Michael Pillsbury ผู้เชี่ยวชาญจีนระดับแนวหน้าคนหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดเผยกลยุทธ์ที่ซ่อนเร้นซึ่งกระตุ้นการเติบโตของประเทศจีน และกลวิธีที่ชาวอเมริกันถูกล่อลวงให้ช่วยจีนแซงหน้าในฐานะมหาอำนาจชั้นนำของโลก
ยังคงจำกันได้ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเหมือนว่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย ต่างมุ่งหน้าพาตัวเองเข้าสู่โลกของ Metaverse กันเป็นทิวแถว หลังจากที่ Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ที่ประกาศรีแบรนด์บริษัทใหม่เป็น Meta
เป็นบทความที่น่าสนใจจาก The Wall Street Journal สื่อยักษ์ใหญ่ที่ได้รายงานว่า ทั้ง Disney และ Microsoft สองบริษัทชื่อดังได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อยุติการดำเนินงาน metaverse โดย Disney โละทิ้งแผนกที่เกี่ยวข้องกับ metaverse ทั้งหมดและ Microsoft ปิดหน่วยธุรกิจด้าน VR ที่พวกเขาได้ซื้อกิจการมาในปี 2017
“บริษัทและธุรกิจจำนวนมากเข้าใจดีว่าพวกเขาจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานหรือค่าใช้จ่ายโดยรวม ซึ่งหมวดหมู่ประเภทนี้ (metaverse) ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างง่ายที่จะโละทิ้ง” Scott Kessler นักวิเคราะห์ภาคเทคโนโลยีของบริษัทวิจัย Third Bridge Group กล่าว
“สิ่งที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง AI ดูเหมือนจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในขณะนี้” แต่เมื่อพูดถึง metaverse “มันแทบไร้ประโยชน์” Kessler กล่าวเสริม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง AI ดูเหมือนจะเป็นเทคโนโลยีของจริงในยุคนี้ ในขณะที่ metaverse ดูเหมือนสิ่งเพ้อฝันเสียมากกว่า
แน่นอนว่า Meta ได้ลงทุนใน Metaverse มากกว่าใคร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าอุตสาหกรรมนี้จะก้าวต่อไปในทิศทางใด แต่การเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้รวดเร็วมากขนาดนั้น
สำหรับ Microsoft ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่เคยพลาดในการแข่งขันในทุก ๆ พรมแดนของโลกเทคโนโลยี ซึ่งเราคงไม่แปลกใจที่จะได้เห็น Microsoft ออกมาลุยกับ AI แบบเต็มที่เพื่อสร้างพรมแดนใหม่ทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมนั่นเองครับผม
มันต่างกันมากนะครับ Microsoft สู้ในทุกศึก ไล่ตั้งแต่ ระบบปฏิบัติการ , Search Engine , Social Media , Smartphone เรียกได้ว่า Microsoft นั้นเจนจันในสนามรบเป็นอย่างมาก แม้จะเสียเลือดไปมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาก็สู้ในทุกศึก ที่ต่างจาก Google แทบไม่มีศึกไหนที่พวกเขาชนะได้เลยยกเว้น Search Engine หัวใจหลักของพวกเขา
Google ซื้อ Motorola มาทิ้ง เก็บไว้แค่เฉพาะสิทธิบัตร ไม่คิดลุยจริงจังกับ smartphone หรือ Google Plus ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าที่จะต่อกรกับ Facebook หรือ Nest ที่ได้ไปซื้อจาก Tony Fadell สุดท้ายตัว Fadell เองก็ออกมาแฉในหนังสือถึงนวัตกรรมแบบลูกคนรวยของ Google ที่ไม่เคยเหนื่อยยากลำบากเพราะหาเงินมาได้ง่ายจนเกินไป
Tony Fadell ได้ออกมาแฉในหนังสือ Build ของเขาถึงนวัตกรรมแบบลูกคนรวยของ Google (CR:RNZ)
ไม่ใช่เพียงแค่ Microsoft และ Google เท่านั้น เพราะตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นคล้าย ๆ กันในบริษัท Big Tech อื่น ๆ ไล่ตั้งแต่ Amazon ยักษ์ใหญ่ด้าน ecommerce และ cloud computing ที่ได้มีการร่วมมือกับ Hugging Face ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI อีกราย ส่วน Apple ก็กำลังทดสอบการใช้ AI ใหม่ในโมเดลต่าง ๆ ของธุรกิจ รวมถึงใน Siri
ที่น่าสนใจคือ Meta ที่พลิกตัว 360 องศาจากความเพ้อฝันในโลก Metaverse ของ Mark Zuckerberg ตอนนี้ เหมือนจะตื่นจากความจริงว่าเทคโนโลยีแห่งอนาคตคืออะไรกันแน่ เมื่อ Mark สั่งลุยเต็มที่กับ AI เพื่อไม่ให้ตกขบวน
เพื่อการเติบโตในยุค AI โดยไม่ตกขบวน และต้องมีอำนาจเหนือเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ไว้ แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่อยากประสบชะตากรรมเดียวกับ Kodak หรือ Blackberry , Nokia ที่พลาดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีใหม่ และสุดท้ายก็ไปไม่รอดแม้จะเป็นผู้นำมาก่อนก็ตามที
ไม่มีใครอยากเป็น Blackberry , Nokia ที่พลาดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีใหม่ (CR:Business 2 community)
ความคลั่งไคล้ของ AI จึงเต็มไปด้วยบริษัทที่ทรงพลังที่สุดของวงการเทคโนโลยี บางรายก็เริ่มเห็นผลแล้วทำให้ธุรกิจของพวกเขามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น Microsoft ซึ่งใช้ AI เพื่อทำให้ 70-80% ของการอนุมัติใบแจ้งหนี้กว่า 90 ล้านฉบับเป็นไปโดยอัตโนมัติ
เกือบสี่เดือนหลังจากที่ ChatGPT ปรากฎโฉมขึ้นบนโลก Microsoft และ Google ได้เปิดตัว Bing , Bard โฉมใหม่ Meta ได้เสนอเครื่องมือที่สร้างแคมเปญโฆษณาโดยอัตโนมัติตามวัตถุประสงค์ของผู้ลงโฆษณา
แน่นอนว่ายักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีคงไม่พอใจแน่หากมีสตาร์ทอัพหน้าใหม่มาช่วงชิงตลาดนี้ของพวกเขาไป พวกเขาได้เปรียบด้วยทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่พวกเขาเตรียมทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดเดิมพันกับเทคโนโลยี AI ใหม่นี้
พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการมีส่วนร่วม และไม่ตกขบวนรถนี้เท่านั้น แต่ต้องการที่จะมีอำนาจเหนือมัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ AI มันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนั่นเองครับผม