TikTok x Propaganda เมื่อยักษ์ใหญ่โซเชียลจากจีนพยายามยัดเยียดโฆษณาชวนเชื่อไปยังยุโรป

ต้องบอกว่าเครือข่ายโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเคยตกเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อกันมาแทบจะทั้งหมดแล้ว กรณีใหญ่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016 หรือเคสที่เกิดขึ้นกับ Brexit ที่มีหลักฐานมากมายจากการสืบสวนสอบสวนในภายหลัง

แน่นอนว่า TikTok กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มที่มีจำนวนผู้ใช้งานหลักพันล้านคน การถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด

และ TikTok เองก็มีข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะในข้อมูลจากคลังโฆษณาที่เผยแพร่โดยบริษัทเองเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจคือจากการวิเคราะห์ที่จัดทำโดยสื่อใหญ่อย่าง Forbes (เอนเอียงไปทางโลกตะวันตก) แสดงให้เห็นว่าโฆษณามากกว่า 1,000 รายการจากสื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และ CGTN ได้ถูกแสดงบนแพลตฟอร์มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022

โฆษณาเหล่านี้ได้ถูกแสดงต่อผู้ใช้หลายล้านคนทั่ว ออสเตรีย เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ และสหราชอาณาจักร

โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่โฆษณาโดยสื่อทางการของจีนบน TikTok นั้นเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)
ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย China News International นำเสนอชายคนหนึ่งกำลังเต้นรำที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้คำบรรยายว่า “ซินเจียงเป็นสถานที่ที่ดี!”

วีดีโออีกรายการแสดงให้เห็นพิธีกร CGTN เยี่ยมชมโรงเรียนประถมในซินเจียง ซึ่งเป็นนสถานที่ที่สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียกำลังติดตามการก่อสร้างสถานที่กักกัน 6 แห่ง โฆษณายังโน้มน้าวการท่องเที่ยวในภูมิภาคและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมอุยกูร์ส่วนใหญ่

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในช่วงเดือนธันวาคม นำเสนอเนื้อหาทางวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์การต่อต้านของสหรัฐฯ และยุโรปต่อโครงการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนอย่าง Belt & Road Initiative

โฆษณาอีกชิ้นแสดงวีดีโอจากบล็อกเกอร์ที่กล่าวหาสื่อตะวันตกว่าโกหกเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน

เมื่อ TikTok ห้ามโฆษณาทางด้านการเมือง

เรื่องที่ตลกก็คือ TikTok นั้นมีนโยบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการห้ามโฆษณาในประเด็นทางสังคม การเลือกตั้ง และการเมือง แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้ว่า “หน่วยงานของรัฐอาจมีสิทธิ์โฆษณาหากทำงานร่วมกับตัวแทนการขายโฆษณาของ TikTok”

การที่ TikTok ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ดูจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาของประเทศไทย เมื่อเครื่องมือจากตะวันตกที่เข้าถึงผู้ใช้ระดับ mass อย่าง Facebook นั้นค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากเคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016

Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)
Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)

TikTok จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ เพราะเป็นโซเชียลมีเดียที่สามารถเข้าถึงผู้คนระดับ mass ไม่ต่างจาก Facebook แต่มีนโยบายการกลั่นกรองที่อาจจะไม่เข้มงวดเท่าแพลตฟอร์มจากตะวันตก

แต่อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มสร้างขึ้นมาเอง เพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองที่พวกเขารัก ซึ่งไม่ได้ใช้รูปแบบการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเหมือนเคสที่เกิดขึ้นในยุโรป

TikTok กำลังเผชิญกับการสอบถามจากรัฐบาลมากมายทั้งในยุโรปและต่างประเทศเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีน สำนักงานรัฐบาลในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ได้แบน TikTok จากอุปกรณ์ของรัฐบาลเนื่องจากกังวลว่าแอปดังกล่าวนี้ซึ่ง ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนเป็นเจ้าของ

ความกังวลอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับ TikTok คือความกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจใช้มันเพื่อบิดเบือนวาทกรรมของพลเมืองในประเทศประชาธิปไตย

สื่อของรัฐจีนเองก็มีประวัติในการใช้การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อผลักดันเรื่องเล่าที่สนับสนุนจีนในฝั่งตะวันตก ซึ่งคลังโฆษณาของทั้ง Meta และ Google ก็มีการโฆษณาทำนองนี้จากสื่อของจีนเช่นเดียวกัน

ในปี 2021 พนักงานของ Meta แสดงความกังวลเกี่ยวกับโฆษณาสื่อของรัฐจีนบน Facebook ที่แสดงถึงชาวมุสลิมที่มีความสุขในซินเจียง ซึ่ง Meta กลับมองว่าโฆษณาดังกล่าวไม่ได้ละเมิดนโยบายของบริษัท อย่างไรก็ตามความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่า Meta และ Google นั้นไม่ได้ห้ามในส่วนนี้ แต่ TikTok ประกาศชัดเจนว่าห้ามโฆษณาเกี่ยวกับการเมือง ปัญหาสังคม หรือการเลือกตั้งบนแพลตฟอร์มของตน

บทสรุป

เอาจริง ๆ บทความนี้เนื้อหาส่วนใหญ่เรียบเรียงมากจาก Forbes ซึ่งแน่นอนว่านำเสนอมุมมองที่เป็นบวกต่อโลกตะวันตก และพยายามยัดเยียดความผิดให้ฝั่งจีนเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครอ่านบทความจากสื่อตะวันตกบ่อย ๆ จะทราบดีว่าพวกเขาก็มี agenda แอบแฝงเช่นเดียวกัน

ผมว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ที่แพลตฟอร์มเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะแพลตฟอร์มโลกตะวันตกก็ทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน และอัลกอริธึมก็มีความ Bias อย่างชัดเจนมาก ๆ

ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ผมแทบจะ engagement กับสื่อจากรัสเซียอย่าง Russia Today แทบจะตลอดเวลา แต่ Facebook มีความชัดเจนในการลดการมองเห็นแบบสุด ๆ สำหรับเนื้อหาในฟีดจากสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกตะวันตกในแพลตฟอร์มของพวกเขา และแน่นอนว่าสื่อจากจีนก็โดนแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ในเมื่อ TikTok มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นของจีน ผมว่ามันไม่แปลกที่พวกเขาจะมีโอกาสชี้แจงข้อมูลอีกด้าน ไม่ใช่ถูกยัดเยียดจากความ Bias ของสื่อตะวันตกเพียงอย่างเดียว เพราะสุดท้ายทุกคนต้องได้รับข้อมูลที่รอบด้าน และควรมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วยตนเอง ว่าควรจะเชื่อฝั่งไหนมากกว่ากันนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/iainmartin/2023/07/26/tiktok-chinese-propaganda-ads-europe/?sh=2fdc2bcd203d
https://www.wsj.com/articles/facebook-staff-fret-over-chinas-ads-portraying-happy-muslims-in-xinjiang-11617366096
https://hacked.com/tiktok-propaganda-the-latest-danger-to-your-kids/

Geek Monday EP187 : From Twitter to X กับความเสี่ยงที่จะทำลายมูลค่าแบรนด์นับพันล้านของ Elon Musk

Elon Musk ถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ความบ้าบิ่น รวมถึงวิธีการบริหารงานธุรกิจต่าง ๆ ที่ผ่านมาที่มักจะลงไปล้วงลูกอยู่เสมอ

ล่าสุด Musk ออกคำสั่งให้เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ของ Twitter เป็น “X” และเขาจะเลิกใช้โลโก้รูปนกและคำที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึง “tweet” การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Musk อาจทำลายล้างแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านถึง 20 พันล้านดอลลาร์ ตามที่นักวิเคราะห์และหน่วยงานด้านแบรนด์กล่าว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/bdd83cat

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4arfsveh

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/76282dj8

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4exf959w

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/Qx-vb-SXvcI

References Image : https://www.thedrum.com/news/2023/07/25/can-twitter-s-x-rebrand-incentivize-spurned-advertisers-spend-again

Worldcoin กับการแก้ปัญหาแยกแยะมนุษย์และเครื่องจักรด้วยการสแกนม่านตา

ลองจินตนาการว่าในอนาคตเราอาจจะไม่สามารถแยกแยะระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรหรือ AI ได้ การเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI เมื่อปีที่แล้ว ทำให้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดังกล่าวขึ้นสู่จุดสูงสุด และดูเหมือนว่ามีผู้เชี่ยวชาญหลายคนจะกังวลกับความปลอดภัยของมัน

ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ก่อตั้ง OpenAI อย่าง Sam Altman มีแผนการที่ทะเยอทะยานมากกว่าแค่ AI เพราะเขากำลังปั้นโปรเจกต์ใหม่ที่มีชื่อว่า “Worldcoin”

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “World ID” แบบดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยีการสแกนดวงตา ซึ่ง Altmanได้กล่าวว่า การใช้ ID ผ่านม่านตา สามารถใช้เพื่อเข้าถึงบริการและแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์และ AI

Altman ได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า “Orb” ลูกแก้วทรงกลมแวววาวที่ใช้ในการสแกนดวงตาของสมาชิกใหม่ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับ “World ID” ซึ่งเป็นบันทึกที่พิสูจน์ว่าบุคคลที่ลงทะเบียนเป็นมนุษย์ไม่ใช่ AI

การรุกล้ำความเป็นส่วนตัวที่น่ากังวล

นับตั้งแต่การเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการเมื่อหลายปีก่อน โครงการ Worldcoin ก็ได้ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ รวมถึงการรวบรวม จัดเก็บ และใช้ข้อมูลดังกล่าว

Altman กล่าวว่า เขาหวังว่าจะมีผู้ใช้ 2 พันล้านคนลงทะเบียนกับ Worldcoin ซึ่งในตอนนี้แพลตฟอร์มได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งจะพร้อมใช้งานใน 35 เมือง 20 ประเทศ รวมถึงโทเค็น Worldcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลบนบล็อกเชนที่สามารถใช้ได้เมื่อผู้ใช้พิสูจน์ตัวตนแล้ว

Worldcoin ได้ทวีต ภาพถ่ายของวัตถุกับฉากหลังของเมืองใหญ่ เป็นรูปของ Orb วัตถุทรงกลมปริศนาที่สร้างความฉงนให้กับผู้ที่มองเห็นมัน

ในลิสบอนกับฉากหลังทิวทัศน์อันสวยงามของหอคอยเบเล็ม ส่วนในสิงคโปร์ มันก็ตั้งโดดเด่นสะดุดตาพร้อมกับฉากหลังของ Marina Bay Sands ในไมอามี Orb ที่ขนาบข้างด้วยต้นปาล์ม และอีกลูกที่สะท้อนท้องฟ้าในโตเกียว ซึ่งทำให้มันกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ทันที

Orb กับฉากหลังของ Marina Bay Sands (CR:Business Insider)
Orb กับฉากหลังของ Marina Bay Sands (CR:Business Insider)

อย่างไรก็ดี Worldcoin ก็เผชิญกับปัญหาจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ จากวิกฤติความเชื่อมั่นที่ได้เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาจากการล่มสลายของทั้ง FTX และ Celsius ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลออกมาตรการบังคับเพื่อปราบปรามโครงการ crypto ที่เน้นไปที่การเก็งกำไร

นั่นทำให้โทเค็น Worldcoin จะไม่สามารถใช้งานได้ในสหรัฐฯ แต่ Altman ก็ได้กล่าวกับ Financial Times ว่า “ผมจะบอกว่ามีประชากรโลก 95% ที่ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ เราไม่ได้สนใจตลาดสหรัฐอเมริกามากนัก”

ซึ่งแม้จะมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบ นักลงทุนก็ได้เทเงินประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่ Worldcoin รวมถึงกลุ่มทุน Andreessen Horowitz และ Khosla Ventures

บทสรุป

Worldcoin ดูเหมือนจะคาดการณ์ถึงคำวิจารณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องความเป็นส่วนตัว จึงได้ออกมาประกาศว่า ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนตัวใด ๆ หากไม่ต้องการ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับไบโอเมตริกซ์ภายในดวงตาของผู้ใช้

แม้จะมีความกังวล แต่ก็มีผู้คนกว่าสองล้านคนได้ลงทะเบียนเพื่อใช้งานแล้ว Worldcoin นั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการจัดการความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจจากเทคโนโลยี AI และจะแจกโทเค็นดิจิทัลให้กับผู้คนหลายพันล้านคนแบบฟรี ๆ

มันก็ยังไม่ชัดเจนว่าเทคโนโลยีแบบนี้จะสามารถแก้ปัญหาเชิงระบบที่มีความซับซ้อนได้หรือไม่ แต่ตอนนี้เจ้าลูกทรงกลมประหลาดได้ปรากฎต่อหน้าผู้คนไปทั่วโลกแล้ว

โลกเรามาถึงจุดนี้แล้วจริง ๆ หรือ ลองจินตนาการถึงการจ้องมองไปยังลูกทรงกลมนี้ ในขณะที่ “Orb” กำลังยืนยืนความเป็นมนุษย์ของคุณ ต้องบอกว่ามันคงเป็นเรื่องที่พิลึกสิ้นดี …

References :
https://www.forbes.com/sites/roberthart/2023/07/24/what-is-worldcoin-heres-what-to-know-about-the-eyeball-scanning-crypto-project-launched-by-openais-sam-altman/?sh=3cdde45e5c4b
https://www.ft.com/content/b7a867f4-2462-4d1b-a805-b821bf0804f6
https://www.businessinsider.com/sam-altman-worldcoin-orb-photos-2023-7
https://siamblockchain.com/2023/07/28/chatgpt-creator-sam-altman-shows-video-of-people-registering-for-worldcoin-iris-scans/

https://www.theblock.co/post/210014/sam-altman-worldcoin-fundraise

Geek China EP38 : The Arranged Marriage of Meituan and Dianping

• จากสถิติพบว่าในช่วง 3ปี ระหว่างปี 2013 ถึง 2015 Meituan มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจหลายแขนง มากกว่าสิบประเภท ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ การรับประทานอาหารนอกบ้าน การจัดเลี้ยง โรงแรม ตั๋วสถานที่ท่องเที่ยว ครอบครัว งานแต่งงาน และอีคอมเมิร์ซ และช่วงที่ธุรกิจ O2O เติบโตอย่างคาดไม่ถึง แม้แต่การให้บริการแบบ door-to-door เช่น ทำเล็บ ทำความสะอาด บริการช่างเปิดประตู ล้างและดูแลรถยนต์ ก็ถูกจัดหมวดหมู่ไว้ในนี้

• คู่แข่งก็ขยายตัวเช่นกัน Alibaba ก็วางแผนที่จะชุบชีวิต Koubei.com ด้วยเงิน 6 พันล้านหยวน และไป่ตู้ประกาศว่าจะใช้เงิน 2 หมื่นล้านหยวน ในอีก 3 ปีข้างหน้าเพื่อท้าทายตำแหน่งทางการตลาดของ Meituan

• ภายในกลางปี 2015 Meituan ก็ประกาศอีกครั้งว่า ปริมาณธุรกรรม ในครึ่งปีแรกของ 2015 อยู่ที่ 47,000 ล้านหยวน ซึ่งเกินยอดปริมาณธุรกรรมทั้งหมดของปี 2014 (ทั้งปี 2014 อยู่ที่ 45,000 ล้านหยวน)

• Meituan ต้นปี 2015 ได้ระดมทุนไป 700 mill USD Valuation บริษัทตอนนั้นอยู่ที่ 7,000 ล้าน USD ส่วน Dianping เองก็ระดมทุนไป 850 ล้าน USD มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 4,050 ล้าน USD ซึ่งตอนนั้น Dianping มี MAU อยู่ที่ 190 ล้านบัญชี Meituan ก็มีประมาณ 200 ล้านบัญชี สองบริษัทก็ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้ แต่สำคัญคือ จำนวนเงินทุนที่ถูกเผาไปมากเหลือเกิน อีกทั้งมีผลประโยชน์ทับซ้อนของนักลงทุนหลักอีกด้วย

• สุดท้ายข่าวที่ทุกคนรอคอยคือการ Merge กันระหว่าง Meituan กับ Dianping เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2015 Meituan-Dianping ประกาศการควบรวมกิจการอย่างเป็นทางการ กลายเป็นแพลตฟอร์มสำหรับบริการด้านไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน

• หลังจากการควบรวมกิจการ โครงสร้างบุคลากรของทั้งสองฝ่ายจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และแบรนด์และธุรกิจของทั้งสองฝ่ายจะได้รับการดำเนินการอย่างอิสระ ช่วงแรกของการตั้งบริษัทใหม่จะใช้ระบบเป็น CO-CEO การตัดสินใจที่สำคัญจะทำในระดับ CO-CEO แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดในการคงระบบ CO-CEO เพราะเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ แล้วยิ่งเป็นคู่แข่งกันมาก่อน

• ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรต่อ รายละเอียดทั้งหมดติดตามรับฟังได้ใน EP 38

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/fhjcx47t

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4fanpuyp

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/2atzuhw5

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5dyrrdpa

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ZVW8UAWSfvk

References Image : https://www.chinatravelnews.com/article/96729

หมดยุคมนุษย์ทองคำสายเทค เมื่อยุคฟุ้งเฟ้อของการจ้างงานเกินจริงได้จบสิ้นลงแล้ว

เรียกได้ว่าช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ถือได้ว่าเป็นยุคที่พีคที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์ทองคำสายเทคโนโลยีทั้งหลาย เมื่อการจ้างงานแพร่สะพัดไปทั่วแวดวงบริษัทเทคโนโลยี ด้วย demand ความต้องการทางด้านเทคโนโลยีที่เกินจริงในช่วงการแพร่ระบาด

แต่เมื่อการแพร่ระบาดได้สิ้นสุดลง trend การจ้างงานใหม่นั้นเริ่มมีแนวโน้มชัดเจนว่า งานสายเทคมันไม่ได้เป็นอาชีพที่หอมหวลเหมือนเคยอีกต่อไป หลังจากเหล่าบริษัทเทคยักษ์ใหญ่หลายแห่งต่างเลิกจ้างกันเป็นว่าเล่น

Mark Zuckerberg ได้ขนานนามปี 2023 ให้เป็นปีแห่งการรีดประสิทธิภาพองค์กรของ Meta ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Meta ได้ปลดพนักงาน 21,000 ตำแหน่ง หรือ ราว ๆ หนึ่งในสี่ของพนักงานทั้งหมด

Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) , Amazono และ Microsoft ได้เลิกจ้างงานรวมกันกว่า 50,000 ตำแหน่ง ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา

และตามรายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ส่วนใหญ่ มีแต่การพูดถึงการปรับโครงสร้างต้นทุนใหม่มากขึ้น ซึ่งมันไม่ได้เกิดเฉพาะเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จากข้อมูลของ layoffs.fyi ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ติดตามการเลิกจ้าง บริษัทเทคโนโลยีเกือบ 900 แห่งทั่วโลกได้ประกาศปลดพนักงานรวมกันกว่า 240,000 ตำแหน่งในปี 2023

ภาวะตกต่ำทางด้านเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อบริษัทอายุน้อย หรือ บริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องอาศัยการระดมทุนเพื่อเผาผลาญเงินในการเติบโตมากที่สุด ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ความฝันในการที่จะสร้างกำไรมากมายในอนาคตดูเหมือนจะเป็นเรื่องเกินฝันในตอนนี้

การลงทุนของบริษัทร่วมทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 อยู่ที่ 144 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนสูงถึง 293 พันล้านดอลลาร์ที่บริษัทสตาร์ทอัพสามารถระดมทุนได้ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022

จากข้อมูลของ Carta ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหุ้นสำหรับสตาร์ทอัพ ในไตรมาสแรกของปี 2023 เกือบหนึ่งในห้าของข้อตกลงร่วมทุนทั้งหมดเป็น “รอบขาลง” ซึ่งเหล่าบริษัทสตาร์ทอัพต่างเพิ่มทุนด้วยการประเมินมูลค่าที่ต่ำกว่ารอบก่อนหน้า

ตัวอย่างมูลค่าของ Stripe ซึ่งเป็นบริษัท Fintech ดาวเด่นมูลค่าลดลงจาก 95 พันล้านดอลลาร์เหลือเพียงแค่ 50 พันล้านดอลลาร์ หลังจากระดมทุนครั้งล่าสุดในเดือนมีนาคมปี 2023

Stripe ที่มูลค่าร่วงกราว (CR:ZDNet)
Stripe ที่มูลค่าร่วงกราว (CR:ZDNet)

นั่นเป็นการบีบบังคับให้ Alphabet และ Meta ทบทวนนิสัยบางอย่างที่ได้มาในช่วงหลายปีที่พวกเขาสามารถเสกเงินมาได้อย่างง่ายดาย คำว่า “ประสิทธิภาพ” กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงไปทั่วทั้ง Silicon Valley บริษัทที่เคยชินกับการผลาญเงินเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดกำลังพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

จุดเริ่มต้นคือเงินเดือนสุดเฟ้อ

บริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่นั้นต้นทุนหลัก ๆ ก็คือเงินเดือนของเหล่ามนุษย์ทองคำที่หวังจะมาช่วยสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พลิกโลกที่จะสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำในอนาคต

ในเดือนกรกฎาคมประกาศรับสมัครงานบน Hacker News ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวสำหรับ programmer ลดลง 40% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว

บริษัทสตาร์ทอัพโดยเฉลี่ยพยายามที่จะลีนองค์กรให้มีความคล่องตัวมากขึ้น จำนวนพนักงานเฉลี่ยในบริษัทใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2018 บริษัทที่ระดมทุนได้ระหว่าง 10 ล้านดอลลาร์ถึง 25 ล้านดอลลาร์ มีพนักงานเฉลี่ยประมาณ 50 คน กลับกันในปี 2023 บริษัทที่มีความคล้ายคลึงกันจะมีพนักงานลดลงเหลือเฉลี่ย 41 คน และมีแนวโน้มในลักษณะเดียวกันสำหรับบริษัทสตาร์ทอัพขนาดใหญ่ ไปจนถึงบริษัทที่ใกล้จะ exits ที่ระดมทุนได้มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหล่าบริษัทเทคโนโลยีนั้นเน้นโกยพนักงานหัวกะทิมาให้ได้มากที่สุดก่อน ผ่านการแย่งชิงด้วยการอัพเงินเดือนให้แพงเว่อร์ โดยแทบไม่ได้คำนึงถึงงานที่จะทำจริง ๆ แต่ตอนนี้เหตุการณ์ดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

บริษัทเทคโนโลยีต่างยอมรับ AI “Co Pilot” บน Github ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของ Microsoft ที่จะมาเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ดให้กับนักพัฒนาได้มากมายหลายภาษาทั้ง Python, Go, TypeScript หรือแม้แต่ Ruby โดย Copilot นั้นเกิดจากการเรียนรู้โค้ดของ AI มากกว่าพันล้านบรรทัดที่เปิดเป็น Public Code อยู่บน Github ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเขียนโค้ดลงและช่วยให้โฟกัสกับงานได้มากขึ้น และยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของผู้เขียนโค้ดได้ถึง 30%

“Co Pilot” บน Github ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของ Microsoft ที่จะมาเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ดให้กับนักพัฒนา (CR:Amit Merchant)

หรือแม้กระทั่งพนักงานในแผนกอื่น ๆ ก็ใช้เครื่องมือ AI ตั้งแต่ Chatbot เช่น ChatGPT ที่ช่วยส่งอีเมลสำหรับนักการตลาด ไปจนถึงซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ปรับปรุงประสิทธิภาพการขาย ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้นรายหนึ่งซึ่งมีพนักงานน้อยกว่า 10 คนประเมินว่า AI ได้เพิ่ม productivity ของบริษัทไปแล้ว 30-40%

นั่นเองที่หนึ่งในสตาร์ทอัพไม่กี่ประเภทที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องราวดังกล่าว ก็คือผู้ที่พัฒนาเครื่องมือ AI ทั้งหมด ที่ได้รับการระดมทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

Anthropic บริษัทที่ก่อตั้งโดยผู้ที่แปรพักต์จาก Open AI ซึ่งสร้าง ChatGPT ที่มีพนักงาน 160 คนระดมทุนได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์ Adept บริษัทที่ก่อตั้งโดยอดีตพนักงานของ Deepmind ซึ่งเป็นแล็ป AI ของ Alphabet ระดมทุนได้ 415 ล้านดอลลาร์ โดยมีพนักงานเพียงแค่ 37 คนเพียงเท่านั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทสุด Hot ก่อนหน้านี้ในสายฟินเทคอย่าง Klarna บริษัทด้านการชำระเงินของสวีเดนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีพนักงาน 2,700 คน ณ เวลาที่สามารถระดมทุนได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ Databricks บริษัทฐานข้อมูลก็มีจำนวนพนักงานสูงถึง 1,700 คน ในรอบการระดมทุนที่มูลค่าจำนวนเท่ากัน

บทสรุป

ต้องยอมรับความจริงที่ว่ายุคมนุษย์ทองคำสุดเฟ้อของพนักงานกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีนั้นกำลังใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Meta , Alphabet หรือ Microsoft จนถึงบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ขนาดเล็ก ตอนนี้พวกเขาต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่

แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใน silicon valley มันกำลังฉายภาพสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยเราเช่นกัน ในยุคที่เงินทุนกำลังหายากรวมถึงกระแสการลงทุนใหม่ที่ย้ายจาก buzzword เดิม ๆ อย่าง Fintech , Blockchain , Metaverse , Web3 … ไปสู่ AI แบบเต็มตัว

ส่วนตัวเองเมื่อก่อนก็เคยคิดว่า กลุ่มคนที่ทำงานสายเทคโนโลยี ซึ่งเป็นคนที่สร้างเทคโนโลยี AI ขึ้นมากับมือนั้น ยังไงก็ไม่มีทางตกงาน ยังไงก็ต้องถูกแย่งตัวแน่นอนหากมีความสามารถที่ดีจริง

แต่ตอนนี้ ต้องมานั่งคิดกันใหม่แล้ว เมื่อเทคโนโลยีที่เหล่ามนุษย์ทองคำเหล่านี้ช่วยการสรรค์สร้างมันขึ้นมากว่าหลายปี กลายเป็นว่าวันนี้ พวกมันกำลังจะกลับมาทำร้ายพวกเขาที่เป็นเหมือนบิดาบังเกิดเกล้าของ AI เหล่านี้ไปซะแล้วนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/07/25/next-generation-googles-run-a-tighter-ship
https://tech.hindustantimes.com/tech/news/google-and-amazon-struggle-to-lay-off-workers-in-europe-71680801507502.html
https://medium.com/the-enterprise/copilot-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%94-ef51493d5011