ประวัติ Airbnb สตาร์ทอัพการแบ่งปันที่พักชื่อดัง

ตอนนี้ชื่อของ Airbnb นั้นกลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกไปแล้ว หลังจากกระแสเรื่อ่ง Sharing Economy มาแรงมาก ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเกิดขขึ้นของ Airbnb นั้นต้องบอกเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ๆ

จากจุดกำเนิดเล็ก ๆ ใน San Francisco ในปี 2008 จากผู้ก่อตั้งอย่าง Brian Chesky และ Joe Gebbia ในอพาร์ตเม้น เล็ก ๆ ของเค้านั้น ณ ตอนนี้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ  และกำลังเป็นที่ถูกพูดถึงจากทั่วโลก จากกระแสของ Sharing Economy

ซึ่งต้องเรียกได้ว่า Airbnb นั้นเป็นต้นแบบของรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เป็น Sharing Economy ที่ ตอนหลังมีการพัฒนากับ Service ต่าง ๆ อย่าง Uber ที่มาจับตลาดเรื่องการบริการขนส่งคน ทั้ง ๆ ที่บริษัทเหล่านี้แทบไม่มี Resource จริง ๆ ของตัวเอง Airbnb นั้นไม่มีโรงแรมเป็นของตัวเอง รวมถึง Uber ที่ไม่มีรถเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ แต่กลายมาเป็นธุรกิจระดับโลกได้อย่างไร

ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb ในยุคแรก ๆ

ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb ในยุคแรก ๆ

หลายคนอาจจะคิดว่า Airbnb นั้นเกิดมาไม่นาน แต่ความจริงนั้นต้องย้อนกลับไปในช่วงตั้งแต่ปี 2008 เกือบสิบปีที่ผ่านมา Airbnb นั้นผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการ Tranform ธุรกิจมาหลายครั้งถ้านับจากจุดเริ่มต้นที่ต้องการเป็นแค่ บริการสำหรับ คนที่ต้องการหาที่พักราคาถูก ๆ แต่ได้เปลี่ยนการบริการให้ครบวงจรมากขึ้น โดยได้มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่จากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งไม่สามารถหาได้จากการนอนโรงแรมทั่ว ๆ ไปได้

ในช่วงแรก ๆ ของ Airbnb นั้น ยังไม่สามารถทำให้เป็นกระแสได้เหมือนปัจจุบัน ผู้คนต่างไม่เข้าใจความคิดของผู้ก่อตั้งทั้งสอง การที่คนจะไปพักในบ้านคนอื่นในขณะ ท่องเที่ยวนั้น มันจะเป็นไปได้จริง ๆ หรือ?

การทำความเข้าใจกับผู้ที่จะมาใช้บริการนั้นค่อนข้างเป็นประเด็นที่ยากของการก่อตั้ง service ลักษณะนี้ ในอดีต เราคงคิดว่าเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่เราจะไปพักบ้านใครก็ไม่รู้ และ ที่สำคัญ host นั้นก็ต้องคิดเหมือนกันว่า จะให้ใครก็ไม่รูัมาพักในบ้านตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ

Joe และ Brian นั้นต้องใช้เวลานานกว่าหลายปี กว่าที่คนจะเข้าใจถึงรูปแบบบริการดังกล่าว การมอบประสบการณ์การท่องเที่ยว ที่แปลกใหม่ การได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นจริง ๆ จาก host นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมาก เริ่มหันมาสนใจ บริการของ Airbnb ในช่วงหลัง และการเกิดของกระแส social network ต่างๆ  นั้นก็ทำให้บริการของพวกเค้าเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ

ช่วงที่แย่ของ Joe และ Brian นั้น เค้าทั้งสองไม่มีเงินขนาดต้องใช้ บัตรเครดิต ส่วนตัวมาจ่ายค่าจ้างพนักงานในช่วงแรก แล้วใช้การหมุนเงินผ่านบัตรเครดิต เพื่อให้ประทัง Airbnb ให้สามารถมีลมหายใจต่อไปได้ ซึ่งเค้าทั้งสองมั่นใจว่าบริการลักษณะนี้นั้นจะต้องเกิด อย่างแน่นอน แต่แค่รอเวลาที่สมควรเท่านั้น

เคยทำ ซีเรียล มาขายจริง ๆ เพื่อพยุงสถานะบริษัท

เคยทำ ซีเรียล มาขายจริง ๆ เพื่อพยุงสถานะบริษัท

ทั้งสองเคยต้องหาเงินโดยการต้องทำ ซีเรียล ขนมอบกรอบ เพื่อหาเงินมาประทังบริการของเค้า ในช่วงแรก ๆ ของการทำ Airbnb หลายครั้งที่ทั้งสองคนเริ่มท้อกับการสร้าง Airbnb แต่เค้าก็ยังสุ้ต่อไป

จุดที่เริ่มเปลี่ยนจริงๆ  นั้นน่าจะมาจากการแนะนำของที่ปรึกษาทางธุรกิจของทั้งสองให้เข้าไปหาลูกค้า รวมถึง host โดยตรงเพื่อไปรับฟังปัญหาต่าง ๆ รวมถึงความต้องการของ host เพื่อนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ทั้งสองได้ลงไปหาข้อมูลด้วยตัวเองในรัฐต่างๆ  ทั่วอเมริกา เพื่อนำความต้องการของลูกค้า รวมถึง host มาปรับปรุงบริการให้ดีขึ้น

เรื่องที่สำคัญอย่างนึงคือ เรื่องการประกันของ host ที่ต้องประกันทรัพย์สินต่างๆ  เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับ host ให้นำที่อยู่ของตนเองเข้ามาบริการใน Airbnb ให้มากที่สุด

ซึ่งตอนนั้น ไม่มีบริษัทรับประกันที่ไหนสามารถรับประกันในสิ่งที่ทั้งสองต้องการได้ จนเกิดมาเป็นระบบประกันของตัวเองของ Airbnb ที่ทำให้ host มั่นใจมากขึ้น ที่จะนำอสังหาของตัวเองมาปล่อยเช่าในระบบของ Airbnb

ซึ่งหลังจากผ่านความพยายามมาหลายปี และการปรับปรุงบริการให้ดีขึ้น ทำตามความต้องการของลูกค้ามากขึ้น Airbnb ก็ค่อย ๆ เติบโตแบบก้าวกระโดด จนเป็นที่แพร่หลายทั่วโลกอย่างในปัจจุบัน และกำลังกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

JT 8704 ตอนที่ 3 : เที่ยวให้เต็มที่สิ

หลังจากผ่านการเดินทางที่แสนทรมาน ผมก็ถึงที่หมายคือ เชียงราย หนุ่มได้จัดรถตู้มารับเราถึงสนามบินไปส่งที่โรงแรม ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงเวลาประมาณทุ่ม ถึง 2 ทุ่ม ผมรู้ว่าเพื่อนในแก๊งค์ หลายคนได้มาถึงเชียงรายกันหมดแล้ว เราก็เดินทางเข้าสู่โรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ  กับ มหาลัยแม่ฟ้าหลวง ผมกับเอ ได้พักห้องเดียวกัน ต่างคนต่างทิ้งกระเป๋า เพื่อเตรียมไปเจอเพื่อน ๆ แก๊งค์ใหญ่ ที่รออยู่ใจกลางเมืองเชียงราย

ผมมีแก๊งที่ดื่มกันประจำตอนเรียนมหาลัย คือ แก๊งค์ ของ โอม โดยมี โจ้ ที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุด ซึ่งเราเริ่มมาทำงานกรุงเทพด้วยกัน ตั้งแต่เริ่ม และย้ายไปอยู่ที่ทำงานที่สองด้วยกัน ผมจึงสนิทกับโจ้เป็นพิเศษ

ความจริงตอนเรียนอยู่มหาลัยตอนเข้าสู่ภาควิชา คอมพิวเตอร์ นั้น ผมเป็นเด็กจากคณะวิศวะรวมในปี 1  ที่ไม่ได้แยกเข้าภาค คอมมาตั้งแต่ปี 1 ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสนิทกันใน group กันอยู่แล้ว พอเข้าสู่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ในปี 2 นั้นก็ทำให้ผมเคว้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนในช่วงแรก จนมาเจอกับแก๊งค์ ของโอม ในการไปช่วยเหลือเหยื่อ สึนามิ ที่พังงาด้วยกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น จึงได้นัดดื่มกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะ โจ้ นี่เป็นเพื่อนดื่มที่เจอกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะอยู่ด้วยกันหลายปีมาก ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปในตอนหลัง

เราได้รวมแก๊งค์กันในร้านเบียร์ใจกลางเมือง ตอนนั้นผมลืมเหตุการณ์ที่ขึ้นเครื่องบินไปสนิท เพราะไม่มีอาการใด ๆ หลังจากลงเครื่องมา เราจึงดื่มกันเต็มที่ตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่ม ไปถึง เกือบตี 1 จนร้านเบียร์ปิด เราก็ไปต่อกันที่ร้านคาราโอเกะ แล้วก็กินเหล้าต่อ เนื่องจากไม่ได้เจอกันนาน จึงมีเรื่องคุยกันเยอะสนุกสนานเฮฮา หยอกล้อกันไป จนร้านคาราโอเกะปิด ในตี 4 เราก็เริ่มเมากันได้ที่ ความจริงก็อยากหาที่ไปต่อ แต่ถามแท็กซี่เจ้าถิ่น ก็บอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว จึงเดินทางกลับ ซึ่งรุ่งเช้านั้น ก็จะเป็นงานเช้าของงานแต่งงานหนุ่ม แต่แทบจะไม่มีคนตื่นไปงานเช้ากันเลย มีแค่บางคนที่ไม่ได้กินหนักก็พอไปได้ แต่ยอมรับว่าคืนนั้นเมามาก ๆ ซึ่งไม่ได้กินเยอะขนาดนี้มานานมาแล้วเพราะภาระหน้าที่การงานที่ค่อนข้างรัดตัว กลับมาก็สลบคาเตียงไม่รู้ตัว กว่าจะตื่นก็ บ่าย ๆ ของอีกวัน

ผมตื่นมาพร้อมอาการแฮงค์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ จากร่างกายว่าเริ่มผิดปรกติ ทุกอย่างเป็นปรกติ ผมไปหาข้าวทานซึ่งต้องเดินไกลพอสมควร เนื่องจากแถวนั้นไม่มีร้านข้าวเลย แต่อยู่ใกล้หอพักของนักศึกษา เราก็ไปนั่งกินกัน แทบจะเป็นมื้อเดียวของวันนั้น เพราะตอนเย็นก็จะมีงานแต่งงานหนุ่ม ซึ่งเราต้องกลับไปเตรียมตัวเพื่อไปงานแต่งหนุ่มในตอนเย็น

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Image Ref : www.deathandtaxesmag.com

 

 

JT 8704 ตอนที่ 2 : การเดินทางที่แสนทรมาน

เมื่อวันเดินทางมาถึง วันนั้นก็เหมือนวันทั่ว ๆ ไปปรกติ แต่เนื่องจากเป็นวันธรรมดา ไม่ใช่ช่วงวันหยุด ผมจึงได้ตัดสินใจลางาน เพื่อเก็บข้าวของ และเตรียมตัวไปในตอนเย็น ซึ่ง Flight ที่เราเดินทางจะเป็น Flight ช่วงเย็น

ผมนัดกับ เอ ให้มารับที่บ้าน เพราะเป็นทางผ่านที่จะไปสนามบินโดยให้แฟนของ เอ ช่วยขับรถไปส่งที่สนามบินดอนเมือง เรากะเวลาไว้เผื่อเดินทางประมาณ 1 ชม. ช่วงนั้นสายการบินยังไม่หนาแน่นเหมือนในปัจจุบัน คิดว่าน่าจะขึ้นเครื่องทันอย่างสบาย

แต่กลายเป็นว่าผลจากรถติด ทำให้ เอ มารับผมช้า และเราก็ไปเจอกับรถติดอีกในทางที่จะไปสนามบิน  ปรกติผมจะใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากบ้านไปถึงสนามบิน เพราะบ้านอยู่แถวลาดปลาเค้า ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง แต่วันนั้นไม่ทราบ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เราใช้เวลานานมากในการเดินทางไปสนามบิน

โดยเฉพาะช่วงที่ติดอยุ่หน้าสนามบินนั้น มันเหมือนการลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าจะทัน Flight หรือ ไม่ เพราะมันใกล้เวลาที่เครื่องบินจะออกเต็มที่ แต่เรายังค้างอยู่ตรงสะพาน U turn เพื่อเข้าสนามบิน ผมคุยกับ เอ หากไม่ทันจริง ๆ  เราคงไม่ไปกันแล้ว คงฝากซองเพื่อน ๆ ไปแทน เพราะคงไม่ไปจองเครื่องใหม่เพื่อตามไปอย่างแน่นอน

แต่สุดแล้วรถก็มาจอดหน้าทางเข้าผู้โดยสารขาเข้า ก่อนเครื่องออก 10 นาที ซึ่งช่วงนั้นจะไปเข้าแถวเพื่อต่อคิว check-in คงไม่ทัน เราจึงได้รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้นของสายการบินว่าเครื่องกำลังจะออก เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการลัดคิวให้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เราทันขึ้นเครื่อง

เรารีบวิ่งจ้ำอ้าว ผ่านเครื่องตรวจกระเป๋า และ รีบวิ่งไปยัง gate ให้เร็วที่สุด  ซึ่งก็ทันอย่างเฉียดฉิว เครื่องยังไม่ออกใน Flight นั้นเราเจอเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน ที่จะไปงานแต่งหนุ่มด้วยกัน คือ อู๋ และ เหยียน ซึ่งเป็นแก๊ง ที่อยู่ด้วยกันสมัยเข้ามาทำงานกรุงเทพใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ทันได้ทักทายอะไรกันมาก เพราะ ต่างคนต่างเข้าแถวเพื่อรอขึ้นเครื่องแล้ว

ผมกับ เอ ได้นั่งในส่วนท้าย ๆ ของเครื่องบิน ซึ่งวันนั้นมีผุ้โดยสารเต็มเครื่อง ก็ค่อนข้างอึดอัดในการนั่งเหมือนกัน รวมถึงที่เรารีบมากันทำให้ผมเกิดความตื่นตระหนกเล็กน้อยขณะขั้นเครื่อง รู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าไหร่

หลังจากแอร์โฮสเตส ทำการสาธิตการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยสนใจที่จะดูจริง ๆ เครื่องบินก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเพื่อเตรียมการ take off หลังจากนั้น captain ก็ได้ประกาศ เพื่อเตรียมทำการ take off เครื่องบิน

ขณะเครื่องกำลัง take off ขึ้น ผมก็รู้สึกได้ถึงความผิดปรกติของร่างกายทันที ผมไม่แน่ใจว่าวันนั้นมีความผิดปรกติ อะไรของเครื่องบินหรือป่าว เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ขณะเครื่องกำลังไต่ระดับ รู้สึกเหมือนแรงอัดเข้าที่หู แต่ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ซึ่งปรกติเมื่อเครื่องบิน take off และมีการปรับระดับของเครื่องบินนั้น ก็จะรู้สึกหูอื้อ แต่นี่ไม่ใช่หูอื้อแน่ ๆ มันเหมือนแรงดันเข้ามาเรื่อย ๆ โดยไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ซึ่งมันทรมานมาก ๆ ในช่วงแรก

เครื่องบินไต่ถึงระดับคงที่แล้ว แต่อาการผมยังเหมือนเดิม เหมือนมีแรงอะไรมาอัดที่หู มันไม่สามารถปรับความดันได้ เหงื่อผมเริ่มแตก แต่ก็พยายามทำตัวเป็นปรกติ ผมคุยกับเอ ว่าวันนี้รู้สึกแปลก ๆ แต่บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร เหมือนแรงดันไม่สามารถออกไปได้เหมือนที่เคยขึ้นปรกติ มันค่อย ๆ อัดเข้ามาเรื่อยๆ  ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ไม่ว่าจะพยายามบีบจมูก และ ปล่อยลมออกหูยังไง ก็ไม่หาย

อาการมันค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ผมเริ่มที่จะหายใจไม่ค่อยออกรู้สึกอึดอัดมาก ๆ ในขณะนั้น ในขณะที่เครื่องบินเพิ่งออกไปเท่านั้น ผมต้องอยู่แบบนี้ไปจนเครื่องลงเลยหรือ ( ผมคิดในใจ ) และเหมือนวันนั้นอากาศจะไม่ค่อยดี เครื่องบินผ่านหลุมอากาศ จำนวนมาก รู้สึกได้ว่าข้างนอกมีฝนตกอยู่ ผมยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ เริ่มหาวิธีท่จะทำให้หาย หลาย ๆ วิธี ซึ่งทำยังไงมันก็ไม่หาย

ผมทรมานอยู่ประมาณเกือบครึ่งชม. แต่ก็ยังพยายามทำตัวปรกติ แค่ บอก เอ ว่ารู้สึกไม่ค่อยดีวันนี้ เหมือนมีอะไรแปลก แต่ร่างกายมันทรมานมาก มันเริ่มหายใจไม่ออกขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจเรียก แอร์โฮสเตส เพื่อขอยาดม ไม่รู้คิดยังไงเหมือนกัน แต่อยากได้ยาดม เพราะรู้สึกเหมือนจะหมดสติแล้วในตอนนั้น   น้องแอร์โอสเตสบอกผมว่าบนเครื่องไม่มียาดม  ผมจึงขอน้ำเปล่ามาก่อน ตอนนั้น ยังไงก็ได้ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ มันยิ่งทรมานขึ้นเรื่อย ๆ ผมดื่มน้ำเข้าไปก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น มันแน่นหน้าอกไปหมด ร่างกายเหมือนจะหมดสติ แต่น้องแอร์โฮสเตส ก็เข้ามาบอกว่า มีแอมโมเนีย อยู่  น้องเค้าก็หยดใส่สำลีมาให้  ผมรีบเอามาดมอย่างรวดเร็ว มันก็พอช่วยได้บ้าง ให้หายใจสะดวกขึ้น แต่อาการก็ยังไม่ดีเท่าไหร่

ยังโชคดีที่ flight นี้เดินทางไม่นานมาก และรู้สึกเหมือนจะถึงก่อนกำหนด จึงทำให้ใกล้เข้าถึงเขตเชียงรายแล้วหลังจากกัปตันประกาศ ผมต้องอดทดอีกนิด เพราะเครื่องใกล้จะลงแล้ว แต่ความรู้สึกมันยังทรมานอยู่ จนมาถึงช่วงที่เครื่องต้องปรับระดับลง พอเครื่องเริ่มปรับระดับ อาการผมก็มาอีกครั้ง เหมือนอาการตอนขึ้น มันไม่สามารถที่จะปรับแรงดันอากาศได้ ผมรู้สึกได้เลยว่าร่างกายมันไม่ปรับแรงดันให้ ทำให้เกิดอาการหวิวๆ และแน่นหน้าอก

ก่อนลงผมเลยลองวิธีสุดท้ายคือ เอามือทั้งสองอุดหู แล้วค่อย ๆ ปล่อยคลายลมออกมา พบว่าวิธีนี้ work ผมจึงทำอย่างงั้นอยู่เรื่อย ๆ ในขณะเครื่องทำการลง ใช้สองมือปิด และค่อย ๆ เปิดรูหูสลับกันไปมา ทำให้อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ปรกติเท่าไหร่ แต่ไม่ทรมาน เหมือน 1 ชม.ที่ผ่านมา

ในที่สุดเครื่องก็ลงถึงพื้น ทุกอย่างหายเป็นปรกติ ไม่มีอาการใด ๆ ผมสงสัยมากว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนเครื่อง มันเป็น flight ที่ทรมานที่สุดในชีวิต ตั้งแต่ได้นั่งเครื่องบินมา สุดท้ายก็เดินออกมาจากสนามบิน โดยมีรถตู้ที่หนุ่มจ้างไว้มารับที่หน้าสนามบิน ผมก็เดินขึ้นรถ พร้อมกับความสงสัยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินคืออะไร?

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Image Ref : jehoynews.com

JT 8704 ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้น

แม้ว่าเรื่องจะผ่านมาค่อนข้างนานแล้ว แต่ ผมก็ค่อนข้างจำจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ได้ดี ใน Group Line ของกลุ่มเพื่อนที่คณะวิศวะคอมพิวเตอร์ ตอนเรียนมหาลัย มีการเริ่มแจ้งข่าวว่า หนุ่ม เพื่อนที่เคยอยู่คอนโดเดียวกันตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ จะแต่งงาน

ย้อนกลับไปในสมัยแรก ๆ ของการเริ่มทำงานตอนจบใหม่ ๆ พวกเราที่หางานได้ก่อน ได้มาเช่าคอนโดร่วมกันอยู่แถว เมเจอร์รัชโยธิน หนุ่มก็เป็น หนึ่งในนั้น จำได้ว่าช่วงมาใหม่ ๆ เราซุกตัวกันอยู่หลายคนมากในคอนโดขนาดไม่กี่ตร.ม  วัน ๆ ก็เอาแต่เล่นเกมส์ ตอนนั้นยังเป็นช่วงที่เพิ่งได้ออกจากมหาลัย ทกคนก็เลยไม่ได้คิดอะไรกันมาก อยู่ร่วม ๆ กัน เที่ยวด้วยกัน เล่นเกมส์ด้วยกัน แทบจะเป็นช่วงที่มีความสนุกมากช่วงหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะเราเพิ่งได้ก้าวสู่ชีวิตวัยทำงาน และเริ่มทำงานหาเงินได้ จึงยังไม่คิดถึงอนาคตอะไรกันมากในช่วงนั้น

หลังจากที่ไม่ได้เจอหนุ่มหลายปีหลังจากย้ายออกจากคอนโด เผลอแป๊บเดียวก็มีข่าวว่าหนุ่มจะแต่งงานแล้ว ซึ่งการแต่งงานของเพื่อนในมหาลัยนั้น ก็เหมือนเป็นการ Re Union ที่จะได้เจอเพื่อน ๆ เก่า ซึ่งนาน ๆ จะได้มีโอกาสได้เจอกันที เพราะหลายคนก็เริ่มมีครอบครัว รวมถึงมีหน้าที่การงานที่ค่อนข้างรัดตัว จึงไม่ค่อยได้มีการรวมกลุ่มกันเหมือนเก่า หรือเหมือนช่วงจบใหม่ ๆ ที่พวกเราจะแทบไปเมากันทุกอาทิตย์

หลังจากได้ข่าว ผมก็ต้องเริ่มทำการจองตั๋วล่วงหน้า กำหนดการของหนุ่ม คือมีการจัดงานแต่งที่เชียงราย (หนุ่มได้ย้ายครอบครัวไปสร้างบ้านอยู่ที่เชียงรายแล้ว) โดยผม ได้คุยกับ เอ (เพื่อนร่วมคอนโดยุคบุกเบิกอีกหนึ่งคน)  ว่าเราจะจองตั๋วไปพร้อมกัน โดยผมจะเป็นคนจัดการจองตั๋วให้

วันนั้นจำได้ว่าผมนั่งจองตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ office ก็ได้เริ่มค้นหาตั๋วราคาถูก จาก Lion Air ซึ่งช่วงนั้นกำลังมีโปรโมชั่นพอดี ผมก็คอยดักดูอยู่ว่าราคาโปรจะออกมาเมื่อไหร่ เหมือนช่วงนั้น ราคามันจะ random อยู่เข้าแต่ละช่วง  หรือ แต่ละเครื่องที่เข้าได้ราคาไม่เท่ากัน และ เนื่องจากมีความงก ก็เลยกะจะจองให้ได้ตั๋วราคาถูกสุด

ผ่านไป 2 ชม.  ผมโทรไปบอก เอ  “กูได้ตั๋วถูกแล้วโว้ย 300 บาท” ราคาโครตดี ผมคิดในใจ จึงรีบทำการจองเผื่อ เอ ด้วย โดยหารู้ไม่ว่า จากตั๋วถูกจะกลายเป็นถูกจ่ายเพิ่มสองเท่า

ไม่ต้องงง ครับ ที่ได้ราคาถูกนั้น เนื่องจากผมได้จองไปผิดเดือนนั่นเอง จากปลายเดือน พฤาภาคม ผม ดันไปจองเป็น ปลายเดือน มิถุนายน มันก็เลยได้ราคาถูกนั่นแหละ เพราะผมพยามเช็คหลายเครื่อง ที่เห็นมันราคาไม่เท่ากันนั้น น่าจะมาจากเลือกช่วงเวลาคนละช่วงกัน จึงได้ซื้อตั๋วราคา 300 บาทฟรี ถึง 2 ใบ และเนื่องจากเป็นตั๋วแบบโปร ไม่สามารถเลื่อนได้ ก็ต้องยอมทิ้งไป

สุดท้ายผมก็ต้องมาจองตั๋วแบบธรรมดาเหมือนเดิม สรุป เสียไป 2 เด้ง ทั้งตั๋วโปร ที่ต้องทิ้งไป และตั๋วจริงราคาเต็ม ซึ่งทำให้ผมรู้สึกตะหงิด ๆ ตั้งแต่เริ่มแล้วว่า ทริปนี้มันต้องมีอะไรแปลก ๆ อย่างแน่นอน

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต