ภายในปี 2015 อุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตของจีนทั้งหมดทราบดีว่าการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานกำลังมุ่งสู่รูปแบบวีดีโอ ปัญหาคือผู้ผลิตวีดีโอขนาดสั้นยังหารูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนไม่ได้ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูดผู้ผลิตเนื้อหาในทันทีคือการจ่ายเงินให้กับพวกเขา
กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ได้กลายเป็นสงครามแดงเดือด เงินหลายพันล้านหยวนถูกทุ่มไปเพื่อดึงดูดสตูดิโอโปรดักชั่นและ creator ที่มีความสามารถให้มาอยู่ในแพลตฟอร์มของตนเอง
ByteDance เข้าสู่ตลาดนี้ค่อนข้างช้า มีแอปจีนหลายสิบแอปที่ได้เข้าสู่ตลาดไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงการดัดแปลงแอปอย่าง Vine และ Dubsmash เพื่อมาตอบโจทย์ตลาดในท้องถิ่น
Meipai แอปวีดีโอสั้นที่อยู่ภายใต้แอปแต่งภาพที่ใหญ่ที่สุดของจีน Meitu เป็นที่ชื่นชอบของคนหนุ่มสาวในเมือง ส่วนผู้นำตลาดอย่าง Kauishou ได้ยึดเอาผู้ใช้หลายสิบล้านคนในเมืองเล็ก ๆ ของจีน เรียกได้ว่าตลาดได้ครอบคลุมไปทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่โปรดักชั่นมืออาชีพไปจนถึงเกษตรกรในชนบทที่มีการบันทึกวีดีโอในทุ่งนา
แอปเรือธงของ ByteDance อย่าง Toutiao ที่มีส่วนของการนำเสนอวีดีโอสั้นกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2016 เวลาเฉลี่ยของผู้ใช้งานต่อวันคือ 53 นาที และเติบโตขึ้นเป็น 76 นาทีต่อวันภายในไตรมาสที่สามของปีเดียวกัน
ปริมาณการเสพวีดีโอสั้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2016 เพิ่มขึ้นในอัตรา 35% ต่อเดือน ไม่มีทางที่ทีมของ Yiming จะอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป พวกเขาต้องเริ่มจริงจังกับการสร้างแพลตฟอร์มวีดีโอสั้นโดยเฉพาะ
หลังจากที่มุ่งมั่นที่จะลุยในสงครามวีดีโอสั้น คำถามต่อไปก็คือ ByteDance จะทำอย่างไรกับสงครามในมหาสมุทรสีเลือดเช่นนี้
คำตอนนั้นง่ายมาก “คัดลอกสิ่งที่ดีที่สุด” และเป้าหมายของพวกเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนั่นก็คือ Musical.ly
ความรับผิดชอบในการโคลนนิ่ง Musical.ly เป็นของ Kelly Zhang ผู้ดูแลแพลตฟอร์มเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC)
Kelly Zhang ผู้ดูแลแพลตฟอร์มเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC) ของ ByteDance (CR:KrASIA)
Kelly มีชื่อเสียงในด้านความเข้าใจวิธีการปลูกฝังชุมชน ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญของแพลตฟอร์ม UGC โดย Kelly เองมีประสบการณ์ในการดูแลแพลตฟอร์มของ ByteDance หลายแพลตฟอร์ม และโครงการโคลนนิ่ง Musical.ly ก็เป็นเพียงโครงการหนึ่งในหลาย ๆ โครงการที่ ByteDance ทำ
และภายในสิ้นเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น ทีมก็พร้อมสำหรับการเปิดตัวแพลตฟอร์มสั้นใหม่ ที่ถูกเรียกว่า A.me ซึ่งแอปเข้าสู่ตลาดภายใต้สโลแกน “A.me – Music Short Videos”
แทนที่จะรวบรวมเอาเหล่า influencers ชื่อดังในวงการ ทีมงานได้สร้างทีม creator หน้าใหม่ราว ๆ 20 คน ซึ่งได้เกณฑ์มาจากแพลตฟอร์มอื่น รวมถึง Musical.ly เพื่อสร้างวีดีโอ เป้าหมายคือ การให้เนื้อหาเป็นแรงบันดาลใจและให้ความรู้แก่ผู้ใช้รายแรก ๆ ในการสร้างวีดีโอ
สิ่งแรกที่ทีมงานของ Kelly ทำก็คือการปฏิบัติต่อกลุ่ม creator ยอดนิยมกลุ่มเล็ก ๆ เยี่ยงราชา โดยจะมีการสนทนากับพวกเขาทีละคนทุกวัน ตั้งใจฟังความคิดของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังมีส่วนร่วมในการเติบโตของแพลตฟอร์ม หากประสบปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขทางออนไลน์ได้ พวกเขาจะได้รับเชิญให้ไปพูดคุยระหว่างมื้ออาหารฟรีที่บริษัท ByteDance
กลยุทธ์ของ A.me นั้นเป็นหนึ่งในรูปแบบการสร้างแพลตฟอร์มในจีนอยู่แล้ว มันไม่เหมือนในโลกตะวันตกที่บทบาทในการหาผู้ใช้ใหม่เป็นหน้าที่ของทีมการตลาด การขาย ซึ่งมักจะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเป็นหลัก
บริษัทจีนชอบที่จะใช้แรงงานมนุษย์ ในการส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มของตน ใช้เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีหรือ AI มากจนเกินไป
A.me ทุ่มเทกับเหล่า creator ยอดนิยมช่วงแรก ๆ อย่างหนัก ทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาพอใจ แม้กระทั่งซื้ออาหารเย็นและช่วยทำการบ้านให้เสียด้วยซ้ำในบางครั้ง
แต่ด้วยปัญหามากมายที่ย่ำแย่ในช่วงแรก ๆ ของ A.me ตัวแอปเองนั้นถูกสร้างมาได้ค่อนข้างแย่โดยมี bug มากมาย และมีแค่ฟีเจอร์พื้นฐานเพียงเท่านั้น และกลุ่มเป้าหมายของแพลตฟอร์มนั้นค่อนข้างสับสบ โดยต้องการดึงเด็กก่อนวัยรุ่น และผู้ที่มีอายุยี่สิบต้น ๆ เป็นลำดับแรก
และที่สำคัญ ชื่อ A.me นั้นไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายเพียงพอสำหรับชาวจีน และจำเป็นต้องมีการรีแบรนด์ ดนตรีเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในประสบการณ์ของแอป ความคิดที่ว่าทั้ง creator และผู้ชมจะขยับร่างกายของพวกเขาไปกับเสียงเพลงโดยไม่รู้ตัว เป็นแรงบันดาลใจให้สมาชิกในทีมคนหนึ่งตั้งชื่อว่า Douyin
抖音 dǒu yīn
抖 dǒu : แปลได้ว่า “สั่น” “ตัวสั่น” หรือ “สั่น”
音 yīn: สามารถเข้าใจได้ว่า “เสียง” “ดนตรี” หรือ “โน้ตเพลง”
“Douyin” ได้รับการโหวตให้เป็นที่ชื่นชอบจากหลายร้อยชื่อที่นำมาพิจารณา
ดีไซเนอร์รุ่นเยาว์ได้รับมอบหมายให้ออกแบบโลโก้รูปแบบใหม่ เขาเริ่มสร้างภาพที่จะจับความรู้สึกร่าเริง และตัดสินใจที่จะเล่นกับโน้ตดนตรี เขาได้สร้างไอคอนผ่านตัวกรองต่าง ๆ และใช้เอฟเฟกต์ “glitch” ที่ชวนให้นึกถึงสัญญาณที่บิดเบือนของโทรทัศน์เครื่องเก่าจากการที่มีสัญญาณอ่อน
ตัวโน้ตดนตรีได้ถูกแปลงให้มีรูปร่างตัวอักษร “d” ซึ่งหมายถึงตัวอักษรแรกของแอป Douyin มันเป็นโลโก้ที่สมบูรณ์แบบ แตกต่าง มีความสร้างสรรค์ แและจดจำได้แทบจะในทันที
ด้วยการรีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับงบประมาณที่มากขึ้น ทำให้ Douyinn ถูกปรับให้เป็นแอปที่มีความทันสมัยสำหรับชนชั้นสูงอายุน้อยในเมืองที่ทันสมัย แต่ทีมงานจำเป็นต้องแก้ปัญหาที่สำคัญของพวกเขา นั่นคือการขาด creator รุ่นเยาว์ที่มีคุณภาพ
ทางออกคือนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะ The Douy ทีมงานได้พุ่งเป้าไปที่โรงเรียนด้านศิลปะทั่วประเทศเพื่อค้นหานักเรียนที่หน้าตาดีมาเป็นผู้ใช้ ทีมงานโน้มน้าวใจพวกเขาให้เข้าร่วมกับ Douyin ทั้งหมดหลายร้อยคน โดยสัญญาว่าจะทำให้พวกเขาโด่งดังในโลกออนไลน์
จากนั้นทีมงานก็เริ่มปรับเปลี่ยนการมองเห็นวีดีโอเพื่อส่งเสริมประเภทของเนื้อหายอดนิยมที่พวกเขาต้องการโปรโมต
Douyin ได้ระดมพนังานทั้งหมดเพื่อดึงดูด creator จากคู่แข่ง พวกเขาค้นหาเหล่า creator พรสวรรค์สูงที่มีความเหมาะสมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมดของจีน แม้แต่แพลตฟอร์มที่ดังในต่างประเทศอย่าง Musical.ly โดยส่งข้อความหาพวกเขาทีละคน
ในขณะเดียวกัน ก็ได้ทำการคัดลอกวิธีการของ Musical.ly นั่นก็คือการสร้างลายน้ำไว้บนพื้นหลังวีดีโอ ซึ่งลายน้ำเป็นกุญแจสำคัญมาก ๆ มันเหมือนกับช่องทางการโฆษณาขนาดเล็ก สำหรับคนที่สนใจในวีดีโอจะเห็นลายน้ำและค้นหาชื่อใน App Store
โดย ID ผู้ใช้เฉพาะของผู้สร้างวีดีโอจะถูกเพิ่มลงในลายน้ำถัดจากโลโก้ของ Douyin ที่มีการกระพริบ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ กระตุ้นให้ผู้คนแชร์วีดีโอของตนบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ และสามารถนำผู้คนกลับมาที่บัญชีของตนและขยายฐานแฟน ๆ ได้
Douyin ยังคงโหมประโคมกระแสอย่างต่อเนื่องด้วยการเริ่มแคมเปญโฆษณาในโรงภาพยนตร์ ในช่วงฤดูร้อนปี 2017 ซึ่งใช้ไอเดียสุดเจ๋งที่มีลักษณะขี้เล่น และโต้ตอบกับบุคคลที่มีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ เช่น Mona Lisa และ Abraham Lincoln และมันได้แพร่กระจายไปทั่วสื่อสังคมออนไลน์ของจีน ซึ่งรวบรวมความอยากรู้และสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์
Lip Sync Battle เป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับ Musical.ly ในตลาดสหรัฐฯ Douyin ก็ใช้วิธีการรูปแบบเดียวกันในรายการ “Hip Hop in China” และรายการคู่แข่ง “This! Is Street Dance” ผลักดันให้ Douyin ให้อยู่ในระดับแนวหน้าของวัฒนธรรมเยาวชนจีน
ในเดือนตุลาคม ผู้ใช้รายวันของ Douyin เพิ่มขึ้นสองเท่าจาก 7 เป็น 14 ล้าน สองเดือนต่อมาได้พุ่งเป็น 30 ล้านราย อัตราการรักษาผู้ใช้ 30 วันเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 20% เวลาเฉลี่ยที่ใช้ในแอปเพิ่มขึ้นจาก 20 เป็น 40 นาที ไม่มีอะไรฉุดความร้อนแรงของ Douyin ได้อีกต่อไป
Yiming ได้มีคำบัญชาการให้ทุกคนในทีมบริหารต้องทำวีดีโอ Douyin ของตัวเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้ยอดการมีส่วนร่วม ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องเข้าใจวีดีโอสั้น ๆ จากมุมมองของ creator ด้วย Yiming เป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างวีดีโอใน Douyin เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้บริหารคนอื่น ๆ
Yiming เป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างวีดีโอใน Douyin เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้บริหารคนอื่น ๆ (CR: หนังสือ Attention Factory)
สัปดาห์วันหยุดตรุษจีนเป็นโอกาสพิเศษอีกอย่างหนึ่งสำหรับการโปรโมทแอป ผู้คนหลายร้อยล้านคนเดินทางกลับบ้านเพื่อกลับไปหาครอบครัวและพบว่าตัวเองมีเวลาว่างเพื่อพักผ่อน แอปความบันเทิงอย่าง Douyin เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบในการฆ่าเวลา และจะมีการกระจายแบบปากต่อปากระหว่างสมาชิกในครอบครัว
Douyin ได้มอบเงินให้กับผู้ใช้โดยตรง มีการแจกซองอั่งเปาตรุษจีนผ่านแอป และใช้เงินอย่างมหาศาล ซื้อโฆษณาและโปรโมชั่นผ่านช่องทางออนไลน์หลัก ๆ เพื่อดึงดูดผู้ใช้ ซึ่งได้ใช้เงินประมาณ 4 ล้านหยวนต่อวัน (มากกว่าครึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ผลักดันให้ Douyin ขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของ App Store ในประเทศจีน
ผู้ใช้รายวันของ Douyin เพิ่มขึ้นจาก 40 เป็น 70 ล้านคนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมครอบคลุมช่วงตรุษจีน โดยบัญชียอดนิยมบางบัญชีมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่า
ความสำเร็จทำให้ ByteDance กล้าเพิ่มงบประมาณให้กับ Douyin เป็นสองเท่า โดยเพิ่มงบประมาณการโปรโมตรายวันเป็น 20 ล้านหยวน (2.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เพื่อซื้อ traffic ทุกช่องทาง ภายในเดือนเมษายน มีผู้ใช้รายวันเกิน 100 ล้านคน
ฟากฝั่งคู่แข่งอย่าง Tencent เจ้าของ Wechat ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม super app ที่ถือครองส่วนแบ่งกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาที่คนจีนใช้บนสมาร์ทโฟน ซึ่งนักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ว่ายังไง Tencent ก็น่าจะยึดครองตลาดวีดีโอสั้นได้แบบง่ายดาย
Tencent นั้นเข้าสู่ตลาดวีดีโอสั้นในช่วงต้นด้วยร่างโคลนของ Vine ชื่อ Seishi ในเดือนกันยายนปี 2013
แอปได้รับความสนใจจากสื่อในช่วงต้น หลังจากการโปรโมทอย่างหนักช่วงตรุษจีน มีผู้ใช้งาน 45 ล้านคนต่อวัน แต่ด้วยการที่มีคุณสมบัติเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และขาดการสนับสนุนจากบริษัทภายใน ไม่นานกระแสมันก็ตกลง และหายไปจากตลาด คล้าย ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Vine
หลังจากการก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของ Douyin ทาง Tencent แก้เกมด้วยการลงทุนใน Kuaishou ซึ่งเป็นแอปวีดีโอสั้นชั้นนำของตลาดในขณะนั้น ผลักดันการประเมินมูลค่าบริษัทเป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์
มันเป็นกลยุทธ์ที่คุ้นเคยที่ Tencent ใช้กับทั้งธุรกิจ ecommerce , search engine , การจัดส่งอาหาร และการเรียกรถ หนึ่งเดือนหลังจากการลงทุนใน Kuaishou ทำให้ Weishi ประกาศว่าจะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ
แต่ความเร็วดั่งจรวดในการเติบโตของ Douyin ทำให้ทั้งอุตสาหกรรมประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อถึงวันตรุษจีนปี 2018 Douyin ก็ยึดครองตลาดแทบจะเบ็ดเสร็จ Tencent พยายามที่จะตอบโต้ แต่ฐานผู้ใช้หลักของ Kuaishou ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบทของประเทศจีน ซึ่งห่างไกลจากฐานที่มั่นของ Douyin ที่ล้วนแล้วแต่เป็นประชากรวัยหนุ่มสาวซึ่งมีกำลังซื้อมากกว่า
Tencent รู้สึกถึงภัยคุกคามอย่างหนัก และ Kuaishou คงไม่สามารถต้านทาง Douyin ได้อย่างแน่นอน จึงคิดแผนใหม่ นั่นก็คือการฟื้นคืนชีพ Weishi อีกครั้ง
ในช่วงต้นปี 2018 Tencent ได้สร้างทีมงานหัวกะทิชุดใหม่เพื่อฟื้นฟู Weishi ทำการรีแบรนด์ และปรับปรุงแพลตฟอร์มทั้งหมดให้เป็นโครงสร้างแบบเดียวกับ Douyin ทีมงานของ Weishi นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีขนาดถึง 400 คน
แนวทางของ Tencent ในการกำจัดคู่แข่งนั้น มักได้ผลมาโดยตลอด ด้วยอำนาจและเงินตราที่เหนือกว่า การโคลนผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาผ่าน Wechat สามารถกระตุ้นการดาวน์โหลดได้อย่างมาก
Tencent ได้บล็อก ByteDance ไม่ให้ซื้อโฆษณาออนไลน์ทุกรูปแบบในแพลตฟอร์มของตน นอกจากนี้ยังทุ่มเงินดึงตัว creator มาจาก Douyin และได้ประกาศเงินช่วยเหลือ 3 พันล้านหยวนสำหรับเหล่า creator ที่เข้าร่วมแพลตฟอร์ม Weishi version 2.0
หลังจากผ่านไปครึ่งปี Weishi มีผู้ใช้ถึงสี่ล้านคนต่อวัน ด้วยการทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดเพื่อกำจัด Douyin แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะสุดท้ายเวลาของผู้ใช้งานใน Weishi นั้นก็ยังน้อยกว่า Douyin ถึง 4 เท่า
มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่ Tencent บริษัทยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมจีนที่มีเงินทุนมากมายมหาศาลจะเดินเกมพลาดในศึกวีดีโอสั้น
Weishi 1.0 นั้นเข้าสู่ตลาดเร็วเกินไป ส่วน Weishi 2.0 ก็เข้าสู่ตลาดช้าเกินไปเสียแล้ว มันไม่สามารถสร้างโมเมนตัมกลับมาได้อีกแล้ว เพราะ Douyin ได้ครองส่วนแบ่งไปแทบจะหมดแล้ว เพราะในที่สุดเมื่อผู้คนดาวน์โหลด Weishi มา พวกเขาก็รู้ว่าเป็นเพียงแค่แอปโคลนนิ่ง พวกเขาจึงย้ายกลับไปที่ Douyin
ความสำเร็จของ Douyin นั้นมาจากปัจจัยสำคัญที่สุดที่พวกเขาสะสมองค์ความรู้มานานนั่นก็คือ Recommendation Engine ที่พวกเขามีเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน
การสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลรูปแบบใหม่นี้ ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางสังคม แม้ว่า social graph จะมีศักยภาพในการปรับปรุงคำแนะนำก็ตาม แต่มันก็นำมาซึ่งแง่ลบ เช่น การเพิ่มครอบครัว คนรู้จัก หรือเพื่อนร่วมงานเข้ามา ทำให้ความรู้สึกอิสระของเหล่า creator ขาดหายไป
ภายในปี 2018 มันชัดเจนแล้วว่า ByteDance ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อ Tencent แบบเต็มตัว เพราะ Wechat ทำได้เพียงตอบสนองความต้องการด้านการสื่อสาร ในขณะที่ Douyin กำลังเข้ามาตอบสนองความต้องการด้านความบันเทิงซึ่งจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ๆ
Wechat ทำได้เพียงตอบสนองความต้องการด้านการสื่อสาร ในขณะที่ Douyin กำลังเข้ามาตอบสนองความต้องการด้านความบันเทิง (CR:Tech in Asia)
แม้ ByteDance จะไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่เป็นเครื่องจักรทำเงินอย่าง ตลาดเกมมือถือ แต่มันก็จินตนาการได้ว่าในอนาคตมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
Tencent จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปในอดีตของตนเอง ในยุคพีซี บริษัทค่อย ๆ เคลื่อนตัวจากโซเชียลมีเดียมาเป็นเกมทีละขั้น และก้าวแซงหน้าผู้นำตลาดคนอื่น ๆ ที่มาก่อนพวกเขาได้สำเร็จ
หาก Tencent ถูกโจมตีที่หัวใจหลักของธุรกิจนั่นก็คือเครือข่ายทางสังคม ทำให้บริษัทคู่แข่งจะมีความได้เปรียบอย่างมาก ซึ่งเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายสิ่งต่างๆ มากมายอย่างที่ Tencent ทำผ่าน Wechat ในทุกวันนี้ในราคาต้นทุนที่ถูกแสนถูก
ตอนนี้ ByteDance เริ่มมีความได้เปรียบในการกระจายต้นทุนที่ต่ำได้เช่นเดียวกันผ่าน Douyin และเนื่องจากเกมเป็นหนึ่งในบริการออนไลน์ที่ทำกำไรมากที่สุดของจีน ซึ่งมันคงใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่ ByteDance จะเริ่มดำเนินการธุรกิจเกมของตนเอง และจะเริ่มเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อธุรกิจหลักของ Tencent
Tencnet ได้เผาผลาญเงินสดไปจำนวนมหาศาลกับศึกวีดีโอสั้นครั้งนี้ และทุ่มเทเวลาและความพยายามอย่างมากในการสร้าง Weishi แม้จะชัดเจนว่ามีโอกาสน้อยที่จะเป็นคู่แข่งกับ Douyin ได้แต่ Tencent ยังคงต้องอดทนทำมันต่อไป เพราะเหตุผลเดียวทีว่า
“ถ้าคุณไม่กระโจนเข้ามาแข่งขัน คุณอาจจะสูญเสียทุกอย่างที่คุณสร้างมา”
–> อ่านตอนที่ 7 : The Art of War