Make Bitcoin Great Again : Donald Trump กับภารกิจพลิกโฉมอนาคตวงการคริปโตโลก

ต้องบอกว่าสถานกาณ์ในขณะนี้โลกการเมืองและโลกของเทคโนโลยีได้หลอมรวมกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี

เมื่อไม่นานมานี้ Trump ได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้สนับสนุนบิทคอยน์นับพันคนในงานประชุมประจำปีที่เมือง Nashville โดยเขาได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นว่า หากได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เขาจะทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็น “มหาอำนาจบิทคอยน์ของโลก”

คำพูดนี้ได้สร้างความตื่นเต้นและความหวังให้กับผู้คนในวงการคริปโตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พวกเขารู้สึกอึดอัดกับการตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน

Trump ได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “งานของผมคือการปลดปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่ออุตสาหกรรมคริปโต คำพูดนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ฟัง ที่มองว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา

การปรากฏตัวของ Trump ในครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทัศนคติของเขาที่มีต่อคริปโตเคอเรนซี เมื่อเทียบกับเพียงสามปีก่อนที่เขาเคยเรียกบิทคอยน์ว่าเป็น “การหลอกลวง” ที่คุกคามเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดคริปโตด้วย

ทันทีที่ข่าวนี้แพร่สะพัด ราคาของบิทคอยน์ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ โดยแตะระดับ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นช่วงสั้นๆ และเกือบจะทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 73,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันมหาศาลที่การเมืองสามารถมีต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

Shervin Pishevar นักลงทุนร่วมทุนชื่อดัง ได้แสดงความเห็นต่อ Financial Times ว่า “ผมคิดว่า Trump จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่สนับสนุนคริปโตอย่างเต็มที่” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังที่สูงของวงการคริปโตที่มีต่อ Trump และนโยบายที่อาจเกิดขึ้นหากเขาได้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การที่วงการคริปโตหันมาสนับสนุน Trump อย่างเต็มที่นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมนี้กำลังพยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวของ Sam Bankman-Fried ผู้ก่อตั้ง FTX ที่ถูกจำคุก 25 ปีในข้อหาฉ้อโกงเมื่อต้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีการปราบปรามอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ประกอบการในวงการนี้เป็นอย่างมาก

Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz ซึ่งอ้างว่าเป็นนักลงทุนคริปโตรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้แสดงความคิดเห็นว่า คริปโตกำลังเผชิญกับ “การโจมตีอย่างรุนแรง” ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden และ Gary Gensler ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) เขากล่าวด้วยความผิดหวังว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอย่างมากและเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดความคืบหน้าในเรื่องนี้กับทำเนียบขาว”

Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz (CR:Facts.net)
Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz (CR:Facts.net)

ในทางตรงกันข้าม Trump ได้แสดงจุดยืนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยเขาได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และครอบคลุมทั้งหมดสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต เขากล่าวว่า “มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง 180 องศาจากสิ่งที่เราเคยประสบมา” คำพูดนี้สร้างความหวังให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนในวงการคริปโตเป็นอย่างมาก

การปรากฏตัวของ Trump ใน Nashville นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีของฝ่ายรัฐบาล Biden โดย Kamala Harris รองประธานาธิบดี ซึ่งเคยอยู่ในการเจรจาขั้นสุดท้ายเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในงานเดียวกันนี้ แต่กลับตัดสินใจไม่เข้าร่วมในที่สุด การตัดสินใจนี้ถูกมองว่าเป็นการพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับวงการคริปโต

ในขณะเดียวกัน บริษัทชั้นนำในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลก็พร้อมที่จะทุ่มเทสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของ Trump อย่างเต็มที่ เมื่อเดือนที่แล้ว Pishevar ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานระดมทุนให้ Trump ใน Silicon Valley ที่บ้านของนักลงทุน David Sacks โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำในวงการคริปโตเข้าร่วมมากมาย รวมถึงผู้บริหารของ Coinbase และ Tyler และ Cameron Winklevoss ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Gemini

ที่น่าสนใจคือ แต่ละคนได้บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรูปแบบบิทคอยน์ให้กับการรณรงค์หาเสียงของ Trump นอกจากนี้ Jesse Powell ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต Kraken ก็ได้บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของอีเธอร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกตัวที่ได้รับความนิยมรองจากบิทคอยน์

การสนับสนุนอย่างล้นหลามจากวงการคริปโตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในห้องประชุมเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปทั่วเมือง Nashville ในช่วงที่มีการจัดงาน ผู้เข้าร่วมงานหลายคนสวมหมวกสีแดงที่มีข้อความว่า “Make Bitcoin Great Again” ซึ่งเป็นการดัดแปลงคำขวัญหาเสียงของ Trump ให้เข้ากับบริบทของคริปโต นอกจากนี้ ยังมีรถ Tesla Cybertruck ที่ติดโฆษณา Bitcoin วิ่งวนรอบสถานที่จัดงาน สร้างสีสันและความตื่นเต้นให้กับผู้คนในพื้นที่

ในสุนทรพจน์ของ Trump เขาได้ให้คำมั่นสัญญามากมายสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตของสหรัฐฯ ตั้งแต่การเรียกพวกเขาว่าเป็น “Edison ยุคใหม่” ไปจนถึงการพิจารณาลดโทษให้กับ Ross Ulbricht ผู้ซึ่งถูกจำคุกตลอดชีวิตจากการสร้างตลาดมืดออนไลน์ Silk Road

คำสัญญาเหล่านี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสัญญาว่าจะปลด Gary Gensler ออกจากตำแหน่งประธาน SEC ซึ่งเป็นบุคคลที่วงการคริปโตมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม

ภายใต้การดำรงตำแหน่งของ Gensler SEC ได้ดำเนินการทางกฎหมายกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่หลายราย รวมถึง Binance, Coinbase, Kraken และ Gemini ตลอดจนผู้ให้บริการชำระเงิน Ripple Labs และบริษัทซอฟต์แวร์บล็อกเชน Consensys ในข้อหาละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์

Gary Gensler มีแววที่จะถูกเชือดหาก Trump ได้ขึ้นครองอำนาจ (CR:Jobba)
Gary Gensler มีแววที่จะถูกเชือดหาก Trump ได้ขึ้นครองอำนาจ (CR:Jobba)

การดำเนินการเหล่านี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับวงการคริปโตเป็นอย่างมาก และทำให้พวกเขามองหาทางเลือกใหม่ทางการเมืองที่จะเข้าใจและสนับสนุนอุตสาหกรรมของพวกเขามากขึ้น

Trump ยังให้คำมั่นว่าจะยุติ “การกดขี่” ต่ออุตสาหกรรมคริปโต โดยกล่าวว่ากฎระเบียบควร “เขียนโดยคนที่รักอุตสาหกรรมของคุณ ไม่ใช่คนที่เกลียดอุตสาหกรรมของคุณ” คำพูดนี้ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากผู้เข้าร่วมงาน ที่รู้สึกว่าในที่สุดก็มีนักการเมืองระดับสูงที่เข้าใจความต้องการของพวกเขา

นอกจากนี้ คำสัญญาของ Trump ที่จะสร้าง “คลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติเชิงกลยุทธ์” (strategic national bitcoin stockpile) โดยไม่ขายบิทคอยน์ประมาณ 210,000 เหรียญที่ถูกยึดโดยรัฐบาลกลาง ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้เข้าร่วมการประชุม แนวคิดนี้ถูกมองว่าเป็นการยอมรับถึงความสำคัญของบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อนโยบายการเงินและเศรษฐกิจในอนาคต

Fred Thiel ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Marathon Digital Holdings บริษัทขุดคริปโตชั้นนำ กล่าวหลังจากพบกับ Trump ว่า “ผมคิดว่าเขาได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของวงการคริปโตที่มีต่อ Trump และนโยบายที่เขานำเสนอ

อย่างไรก็ตาม การรณรงค์หาเสียงของ Trump ที่สนับสนุนคริปโตนั้นไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่ได้ดำเนินมาหลายเดือนแล้ว เขาได้รับการชำระเงินในรูปแบบคริปโตและกล่าวว่าการรณรงค์หาเสียงของเขาได้รับเงินบริจาคในรูปแบบคริปโตมากกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ JD Vance ตัวเลือกรองประธานาธิบดีของเขา ก็ถือครองบิทคอยน์มูลค่าสูงถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามแบบฟอร์มเปิดเผยข้อมูลทางการเงินปี 2022 สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้การรณรงค์หาเสียงของพรรครีพับลิกันได้รับคำชมเชยเพิ่มเติมจากผู้บริหารในวงการคริปโต

ในขณะเดียวกัน ตลาดคริปโตก็ได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจทางการเมืองมากขึ้นนับตั้งแต่สมัยที่ Sam Bankman-Fried สนับสนุนนักการเมืองรายบุคคล กลุ่มสนับสนุนคริปโต Fairshake ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่ม Super PAC (กลุ่มทำงานด้านการเมืองที่สามาถระดมทุนและใช้จ่ายเงินได้โดยไม่จำกัดจำนวน) ที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้ โดยระดมทุนได้เกือบ 203 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคริปโตหลายแห่ง เช่น Coinbase, Ripple และ Andreessen Horowitz แม้ว่าจะไม่มีแผนที่จะมีส่วนร่วมโดยตรงในการรณรงค์หาเสียงประธานาธิบดี แต่การมีอยู่ของกลุ่มนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของอุตสาหกรรมคริปโตที่จะมีอิทธิพลต่อนโยบายระดับชาติ

ผู้บริหารระดับสูงของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตในสหรัฐฯ รายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่า “ชัดเจนว่า [Trump] คิดมานานแล้วเกี่ยวกับการรักษาอุตสาหกรรมของอเมริกาไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องการค้าหรือการรักษาสิ่งต่างๆ ไว้ในประเทศ ผมสงสัยว่านั่นคือหลักการพื้นฐาน” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของวงการคริปโตที่มีต่อวิสัยทัศน์ของ Trump ในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของ Trump ที่มีต่อคริปโต Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการสนับสนุน Trump ของตลาดที่อาจมองเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น เขาเขียนในบล็อกโพสต์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า การสนับสนุนผู้สมัครที่เป็นมิตรกับคริปโตเพียงเพราะพวกเขาแสดงท่าทีสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสัมพันธ์ที่อาจมองเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง Trump และอุตสาหกรรมคริปโต

Vinod Khosla ผู้ก่อตั้ง Khosla Ventures กล่าวว่า “ความคิดเห็นของ Trump สามารถซื้อได้ดังที่เราเห็น” โดยเสริมว่าผู้บริหารกำลังบริจาคให้กับการรณรงค์หาเสียงของเขาอย่างชัดเจนเพื่อให้ได้รับกฎระเบียบที่ผ่อนคลายลง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถทำกำไรได้มากขึ้น

Sheila Warren ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Crypto Council for Innovation ได้แสดงความคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์ว่า การรณรงค์หาเสียงของ Trump “แน่นอนว่าฉลาดมากเมื่อพูดถึงการรู้ว่าใครเป็นผู้ให้การสนับสนุนและรู้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มไหนอาจเป็นประโยชน์” อย่างไรก็ตาม เธอยังเตือนว่า “การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและการเป็นประธานาธิบดีเป็นเรื่องที่แตกต่างกันมาก… สิ่งที่เขาจะทำจริงๆ เมื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป”

ท่ามกลางความหวังและความกังวล การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Trump และการตอบรับจากวงการคริปโตได้สร้างความตื่นเต้นและการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในวงการการเงินและเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแวดวงการเมืองด้วย การผสมผสานระหว่างการเมืองและเทคโนโลยีการเงินแบบใหม่นี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

ในขณะที่วงการคริปโตกำลังตื่นเต้นกับวิสัยทัศน์ของ Trump เกี่ยวกับ “มหาอำนาจบิทคอยน์โลก” เราต้องไม่ลืมว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการเงินมักจะมาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดเช่นเดียวกัน

การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการกำกับดูแลที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือ บทบาทของคริปโตเคอเรนซีในระบบการเงินและเศรษฐกิจโลกจะยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางต่อไปในอนาคต

References :

  1. Financial Times
  2. Coindesk
  3. Bloomberg
  4. https://www.financemagnates.com/cryptocurrency/make-bitcoin-great-again-crypto-turns-political-as-industry-leaders-bet-on-trump/

สรุปเนื้อหา จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ bitcoin จำนวน 21 ล้านเหรียญถูกขุดจนหมดสิ้นแล้ว

คำถามที่มักถูกถามในหมู่กลุ่มโปร bitcoin คือ เมื่อ bitcoin ที่จำกัดจำนวนไว้ 21 ล้านเหรียญถูกขุดจนหมดแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับเครือข่ายของมัน? มีวีดีโอที่สรุปเรื่องนี้ของ CoinGecko ที่ทำไว้ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

bitcoin มีจำนวนจำกัดสูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ และเมื่อทุกเหรียญถูกขุดหมดแล้ว นักขุดจะต้องพึ่งพารายได้จากแหล่งอื่น ๆ แทน เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ฯลฯ เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้ยังคงรับรองการทำธุรกรรมและรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายต่อไป

Highlights

🪙 bitcoin มีจำนวนจำกัดสูงสุด 21 ล้านเหรียญ คล้ายกับทรัพยากรที่มีจำกัด เช่น ทองคำ

⛏️ การขุดเหรียญเป็นกระบวนการแก้ปัญหาทาง cryptographic เพื่อเพิ่มบล็อกเข้าสู่บล็อกเชนและรับรางวัล

🔗 รางวัลการขุดบล็อกจะลดลงทุกครั้งที่มีการ halving จนในที่สุดรางวัลจะเป็นศูนย์

💸 นักขุดจะต้องพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม , demand response programs ในเรื่องการจ่ายไฟ และรายได้จากเรื่องของพลังงานหมุนเวียน

❓ บางคนอาจจะสงสัยว่าค่าธรรมเนียมเพียงอย่างเดียวจะเพียงพอในการจูงใจนักขุดหรือไม่ แต่ก็มีทางออกที่เป็นไปได้

💼 นักลงทุนรายใหญ่หรือประเทศต่างๆ อาจเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาความมั่นคงของเครือข่ายหากจำเป็น

🌐 อนาคตของการขุด bitcoin จะขึ้นอยู่กับปัจจัยและสิ่งจูงใจต่างๆ

Key Insights

⛏️ การที่รางวัลการขุดบล็อกลดลงจนในที่สุดเป็นศูนย์นั้นเป็นความท้าทายสำหรับนักขุด bitcoin ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของการทำเหมืองขุด

💰 การพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเป็นแหล่งรายได้หลักของนักขุดอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงตลาดขาลง จึงจำเป็นต้องมีแหล่งรายได้ทางเลือกอื่นๆ

⚡ การมีส่วนร่วมใน demand response programs ของการจ่ายไฟ และการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าในราคาถูกหรือแม้แต่กระทั่งฟรี สามารถช่วยให้นักขุดสามารถชดเชยรายได้ที่ลดลงและคงไว้ซึ่งความสามารถในการทำกำไร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการกระจายรายได้ของเหล่านักขุด

🌍 การมีส่วนร่วมที่เป็นไปได้จากนักลงทุนรายใหญ่หรือประเทศต่างๆ สามารถสนับสนุนเครือข่าย bitcoin เพิ่มเติมได้ ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของเครือข่ายในระยะยาว

🔮 ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของการขุด bitcoin รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงาน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดอนาคตของการทำเหมืองขุดและความยั่งยืนของเครือข่ายโดยรวม

🏦 การนำ bitcoin มาใช้อย่างแพร่หลายหรือการยอมรับเป็นสกุลเงินสำรองของสถาบันหรือรัฐบาล จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายได้มากขึ้น โดยจะมีการดึงดูดทรัพยากรและความเชี่ยวชาญเพิ่มเติมเข้ามาสนับสนุนกิจกรรมการขุดเหรียญเพิ่มมากขึ้น

🚀 การพัฒนาวิธีแก้ปัญหาของการขุด bitcoin เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการคิดค้นรูปแบบรายได้ใหม่ๆ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประกันความสำเร็จและการเติบโตของเครือข่ายในระยะยาว

Opinion

จะเห็นได้ว่าในตอนนี้เหล่าบรรดานักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนระดับเทพทั้งหลายกำลังทำงานอย่างหนักในการค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงโปรโตคอล bitcoin และ ecosystem ของมัน ตัวอย่างเช่น การพัฒนา Layer 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม

หรือการนำเสนอโปรโตคอลการขุดแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาแรงจูงใจของนักขุดและความยั่งยืนของเครือข่าย bitcoin ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความไม่แน่นอนและความท้าทายมากมายที่ต้องเผชิญในอนาคต เพราะโลกของเทคโนโลยีมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึงอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานด้วย การแก้ปัญหาเหล่านี้จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการยอมรับ bitcoin ในวงกว้างมากขึ้น

สรุป แม้จะมีความท้าทายอยู่มากมาย แต่เหล่าชุมชน bitcoin ที่มีอยู่ทั่วโลกกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต โดยมุ่งเน้นที่การสร้างรูปแบบรายได้ใหม่ๆ สำหรับนักขุด การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับวันที่เหรียญจำนวน 21 ล้านเหรียญมันได้ถูกขุดไปจนหมดสิ้นแล้วนั่นเองครับผม

คำเตือนครั้งสุดท้ายของ Satoshi Nakamoto

Bitcoin มีความโชคดีในการเข้ามาสู่โลกในช่วงเวลาที่เป็นยุคยูโทเปียหลังจากเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ที่ทำให้เกิดข้อบกพร่องหลายประการของระบบการเงินและการเมืองที่มีอยู่ของเรา นั่นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความปรารถนาในการแสวงหาทางเลือกอื่น

ในขณะที่กลุ่ม Tea Party กำลังครอบครองวอลล์สตรีท ฟากฝั่งของ WikiLeaks ก็มีเป้าหมายที่แตกต่างออกไป พวกเขาต้องการที่จะยึดอำนาจคืนจากชนชั้นสูงที่ได้รับสิทธิพิเศษและมอบคืนให้กับคนธรรมดาเดินดิน

Bitcoin เป็นโซลูชันทางเทคโนโลยีที่ชัดเจนสำหรับความต้องการเหล่านี้ เห็นได้ชัดจากผู้คนมากมายที่ทิ้งชีวิตเก่า ๆ ไว้เบื้องหลังเพื่อไล่ตามเทคโนโลยีนี้

สำหรับโครงการที่โดดเด่นที่สุดที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน Bicoin ให้กลายเป็นเงินจริง ๆ โครงการแรก คือ Bitcoin faucet ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่แจก Bitcoins ฟรี 5 เหรียญสำหรับทุกคนที่ลงทะเบียน

ผู้สร้างโครงการคือ Gavin Andresen โปรแกรมเมอร์ในแมสซาชูเซตส์ซึ่งยินดีจ่ายเงิน 50 เหรียญเพื่อแลกกับ 10,000 Bitcoins

เขาได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยีครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมจากเว็บไซต์ของ InfoWorld  โดย Gavin เขียนไว้ในฟอรัมว่า “ผมต้องการให้โครงการ Bitcoin ประสบความสำเร็จและผมคิดว่ามันมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นหากผู้คนสามารถหาเหรียญจำนวนหนึ่งมาทดลองใช้ แน่นอนว่าอาจเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ต้องรอจนกว่าโหนดของคุณจะสร้างเหรียญขึ้นมา และดูเหมือนว่าการซื้อ Bitcoins นั้นก็ยังค่อนข้างยุ่งยาก”

ในการเริ่มเข้าร่วมโครงการ Bitcoin Gavin ได้เริ่มส่งอีเมลถึง Satoshi Nakamoto ชายลึกลับผู้เริ่มต้นโปรเจกต์ Bitcoin อย่างรวดเร็วเพื่อแนะนำการปรับปรุงโค้ดของตัวเองและในเวลาไม่นานก็กลายเป็นบุคคลแรกนอกเหนือจาก Satoshi ที่ทำการเปลี่ยนแปลง Source Code ของ Bitcoin อย่างเป็นทางการ

Gavin Andresen หนึ่งในทีมงานยุคก่อตั้งของ Bitcoin Project (CR:Cointurk)
Gavin Andresen หนึ่งในทีมงานยุคก่อตั้งของ Bitcoin Project (CR:Cointurk)

สิ่งที่มีค่ามากกว่าการเขียนโปรแกรมของ Gavin คือความปรารถนาดีและความซื่อสัตย์ของเขาซึ่งทั้งสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับโครงการ Bitcoin เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้รายใหม่

เนื่องจาก Satoshi เปรียบเสมือนบุคคลนิรนามที่ไร้ตัวตน เขาได้ออกแบบซอฟต์แวร์ของเขาให้เป็นโอเพ่นซอร์สเพื่อให้เหล่าผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเชื่อใจเขา แต่ในยุคนนั้นต้องบอกว่าผู้คนก็ไม่ได้เต็มใจที่จะมอบเงินจริง ๆ ให้กับเครือข่ายที่ดำเนินการโดยกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ออกนามจำนวนมาก

จุดเปลี่ยนของครั้งสำคัญที่สุด

สถานการณ์ของ Project Bitcoin ได้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจริง ๆ เมื่อเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Slashdot ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวสำหรับเหล่าเนิร์ดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกกำลังจะโพสต์บทความเกี่ยวกับโครงการ Bitcoin ซึ่งจะทำให้ Bitcoin ได้รับความสนใจจากทั่วโลก

“Slashdot ที่มีผู้อ่านที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลายล้านคน น่าจะยอดเยี่ยม บางทีอาจจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!” Martti Malmi ซึ่งเป็นหนึ่งนักพัฒนาในกลุ่ม Bitcoins เขียนในฟอรัม “ผมแค่หวังว่าเซิร์ฟเวอร์จะไม่ล่มไปซะก่อน เพื่อรองรับกลุ่มผู้คนที่จะแห่กันเข้ามาจาก ‘slashdotted’”

หลังจากที่ Martti ได้แก้ไขบทความเวอร์ชันสุดท้าย โดยเป็นการกล่าวอย่างถ่อมตัวมากขึ้นว่า “ชุมชนมีความหวังว่าสกุลเงินใหม่นี้จะอยู่นอกเหนือการเข้าถึงของรัฐบาลใด ๆ ”

เมื่อบทความออนไลน์ได้ไม่นานหลังเที่ยงคืนในเฮลซิงกิไม่มีอะไรมากไปกว่าย่อหน้าเดียวของบทความที่พาดหัวไว้ว่า

“Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลบนเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ที่ไม่มีธนาคารเป็นตัวกลางและไม่มีค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรม”

Martti ได้มองไปที่ตัวนับ ซึ่งใช้ติดตามจำนวนผู้ใช้ในฟอรัมและช่องแชท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งหลังจากบทความได้ถูกปล่อยออกไป มีคำถามเกิดขึ้นมากมายรวมถึงการถกเถียงที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนาของพวกเขา

และเว็บไซต์ Bitcoin ซึ่งทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่สามารถรองรับผู้ชมได้มากกว่าหนึ่งร้อยคนในแต่ละครั้งก็เริ่มสะดุด ภายในหนึ่งชั่วโมงก็ถึงขีดจำกัด และไซต์ทั้งหมดก็ล่มไปในที่สุด 

Martti พยายามขยายขีดความสามารถของไซต์กับบริษัท hosting แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนา ทั้งความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบที่ปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากบทความของ Slashdot ออนไลน์นั้น ไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของเขาลดลงไปเลย เพราะนี่คือสิ่งที่เขาและทีมงาน Bitcoin รอคอยมาหลายเดือนแล้วนั่นเอง

หลังจากโพสต์ที่ Slashdot ออนไลน์ Martti เห็นว่าผู้คนไม่เพียงแค่เข้ามาดูข้อมูลที่ไซต์ของ Bitcoin เพียงเท่านั้น พวกเขายังดาวน์โหลดและใช้งานซอฟต์แวร์ Bitcoin อีกด้วย จำนวนการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นจากประมาณสามพันครั้งในเดือนมิถุนายนเป็นมากกว่าสองหมื่นครั้งในเดือนกรกฎาคม ปี 2010

Martti Malmi ผู้เฝ้ามองการเติบโตของ Bitcoin อย่างก้าวกระโดด (CR:Business Insider)
Martti Malmi ผู้เฝ้ามองการเติบโตของ Bitcoin อย่างก้าวกระโดด (CR:Business Insider)

แต่ในขณะที่ซอฟต์แวร์ Bitcoin ใช้งานได้ดีผู้ใช้ใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากระบบของ Bitcoin ผู้ที่ต้องการเหรียญ Bitcoins เพิ่มเติม ก็มักจะพุ่งตรงไปที่ faucet ของ Gavin เพราะในตอนนั้นมันเป็นเพียงไม่กี่ตัวเลือกที่กลุ่มคนหน้าใหม่จะได้ครอบครอง Bitcoin

การถือกำเนิดของ Exchange Platform แห่งแรก

Jed McCaleb เป็นหนึ่งในคนที่พบจุดอ่อนนี้ Jed ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอาร์คันซอได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักข่าว ตั้งแต่ยังเด็ก Jed เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์และสิ่งนี้ทำให้เขาได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เบิร์กลีย์ 

และในไม่ช้าเขาก็ลาออกจากเบิร์กลีย์และย้ายไปนิวยอร์ก ที่นั่นเขาและหุ้นส่วนได้สร้างสิ่งที่กลายเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดหลักของ Napster ซอฟต์แวร์ของเขาอย่าง eDonkey ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนไฟล์ขนาดใหญ่เช่นภาพยนตร์ได้และพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากจนสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงแห่งอเมริกาต้องฟ้องร้องเขา

Jed และหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขาต้องจ่ายเงิน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีและปิด eDonkey ลง แต่พวกเขาก็มีรายได้อีกหลายล้านไปพร้อมกันหลังจากคดียุติ

เมื่อ Jed เจอโพสต์ Slashdot เกี่ยวกับ Bitcoin เขาก็รู้สึกทึ่งในทันที ดูเหมือนจะตอบสนองสิ่งที่คล้าย ๆ แนวคิดเบื้องหลังของทั้ง Napster และ eDonkey – การยึดอำนาจจากหน่วยงานรัฐและมอบมันให้กับคนธรรมดาสามัญ แต่เมื่อ Jed พยายามซื้อ Bitcoins เขาก็พบข้อจำกัดของเว็บไซต์ที่มีอยู่ไม่กี่แห่งที่ขายได้

Jed กล่าวว่าเขาต้องการสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองซึ่งเขาสามารถซื้อเหรียญได้ตลอดเวลา ด้วยประสบการณ์ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศแบบสมัครเล่น Jed จึงรู้พื้นฐานของการแลกเปลี่ยน แต่เขาไม่เคยสร้างเว็บไซต์มาก่อนโดยก่อนหน้านี้ได้ทำงานกับซอฟต์แวร์แบ็คเอนด์เพียงเท่านั้น เว็บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่ของเขาดูเหมือนจะเป็นสนามเด็กเล่นให้เขาได้ทดลองอะไรบางอย่าง

เขาคิดถึงชื่อที่เป็นไปได้ของเว็บไซต์ เขาเคยมีโดเมนเก่าที่เขาเป็นเจ้าของและไม่ได้ใช้งาน –mtgox.com

Jed ได้ซื้อเว็บไซต์ในปี 2007 เพื่อใช้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนออนไลน์เพื่อซื้อและขายบัตรที่ใช้ในการเล่นเกมแนวเวทมนตร์ ซึ่งได้เปิดดำเนินการเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ Jed จะปิดตัวมันลงไปและเว็บไซต์ก็ว่างลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เจ็ดวันหลังจากโพสต์ Slashdot Jed ได้โฆษณาเว็บไซต์ใหม่ของเขาบนฟอรัม Bitcoin อย่างไม่เป็นทางการ:

สวัสดีทุกคน,

ผมเพิ่งทำเว็บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่

โปรดแจ้งให้เราทราบว่าคุณคิดอย่างไร

Mt. Gox เป็นการปฏิวัติจากการแลกเปลี่ยนที่มีอยู่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก Jed เสนอให้นำเงินจากลูกค้าเข้าสู่บัญชี PayPal ของเขา และด้วยเหตุนี้จึงเสี่ยงต่อการละเมิดกฎข้อห้ามของ PayPal ในการซื้อและขายสกุลเงิน นั่นหมายความว่า Jed สามารถรับเงินได้จากเกือบทุกแห่งในโลก

ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้าไม่ต้องส่งเงินให้ Jed ทุกครั้งที่ต้องการทำการขาย แต่พวกเขาสามารถถือเงินได้ทั้งดอลลาร์และ Bitcoin ในบัญชีของ Jed จากนั้นเทรดในทิศทางใดก็ได้ตราบเท่าที่พวกเขามีเงินเพียงพอเช่นเดียวกับรูปแบบของบัญชีนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม

ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้การซื้อและขาย Bitcoin สะดวกขึ้นอย่างมาก แต่ยังนำมาซึ่งอันตรายใหม่ ๆ ที่ดูเหมือนจะขัดหลักการพื้นฐานของสกุลเงินที่ Satoshi ได้ออกแบบมาเพื่อขจัดคนกลางเฉกเช่นแพลตฟอร์มของ Jed

มันควรจะเป็นสกุลเงินรูปแบบใหม่ที่ผู้คนสามารถถือครองได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีธนาคาร มีความปลอดภัยด้วยคีย์ส่วนตัวที่มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่รู้ Mt.Gox ได้เปลี่ยนแนวคิดกลับไปใช้โมเดลแบบเดิม ๆ ที่มีสถาบันเป็นตัวกลาง

บริษัทของ Jed เป็นผู้ดูแลเงินของทุกคน หาก Jed เสนอมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีสิ่งนี้อาจพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยกว่าการถือเหรียญเก็บไว้กับคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้ใช้เอง

แต่ Jed ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและถ้าเขาทำคีย์ส่วนตัวในกระเป๋าเงินดิจิทัลของ Exchange หายไป ลูกค้าของเขาก็แทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่เหมือนธนาคารที่ยังมีความรับผิดชอบอยู่บ้าง

Mt. Gox ไม่มีการประกันเงินฝากและไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลดูแลด้านความปลอดภัย และวิธีการของ Jed ต้องเลือกความ balance ระหว่างความปลอดภัย , หลักการของ Bitcoin และความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน

เมื่อสมาชิกฟอรัมถามว่าทำไมจึงควรเลือก Mt. Gox เหนือทางเลือกอื่น Jed ตอบกลับด้วยวิธีที่สุภาพ แต่มั่นใจ

“มันออนไลน์อยู่เสมอโดยอัตโนมัติไซต์เร็วขึ้นและบนโฮสติ้งแบบเฉพาะและผมคิดว่าอินเทอร์เฟซนั้นดีเลิศ”

แม้กระทั่ง Jed เองก็ยังประหลาดใจที่ผู้คนเชื่อถือคำกล่าวของเขา และส่งเงินไปยังบัญชี PayPal ของเขาได้อย่างง่ายดายมาก ๆ  ในวันแรกของการทำธุรกิจวันที่ 18 กรกฎาคมปี 2010 มีการซื้อขาย Bitcoin ยี่สิบเหรียญในราคาห้าเซ็นต์บน Mt. Gox

แต่ภายในสัปดาห์แรกมีบางวันที่มีการซื้อขายหลักร้อยดอลลาร์ และเมื่อถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม Mt. Gox แซงหน้าบริการของ Martti และแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในด้านปริมาณการซื้อขายจนกลายเป็นธุรกิจ Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ความกังวลใหญ่ที่ก่อให้เกิดปัญหาในฟอรัม Bitcoin คือวิธีดึงดูดผู้ใช้ใหม่ แต่ปัญหาใหม่ก็คือวิธีจัดการกับการไหลเข้าของผู้ใช้ใหม่กับพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายได้

ปัญหาเหล่านี้เริ่มเด่นชัดโดยเฉพาะหลังจาก Bitcoin พุ่งเข้าสู่สปอตไลท์ครั้งใหญ่ครั้งต่อไป ในเดือนพฤศจิกายน WikiLeaks ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยผู้มีส่วนร่วมในขบวนการ Cypherpunk เก่าอย่าง Julian Assange ได้เปิดเผยความลับมากมาย โดยเฉพาะเอกสารทางการทูตอเมริกันที่มีปฏิบัติการลับไปทั่วทุกมุมโลก

บริษัทบัตรเครดิตขนาดใหญ่และ PayPal ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองในทันทีให้ตัดการบริจาคให้กับ WikiLeaks ซึ่งพวกเขาทำในช่วงต้นเดือนธันวาคมในสิ่งที่เรียกว่าการปิดล้อม WikiLeaks

ความเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่อาจเป็นปัญหาระหว่างอุตสาหกรรมการเงินและรัฐบาล หากนักการเมืองไม่ชอบแนวคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอให้ธนาคารและเครือข่ายบัตรเครดิตปฏิเสธการเข้าถึงระบบการเงินของกลุ่มที่ไม่เป็นที่นิยม โดยแทบไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากศาล อุตสาหกรรมการเงินดูเหมือนจะให้วิธีการนอกกฎหมายแก่นักการเมืองในการปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วย

การปิดล้อม WikiLeaks เป็นหัวใจหลักของข้อกังวลบางประการที่กระตุ้นให้เกิด Cypherpunks ในทางกลับกัน Bitcoin ดูเหมือนจะมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหา แต่ละคนในเครือข่ายควบคุมเหรียญของตนด้วยคีย์ส่วนตัว ไม่มีองค์กรกลางที่สามารถตรึงที่อยู่ Bitcoin ของบุคคลหรือหยุดการส่งเหรียญจากที่อยู่ใดที่อยู่หนึ่งได้

Julian Assange ผู้ก่อตั้ง Wikileaks ที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก Bitcoin (CR:Yahoo)
Julian Assange ผู้ก่อตั้ง Wikileaks ที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก Bitcoin (CR:Yahoo)

ไม่กี่วันหลังจากการปิดล้อม WikiLeaks เริ่มขึ้น PCWorld ได้เขียนเรื่องราวที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางซึ่งระบุถึงประโยชน์ที่ชัดเจนของ Bitcoin :“ ไม่มีใครสามารถหยุดระบบ Bitcoin หรือเซ็นเซอร์มันได้เนื่องจากไม่มีใครสามารถปิดกั้นอินเทอร์เน็ตได้ทั้งหมด หาก WikiLeaks ร้องขอ Bitcoin พวกเขาก็จะได้รับเงินบริจาคโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย”

ยังไม่ชัดเจนว่า Bitcoin สามารถใช้ในกรณีนี้ได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติการปิดล้อม WikiLeaks ช่วยยกระดับการถกเถียงเกี่ยวกับ Bitcoin นอกเหนือจากประเด็นที่ค่อนข้างแคบในเรื่องความเป็นส่วนตัวและการพิมพ์เงินของรัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญในช่วงแรก และนี่คือประเด็นทางปรัชญาที่มีความลึกซึ้งขึ้นซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมได้กว้างขึ้น และฟอรัมก็เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่ที่เริ่มหันมาสนใจ

หนึ่งผู้ใช้รายใหม่คือหนุ่มชาวอังกฤษที่ชื่อ Amir Taaki เสนอให้บริจาค Bitcoin ให้กับ WikiLeaks Amir ได้กล่าวว่า สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโปรไฟล์ของ Bitcoin ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วย WikiLeaks หาเงินได้เช่นเดียวกัน

สิ่งนี้ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงในฟอรัม โปรแกรมเมอร์จำนวนมากกังวลว่าเครือข่าย Bitcoin ไม่พร้อมสำหรับการรับส่งข้อมูลทั้งหมดและการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาลซึ่งอาจเกิดขึ้นหากเริ่มใช้เพื่อการบริจาคให้กับ WikiLeaks

ในที่สุด Satoshi ก็เข้ามายุติการถกเถียง เมื่อมีคนในฟอรัมเขียนว่าให้ Satoshi เข้ามาตอบอย่างจริงจัง:

“ไม่!!! อย่าเปิดรับการบริจาคให้ WikiLeaks”

โครงการต้องค่อยๆเติบโตเพื่อให้ซอฟต์แวร์มีความเข้มแข็งไปพร้อมกัน

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะโน้มน้าว Amir

นี่เป็นหนึ่งในจำนวนการสื่อสารที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ จาก Satoshi ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 ข้อความจากทั้ง Satoshi เริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ 

Final Messages

การค่อยๆหายตัวไปของ Satoshi นั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าเขายังคงโพสต์ในฟอรัมเป็นครั้งคราวเมื่อมีคำถามเฉพาะ แต่เขาไม่เคยปรากฏตัวในช่องแชทและเปลี่ยนไปใช้การสื่อสารส่วนตัวที่ไม่บ่อยนักกับ Gavin และนักพัฒนาอื่น ๆ เพียงไม่กี่คน

ในเดือนธันวาคม Satoshi ถาม Gavin ว่าเขาต้องการให้ที่อยู่อีเมลของเขาโพสต์บนเว็บไซต์ Bitcoin สำหรับใช้ในการติดต่อหรือไม่ Gavin ก็สังเกตว่าอีเมลของ Satoshi ได้หายไป

และโพสต์ในฟอรัมสาธารณะครั้งสุดท้ายที่เป็น Final Message ที่มาจาก Satoshi ในวันที่ 12 ธันวาคม 2010 เป็นการประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดเวอร์ชัน 0.3.19

โพสต์ดังกล่าวมีน้ำเสียงที่แตกต่างจากโพสต์แรก ๆ อย่างเห็นได้ชัดที่เดิมนั้นเน้นขายศักยภาพของ Bitcoin ในระดับโลก แต่ในโพสต์สุดท้ายของ Satoshi คือคำเตือนว่า Bitcoin ยังคงมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อการโจมตี

“ยังมีอีกหลายวิธีในการโจมตี Bitcoin มากกว่าที่ผมจะนับได้” Satoshi เขียนในบันทึกย่อ

หลังจากนั้นก็เริ่มมีการตามล่า Satoshi ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ผู้คนในช่องแชทเริ่มถกเถียงกันถึงรายละเอียดที่มีอยู่เกี่ยวกับ Satoshi และความสำคัญของเขา

มีข้อสังเกตว่าบางครั้ง Satoshi ใช้การสะกดและคำภาษาอังกฤษเช่น “bloody” นอกจากนี้ยังมีงานเขียนจากข่าวของอังกฤษที่เขียนลงในบล็อกแรกของ Bitcoins ที่ถูกสร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ของ Satoshi

ผู้ใช้ Bitcoin ในญี่ปุ่นตั้งข้อสังเกตว่า Satoshi เป็นชื่อสามัญในญี่ปุ่น แต่เขาแย้งว่า Satoshi ไม่น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นเนื่องจาก Satoshi ไม่เคยใช้คำภาษาญี่ปุ่นและมักจะเขียนชื่อของเขาด้วยนามสกุลซึ่งขัดกับธรรมเนียมของญี่ปุ่น

นั่นทำให้ Gavin ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดใน Bitcoin เพราะเขาและ Satoshi เพียงเท่านั้นที่สามารถลงนามในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ใน Bitcoin ได้

สาเหตุหลักของความไม่ไว้วางใจ Bitcoin จากคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ไม่ใช่เรื่องความลึกลับของ Satoshi แต่การไม่เปิดเผยตัวตนได้ชี้ให้เห็นว่า Bitcoin ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่แสวงหาชื่อเสียงหรือความสำเร็จส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นการไม่มีอยู่ของ Satoshi ทำให้ผู้คนสามารถแสดงวิสัยทัศน์ของตนเองบน Bitcoin ได้

เมื่อตัดภาพมาในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายทั้งการฉ้อโกง การหลอกลวง หรืออีกมากมายซึ่งมันแทบจะไม่ได้เกี่ยวกับ Bitcoin แต่อย่างใดแต่มักจะถูกเหมารวมไปด้วย

ซึ่งมันได้กลายเป็นว่าเหล่าผู้คนในกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาในยุคหลังที่อาศัยความโลภของมนนุษย์ ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อ Bitcoin แทน ซึ่งมันค่อนข้างที่จะคล้ายกับคำเตือนสุดท้ายที่ Satoshi Nakamoto ได้กล่าวไว้นั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Bitcoin Millionaires โดย Ben Mezrich
หนังสือ Digital Gold โดย Nathaniel Popper
https://www.pexels.com/photo/a-close-up-shot-of-a-bitcoin-commemorative-coin-11070638/

บุญมีแต่กรรมบัง เมื่อนักศึกษา MIT ได้รับ Bitcoin ฟรี 100 เหรียญในปี 2014 บางคนรวยแต่บางคนเสียมันไปกับซูชิ

ผมว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่คนสาย tech หลายคนประสบพบเจอกันนะครับ สำหรับการที่ได้รับ bitcoin มาแบบง่าย ๆ ในช่วงเริ่มต้นของมัน และไม่คาดคิดว่ามันจะมีมูลค่ามหาศาลอย่างที่เห็นในปัจจุบัน สุดท้ายอาจจะทำสูญหายไป หรือ นำไปใช้แบบไม่ได้คิดถึงมูลค่าในอนาคตของมันมากนัก

และเรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2014 สิ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มนักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมไฟฟ้าของ MIT

Jeremy Rubin เป็นนักเรียนปีสองที่กำลังศึกษาคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ และเขาตัดสินใจทำการทดลองมอบ bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรีทุกคนที่สถาบัน MIT

และเจ็ดเดือนต่อมา ด้วยเงินบริจาคกว่าครึ่งล้านเหรียญจากศิษย์เก่าและผู้ที่ชื่นชอบ bitcoin นักศึกษาระดับปริญญาตรีกว่า 3,108 คนได้รับ bitcoin นี้ไป

ย้อนกลับไปในยุคนั้น ต้องบอกว่า bitcoin ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ยังไม่มีใครเห็นค่าของมันและมองเห็นอนาคตของมันว่าจะเอาไปทำอะไรกันแน่ มูลค่าตอนนั้นซื้อขายกันที่ประมาณ 336 ดอลลาร์

ซึ่งหากมีการถือมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะช่วงพีคสุดของราคา bitcoin ในปี 2021 มูลค่าที่นักเรียนแต่ละคนได้รับไปจะสูงถึงประมาณ 44.1 ล้านดอลลาร์ แต่มีนักเรียนหลายคนในตอนนั้นแทบจะไม่สนใจมันเลย

นักวิจัยที่ติดตามโครงการนี้ รวมถึง Christian Catalini ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ร่วมสร้างโครงการ Diem Stablecoin (ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว) โดย Facebook บอกว่า 1 ใน 10 ของผู้ที่ได้รับไปนั้น ถอนออกไปตั้งแต่สัปดาห์แรก

Christian Catalini ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ร่วมสร้างโครงการ Diem Stablecoin โดย Facebook (CR:Wikipedia)
Christian Catalini ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ร่วมสร้างโครงการ Diem Stablecoin โดย Facebook (CR:Wikipedia)

เมื่อสิ้นสุดการทดลองในปี 2017 มีจำนวนถึง 1 ใน 4 ของนักศึกษาที่ได้รับไปและได้นำออกไปใช้แล้ว หลังจากนั้นเขาก็ได้เลิกติดตามกลุ่มที่ได้รับ bitcoin ไป

Van Phu ซึ่งปัจจุบันเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้ร่วมก่อตั้งโบรกเกอร์ Crypto Floating Point Group ถึงกับโทษตัวเองอย่างหนักเพราะได้ใช้ bitcoin จำนวนมากไปกับซูชิ

“สิ่งหนึ่งที่แย่ที่สุดและหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่ MIT คือร้านอาหารที่เรียกว่า Thelonious Monkfish” Phu กล่าว “ผมใช้เงินจำนวนมากในการซื้อซูชิด้วย bitcoin”

แน่นอนว่า Phu ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเสียเงินในอนาคตจำนวนมหาศาลไปกับปลาดิบ

Sam Trabucco ที่เข้าร่วมในการทดลองนี้ด้วยนั้น ได้กล่าวว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เขารู้จักใช้ bitcoin ไปกับปลาดิบ

“มันเป็นร้านอาหารแห่งเดียวในเคมบริดจ์ที่ยอมรับ bitcoin ในขณะนั้น ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วย” Sam กล่าว

ประเด็นสำคัญที่ Catalini พบจากการทดลองนี้ก็คือ ความจริงที่ว่า bitcoin ในตอนนั้นไม่ได้ถูกใช้เป็นวิธีการชำระเงินภายในมหาวิทยาลัย

“ในขณะนั้นเทคโนโลยียังใหม่และไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผู้ใช้” เขากล่าว “แม้แต่ในชุมชนที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอย่าง MIT ก็ไม่ได้ยอมรับมันมากนัก”

การทดลองของ MIT

Rubin ต้องผ่านการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานกับอัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อได้เปิดเผยแนวคิดในการแจก bitcoin เป็นครั้งแรก

Rubin ไม่เหมือนเด็กอายุ 19 ทั่วไป เขาได้เปิดตัวโปรแกรมขุด Bitcoin ชื่อ Tidbit และโครงการก็ได้รับรางวัลนวัตกรรมจากงาน Hackathon ในท้องถิ่นที่รู้จักกันในชื่อ Node Knockout

Rubin ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา bitcoin judica รู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่เขาสร้างขึ้น

“ผมคิดว่า นี่คือ MIT และทุกคนก็มีความคิดก้าวหน้ามาก” Rubin กล่าว ซึ่งหลังจากนั้นการทดลองแจก bitcoin ก็ได้เกิดขึ้น

ปลายเดือนตุลาคม 2014 Rubin และเพื่อนหัวหน้าโครงการ Dan Elitzer ซึ่งเป็นนักศึกษา MBA ที่ Sloan ได้เปิดการลงทะเบียน นักเรียนที่ต้องการ bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ต้องเข้ามากรอกแบบสอบถาม

Dan Elitzer และ Jeremy Rubin เปิดตัว “MIT Bitcoin Project” ในปี 2014 (CR:CNBC)
Dan Elitzer และ Jeremy Rubin เปิดตัว “MIT Bitcoin Project” ในปี 2014 (CR:CNBC)

นักเรียนที่ต้องการมีส่วนร่วม ต้องตั้งค่าประเป๋าเงินดิจิทัลของตนเอง ซึ่งในยุคนั้นก็ไม่เป็นเรื่องง่าย แต่ท้ายที่สุด 70% ของนักเรียนก็เข้าร่วมโครงการดังกล่าวนี้

นักเรียนหลายคนคิดง่าย ๆ ด้วยการจ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็น bitcoin ให้กับคนที่ช่วยตั้งค่ากระเป๋าเงินดิจิทัลให้พวกเขา หลายคนนำไปใช้เพื่อกินซูชิ อีกหลายคนก็นำไปเล่นโป๊กเกอร์ออนไลน์

ซึ่งก็ต้องบอกว่าในตอนนั้นแม้กระทั่งนักศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ MIT ก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นอนาคตของโลกการเงินจริง ๆ นั่นเองครับผม

References :
https://interestingengineering.com/culture/mit-students-got-100-in-bitcoin-in-2014-heres-what-they-did-with-it
https://www.cnbc.com/2021/08/14/mit-student-gave-away-100-worth-of-bitcoin-to-all-undergrads-in-2014.html
https://cacm.acm.org/careers/254864-a-bunch-of-mit-students-got-100-of-free-bitcoin-in-2014-some-wasted-it-on-sushi/fulltext

Cypherpunks Gangster อิทธิพล ความคิด สู่ชะตาลิขิตในการถือกำเนิดขึ้นของ Bitcoin

การถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตเป็นประโยชน์สำหรับชายที่มีชื่อว่า Hal Finney ซึ่งทำให้เขาสามารถเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ ในสถานที่ห่างไกลที่กำลังมีแนวคิดเกี่ยวกับลัทธิไซเบอร์ยูโทเปียที่มีความคลุมเครือ ซึ่งหากมองในอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางของพวกหัวรุนแรงได้เช่นเดียวกัน

Hal เป็นลูกหนึ่งในสี่คนของวิศวกรปิโตรเลียม เขาอ่านหนังสือแคลคูลัสเพื่อความสนุกสนาน เข้าเรียนที่ California Institute of Technology เขามักจะท้าทายสติปัญญาของตัวเองอยู่เสมอ ในช่วงปีแรกเขาได้เข้าเรียนหลักสูตรทฤษฎีสนามโน้มถ่วงซึ่งออกแบบมาสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา

แต่เขาไม่ใช่เด็กเนิร์ดทั่วไป ชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้รักการเล่นสกีในภูเขาแคลิฟอร์เนียเขาเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมเหมือนในหมู่นักเรียนส่วนใหญ่ของ Cal Tech 

Hal ได้เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ที่เก่าแก่ที่สุดเช่น Cypherpunks และ Extropians ซึ่ง ในชุมชนดังกล่าวได้มีการถกเถียงกันว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถที่จะกำหนดอนาคตที่พวกเขาฝันไว้ได้อย่างไร

คำถามสำคัญที่ครอบงำความคิดของคนในกลุ่มเหล่านี้ก็คือเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงความสมดุลของอำนาจระหว่างประชาชนคนทั่วไปและรัฐบาลที่มีอำนาจได้อย่างไร

ต้องบอกว่าเทคโนโลยีได้มอบอำนาจใหม่ให้กับผู้คนทั่วไป อินเทอร์เน็ตที่เพิ่งตั้งไข่ทำให้คนเหล่านี้สามารถสื่อสารและเผยแพร่ความคิดของพวกเขาในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน

ในยุคก่อนหน้าเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลกลางได้เก็บบันทึกเกี่ยวกับพลเมืองของตน ซึ่งมันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 นานก่อนที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติจะถูกตรวจสอบว่าแอดสอดแนมโทรศัพท์มือถือของประชาชนทั่วไปและนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook จะกลายเป็นประเด็นถกเถียงในระดับชาติ

Cypherpunks เห็นว่าการเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่โลกดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชนคนทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถทำสิ่งเดิม ๆ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น จึงตั้งคำถามขึ้นมาว่าผู้คนสามารถที่จะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร

Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)
Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)

แนวคิดดังกล่าวมันได้เริ่มก่อตัวขึ้นเนื่องจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมที่เริ่มแพรกระจายไปในแคลิฟอร์เนียช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ความสงสัยเกี่ยวกับรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้กับชายอย่าง Hal ที่ทำงานเพื่อสร้างโลกใบใหม่ผ่านการเขียนโค้ดโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น

Hal ได้ซึมซับความคิดเหล่านี้ที่ Cal Tech และในการอ่านนวนิยายของ Ayn Rand ซึ่งในขณะนั้นประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวในยุคอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มได้แพร่กระจายไปไกลนอกเหนือจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมหรือในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน

Cypherpunks ยังมองไม่เห็นวิธีแก้ปัญหา แต่ Hal และคนอื่น ๆ มุ่งค้นหาคำตอบทางเทคโนโลยีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสตร์แห่งการเข้ารหัสข้อมูล 

ในอดีตเทคโนโลยีการเข้ารหัสเป็นสิทธิพิเศษที่สงวนไว้สำหรับสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น เอกชนสามารถพยายามเข้ารหัสการสื่อสารของตนได้ แต่รัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธมักมีอำนาจในการถอดรหัสรหัสดังกล่าว 

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 นักคณิตศาสตร์จาก Stanford และ MIT ได้สร้างชุดของนวัตกรรมที่ทำให้เป็นไปได้เป็นครั้งแรกสำหรับคนธรรมดาในการเข้ารหัสด้วยวิธีที่สามารถถอดรหัสได้โดยผู้รับที่ตั้งใจไว้เท่านั้น และไม่สามารถที่จะถอดรหัสมันได้แม้กระทั่งโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุด

The Extropians และ Cypherpunks ทำการทดลองต่างๆ มากมายที่สามารถช่วยเสริมพลังอำนาจให้กับคนธรรมดาทั่วไปที่จะสามารถต่อต้านแหล่งอำนาจดั้งเดิม ซึ่งเรื่องของเงินเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะจินตนาการอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้นของกลุ่มดังกล่าว

เงินเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงระบบนิเวศของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับทุกอย่าง ซึ่งสำหรับเหล่าโปรแกรมเมอร์สกุลเงินที่มีอยู่ซึ่งใช้ได้เฉพาะในเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่งและขึ้นอยู่กับธนาคารที่ไร้ความสามารถทางเทคโนโลยีดูเหมือนจะเป็นการถูกจำกัดโดยไม่จำเป็น

นอกเหนือจากความทะเยอทะยานเหล่านี้แล้ว Cypherpunks มองว่าระบบการเงินที่มีอยู่เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นข้อมูลไม่กี่ประเภทที่มักจะมีการเปิดเผยเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างง่ายดาย

รูปแบบของเงินสดต้องบอกว่าเป็นวิธีการชำระเงินแบบไม่เปิดเผยตัวตนมานานแล้ว แต่เงินสดไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเข้าสู่อาณาจักรดิจิทัลได้ ทันทีที่เงินกลายเป็นดิจิทัล กลุ่มบุคคลที่สามบางราย เช่น ธนาคารก็มักจะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถที่จะติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ของคนทั่วไปได้

สิ่งที่ Hal และ Cypherpunks ต้องการคือเงินสดสำหรับยุคดิจิทัลที่สามารถรักษาความปลอดภัยและไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องสละความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

และแล้ววันหนึ่งในปี 2008 สิ่งที่เขาตามหามานานก็โผล่มากับชายที่ไร้ตัวตน เขาได้คลิกที่เว็บไซต์ที่เขาได้รับทางอีเมล : www.bitcoin.org

ต้องบอกว่า Hal เองก็ได้เห็น Bitcoin ผ่านตาครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ในข้อความที่ส่งไปยังหนึ่งในรายชื่ออีเมลที่เขาสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งเมลที่โต้ตอบไปมานั้นส่วนใหญ่จะมาจากคนคุ้นเคยที่เขาคุยด้วยมานานหลายปีที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ดและส่วนใหญ่ก็ทำงานที่เดียวกับเขา

แต่อีเมลฉบับนี้มาจากชื่อที่ไม่คุ้นเคย – Satoshi Nakamoto – และอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า “e-cash” ด้วยชื่อที่ติดปากว่า Bitcoin เงินดิจิทัลซึ่งเป็นสิ่งที่ Hal ทดลองมาเป็นเวลานานมากพอที่จะทำให้เขาสงสัยว่ามันจะใช้งานได้หรือไม่

แต่มีบางอย่างปรากฏขึ้นในอีเมลฉบับนี้ Satoshi ได้กล่าวถึงรูปแบบเงินดิจิทัลชนิดหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องให้ธนาคารหรือบุคคลที่สามจัดการ มันเป็นระบบที่สามารถอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์รวมของผู้คนที่ใช้มันได้ทั้งหมด

Hal ถูกดึงดูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำกล่าวอ้างของ Satoshi ที่ว่าผู้ใช้สามารถเป็นเจ้าของและซื้อขาย Bitcoins ได้โดยไม่ต้องให้ข้อมูลระบุตัวตนกับหน่วยงานกลาง ซึ่งตัว Hal เองก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำงานกับโปรแกรมที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถหลบเลี่ยงการจ้องมองของรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

หลังจากอ่านคำอธิบายเก้าหน้าซึ่งมีอยู่ใน paper แล้ว Hal ก็ได้ตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้น:

“ตอนที่วิกิพีเดียเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ ๆ ผมไม่เคยคิดว่ามันจะได้ผล แต่มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยเหตุผลเดียวกันนี้” เขาเขียน

เมื่อเผชิญกับความสงสัยจากผู้อื่นในรายชื่อ mailing list โดย Hal ได้เรียกร้องให้ Satoshi เขียนโค้ดจริงสำหรับระบบที่เขาได้อธิบายไว้ ไม่กี่เดือนต่อมาในวันเสาร์ของเดือนมกราคม Hal ดาวน์โหลดโปรแกรมของ Satoshi จากเว็บไซต์ Bitcoin ไฟล์ simple.exe ติดตั้งโปรแกรม Bitcoin และเปิดหน้าต่างบนเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ของเขาโดยอัตโนมัติ

เมื่อโปรแกรมเปิดขึ้นเป็นครั้งแรกโปรแกรมจะสร้างรายการ address ของ Bitcoin โดยอัตโนมัติซึ่งจะเป็นหมายเลขบัญชีของ Hal ในระบบและรหัสผ่านหรือคีย์ส่วนตัวซึ่งทำให้เขาสามารถเข้าถึงได้

โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)
โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)

นอกเหนือจากนั้นโปรแกรมยังมีฟังก์ชันเพียงไม่กี่ฟังก์ชัน เมนูหลัก “Send Coins” ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นตัวเลือกสำหรับ Hal ที่จะทดลองใช้งานเนื่องจากเขาไม่มีเหรียญให้ส่ง แต่ก่อนที่เขาจะกดไปยังส่วนต่าง ๆ ของโปรแกรม โปรแกรมก็ error

แต่มันไม่ได้ขัดขวางความกระตือรือร้นของ Hal หลังจากดู log ในคอมพิวเตอร์ของเขา เขาเขียนถึง Satoshi เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ของเขาพยายามเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย

นอกเหนือจาก Hal แล้ว ใน log ยังแสดงให้เห็นว่ามีคอมพิวเตอร์อีกเพียงสองเครื่องในเครือข่ายและทั้งสองเครื่องมาจากที่อยู่ IP address เดียวซึ่งน่าจะเป็นของ Satoshi ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในแคลิฟอร์เนีย

ภายในหนึ่งชั่วโมง Satoshi ก็เขียนตอบกลับโดยแสดงความผิดหวังกับความล้มเหลว เขาบอกว่าเขากำลังทดสอบอย่างหนักและไม่เคยพบปัญหาใด ๆ แต่เขาบอก Hal ว่าเขาได้ตัดทอนโปรแกรมเพื่อให้ดาวน์โหลดได้ง่ายขึ้น

Satoshi ส่งโปรแกรมเวอร์ชันใหม่ให้ Hal พร้อมกับคืนค่าเก่าบางส่วนและขอบคุณ Hal สำหรับความช่วยเหลือ

ในที่สุด Hal ก็ได้ใช้งานมันอีกครั้ง แล้วเขาก็คลิกที่ฟังก์ชั่นที่ทำให้เกิดเสียงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเมนู : “สร้างเหรียญ” เมื่อเขาทำการคลิกที่เมนูดังกล่าวหน่วยประมวลผลในคอมพิวเตอร์ของเขาก็ส่งเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประมวลผลอย่างหนักแบบเห็นได้ชัด

คำแนะนำที่ Satoshi อธิบายไว้ในในซอฟต์แวร์ กล่าวว่าจริงๆ แล้ว การสร้างเหรียญอาจใช้เวลา “เป็นวันหรือเดือนขึ้นอยู่กับความเร็วของคอมพิวเตอร์ของคุณ และการแข่งขันบนเครือข่าย”

Hal ปิดท้ายข้อความสั้น ๆ เพื่อบอก Satoshi ว่าทุกอย่างได้ผล: “ผมต้องออกไปข้างนอก แต่ผมจะปล่อยให้เวอร์ชันนี้ทำงานต่อไปสักพัก”

Hal ได้อ่านมากพอที่จะเข้าใจงานพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์ของเขากำลังทำอยู่ เมื่อโปรแกรม Bitcoin ทำงานแล้วโปรแกรมจะเข้าสู่ช่องแชทที่กำหนดเพื่อค้นหาคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ใช้งานซอฟต์แวร์ซึ่งในขณะนั้นจะเป็นเพียงแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Satoshi เท่านั้น

ระบบเครือข่ายของ Bitcoin จะทำการเก็บข้อมูลธุรกรรมการส่ง Bitcoin ที่ส่งหากันในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง โดยข้อมูลนี้จะถูกว่า “บล็อก” โดยบล็อกใหม่ของ Bitcoin แต่ละบล็อกจะถูกกำหนดให้กับ address ของผู้ใช้ที่เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายและชนะการแข่งขันเพื่อไขปริศนาการคำนวณ 

เมื่อคอมพิวเตอร์ชนะการแข่งขันรอบหนึ่งและได้รับเหรียญใหม่ เครื่องอื่น ๆ ทั้งหมดในเครือข่ายจะอัปเดตบันทึกที่ใช้ร่วมกันของจำนวน Bitcoins ที่เป็น address Bitcoin ของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น จากนั้นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเริ่มแข่งโดยอัตโนมัติเพื่อแก้ปัญหาใหม่เพื่อปลดล็อกชุดเหรียญถัดไป

เมื่อ Hal กลับไปที่คอมพิวเตอร์ของเขาในตอนเย็นเขาก็เห็นทันทีว่า คอมพิวเตอร์ของเขาได้สร้าง 50 Bitcoins ซึ่งถูกบันทึกไว้ที่ address Bitcoin ของเขาและยังบันทึกไว้ใน Public Ledger ที่คอยติดตาม Bitcoins ทั้งหมด บล็อกเหรียญที่สร้างขึ้นเหล่านี้เป็นหนึ่งใน 4,000 Bitcoins แรกที่นำมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไรเลยจาก Bitcoins ที่เขาได้รับ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของ Hal ลดลง ในอีเมลแสดงความยินดีถึง Satoshi ที่เขาส่งไปยังรายชื่อ mailing list ทั้งหมด ทำให้เขารู้สึกมีความหวังกับสิ่งประดิษฐ์สิ่งใหม่นี้

“ลองนึกภาพว่า Bitcoin ประสบความสำเร็จและกลายเป็นระบบการชำระเงินที่โดดเด่นในการใช้งานทั่วโลก” เขาเขียน “ถ้าอย่างนั้นมูลค่ารวมของสกุลเงินควรเท่ากับมูลค่ารวมของความมั่งคั่งทั้งหมดในโลก”

จากการคำนวณของเขาเองนั่นจะทำให้ Bitcoin แต่ละเหรียญจะมีมูลค่าประมาณ 10 ล้านดอลลาร์

“แม้ว่าอัตราต่อรองของ Bitcoin ที่จะประสบความสำเร็จในระดับนี้จะมีน้อย อาจจะเป็นโอกาสเพียงแค่ 100 ล้านต่อ 1 แต่มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” เขาเขียนก่อนที่จะออกจากระบบ