ซีอีโอของบริษัทเมื่อปีที่แล้ว

Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)
Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)

แต่อย่างไรก็ตาม Facebook ได้รายงานว่า ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ได้ง่ายนัก โดยมีรายงานว่า Facebook กำลังสร้าง Instagram เวอร์ชั่นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี

แต่ก็ต้องบอกว่า เหล่าฐานผู้ใช้รุ่นเยาว์ ไปจนถึงวัยรุ่นเหล่านี้ มันคือกุญแจความสำเร็จที่สำคัญของ Instagram ที่ Facebook ค่อนข้างหวงแหนมาก ๆ

หากมีแพล็ตฟอร์มใด ที่คิดจะมาแย่งฐานนี้ของ Facebook เราจะเห็นได้ว่า Facebook พร้อมลุยแบบเต็มที่เพื่อที่จะกำจัดหรือควบรวมบริษัทเลยทีเดียว อย่าง case ของ SnapChat ที่เคยพุ่งแรงขึ้นมา Facebook ก็ทำทุกวิถีทางทั้ง copy ฟีเจอร์ หรือ พยายามเจรจาขอซื้อ จนสุดท้าย SnapChat ก็ผ่อนแรงลงไป

ตอนนี้ น่าจะมี App เดียวที่กลายเป็นหนามยอกอกของ Facebook นั่นก็คือ TikTok ที่กำลังมาแย่งฐานผู้ใช้งานกลุ่มนี้ที่เปรียบเสมือนไข่ในหินของ Facebook ซึ่งจะเห็นได้ว่าตอนนี้ Facebook เองก็ทุ่มเท ทุกสรรพกำลังเพื่อต่อสู้ ตัวอย่างเช่นการเพิ่ม Reels เข้ามา Instagram นั่นเอง

Karina Newton หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Instagram ได้กล่าวถึงรายงานดังกล่าวว่า บริษัทกำลังค้นคว้าวิธีที่จะดึงผู้ใช้ออกจากการหมกมุ่นอยู่กับโพสต์ Instagram บางประเภท

Lori Trahan หนึ่งในสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงข้อกังวลด้านสุขภาพจิตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย และเรียกร้องให้ Facebook ละทิ้งแผนการสร้าง Instagram สำหรับเด็ก และมุ่งโฟกัสไปที่การปกป้องผู้ใช้งานที่อายุน้อยแทน

“เอกสารภายในของ Facebook แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของบริษัทในการปกป้องเด็กบน Instagram โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง มันเป็นการละเลยโดยสิ้นเชิง และมันก็เกิดขึ้นหลายปีแล้ว” Trahan กล่าว

Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)
Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)

ไม่ตั้งใจแก้หรือไม่รู้จะแก้ยังไง

ต้องบอกว่า ในยุคปัจจุบันนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เรากระทำบนโลกออนไลน์ ล้วนถูกจับจ้อง ถูกตามรอย ถูกประเมิน ทุก ๆ การกระทำที่เราได้ทำไป ล้วนถูกจับตาดูด้วยความระมัดระวัง และบันทึกไว้

ไม่ว่าจะเป็นภาพใดบ้าง ที่เราหยุดมอง และมองมันนานแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รู้ถึงขนาดที่ว่า ตอนไหนที่ใครกำลังเหงา

พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าตอนไหนที่ใครซึมเศร้า เป็นคนชอบเก็บตัว หรือ เข้าสังคม มีอาการทางประสาทชนิดใด ซึ่งพวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับเรามากยิ่งกว่า ที่ใครจะเคยคาดคิดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

และที่สำคัญข้อมูลเหล่านี้นั้น ได้ถูกนำไปวิเคราะห์อยู่แทบจะตลอดเวลา โดยจะถูกนำป้อนเข้าสู่ระบบ ซึ่งแทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอยู่เลยด้วยซ้ำ

ซึ่งพลังของเทคโนโลยี AI Machine Learning ที่อยู่เบื้องหลังระบบเหล่านี้ ทำให้มันคาดการณ์ได้แม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเราจะทำอะไร และ เราเป็นใคร

พวกเขาได้สร้างโมเดล ที่คาดเดาการกระทำของเรา ตัวอย่างเช่น เรามักจะเห็นว่า ระบบเหล่านี้สามารถที่จะทำนายได้ว่า วีดีโอแบบไหนที่จะทำให้เราต้องดูต่อไป และถูกผูกติดกับแพล็ตฟอร์มของพวกเขาไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเรื่องของอารมณ์ ที่ระบบพวกนี้สามารถทำนายได้ว่า อารมณ์แบบไหนที่สามารถกระตุ้นเราได้

พวกเขามีทีมวิศวกรยอดอัจฉริยะ ที่มีหน้าที่ในการ Hack จิตวิทยาของมนุษย์ โดยใช้วิธีการที่จะเจาะลึกลงไปในก้านสมองของเรา และทำการปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างในตัวเราจากข้างใน

และสุดท้ายก็สามารถป้อนคำสั่งเราได้ ในระดับที่ลึกลงไป โดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ และนั่นคือการที่พวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของจิตใจมนุษย์นั่นเอง

แต่ที่น่าสนใจคือ สำหรับวัยเด็กหรือกลุ่มวัยรุ่นนั้น การกระทำเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ ดึงความสนใจของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ

Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)
Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)

แม้ว่าโลกเราผ่านการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน สื่อต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ การเข้ามาถึงของอินเทอร์เน็ต รวมถึงโลกของ Social Media

ซึ่งก็มักจะมีคำพูดว่า มนุษย์เราจะสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับมันได้ในท้ายที่สุด และจะเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด เหมือนที่เราได้เคยเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับสิ่งอื่นๆ ที่เคยผ่านมาในแต่ละยุคสมัย

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เครือข่าย Social Media ยักษ์ใหญ่ในตอนนี้ แทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอีกต่อไป เพราะมันได้ปล่อยให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี AI ที่มีความซับซ้อนสูงที่ขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งผมก็เคยเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไปในหลายโพสต์ แม้กระทั่งผู้นำด้านการพัฒนา AI ของ Facebook เอง ก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันอย่างไร

เพราะมีน้อยคนนัก แม้กระทั่งวิศวกรระดับอัจฉริยะของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เองก็ตามที่จะเข้าใจได้ว่า คอมพิวเตอร์ หรือ AI เหล่านี้มันกำลังจะทำอะไรอยู่ ซึ่งเทคโนโลยีด้าน AI เหล่านี้ มีความคิดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีมนุษย์เป็นผู้เขียน Code ให้กับมันก็ตามที

ดังนั้นมันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในโลกที่ มนุษย์เราเองนั้น ไม่สามารถที่จะไปควบคุมระบบเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นฝ่าย AI ต่างหากที่ควบคุมข้อมูลของพวกเราอยู่นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2021/09/14/facebook-documents-show-how-toxic-instagram-is-for-teens-wsj.html
https://orge.medium.com/instagram-beware-of-the-toxic-culture-behind-it-7ecff96108b4
https://about.instagram.com/blog/announcements/using-research-to-improve-your-experience
https://www.wsj.com/articles/facebook-knows-instagram-is-toxic-for-teen-girls-company-documents-show-11631620739
The Social Dilemma (Netflix)