Geek Story EP212 : ความท้าทายใหม่ของ Elon Musk เมื่อ Tesla กำลังจะสิ้นมนต์ขลังในตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสถานการณ์ของ Tesla โดยเฉพาะในตลาด EV อันดับหนึ่งของโลกอย่างประเทศจีน

เหล่าพนักงานที่แสนภาคภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิก EV แต่กลับมารู้ตัวว่าชะตาพวกเขากำลังจะขาดก็เมื่อเสียบบัตรพนักงานเพื่อเข้าสู่การทำงานที่ไซต์งาน แต่พบว่าบัตรของพวกเขานั้นใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขากำลังถูกเลิกจ้าง!

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bduca62b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/stpwd2tn

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ycxea3n6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/_MFXnBIW7Qs

Geek Life EP12 : จาก ‘ขี้เกียจ’ สู่ ‘สำเร็จ’ วิธีปลดล็อคศักยภาพสมองให้ทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ

มนุษย์เรามีความสามารถพิเศษที่เรียกว่า “top-down mechanisms” ซึ่งเป็นหนึ่งในความงดงามของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ลองนึกภาพถึงสถานการณ์ที่คุณรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงในตอนเช้า คุณจะเอาชนะความขี้เกียจนั้นได้อย่างไร? นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ top-down mechanisms ที่คุณบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะเอาชนะความขี้เกียจนี้ให้ได้”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2znw6k5s

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yya6tk2u

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/D6x9d2qLJKI

จาก ‘ขี้เกียจ’ สู่ ‘สำเร็จ’ : วิธีปลดล็อคศักยภาพสมองให้ทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ

มนุษย์เรามีความสามารถพิเศษที่เรียกว่า “top-down mechanisms” ซึ่งเป็นหนึ่งในความงดงามของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ลองนึกภาพถึงสถานการณ์ที่คุณรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงในตอนเช้า คุณจะเอาชนะความขี้เกียจนั้นได้อย่างไร? นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ top-down mechanisms ที่คุณบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะเอาชนะความขี้เกียจนี้ให้ได้”

David Goggins อดีตทหารหน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่สามารถเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า “limbic friction” ได้อย่างน่าทึ่ง แรงเสียดทานนี้เปรียบเสมือนเสียงที่ดังก้องอยู่ในสมองและร่างกายของเรา คอยบอกให้เราทำในสิ่งที่ง่ายกว่า สบายกว่า แต่อาจไม่ดีต่อเราในระยะยาว การเอาชนะแรงเสียดทานดังกล่าวนี้เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้

ในทางวิทยาศาสตร์ เราพบว่าวงจรประสาทของสารโดปามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบการให้รางวัลของสมอง การทำตามเป้าหมาย และแรงจูงใจ จะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้ ซึ่งจะมีการปล่อยโดปามีนเมื่อเรากำลังจะไปถึงเป้าหมาย หรือเมื่อเรารู้สึกว่ากำลังจะประสบความสำเร็จ

แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่เราไม่ได้รับโดปามีนมากที่สุดเมื่อได้รับรางวัลใหญ่ แต่เราได้รับมากที่สุดเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะได้รับรางวัลนั้น (อันนี้หลายๆ คนน่าจะเคยประสบพบเจอกัน)

การใช้ top-down mechanisms นี้มาจากบริเวณ prefrontal cortex ของสมอง ซึ่งอยู่ด้านหลังหน้าผาก ส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมพื้นที่สมองที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และปฏิกิริยาอัตโนมัติต่าง ๆ การใช้กลไกนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวมาก แต่ละคนอาจมีวิธีการที่แตกต่างกัน บางคนอาจทำเพราะความรัก บางคนอาจทำเพราะความรับผิดชอบ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สิ่งสำคัญคือการลงมือทำ

top-down mechanisms ยังเกี่ยวข้องกับการควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองต่าง ๆ เช่น การต่อต้านความอยากในการทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเราพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็ยิ่งง่ายที่จะใช้การควบคุมมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเราเริ่มคุ้นเคยกับประสบการณ์ในการเอาชนะ limbic friction เราจะเริ่มเห็นภาพของชัยชนะที่รออยู่ข้างหน้า สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถดึงความรู้สึกของความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาสู่ปัจจุบันได้ เพียงแค่การลุกจากเตียง เราก็เริ่มรู้สึกถึงชัยชนะแล้ว นี่คือพลังของการคาดการณ์ถึงความสำเร็จ

งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการชะลอความพึงพอใจของมนุษย์นั้นก็ถูกควบคุมด้วยโดปามีนเช่นกัน หากเรารู้ว่าการรอคอยนั้นคุ้มค่า เราจะเริ่มได้รับโดปามีนเร็วขึ้น นี่เป็นกลไกที่ช่วยให้เราสามารถอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายในระยะสั้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว

สำหรับคนส่วนใหญ่ ความท้าทายคือพวกเขาไม่เคยประสบหรือไม่สามารถมองเห็นชัยชนะและสัมผัสมันได้ จึงยากที่จะเอาชนะ limbic friction เพราะมันเป็นเหมือนเสียงที่ดังก้องอยู่ในสมองคอยหลอกหลอนและควบคุมร่างกายของเรา คอยบอกให้เราทำในสิ่งที่ง่ายกว่า

วิวัฒนาการของวัฒนธรรมและสปีชีส์ของเรา รวมถึงการพัฒนาของปัจเจกบุคคล ล้วนถูกขับเคลื่อนโดยคนที่เต็มใจที่จะผลักดันตัวเองให้มองการณ์ไกลขึ้นเรื่อย ๆ

เราเห็นตัวอย่างนี้ในบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk ที่มองไกลไปถึงการสำรวจอวกาศ หรือ Rich Roll (นักกีฬา Ultra Endurance) ที่ผลักดันขีดจำกัดทางร่างกายของตัวเอง ทุกครั้งที่เราเอาชนะความสงสัยและความท้าทายภายใน เราก็สามารถใช้กลไกเหล่านี้กับร่างกายเราได้ มันเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ และมีความยืดหยุ่นของระบบประสาทในวงจรนี้

สิ่งที่น่าสนใจคือ ความสามารถในการโฟกัสจะพัฒนาขึ้นเมื่อเราบังคับตัวเองให้โฟกัส ความสามารถในการนอนหลับจะดีขึ้นเมื่อเราฝึกผ่อนคลายและหยุดความคิด และความสามารถในการเอาชนะ limbic friction ก็สามารถพัฒนาได้เช่นกัน

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับที่ใช้ในการเตรียมความพร้อมทางจิตใจเพื่อเอาชนะ limbic friction

  1. บันทึกเรื่องราวที่ผ่านมา : หลายครั้งเรามักจมอยู่กับบริบทงานของเรา แต่ต้องหยุดพักแล้วกลับมาทำต่อในภายหลัง ปัญหาคือ เมื่อเรากลับมา เราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน การกลับเข้าสู่บริบทเดิมเป็นเรื่องยาก ทำให้เราเลื่อนงานออกไป เพื่อแก้ปัญหานี้ ต้องมีการบันทึกเสียงอธิบายรายละเอียดให้ตัวเองว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง อะไรที่ควรทำต่อไป งานอยู่ในไฟล์ไหน ควรทบทวนสไลด์ไหน เป็นต้น เสมือนการวางเกล็ดขนมปังไว้นำทาง เมื่อต้องการทำงานต่อ ก็มาฟังบันทึกเสียงนั้น ทำให้ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ และง่ายต่อการกลับเข้าสู่สภาวะจิตใจเดิม คล้ายกับการเกริ่นนำ “เรื่องราวก่อนหน้านี้” ในซีรีส์ของ Netflix ทำไมต้องเป็นบันทึกเสียง? ทำไมไม่จดลงในสมุดบันทึก? เพราะการบันทึกเสียง สามารถสื่อสารอารมณ์และความตื่นเต้นได้ ซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดผ่านตัวอักษรได้ การฟังเสียงเหมือนกับการได้กลิ่นบางอย่าง มันสามารถพาคุณกลับไปสู่อารมณ์เดิมได้โดยตรง
  2. เตือนตัวเองถึงเป้าหมายสูงสุด : บางครั้งความเฉื่อยชาเกิดขึ้นเพราะคุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ไม่คุ้มค่า หรืออาจคิดว่ามันยากเกินไป การสูญเสียแรงจูงใจแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้หากเป้าหมายของคุณอยู่ไกลเกินไป – เหมือนการเริ่มวิ่งมาราธอน คุณอาจยอมแพ้ตั้งแต่ต้นเพราะเส้นชัยอยู่ไกลเกินเอื้อม ในกรณีนี้ ควรย้อนกลับไปถามตัวเองว่าทำไมคุณถึงเริ่มทำสิ่งนี้ จินตนาการถึงผลลัพธ์และความสำคัญของมัน เตือนตัวเองถึงความรู้สึกดีๆ เมื่อได้กลับเข้าสู่บริบทของงานนั้น ๆ สิ่งเหล่านี้มักช่วยกระตุ้นให้เอาชนะความยากลำบากในการเริ่มต้นได้
  3. ใช้วิธีเผาเรือทิ้ง (ทุบหม้อข้าวตัวเอง) : นี่เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุด แต่ก็ยากที่สุดในแง่ของวินัยที่ต้องใช้ ใน ค.ศ. 1519 นักสำรวจชาวสเปน Hernan Cortes ได้ขึ้นฝั่งที่เม็กซิโก เขารู้ว่าลูกเรือของเขาเหนื่อยล้าจากการเดินทางแล้ว และไม่มีแรงจูงใจที่จะประสบความสำเร็จในดินแดนแปลกถิ่นแห่งนี้ เขารู้ว่าเมื่อเผชิญอันตรายครั้งแรก ทีมของเขาจะวิ่งหนีกลับทันที ดังนั้นเขาจึงเผาเรือทิ้ง ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเผาเรือทิ้งเช่นกัน Andrew Huberman แนะนำว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด – เราควรทำให้ทุกทางเลือกอื่นที่อยู่ตรงหน้าเจ็บปวดมากกว่าทางเลือกที่เราต้องการเลือก นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะ limbic friction

เคล็ดลับเพิ่มเติม: มีอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ สร้างแรงผลักดันตัวเองด้วยงานที่ง่ายกว่าก่อน ให้ดู list รายการสิ่งที่ต้องทำของคุณและเริ่มต้นด้วยงานที่ง่ายกว่า/เร็วกว่าก่อน วิธีนี้จะสร้างแรงผลักดันที่หวังว่าจะช่วยให้คุณทำงานที่ใหญ่กว่าต่อไปได้ ถ้าคุณไม่ระวัง คุณจะจมอยู่กับงานง่ายๆ ที่ไม่สร้าง impact ใดๆ และไม่เคยได้ทำงานที่ยากกว่าเลย

ในท้ายที่สุด การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก top-down mechanisms เพื่อเอาชนะ limbic friction นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การฝึกฝนทักษะนี้อาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะมันคือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของเราในฐานะมนุษย์

References :
Neuroscientist: THIS Is How You Stay Motivated FOREVER | Andrew Huberman
https://youtu.be/vQPks6h5o1w
https://www.linkedin.com/pulse/limbic-friction-bala-girisaballa/

อดีตผู้บริหาร Google เตือนว่าตอนนี้นักวิจัยด้าน AI กำลัง “สร้างพระเจ้า”

อดีตผู้บริหารของ Googleได้ออกมาเตือนถึงสิ่งที่นักวิจัยกำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI และยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกว่ามันกำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อมนุษยชาติ

Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google หรือ Google X ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะไทม์

เขาเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ซึ่งเป็น AI ที่ทรงพลังและมีความรู้สึกที่เห็นในนิยายวิทยาศาสตร์อย่าง Skynet จาก “The Terminator” เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราอาจพบว่าตัวเองกำลังจ้องมองวันโลกาวินาศที่เกิดจากเครื่องจักรที่เปรียบเหมือนพระเจ้า

Gawdat บอกกับ เดอะไทม์ ว่าเขาได้รับข้อมูลที่น่ากลัวในขณะที่ทำงานร่วมกับนักพัฒนา AI ที่ Google X ซึ่งสร้างอาวุธหุ่นยนต์ที่สามารถค้นหาและหยิบลูกบอลขนาดเล็กได้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง Gawdat กล่าวว่าแขนข้างหนึ่งของหุ่นยนต์คว้าลูกบอลและดูเหมือนจะยกมันขึ้นเพื่อแสดงให้นักวิจัยเห็น ด้วยท่าทางที่สำหรับเขาดูเหมือนว่ามันกำลังแสดงออกทางด้านอารมณ์ออกมา

Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับ AI (CR:CNBC)
Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กร Moonshot ของ Google ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับ AI (CR:CNBC)

Gawdat กล่าวว่า “ผมรู้สึกได้ว่านี่มันเป็นเรื่องน่ากลัวจริงๆ “มันทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว”

ภัยคุกคามที่แท้จริง

Elon Musk ได้เตือนโลกซ้ำ ๆเกี่ยวกับอันตรายของ AI สักวันหนึ่งที่เอาชนะมนุษยชาติ

Elon Musk ได้เตือนโลกมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของ AI (CR:Daily Express)
Elon Musk ได้เตือนโลกมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของ AI (CR:Daily Express)

ตัวอย่างเช่นอัลกอริธึมการจดจำใบหน้าและการรักษาแบบคาดการณ์ล่วงหน้าได้ก่อให้เกิดอันตรายอย่างแท้จริงในชุมชนที่ด้อยโอกาส อัลกอริธึมนับไม่ถ้วนยังคงเผยแพร่และประมวลการเหยียดเชื้อชาติในโลกออนไลน์

สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ผ่านการกำกับดูแลและระเบียบข้อบังคับ แต่ Gawdat คิดว่าการพัฒนา AI นั้นเป็นการสร้างพระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป็นที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2029 ซึ่งใกล้จะถึงแล้ว ความฉลาดของเครื่องจักรจะแยกส่วนออกจากงานเฉพาะ ถึงตอนนั้นจะมีเครื่องจักรที่ฉลาดกว่ามนุษย์ เครื่องจักรเหล่านี้จะไม่เพียงแต่ฉลาดขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะรู้มากขึ้น (เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมดได้)

พวกมันจะสื่อสารระหว่างกันได้ดีขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความรู้  เมื่อมนุษย์ประสบอุบัติเหตุในการขับรถ มนุษย์ก็จะเรียนรู้ แต่เมื่อรถยนต์ที่ขับด้วยตนเองผิดพลาด รถยนต์ที่ขับด้วยตนเองทุกคันจะเรียนรู้มันไปพร้อมกันได้ทันที

สติปัญญารูปแบบใหม่นี้สามารถมองปัญหาเร่งด่วนที่สุดบางอย่างด้วยมุมมองที่โลกสวยที่สุด ด้วยความรู้ที่ไร้ขอบเขตและความเฉลียวฉลาดที่เหนือชั้น เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่ชาญฉลาดที่มนุษย์เราอาจไม่เคยคิดมาก่อน

Supermachines เหล่านี้สามารถแก้ปัญหาร้ายแรงที่มนุษย์ไม่เคยแก้มันได้ทุกอย่าง เช่น สงคราม อาชญากรรมรุนแรง ความอดอยาก ความยากจน หรือการเป็นทาสในยุคปัจจุบัน

พวกมันสามารถกลายเป็นฮีโร่ของเราได้เช่นกัน แต่โปรดจำไว้ว่า AI ต่างจากมนุษย์ที่มีระบบค่านิยมและศีลธรรมที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะเผชิญกับความขัดแย้งกันที่มีความตึงเครียดมากมายขนาดไหนก็ตามที

แต่หาก AI ได้รับมอบหมายให้แก้ไขยาก ๆ เช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน วิธีแก้ปัญหาแรกที่น่าจะเกิดขึ้น ก็คือการจำกัดวิถีชีวิตที่สิ้นเปลืองของมนุษย์เรา หรือแม้แต่กำจัดมนุษยชาติไปโดยสิ้นเชิงเลยก็เป็นได้ 

ซึ่งท้ายที่สุดมนุษย์เราคือปัญหา ความโลภของเรา ความเห็นแก่ตัวและภาพลวงตาของการพลัดพรากจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ความรู้สึกว่าเราเหนือกว่าชีวิตรูปแบบอื่น

นั่นเป็นสาเหตุของปัญหาทุกประการที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เครื่องจักรจะมีสติปัญญาในการออกแบบโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาที่ร้ายแรงเหล่านี้ แต่พวกมันจะมีศีลธรรมพอที่จะรักษาชีวิตพวกเราไว้หรือไม่ เมื่อในตอนนั้นมนุษย์เราถูกมองว่าเป็นปัญหา มันก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้นั่นเองครับผม

References : https://www.thetimes.co.uk/article/can-this-man-save-the-world-from-artificial-intelligence-329dd6zvd
https://futurism.com/the-byte/google-exec-ai-god
https://wonderfulengineering.com/ai-researchers-are-creating-god-warns-former-google-exec/

บริษัทต่างๆควรเรียนรู้กฎ ‘Chain of Command’ ของ Elon Musk

Elon Musk มีส่วนร่วมกับเจ้าของธุรกิจมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเขาก็ใช้เวลามากมายในการคิดนอกกรอบ แต่จดหมายถึงพนักงานในปี 2018 อาจเป็นอีกหนึ่งข้อแนะนำที่น่าสนใจสำหรับเหล่าผู้นำทางธุรกิจในภาวะที่โลกกำลังหยุดชะงักจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

“การสื่อสารควรเดินทางผ่านเส้นทางที่สั้นที่สุดที่จำเป็นเพื่อให้งานสำเร็จไม่ใช่ผ่านลำดับชั้นมากมายของสายการบังคับบัญชา “” Musk เขียนถึงพนักงานของเขาในปี 2018 “ผู้จัดการคนใดก็ตามที่พยายามบังคับใช้การสื่อสารผ่านสายการบังคับบัญชาจะพบว่าตัวเองต้องย้ายไปทำงานที่อื่นในไม่ช้า .”

Musk กล่าวต่อไปว่า “แหล่งที่มาสำคัญของปัญหา” ใน บริษัท ต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อการสื่อสารไม่ไหลลื่น เขาได้บอกกับพนักงานของ Tesla ว่า “ต้องมีการพูดคุยกันโดยตรงและทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อแก้ไขปัญหา”

สองปีต่อมาโลกมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บริษัทส่วนใหญ่พนักงานจำนวนมากที่ต้องเปลี่ยนมาทำงานจากที่บ้าน มันทำให้การสื่อสารระหว่างแผนกมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยนวิธีการสื่อสารโดยไม่ต้องผ่านลำดับชั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้แน่ใจว่าการสื่อสารระหว่างกันนั้นเกิดความคล่องตัวที่สุด

“สายการบังคับบัญชา” เป็นส่วนหนึ่งของโลกธุรกิจมานานแล้ว โดยมี CEO หรือ President อยู่ด้านบน ซึ่งจะรายงานโดยตรงโดยผู้บริหารในหน่วยงานต่างๆของบริษัท ตามด้วยผู้จัดการอาวุโส ผู้จัดการ และพนักงานระดับปฏิบัติงาน ซึ่งมันได้ถูกสร้างไว้เพื่อให้มีโครงสร้างบางอย่าง

อย่างไรก็ตามสำหรับ Musk การจัดลำดับชั้นแบบนั้นเป็นระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อข้อความถูกส่งไปยังสายการบังคับบัญชาที่เป็นลำดับชั้นจำนวนมาก ข้อความเหล่านั้นอาจติดอยู่ในคอขวด นอกจากนี้ยังอาจเปลี่ยนโทนความสำคัญหรือบริบทเมื่อยิ่งผ่านคนจำนวนมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าข้อความที่ส่งต่อมานั้นจะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ก็อาจใช้เวลานานเกินไปในการเข้าถึงบุคคลที่เหมาะสมซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาที่มีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับบริษัทได้

ปัญหานั้นรุนแรงยิ่งขึ้นในโลกที่พนักงานถูกบังคับให้ทำงานจากระยะไกลโดยใช้เครื่องมือเช่น Slack, Asana, Zoom และอื่น ๆ เพื่อสื่อสาร มันเป็นเรื่องยากกว่าเดิมมาก ๆ ในการสื่อสารกัน โดยเฉพาะการสื่อสารแบบข้ามแผนก

ก่อนหน้าการระบาดของ COVID-19 การส่งข้อความหรือปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไปตามสายการบังคับบัญชา ยังเป็นเรื่องที่ยังพอทำได้อยู่บ้าง แต่ในตอนนี้ด้วยสถานการณ์ของการสื่อสารที่เปลี่ยนไป ต้องบอกว่ามันอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อพนักงานส่วนใหญ่ต้อง Work From Home

ผู้นำทางธุรกิจจึงจำเป็นต้องคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการทำลาย Chain of Command นั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันช่วยให้คุณสบายใจได้ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทีมผู้บริหารระดับสูงของคุณอาจไม่ให้ข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการ

อย่ากำหนดสายบังคับบัญชาของการสั่งการที่มีลำดับชั้นมากจนเกินไป Musk แนะนำ เพราะมันอาจถูกบิดเบือดข้อมูล หรือเกิดการสื่อสารที่ผิดได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการแพร่ระบาดของ COVID-19  ซึ่งในช่วงเวลาที่ธุรกิจอยู่ภายใต้แรงกดดัน ความสามารถในการสื่อสารและตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็น key สำคัญที่จะส่งผลต่อการอยู่รอดของบริษัทได้เลยทีเดียวนั่นเองครับ

References : https://www.inc.com/don-reisinger/companies-should-learn-elon-musks-chain-of-command-rule.html
https://www.cherryprofessional.co.uk/blog/2019/10/elon-musks-revolutionary-management-principles