ทำไม Elon Musk ถึงเกลียด Lidar? เรียบง่ายแต่ปฏิวัติวงการ เบื้องหลังการถอดเซนเซอร์ของ Tesla

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม Tesla ถึงกล้าถอดเซนเซอร์ออกจากรถของพวกเขา? เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ Tesla ทำในสิ่งที่สวนกระแสของอุตสาหกรรม เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของปรัชญาการทำงานที่น่าสนใจ

ในปี 2021 Tesla ได้ตัดสินใจถอดเรดาร์ออกจากชุดเซนเซอร์ และล่าสุดก็มีการถอดเซนเซอร์อัลตร้าโซนิกทั้งหมดออกไปอีก จนเหลือแค่ระบบกล้อง (Vision) เท่านั้น การตัดสินใจแบบนี้ทำให้หลายคนต่างสงสัย

แล้วการเลือกตัดแบบนี้จะทำให้ระบบการรับรู้ของรถยนต์ยากขึ้นหรือง่ายขึ้นกันแน่?

ก็ต้องบอกว่าเมื่อพูดถึงเซนเซอร์ในรถยนต์ หลายคนมักคิดว่ายิ่งมีมาก ระบบจะยิ่งเทพ แต่ความจริงแล้ว เซนเซอร์พวกนี้อาจกลายเป็นภาระมหาศาลที่ทำให้ระบบเละเทะได้เช่นเดียวกัน

เซนเซอร์ไม่ได้มาฟรีๆ ต้องมีทีมจัดซื้อ มีห่วงโซ่อุปทาน เจอปัญหาชิ้นส่วน ต้องเปลี่ยนเมื่อเสียหาย และถ้ามีปัญหา ก็ทำให้สายการผลิตสะดุดได้ง่ายๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เซนเซอร์แต่ละชนิดต้องมีทีมเขียนเฟิร์มแวร์ ต้องบูรณาการเข้ากับระบบรวม ทำให้โครงสร้างองค์กรบวมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนอาจกลายเป็นองค์กรที่จัดการได้ยากในที่สุด

Elon Musk มีแนวคิดโครตเจ๋งที่ว่า “ชิ้นส่วนที่ดีที่สุดคือไม่มีชิ้นส่วน” เขาเข้าใจเรื่องเอนโทรปี (ความไร้ระเบียบ) ในองค์กร และพยายามกำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปตลอด

หลายคนอาจมองไม่เห็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเมื่อพิจารณาต้นทุนทั้งหมด เซนเซอร์พวกนี้อาจเป็นภาระที่ไม่คุ้มค่า เนื่องจากเซนเซอร์แต่ละประเภทมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้ใช้เรดาร์แบบหนึ่ง พรุ่งนี้อาจเป็นอีกแบบหนึ่ง ทำให้ต้องสร้างระบบฐานข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับความหลากหลายนั้น

สุดท้ายแล้ว เซนเซอร์พวกนี้สร้างสัญญาณรบกวน เพิ่มความไม่เป็นระเบียบ และทำให้องค์กรต้องกระจายความสนใจออกไป ไม่สามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญจริงๆ ได้

เมื่อ Tesla เลือกที่จะทำงานเฉพาะกับระบบกล้อง ทรัพยากรทั้งหมดจะถูกมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีเดียว ทำให้สามารถสร้าง data engine และพัฒนาระบบไปข้างหน้าได้อย่างเต็มรูปแบบ

กล้องเป็นเซนเซอร์ที่มีแบนด์วิดธ์มากที่สุด มีความท้าทายสูงสุด และเมื่อลงทุนเต็มที่กับมัน ก็จะพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด ไม่ต้องกระจายความสนใจไปที่อื่น

การถกเถียงระหว่าง Lidar และกล้องทำให้หลายคนสับสน แต่ประเด็นจริงๆ ควรอยู่ที่การมีฝูงยานพาหนะ (fleet) สำหรับเก็บข้อมูลมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าประเภทของเซนเซอร์มาก

Lidar มีราคาแพงมาก ๆ มีปัญหาสารพัด และต้องการการปรับแต่งที่ซับซ้อน ซึ่งสร้างความยุ่งยากและเพิ่มความไม่เป็นระเบียบให้กับระบบอย่างมาก

เมื่อมองภาพรวม ประเด็นสำคัญอยู่ที่การสร้างฝูงยานพาหนะขนาดใหญ่ที่เก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล และบูรณาการเข้ากับระบบข้อมูลที่แข็งแกร่ง

ระบบ Vision มีความจำเป็นเพราะโลกถูกออกแบบมาสำหรับการรับรู้ด้วยสายตาของมนุษย์ และในขณะเดียวกันแค่ระบบเดียวมันก็เพียงพอเพราะมีข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการขับขี่

สังเกตว่ามนุษย์ก็ใช้การมองเห็นเป็นหลักในการขับรถ ไม่ได้ใช้เรดาร์หรือ Lidar แต่อย่างใด ดังนั้น Vision จึงทั้ง “จำเป็น” และ “เพียงพอ” สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ

การเพิ่มเซนเซอร์อื่นๆ ทำได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในที่สุดก็ต้องขีดเส้นและตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นจริงๆ ซึ่ง Tesla มองว่าเซนเซอร์นอกเหนือจาก Vision หรือ กล้อง ไม่คุ้มค่าพอ

บริษัทอื่นๆ ตัวอย่างเช่น Waymo ที่พัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติเช่นเดียวกับ Tesla เลือกใช้วิธีสร้างแผนที่ความละเอียดสูงล่วงหน้า และจำกัดพื้นที่ที่รถวิ่งได้

การสร้างและบำรุงรักษาแผนที่ที่มีความแม่นยำระดับเซนติเมตรสำหรับทุกพื้นที่ที่รถจะวิ่งผ่าน เป็นเรื่องบ้าคลั่งและไม่สมเหตุสมผล หากเรากำลังพูดถึงการปฏิวัติระบบขนส่งระดับโลกที่ต้องมีการ scale ระบบได้ง่าย

มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีแผนที่ละเอียดระดับเซนติเมตรในการขับรถ แค่รู้ว่ามีทางแยกข้างหน้าก็พอ Tesla ใช้ข้อมูลแผนที่แบบเดียวกับ Google Map แต่ไม่ได้ทำแผนที่แบบละเอียดยิบ

การทำแผนที่แบบละเอียดอาจจะทำให้เสียสมาธิ เพิ่มความไม่เป็นระเบียบ และทำให้ทีมกระจายความสนใจออกไป แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาคอมพิวเตอร์วิชั่นที่แท้จริง

การลดทอนเซนเซอร์ลงเหลือเพียง Vision ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพแย่ลง ในทางกลับกัน การมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีเดียวให้แข็งแกร่งที่สุด ทำให้ระบบพุ่งทะยานขึ้นได้เช่นเดียวกัน

การลดความซับซ้อนยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ เนื่องจากมีจุดที่อาจเกิดความล้มเหลวน้อยลง ระบบที่พึ่งพาเซนเซอร์หลายประเภทอาจจะล้มเหลวได้ง่ายหากเซนเซอร์ใดเซนเซอร์หนึ่งมีปัญหา

เมื่อไม่ต้องกังวลกับการรวมข้อมูลจากเซนเซอร์หลายประเภท ทีมวิศวกรสามารถรังสรรค์อัลกอริทึมการประมวลผลภาพให้แม่นยำและเร็วขึ้น นำไปสู่การพัฒนาที่ก้าวกระโดด

มนุษย์ขับรถได้อย่างปลอดภัยโดยใช้แค่ตาเป็นหลัก แม้จะได้ยินเสียงและรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวด้วย แต่การมองเห็นยังเป็นประสาทสัมผัสหลักในการขับขี่

การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติโดยเลียนแบบวิธีการรับรู้ของมนุษย์จึงเป็นแนวทางที่มีเหตุผล แทนที่จะเพิ่มเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่มนุษย์ไม่เคยต้องใช้มาก่อน

การมุ่งพัฒนาระบบ Vision ให้มีความสามารถเทียบเท่าหรือเหนือกว่าความสามารถในการมองเห็นของมนุษย์จึงเป็นเป้าหมายที่ตรงจุดและได้ผลมากกว่า

ข้อได้เปรียบมหาศาลของ Tesla คือการมีฝูงรถกว่าล้านคันที่วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลก ทำหน้าที่เป็นเครื่องเก็บข้อมูล ข้อมูลจากสถานการณ์จริงเหล่านี้มีค่ามากในการฝึกอัลกอริทึม AI

การมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้จากข้อมูลจริงในโลกจริง แทนที่จะพึ่งพาแผนที่สร้างไว้ล่วงหน้าหรือเซนเซอร์พิเศษ ทำให้ระบบของ Tesla มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีกว่า ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับการขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คาดคิด

การตัดสินใจของ Tesla ในการลดจำนวนเซนเซอร์อาจผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์อัตโนมัติทั้งหมดเปลี่ยนแนวคิด บริษัทอื่นๆ อาจเริ่มลดการพึ่งพาเซนเซอร์หลากหลายประเภทในอนาคต

เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์วิชั่นและการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) มีความก้าวหน้ามากขึ้น การใช้กล้องเพียงอย่างเดียวก็อาจมีประสิทธิภาพเพียงพอและคุ้มค่ากว่า

การตัดสินใจของ Tesla ในการลดเซนเซอร์ลงเหลือแค่ Vision สะท้อนปรัชญาการทำงานที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายและประสิทธิภาพ แม้จะดูเหมือนลดความสามารถลง แต่จริงๆ แล้วเป็นการมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่เทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงสุด

การลดความซับซ้อนช่วยลดความไร้ระเบียบและเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนา ในขณะที่การมีฝูงยานพาหนะขนาดใหญ่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากโลกจริง สร้างความได้เปรียบที่สำคัญในการปลุกปั้นระบบ AI

ในท้ายที่สุด การถกเถียงเรื่องเทคโนโลยีเซนเซอร์ไม่ควรมุ่งเน้นเพียงประเภทของเซนเซอร์ แต่ควรพิจารณาถึงระบบโดยรวม รวมถึงความสามารถในการเก็บข้อมูล การประมวลผล และการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ซึ่งจะเป็นตัวขีดชะตาผู้ชนะในการแข่งขันพัฒนายานยนต์ขับขี่อัตโนมัติในอนาคต

Geek Story EP323 : ทำไม Elon Musk ถึงเกลียด Lidar? เรียบง่ายแต่ปฏิวัติวงการ เบื้องหลังการถอดเซนเซอร์ของ Tesla

การพัฒนารถยนต์ขับขี่อัตโนมัติเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและท้าทาย โดยเฉพาะในประเด็นของเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่ใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อม ในช่วงที่ผ่านมา Tesla ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการถอดเซนเซอร์ออกจากระบบขับขี่อัตโนมัติของพวกเขา เริ่มจากการถอดเรดาร์ออกเมื่อปี 2021 และได้ทำการถอดเซนเซอร์อัลตร้าโซนิกทั้งหมดออกไปด้วย เหลือเพียงระบบกล้อง (Vision) เท่านั้น

การตัดสินใจนี้สร้างคำถามมากมายในวงการยานยนต์และเทคโนโลยี หลายคนสงสัยว่าการพึ่งพาเพียงกล้องอย่างเดียวจะทำให้ปัญหาด้านการรับรู้ยากขึ้นหรือง่ายขึ้น พอดแคสต์ EP นี้จะพาคุณไปสำรวจแนวคิดเบื้องหลังการตัดสินใจของ Tesla ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม รวมถึงเปรียบเทียบกับแนวทางของบริษัทอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติเช่นกัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2jmyfn82

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5fjh5f7r

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/262uxmaw

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/PneQmheETwE

เปิดกล่องดำ Tesla กลยุทธ์เด็ดพลิกเกมอุตสาหกรรม กับการแจกสิทธิบัตรฟรีของ Elon Musk

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบริษัทใหญ่ระดับ Tesla ถึงกล้าแจกสิทธิบัตรฟรี? และนี่คือเรื่องราวที่จะทำให้คุณทึ่งกับความกล้าของ Elon Musk ที่พลิกโฉมวงการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

ย้อนกลับไปในปี 2014 Elon Musk สร้างความฮือฮาให้วงการยานยนต์ด้วยการประกาศว่า “สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ” ประโยคสั้นๆ นี้ทำให้วงการรถยนต์สั่นคลอนไปทั้งอุตสาหกรรม

แต่รู้ไหมว่าทำไม Elon ถึงกล้าทำแบบนี้? เขามองว่าคู่แข่งที่แท้จริงของ Tesla ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่นที่มีอยู่น้อยนิด แต่เป็นรถยนต์น้ำมันที่ผลิตออกมามากโขจากโรงงานทั่วโลกต่างหาก

ความเทพของ Elon อยู่ตรงที่เขาคิดนอกกรอบ การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ได้หมายความว่าใครจะมาก็อปปี้เทคโนโลยีได้ตามใจชอบ ต้องทำตามกติกา ไม่ล้ำเส้น ไม่แทงข้างหลัง และต้องใช้เทคโนโลยีอย่างสุจริต

น่าสนใจว่า Elon ไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของระบบสิทธิบัตรมาตั้งแต่แรก ตอนเริ่มต้นอาชีพเขาก็เคยหมายปองสิทธิบัตรเหมือนคนอื่น แต่ประสบการณ์ทำให้เขาเห็นว่ามันเหมือนการซื้อสลากกินแบ่งเพื่อการฟ้องร้องมากกว่า

Elon มองว่าวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาคือการสร้างนวัตกรรมใหม่ เขาบอกว่าถ้าคุณสร้างของใหม่ๆ เร็วพอ คุณไม่ต้องกลัวใครมาก็อปปี้ เพราะตอนที่เขาก็อปปี้เสร็จ คุณก็ไปไกลกว่านั้นแล้ว

แต่เบื้องหลังการตัดสินใจนี้มีเรื่องลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้น Toyota ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกับ Tesla ได้หันไปสนใจการผลิตรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแทน การเปิดสิทธิบัตรของ Elon จึงเป็นการตอบโต้แบบถึงพริกถึงขิง

Toyota ก็ไม่ยอมแพ้ ตอบโต้ด้วยการเปิดเผยสิทธิบัตรเซลล์เชื้อเพลิง 5,600 รายการเช่นกัน เหมือนกับการต่อสู้แบบมวยวัดระหว่างเทคโนโลยีสองค่าย ที่ต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะเอาชนะ

แต่กลยุทธ์แบบนี้ก็มีความเสี่ยง ดูอย่าง IBM PC ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบเปิดแล้วจบเห่ ส่วนแบ่งตลาดดิ่งลงเหวเหลือแค่ 5% จนต้องขายธุรกิจให้ Lenovo ในปี 2005 นี่คือตัวอย่างของการที่การเปิดเผยเทคโนโลยีอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

แต่ Elon ดูเหมือนจะไม่กังวลกับความเสี่ยงนี้ เขามีความมั่นใจในทีมงานระดับเทพของเขา และเชื่อว่า Tesla จะยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป นี่แหละคือความมั่นใจที่มาจากการเป็นของแท้

การตัดสินใจของ Elon ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เป็นการเดิมพันที่เข้าท่า มันแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่มองเห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมมากกว่าผลประโยชน์ระยะสั้น

ถึงแม้ว่าบริษัทอื่นๆ อาจจะยังตะหงิดใจที่จะทำตามแนวทางนี้ เพราะระบบสิทธิบัตรยังมีข้อดีหลายอย่าง แต่การกระทำของ Elon ก็ได้จุดประกายการพูดคุยเกี่ยวกับบทบาทของทรัพย์สินทางปัญญาในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาแบบฉุดไม่อยู่

และดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเขาจะเป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าก้าวล้ำหน้ารถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนไปมากแล้ว การแบ่งปันความรู้และการร่วมมือกันอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรม

ในที่สุด การตัดสินใจของ Elon Musk ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการยานยนต์ไฟฟ้า แสดงให้เห็นว่าบางครั้งการกล้าที่จะแบ่งปันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คิด

Tesla Model S จากฝันบ้าๆ สู่การปฏิวัติวงการยานยนต์โลก การสร้างแบรนด์ที่มากกว่าแค่ผลิตภัณฑ์

ถ้าบอกว่า Tesla Roadster รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Tesla เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ Apple II ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล และสำหรับ Model S นี่คือสิ่งที่ Elon Musk ถวิลหา เขาต้องการสร้างมันให้เป็นเหมือน Macintosh แห่งวงการยานยนต์

ปัญหาใหญ่ของ Roadster คือเรื่องการดีไซน์ Musk ไม่อยากเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะมันช่วยประหยัดเงินทุนได้มากกว่า แต่คันที่สองต้องไม่เหมือนคันแรก มันต้องเป็นการรังสรรค์ขึ้นมาใหม่แบบหมดจดจาก Tesla เท่านั้น

Musk ต้องการให้ทุกคนเห็นแล้วตาลุกวาวว่านี่คือรถ Tesla เหมือนที่เราเห็น Benz, BMW, Ferrari หรือ Audi แล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นแบรนด์ไหน เขาจึงสร้าง Design Studio ขึ้นที่โรงงาน SpaceX ในลอสแอนเจลิส

และแล้วโชคชะตาก็เข้าข้าง เมื่อ Tesla ได้ von Holzhausen ดีไซเนอร์โครตเทพที่เคยผ่านงานมาทั้ง Volkswagen, Audi, GM และ Mazda มาร่วมทีม ด้วยข้อเสนอที่ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ลง

von Holzhausen บอกว่าการออกแบบรถไฟฟ้าเจ๋งกว่าออกแบบรถน้ำมันเยอะ เพราะมีพื้นที่ให้ใส่ไอเดียได้มากกว่า แถมยังต้องคิดเรื่องการลดเสียงรบกวนด้วย เพราะไม่มีเสียงเครื่องยนต์มาช่วยกลบ

Model S ใช้วัสดุจัดเต็ม! อลูมิเนียมพิเศษแบบเดียวกับที่ใช้ในจรวด SpaceX เกือบทั้งคัน แถมมีหน้าจอทัชสกรีน 17 นิ้วสุดล้ำที่ทำให้ลูกค้าอ้าปากค้างและหลงรักทันทีที่เห็น

แต่ก็มีเรื่องตลกอยู่บ้าง ทีมดีไซน์คิดว่าคนสมัยนี้อ่าน e-book กันหมดแล้ว เลยไม่ติดไฟอ่านหนังสือที่เบาะหลัง จนลูกชาย Musk ถึงกับบ่นว่า “เป็นรถที่งี่เง่าที่สุดในโลก” ตอนนั่งอ่านหนังสือแล้วมองไม่เห็น

ตอน prototype ของ Model S ออกมาให้เห็นครั้งแรกในปี 2009 หลายคนยี้มาก บางคนถึงขั้นเปรียบเทียบกับรถโบราณอย่าง Ford Probe จากยุค 80 ด้วยซ้ำ แถมตอนนั้นทั้ง SpaceX และ Tesla สถานการณ์ก็กำลังดิ่งลงเหว

แต่แล้วในกลางปี 2012 Tesla ก็ทำให้บริษัทรถยนต์รุ่นใหญ่ต้องอ้าปากค้าง เมื่อส่งมอบ Model S รถหรูไฟฟ้าที่วิ่งได้ 300 ไมล์ต่อการชาร์จ ทำความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 4.2 วินาที รองรับผู้โดยสารได้ 7 คน

Model S เหนือชั้นกว่ารถไฮเอนด์ทั้งหลายแบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งความเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ความรู้สึกในการขับขี่ แม้แต่พื้นที่เก็บของก็ยังจัดเต็มกว่าเขา

Tesla ฉีกกฎการซื้อขายรถแบบเดิมๆ ไม่ต้องไปต่อรองกับเซลล์ที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะขาย ๆ ๆ เพียงอย่างเดียง เพราะลูกค้าเพียงแค่คลิกสั่งผ่านเว็บ แล้วรถจะมาส่งถึงบ้าน ถ้ามีปัญหาอะไร วิศวกรก็แค่เชื่อมต่อผ่านเน็ตแล้วอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ ราวกับถูกเสกด้วยเวทมนตร์

หลังวางขายไม่กี่เดือน Model S ก็คว้ารางวัลรถยนต์แห่งปีจาก MotorTrend ด้วยคะแนนเอกฉันท์ ผลักดันให้หุ้น Tesla พุ่งกระฉูดจาก 30 เหรียญเป็น 130 เหรียญ

สิ่งที่ทำให้ Tesla แตกต่างคือการสร้างแบรนด์ให้เป็นมากกว่ารถ พวกเขาไม่ได้แค่ขายยานพาหนะ แต่กำลังขายไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต สร้างความผูกพันกับลูกค้าแบบเดียวกับที่ Apple ทำ

แม้ตอนแรกหลายคนจะมองว่าธุรกิจรถไฟฟ้าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นของ Musk และทีมงาน Tesla ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าฝันให้ไกลไปให้ถึงนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ

วันนี้ Tesla ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เทพที่สุดในโลก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนกล้าคิดต่าง กล้าท้าทายสิ่งเดิมๆ และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ถือเป็นการขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการยานยนต์โลกเลยทีเดียว

Geek Daily EP252 : อนาคต Tesla ในกำมือ Trump วิเคราะห์ Trump ชนะ มีผลอะไรกับจักรวาล Musk บ้าง

ไม่มีผู้นำธุรกิจคนใดที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี Donald Trump มากไปกว่า Elon Musk แต่มหาเศรษฐีและอาณาจักรธุรกิจของเขาต้องเผชิญทั้งด้านบวกและด้านลบหลังจาก Trump ชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีในวันอังคารที่ผ่านมา

Musk บริจาคเงินเกือบ 119 ล้านดอลลาร์ให้กับคณะกรรมการดำเนินการทางการเมือง (Political Action Committee) ที่เขาตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุน Trump โดยเขาปรากฏตัวร่วมกับ Trump ในการชุมนุมหาเสียงและเป็นเจ้าภาพสัมภาษณ์แบบอวยเต็มที่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ของเขา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2j8eh7px

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/33dczzum

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/bde6pvk4

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/7NcP1YoBD1s