Smartphone War ตอนที่ 7 : The Fall of Mafia Empire

ถามว่าก่อนยุค iPhone นั้นสิ่งใดเป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนานวัตกรรมใหม่ให้กับวงการมือถือมากที่สุดของจะหนีไม่พ้น เหล่า มาเฟีย แห่งเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั้งหลายทั่วโลก ที่เป็นตัวคั่นกลางระหว่างเหล่าผู้ผลิตบริษัทมือถือกับผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าโดยตรงนั่นเอง

ซึ่งแน่นอนว่า ก่อนปี 2007 เทคโนโลยีต่าง ๆ มันได้พัฒนาไปไกลมากแล้ว แต่เราจะเห็นได้ว่า ธุรกิจมือถือยังเป็นอะไรที่ล้าหลังเป็นอย่างมากในหลาย ๆ เรื่องแม้กระทั่งการเล่นเว๊บไซต์ต่าง ๆ ก็เป็นอุปสรรคต่อการใช้งานของผู้ใช้งานทั่วโลก ที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลกผ่านทางอุปกรณ์ที่พกติดตัวเราอยู่ตลอดเวลาอย่างมือถือนั่นเอง

ในขณะนั้น ผู้คนทั่วโลกต่างคุ้นเคยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Broadband กันแล้ว แต่ค่าบริการข้อมูลแบบ 3G ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเหมือนย้อนตัวเองกลับไปสู่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยุคโมเด็มผ่านสายโทรศัพท์

แน่นอนว่าเหล่ามาเฟียเครือข่ายเหล่านี้ คอยจ้องแต่จะคิดค่าบริการต่าง ๆ แทบทุกอย่าง มีการคิดค่าบริการการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นนาทีที่ใช้งาน แต่ผู้บริโภคกลับได้รับการบริการจากอินเทอร์เน็ตที่ห่วยแตกกว่าการใช้โทรศัพท์บ้านเสียอีก เพราะเว๊บต่าง ๆ ที่โหลดมานั้นเป็นเว๊บที่ไร้คุณภาพเนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มีจำนวนมากทำให้เหล่าผู้ให้บริการไม่อยากเสีย bandwidth ไปกับบริการเหล่านี้ มีการชาร์จกับผู้บริโภคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ถึงเวลาที่เหล่ามาเฟียเครือข่ายมือถือต้องถอยลงมาอยู่ในจุดที่ควรเป็น
ถึงเวลาที่เหล่ามาเฟียเครือข่ายมือถือต้องถอยลงมาอยู่ในจุดที่ควรเป็น

แต่ iPhone ของ Apple ได้มาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง Apple ต้องการให้ iPhone นั้นใช้ปริมาณข้อมูลได้อย่างไม่จำกัด และทำการเจรจากับ Cingular ที่เป็นเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นหลายครั้ง

สุดท้ายได้มีการประกาศรูปแบบการจ่ายค่าบริการมือถือแบบให้ปริมาณข้อมูลไม่จำกัด ซึ่งสูงกว่าแบบโทรศัพท์โทรเข้าออกเพียงอย่างเดียวราว ๆ 20 ดอลลาร์ต่อเดือน โดย Cingular (ตอนหลังกลายมาเป็น AT&T) จะได้รับเงินบางส่วนจากการดาวน์โหลดทาง iTunes ขณะที่ทาง Apple นั้นได้ส่วนแบ่งจากค่าบริการรายเดือนของ iPhone แต่ละเครื่องที่เชื่อมต่อกับ Cingular

และนี่เองได้เป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญของเหล่ามาเฟียเครือข่ายมือถือทั้งหลาย โดย Apple ได้เปลี่ยนบทบาทของเหล่าเครือข่ายโทรศัพท์ ให้เป็นเพียงแค่ทางผ่านของโลกโทรศัพท์มือถือยุคใหม่หลังการเกิดขึ้นของ iPhone เป็นเพียงแค่ท่อส่งข้อมูลระหว่างมือถือของลูกค้ากับโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

ทำให้เหล่าเครือข่ายมือถือไม่สามารถที่จะไปชาร์จค่าบริการใด ๆ กับลูกค้าได้อีก เรียกได้ว่า เป็นครั้งแรกที่เหล่ามาเฟียมือถือต้องมาง้อ บริษัทมือถืออย่าง Apple ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลยในธุรกิจมือถือ

iPhone ที่มาพร้อมแผนที่ของ Google และ ข้อมูล ได้กลายเป็นหายนะของเครืองข่ายโทรศัพท์มือถือ ที่ตอนแรกได้วางแผนที่จะคิดค่าบริการการเข้าถึงข้อมูลแผนที่ผ่านเครือข่ายมือถือ

ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนธุรกิจของ Nokia ที่ตอนนั้นเพิ่งซื้อ Navteq บริษัทแผนที่ยักษ์ใหญ่มาในราคาสูงถึง 8.1 พันล้านดอลลาร์  โดยหวังจะได้รายรับกลับคืนมาด้วยการขายบริการแผนที่ให้บรรดาค่ายโทรศัพท์มือถือทั่วโลก

Nokia ที่เพิ่งทุ่มซื้อ Navteq มาหวังจะชาร์จค่าบริการจากลูกค้า แต่แผนต้องล่มแบบไม่เป็นท่า
Nokia ที่เพิ่งทุ่มซื้อ Navteq มาหวังจะชาร์จค่าบริการจากลูกค้า แต่แผนต้องล่มแบบไม่เป็นท่า

Apple ได้พยายามอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนอุตสาหกรรมมือถือไปแนวทางที่ตัวเองต้องการ เป็นครั้งแรกที่เหล่ามาเฟีย เครือข่ายโทรศัพท์มือถือเริ่มหวาดกลัวกับการเข้ามาของ Apple ซึ่งพวกเขาประเมิน Apple ไว้ต่ำมาก ๆ ในตอนแรก

Apple กลายเป็นราชาแห่งวงการมือถือ ทุกเครือข่ายต้องเข้ามานำเสนอสิ่งที่เย้ายวนใจให้ Apple เพื่อร่วมธุรกิจกัน Apple ทำให้ทุกอย่างนั้นกลับตาลปัตรไปหมด เพราะตั้งแต่ช่วงก่อนปี 2007 นั้น ไม่มีผู้ผลิตมือถือรายใดกล้ากำหนดเงื่อนไขกับบรรดาค่ายมือถือต่าง ๆ 

Nokia เป็นยักษ์ใหญ่มือถือเจ้าเดียวที่เคยลองทำแบบ Apple มาก่อน แล้วก็ได้บทเรียนครั้งสำคัญจากการนำโทรศัพท์ที่สามารถเล่นเพลงได้เข้าไปสู่ตลาดอเมริกา โดย Nokia ได้เคยพยายามรวมรวมข้อมูลลูกค้าที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์เข้ามาในระบบของตัวเอง โดยไม่ผ่านค่ายโทรศัพท์มือถือ

แต่เหล่ามาเฟีย เครือข่ายมือถือ ยื่นคำขาดให้ Nokia หยุดการกระทำนั้นทันที โดย Nokia ต้องยอมทำตามแต่โดยดี เพราะไม่งั้นจะถูกแบนโดยเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมาเฟียเครือข่ายมือถือเหล่านี้นั่นเอง

จะเห็นได้ว่า หลังการเกิดขึ้นของ iPhone นั้นไม่เพียงแค่ปฏิวัติแค่วงการผู้ผลิตมือถือ ที่ได้สร้างมือถือที่แตกต่างออกมาเท่านั้น แต่ได้กำจัดเหล่ามาเฟียเครือข่ายมือถือ ที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนานวัตกรรมให้กับวงการมือถือโลกมานานได้อย่างราบคาบ

มันได้ทำให้เปลี่ยน ecosystem ใหม่ทั้งหมดของ Supply Chain ของธุรกิจมือถือ ให้ทุกส่วนนั้น ทำงานที่ควรจะทำ ไม่มายุ่งย่ามกับส่วนของธุรกิจอื่น ๆ อย่างที่เหล่าเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเคยทำมาในอดีต และที่สำคัญมันได้ทำให้วิถีชีวิตของมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากปลดแอกจากเหล่ามาเฟียเครือข่ายมือถือเหล่านี้ได้สำเร็จนั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 7 : It’s time to open

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 Phone & Microsoft *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

มารู้จัก First Self-Driving Shuttle แห่งเมืองนิวยอร์ก

บริษัท ผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ Optimus Ride เพิ่งเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับครั้งแรกในเมืองนิวยอร์ก ซึ่งจะส่งผู้โดยสารไปตามถนนใน Brooklyn Navy Yard ศูนย์กลางการผลิตอันเก่าแก่กลายที่ตอนนี้ได้แปลงสภาพกลายเป็นศูนย์บ่มเพาะเทคโนโลยี 

ในฐานะรองประธานฝ่ายวิศวกรรม Ruijie ได้อธิบายว่า รถรับส่งขับเคลื่อนแบบอัตโนมัตินี้สามารถตรวจจับและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของพวกมันได้อย่างไร เขาอธิบายว่ารถ shuttle bus ใหม่นี้ได้รวบรวมการบันทึกภาพ และ LIDAR เพื่อรวมเป็นสตรีมข้อมูลเดียวเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและมีความละเอียดสูงขึ้นจากสภาพแวดล้อมของยานพาหนะ 

ซึ่งการเริ่มต้นครั้งแรกในเมืองนิวยอร์กนี้ จะทำให้การใช้บริการรถรับส่งด้วยตนเองบนถนนมีการปูทางไปสู่รถยนต์ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติที่พร้อมใช้บนท้องถนนจริง ๆ ที่สามารถลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ที่ทำให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุร้ายแรงจำนวนมากได้

“ สิ่งที่เรากำลังทำคือการแสดงให้ชาวนิวยอร์กเห็นว่ายานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของพวกเขาอย่างไร” ไรอัน ชิน CEO ของ Optimus Ride กล่าวกับผู้คนที่เข้ามาร่วมในการแสดงสาธิต “ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชาวเมืองนิวยอร์กที่จะเปลี่ยนไป”

โดยรถ Shuttle Bus ที่ได้แสดงการสาธิตให้ชาวเมืองนิวยอร์กได้ชมนั้น แต่คันจะรองรับผู้โดยสารได้สี่คน รวมถึง วิศวกรอีกสองคนซึ่งนั่งอยู่ในแถวหน้า โดยคนหนึ่งคอยจับตามองอยู่บนท้องถนน ในขณะที่อีกคนหนึ่งเฝ้าดูแลข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ ที่บอกเขาว่ารถคันนี้กำลังจะทำอะไร 

รถจะทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและทำสิ่งที่ควรจะเป็น แม้สภาพรถจะค่อยข้างสั่น แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นเพราะระบบของรถหรือเพราะระบบ AI แต่เหล่าผู้โดยสารที่ทดลองได้กล่าวมันค่อนข้างรู้สึกปลอดภัย โดยมีการชะลอความเร็วและเลี้ยวไปรอบ ๆ สิ่งกีดขวาง เช่น เหล่านักปั่นโดยไม่ต้องออกจากเลน ซึ่งรถยนต์ shuttle bus คันนี้ได้ทำแผนที่ทั้งหมดตลอดเส้นทาง และปลายทางแต่ละแห่งก็ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้วเช่นกัน

แม้ว่ารถรับส่งของ Optimus Ride จะไม่มีปัญหาในการขับเคลื่อนผ่านสภาพแวดล้อมที่ควบคุมที่เป็นถนนส่วนตัวที่มีสิ่งกีดขวางน้อยก็ตาม แต่เหล่าผู้ได้ลองทดสอบก็อดใจไม่ได้ที่จะคิดว่ามันจะขึ้นไปบนทางหลวงที่แออัดในโลกแห่งความจริงได้อย่างไร

References : 
https://futurism.com