เบื้องหลังภาษี 36.3% : ยุโรปจะรับมืออย่างไร? เมื่อรถไฟฟ้าจีนราคาถูกกำลังบุกทะลักเข้ามา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างความท้าทายใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป

จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023

แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ยุโรปโดยรวม แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและผู้กำหนดนโยบายเป็นอย่างมาก

ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีนและแบรนด์ที่จีนเป็นเจ้าของในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2019 เป็นประมาณ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย โดยต้องการให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น กับความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น

ในการตอบโต้ต่อสถานการณ์นี้ สหภาพยุโรปได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่เก็บอยู่แล้วสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด

มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยุโรปกับคู่แข่งจากจีน โดยคำนึงถึงความได้เปรียบด้านต้นทุนที่บริษัทจีนได้รับจากการสนับสนุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในยุโรป ประเทศสมาชิก EU มีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นนี้ โดยบางประเทศสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ในขณะที่บางประเทศคัดค้านหรืองดออกเสียง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความกังวลที่หลากหลายของแต่ละประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเองก็มีท่าทีที่แตกต่างกันต่อมาตรการภาษีนี้ บางบริษัทสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่บางบริษัทกังวลว่าภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของพวกเขาในจีน ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและจีนในปัจจุบัน

ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน ผู้ผลิตจากจีนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุน โดยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้ผลิตยุโรปที่ถูกที่สุดทำได้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ความแตกต่างนี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่สูงกว่า ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 80% ของโลก ทำให้แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากจีน สถานการณ์นี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก

การตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยจ้างงานหลายล้านคนและรับผิดชอบงานการผลิตเกือบหนึ่งในสิบของงานภาคการผลิตทั้งหมด การปกป้องอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป

การทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นอาจชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปภายในปี 2030

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ทางการค้าจากจีน ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าจีนมักจะตอบโต้เมื่อเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม

การตอบโต้อาจมาในรูปแบบของการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากยุโรป หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับบริษัทยุโรปที่ดำเนินธุรกิจในจีน

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับจีน

ประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีน การดำเนินมาตรการที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนานและซับซ้อนเหล่านี้

ในขณะเดียวกัน การไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรยานยนต์ยุโรปในระยะยาว ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนและความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดอาจทำให้ผู้ผลิตยุโรปสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาว์ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตยุโรปต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปโดยรวม

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว ระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม และระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การผลิตแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ ความสำเร็จของจีนในการครองตลาดเหล่านี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและการลงทุนอย่างมหาศาลของรัฐบาล

ในท้ายที่สุด การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนและการตอบสนองของยุโรปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระเบียบเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาส และวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับมันจะมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ผู้บริโภคไปจนถึงแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การจัดการกับผลกระทบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลและภาคธุรกิจในอนาคต

เปิดกล่องดำ Tesla : กลยุทธ์เด็ดพลิกเกมอุตสาหกรรม กับเบื้องหลังการแจกสิทธิบัตรฟรีของ Elon Musk

ในปี 2014 โลกต้องตะลึงกับการประกาศครั้งสำคัญของ Elon Musk สุดยอดซีอีโอแห่ง Tesla เขาได้เปิดเผยว่าสิทธิบัตรทั้งหมดของบริษัทจะกลายเป็น “open source” ซึ่งต้องบอกว่านี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวงการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

Elon ประกาศด้วยความมุ่งมั่นว่า “สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ” เขาอธิบายว่า Tesla จะไม่ฟ้องร้องใครที่ต้องการใช้เทคโนโลยีของบริษัทโดยสุจริต

ต้องบอกว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะโดยทั่วไปแล้วบริษัทมักจะปกป้องสิทธิบัตรของตนอย่างเข้มงวด แต่ Elon มีเหตุผลที่น่าสนใจ

เขาเชื่อว่าการเปิดเผยสิทธิบัตรจะช่วยเร่งการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืน ในมุมมองของ Elon คู่แข่งที่แท้จริงของ Tesla ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่น แต่เป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินที่ผลิตออกมามหาศาลทุกวัน เขาต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเร็วขึ้น เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แต่การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถทำอะไรก็ได้กับเทคโนโลยีของบริษัท มีเงื่อนไขสำคัญ คือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีของ Tesla ต้องทำด้วยความสุจริต ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ

Tesla ไม่ท้าทายการใช้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทอื่น และไม่ขายหรือช่วยขายผลิตภัณฑ์ Tesla ปลอม นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการแบ่งปันความรู้ แต่ยังคงปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท

น่าสนใจที่ Elon ไม่ได้เชื่อมั่นในระบบสิทธิบัตรมาตลอด ในช่วงแรกของอาชีพ เขาเคยคิดว่าสิทธิบัตรเป็นสิ่งที่ดีและได้รับสิทธิบัตรมากมาย แต่ประสบการณ์ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขาเปรียบเทียบสิทธิบัตรกับการซื้อสลากกินแบ่งเพื่อการฟ้องร้อง โดยอ้างถึงคดีความระหว่าง Apple และ Samsung ที่ในที่สุดแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือทนายความเท่านั้น

แต่ทำไม Elon ถึงกล้าเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla? คำตอบอยู่ที่ปรัชญาของเขาเกี่ยวกับนวัตกรรม Elon เชื่อว่าวิธีที่แท้จริงในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาคือการสร้างนวัตกรรมให้เร็วพอต่างหาก

เขากล่าวว่าถ้าอัตราการสร้างนวัตกรรมของคุณสูง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะคู่แข่งจะกำลังลอกเลียนแบบสิ่งที่คุณทำเมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

นี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างสูงในความสามารถของทีมงานและวิสัยทัศน์ของบริษัท Tesla ไม่กลัวที่จะแบ่งปันความรู้ เพราะเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมต่อไป

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ Elon ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมยานยนต์

ในปี 2014 เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน Toyota ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของ Tesla ได้หันไปสนใจการผลิตรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแทน

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Toyota ประกาศยุติความร่วมมือกับ Tesla และเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ Toyota จะเปิดตัวรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นแรก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ Elon เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ส่งผลให้บริษัทได้เปรียบในระยะยาว เพราะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีของ Tesla ไปใช้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและบริษัทพลังงานลงทุนในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย นี่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม

แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เสี่ยงเลยซะทีเดียว เราสามารถเห็นตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ของ IBM PC ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบเปิดเช่นกัน ในตอนแรก IBM ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ในที่สุดก็สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ผลิตคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้กับ PC จนต้องขายธุรกิจ PC ทั้งหมดให้กับ Lenovo ในปี 2005

แต่ Elon และทีมงานของ Tesla ดูเหมือนจะไม่กังวลกับความเสี่ยงนี้ พวกเขามีความมั่นใจในความสามารถและเทคโนโลยีของตนเอง และเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป นี่คือความมั่นใจที่มาจากการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง

การตัดสินใจของ Elon ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เป็นการเดิมพันที่กล้าหาญ มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่มองเห็นประโยชน์ของการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมมากกว่าผลประโยชน์ระยะสั้นของบริษัท นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการคิดนอกกรอบและการกล้าท้าทายแนวปฏิบัติทางธุรกิจแบบเดิมๆ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่บริษัทอื่นๆ จะทำตามแนวทางนี้ เพราะระบบสิทธิบัตรยังคงมีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่การกระทำของ Elon ก็ได้จุดประกายการสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของทรัพย์สินทางปัญญาในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว มันท้าทายให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถส่งเสริมนวัตกรรมและความร่วมมือ โดยยังคงรักษาแรงจูงใจสำหรับการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจของ Elon Musk ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทเดียว แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมและได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งการแบ่งปันความรู้และการร่วมมือกันอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างให้เกิดขึ้นได้นั่นเองครับผม

Trevor Milton จากฝันสู่คุก : ถอดหน้ากาก Nikola Motors เมื่อสิ่งที่โม้ว่าคือ ‘นวัตกรรม’ กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา

ในทุกวันนี้เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ประกอบการหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างธุรกิจพันล้านจากไอเดียเพียงเล็กน้อย แต่บางครั้ง เส้นแบ่งระหว่างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่กับการหลอกลวงก็บางเฉียบเสียจนแทบมองไม่เห็น

เรื่องราวของ Trevor Milton และบริษัท Nikola Motors เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความทะเยอทะยานและความโลภนำไปสู่การหลอกลวงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยียานยนต์

Trevor Milton เกิดในปี 1982 ในรัฐ Utah สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีความยากลำบาก แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี ทำให้เขาและพี่น้องอีก 4 คนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตนเอง ประสบการณ์อันเจ็บปวดในวัยเด็กนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้ Trevor มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

หลังจบมัธยมปลาย Trevor ได้เป็นมิชชันนารีมอร์มอนในชุมชนแออัดของบราซิล ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้เห็นปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในมุมมองที่กว้างขึ้น

เมื่อกลับมาที่ Utah ในปี 2003 เขาเข้าเรียนที่ Utah Valley State College ในสาขาการขายและการตลาด แต่เรียนได้เพียงเทอมเดียวก็ลาออก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางธุรกิจ Trevor เริ่มจากการก่อตั้งบริษัทขายระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเขาสามารถขายต่อได้ในราคา 300,000 ดอลลาร์ แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะมีเค้าลางของปัญหาแล้ว

ผู้ซื้อกล่าวหาว่า Trevor สัญญาเกินจริงเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจ ทำให้พวกเขาขาดทุน นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าเขาโกงหุ้นส่วนทางธุรกิจเป็นเงิน 50,000 ดอลลาร์ระหว่างการขายอีกด้วย

ต่อมาในปี 2009 Trevor หันไปทำธุรกิจโฆษณาออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ขายรถมือสอง ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่สู่การสร้างเครื่องยนต์สำหรับยานพาหนะ แม้จะไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้เลย แต่ด้วยความมั่นใจและทักษะการขาย Trevor สามารถก่อตั้งบริษัท dHybrid ขึ้นมาได้ โดยมีแผนการที่จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซลที่มีอยู่ให้ทำงานด้วยก๊าซ CNG

ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)
ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)

แนวคิดนี้ดูน่าสนใจ เพราะก๊าซธรรมชาติปล่อยมลพิษน้อยกว่า มีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า และโดยรวมแล้วปลอดภัยกว่าเชื้อเพลิงดีเซล Trevor สามารถโน้มน้าวให้บริษัท Swift Transportation ลงทุน 2 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ โดยมีแผนจะเริ่มต้นด้วยการดัดแปลงรถบรรทุก 10 คันเป็นการทดลอง แล้วตามด้วยอีก 800 คันในภายหลัง

แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปตามที่สัญญา จากคดีความในปี 2012 เผยว่ามีการส่งมอบรถเพียง 5 คันเท่านั้น และเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงก็มีปัญหาใหญ่ ไม่สามารถทำงานได้ตามที่อ้างไว้ ยิ่งไปกว่านั้น Trevor ยังใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งผลาญไปกับชีวิตส่วนตัวอันหรูหราของเขา

เมื่อถูกกดดันจากปัญหาทางกฎหมาย Trevor ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการก่อตั้งบริษัท dHybrid Systems ร่วมกับพ่อของเขา โดยยังคงทำงานกับเทคโนโลยีเดียวกัน แต่หนีปัญหาทางกฎหมายที่เคยติดตัวเขามา ความคิดหัวหมอนี้ทำให้หุ้นส่วนทั้งหมดของ dHybrid เดิมสูญเสียผลประโยชน์ไปทั้งหมด

น่าประหลาดใจที่แผนการนี้ประสบความสำเร็จ บริษัท Worthington Industries ตกลงซื้อ dHybrid Systems ในราคา 16 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าในความเป็นจริงบริษัทจะอยู่ในสภาพย่ำแย่

ในการสนทนาส่วนตัว Trevor ยอมรับว่าชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์หลุดออกจากรถบรรทุก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเขาในตอนนั้นคือการได้รับเงินจากการขายกิจการ

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2014 เมื่อ Trevor ก่อตั้งบริษัทที่ต่อมากลายเป็น Nikola Motors ในขณะที่ Worthington กำลังขาดทุนหลายล้านจากปัญหาเครื่องยนต์ของ dHybrid แต่ตัวของ Trevor กลับสามารถสร้างกำไรได้อย่างงดงาม

เขายังคงสามารถโน้มน้าวผู้คนคิดว่าเขามีเทคโนโลยีสุดล้ำ และในวันที่ 9 พฤษภาคม 2016 Nikola Motors ก็ประกาศเปิดตัว Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง

Nikola One ถูกนำเสนอว่าสามารถเดินทางได้ไกลถึง 1,000 ไมล์โดยไม่ต้องหยุด และใช้เวลาเติมพลังงานเพียง 15 นาทีก็สามารถวิ่งได้อีก 1,000 ไมล์ ในตลาดรถบรรทุกทั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ เทคโนโลยีเช่นนี้หากเป็นจริงย่อมเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้อย่างแน่นอน

 Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)
Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า Nikola ซื้อการออกแบบมาจากชายคนหนึ่งในโครเอเชียในราคาเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ แต่นี่ไม่ได้หยุดยั้งบริษัทจากการฟ้องร้อง Tesla เป็นเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่า Tesla ขโมยการออกแบบของพวกเขาไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

โลกต่างตื่นเต้นกับข่าวของรถบรรทุกปฏิวัติวงการนี้ แต่ความจริงแล้ว เทคโนโลยีที่ Nikola อ้างว่าจะใช้ก็คือเทคโนโลยีก๊าซ CNG เช่นเดียวกับที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในบริษัท dHybrid นั่นเอง

Nikola กำหนดจะเปิดตัวรถบรรทุกสุดล้ำของเขาในเดือนธันวาคม 2016 โดยที่พวกเขาเริ่มรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว โดยประกาศว่า Nikola One ได้รับการออกแบบ พัฒนา และกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการประกอบ

แต่ความจริงแล้ว ในเดือนสิงหาคม 2016 Nikola One เป็นเพียงโครงรถบนล้อเท่านั้น ตัวถังยังไม่มาถึงด้วยซ้ำ ไม่มีโรงงานผลิต และตามแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับโครงการนี้ คนงานต้องรีบวิ่งไปร้านฮาร์ดแวร์เพื่อหาชิ้นส่วนพื้นฐาน แต่บัญชี Twitter ของ Nikola Motor Company ก็ยังคงโปรโมตงานอย่างหนัก เน้นย้ำว่ารถบรรทุกจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม บริษัทประกาศอย่างกะทันหันว่าพวกเขาได้เปลี่ยนจากเทคโนโลยีก๊าซ CNG ไปเป็นเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน การประกาศนี้ทำให้แม้แต่คนในบริษัทเองยังตกใจ

เมื่อใกล้ถึงวันงานในกลางเดือนพฤศจิกายน ทีมงานทำงานอย่างหนักเพื่อประกอบรถบรรทุกเข้าด้วยกัน แต่ไม่มีแกนมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเกียร์ มีเพียงเพลาในโครงรถเปล่าๆ ตัวถังมาถึงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนงาน สัญลักษณ์ H2 ซึ่งเป็นสูตรเคมีของไฮโดรเจน ถูกติดอย่างภาคภูมิใจที่ด้านข้างของรถ แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ภายในก็ตาม

เมื่อถึงวันสำคัญ Trevor ดูเหมือนจะไม่สามารถระงับอารมณ์ได้เมื่อพูดบนเวที เขาเน้นย้ำถึงความสำเร็จของ Nikola One ว่าเป็น “รถบรรทุกที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์”

แม้ว่าความจริงแล้ว รถบรรทุกทั้งคันจะใช้พลังงานจากสายไฟหลักที่เชื่อมต่อใต้เวที หน้าจอสัมผัสภายในห้องโดยสารดูเหมือนจะเป็นส่วนเดียวของรถบรรทุกที่ทำงานได้จริง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตกแต่งที่สวยงามเพื่อหลอกลวงผู้ชมเพียงเท่านั้น

แม้จะมีปัญหามากมาย แต่การนำเสนอของ Trevor ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมและสื่อมวลชน ในโลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยกระแสความตื่นเต้น และจากนั้น Nikola ก็เริ่มก้าวสู่การแข่งขันในตลาดอย่างจริงจัง

หลังจากงานในเดือนมกราคม 2017 บริษัทได้ระดมทุนในรอบ Series A นอกจากนี้ Nikola ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ Bosch รวมถึงพันธมิตรด้านเซลล์เชื้อเพลิงและไฮโดรเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและความตื่นเต้นจากงานในเดือนธันวาคม 2016 จางหายไป ผู้คนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของ Nikola One

ดังนั้นในต้นปี 2018 จึงมีการผลิตวิดีโอของ Nikola One เพื่อขจัดข่าวลือที่ว่ามันไม่ใช่รถบรรทุกที่ทำงานได้จริง วิดีโอมีชื่อว่า “Nikola One in Motion” และดูเหมือนว่าวิดีโอจะสร้างความเชื่อมั่นได้ แม้แต่ผู้ว่าการรัฐ Arizona Doug Ducey ก็ยังประทับใจ เขาตกลงที่จะเป็นเจ้าภาพเพื่อจัดสร้างโรงงานผลิตหลักของ Nikola ในรัฐของเขา

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ วิดีโอนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ Nikola ลากรถบรรทุกขึ้นไปบนยอดเนิน แล้วปล่อยให้มันไหลลงมาเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ที่ทำงานในวิดีโอต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) เพื่อปกปิดความจริงนี้

ในเดือนพฤศจิกายน 2019 Trevor Milton ถอนเงินสด 70 ล้านดอลลาร์และซื้อบ้านสุดหรูในรัฐ Utah บ้านราคา 33 ล้านดอลลาร์บนที่ดิน 2,600 เอเคอร์ เขาบอกกับ Wall Street Journal ว่าสถานที่แห่งนี้เป็น “สถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว เพื่อน และคนอื่นๆ ที่จะมาเพลิดเพลิน” แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งที่เขาได้รับจากความสำเร็จของ Nikola

ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2019 Nikola เริ่มเจรจาเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ วันถัดมา บริษัทประกาศว่าพวกเขาได้แก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของเรื่องพลังงานยั่งยืน นั่นคือแบตเตอรี่ความหนาแน่นสูง โดยอ้างว่าต้นแบบแบตเตอรี่ใหม่นี้จะให้พลังงานมากกว่าลิเธียมไอออน 4 เท่า และสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ Tesla Model S ได้ไกลกว่า 600 ไมล์

Trevor อ้างว่าเขาได้เห็นเทคโนโลยีนี้ทำงานด้วยตาตัวเอง และสัญญาว่าจะมีการสาธิตให้โลกได้ยลโฉม ซึ่งหลังจากการประกาศนี้ Nikola Motors ก็ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง และ Anheuser-Busch ก็เป็นรายแรกที่สั่งจองรถบรรทุก 800 คัน Trevor ประเมินว่ามูลค่าของเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ Nikola ไม่มีสิทธิบัตร วิศวกร นักเคมี หรือบทความวิจัยที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่นี้เลย ความจริงก็คือ Nikola ได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ZapGo มาในราคา 56 ล้านดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีของ ZapGo เป็นเพียงการหลอกลวง ไม่มีอยู่จริง

ที่น่าสนใจคือ ZapGo ที่นำโดย Charles Resnick เป็นตัวละครที่น่าสงสัยซึ่งเพิ่งหลอกลวง NASA เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่จะมีการดีลกับ Nikola ซึ่งในภายหลัง Charles ได้รับสารภาพผิดในเดือนมกราคม 2020 แต่ Trevor ยังคงโฆษณาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ไม่มีอยู่จริงนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยการที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำคุยโวว่าบริษัทกำลังสร้างรถบรรทุกที่ปฏิวัติวงการ และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนเกมซึ่งซื้อมาจากบริษัทที่เป็นการหลอกลวง

Nikola เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2020 ผ่านการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ (reverse merger) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของบริษัทเหมือนการเสนอขายหุ้น IPO ปกติ

นักลงทุนต่างตื่นเต้น และหุ้นของ Nikola พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าตลาดของ Nikola พุ่งสูงกว่า Ford มากกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ Ford ขายรถยนต์ได้ 5.5 ล้านคันในปี 2019 มีรายได้ 155 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Nikola แทบจะยังไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ

ในวันที่ 8 กันยายน 2020 Nikola Motors ประกาศความร่วมมือมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์กับ General Motors โดย GM จะถือหุ้น 11% ในบริษัท และผลิตรถกระบะไฟฟ้า Nikola Badger ให้กับพวกเขา แต่ไม่มีใครเคยได้ยลโฉม Nikola Badger คันจริงๆ เลย มีแต่ภาพเรนเดอร์เท่านั้น

Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)
Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2020 เมื่อบริษัทลงทุนที่เน้นการขายหุ้นชอร์ต Hindenburg Research เผยแพร่รายงานที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เรียก Nikola Motors ว่าเป็น “การฉ้อโกงที่ซับซ้อน” โดยรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งการบันทึกการโทรศัพท์ ข้อความ อีเมลส่วนตัว และภาพถ่ายเบื้องหลัง ซึ่งแสดงรายละเอียดคำแถลงเท็จหลายสิบรายการของ Trevor Milton

หลังจากรายงานนี้เผยแพร่ Trevor ได้ออกมากล่าวว่าจะโต้แย้งข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับลบบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ในวันที่ 21 กันยายน Trevor ลาออกจากตำแหน่งประธาน และ Stephen Girsky อดีตรองประธานของ GM เข้ามารับตำแหน่งแทน หุ้นของ Nikola ดิ่งลง 40% และการเจรจาระหว่าง Nikola กับพันธมิตรรายอื่นๆ หยุดชะงัก

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2021 คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางตั้งข้อหา Trevor Milton 3 ข้อหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางอาญา สำนักงานอัยการสหรัฐในแมนฮัตตันกล่าวหามหาเศรษฐีวัย 39 ปีว่าโกหกนักลงทุน ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับบริษัท และฉ้อโกง

นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ยังยื่นฟ้องข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ทางแพ่งต่อเขา โดยขอให้ศาลสั่งห้ามเขาดำรงตำแหน่งในบริษัทแบบถาวร และสั่งให้เขาจ่ายค่าปรับ รวมถึงคืนรายได้ใดๆ ที่ได้มาจากการหลอกลวงของเขา

แน่นอนว่า Trevor Milton ปฏิเสธการกระทำผิดทั้งหมดและให้การปฏิเสธต่อข้อกล่าวหา ในขณะเดียวกัน Nikola ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปภายใต้การบริหารงานชุดใหม่ แต่ต้องบอกว่าการแก้ไขทิศทางของบริษัทที่สร้างขึ้นจากคำกล่าวอ้างที่หลอกลวงโดยคนโกหกหน้าด้าน ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ข้อตกลงกับ GM ยังคงอยู่ในสภาวะคลุมเครือ ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดกาล และความเชื่อมั่นในบริษัทลดลงทุกวัน Bosch, General Motors และนักลงทุนอีกมากมายต้องแบกรับภาระนี้

คำถามสำคัญที่ต้องถามคือ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำการตรวจสอบ due diligence อย่างถี่ถ้วนก่อนเข้าร่วมลงทุนหรือทำสัญญากับ Nikola หรืออย่างไร

เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าความกระตือรือร้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ “The Next Big Things” อาจทำให้ผู้คนมองข้ามสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญได้ง่ายเพียงใด

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งที่คุณสัญญาไว้กลายเป็นเรื่องยากกว่าที่มโนไว้มาก? เมื่อไหร่ที่คุณจะผ่านจุดที่ไม่มีทางที่จะหันหัวกลับและต้องโกหกต่อไปจนกว่าจะถูกจับได้? สำหรับ Trevor Milton เขาเลือกที่จะโกหกต่อไปจนถึงที่สุด โดยหวังว่าจะสามารถทำให้คำคุยโวโอ้อวดของเขาเป็นจริงได้ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย

ในแง่หนึ่ง เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors ก็อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ บางทีเขาอาจทำทั้งหมดนี้เพื่อดูแลครอบครัวที่เคยทุกข์ทรมานมากในช่วงวัยเด็ก แต่มันก็อาจเป็นเพียงความโลภล้วนๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การกระทำของเขาก็สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับนักลงทุน พนักงาน และความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยรวม

บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวนี้คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นสิ่งจำเป็นในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า นักลงทุนควรระมัดระวังกับคำคุยโวที่ฟังดูดีเกินจริงและตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการระดมทุนและการสร้างความคาดหวังให้กับสาธารณชน การโกหกหรือการสร้างภาพลวงตาอาจนำไปสู่ผลกำไรในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว มันสามารถทำลายชื่อเสียงและอาชีพของคุณได้อย่างสิ้นเชิง

ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Nikola Motors เป็นเครื่องเตือนใจว่าในโลกของนวัตกรรมและการลงทุน ความจริงมักจะปรากฏในที่สุด และผลของการหลอกลวงนั้นมีราคาแพงเกินกว่าที่ใครจะจ่ายไหว การสร้างธุรกิจบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความโปร่งใสอาจเป็นเส้นทางที่ยากกว่า แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

References :

  1. CNBC – https://www.cnbc.com/2021/07/29/us-prosecutors-charge-trevor-milton-founder-of-electric-carmaker-nikola-with-three-counts-of-fraud.html
  2. The Verge – https://www.theverge.com/2020/9/21/21449203/nikola-trevor-milton-resigns-fraud-allegations-hindenburg-research
  3. Bloomberg – https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-28/nikola-founder-milton-s-fall-reveals-what-his-backers-feared
  4. Financial Times – https://www.ft.com/content/6711e9c0-dda5-43ab-89e7-7b17f10f87db
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Trevor_Milton

รถจีนบุกไทย: ปฏิวัติตลาดยานยนต์ หรือจุดจบอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ?

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของแบรนด์รถยนต์จากจีน ซึ่งได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดที่เคยถูกครอบงำโดยแบรนด์ญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน

ในอดีต แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดอย่างท่วมท้น โดยแทบไม่มีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง แต่กลับมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้แต่ในรุ่นระดับล่างของตลาด ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคชาวไทยที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของแบรนด์รถยนต์จีนได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนำเสนอทางเลือกใหม่ที่มีราคาแข่งขันได้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย การเข้ามาของแบรนด์จีนนี้ไม่เพียงแต่ท้าทายสถานะของแบรนด์ญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานาน แต่ยังเป็นการ “สั่งสอน” ให้ผู้ผลิตรายเดิมตระหนักถึงความสำคัญของการกำหนดราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น

ในแง่ของผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย การเปลี่ยนแปลงนี้มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ในด้านลบ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ดั้งเดิมซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะหากมีการปิดโรงงานเนื่องจากความต้องการชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์แบบดั้งเดิมลดลง

อย่างไรก็ตาม ในด้านบวก การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่อาจนำไปสู่การพัฒนาทักษะแรงงานและการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจช่วยสร้างงานและโอกาสใหม่ ๆ ให้กับแรงงานไทยในระยะยาว

ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยมักจะมีข่าวเกี่ยวกับการจ่ายโบนัสสูงถึง 8-10 เดือนให้กับพนักงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอัตรากำไรที่สูงมากของอุตสาหกรรมนี้ การเข้ามาของแบรนด์จีนจึงเป็นเสมือนการปรับสมดุลของตลาด ทำให้ผู้ผลิตต้องพิจารณาการตั้งราคาและกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

นอกจากนี้ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นยังอาจนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในระยะยาว ผู้บริโภคอาจได้รับทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในแง่ของราคาและคุณสมบัติของรถยนต์

ในท้ายที่สุด การเข้ามาของแบรนด์รถยนต์จีนในตลาดไทยไม่เพียงแต่เป็นการท้าทายสถานะเดิมของอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นโอกาสในการปรับตัวและพัฒนาของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่การสร้างสมดุลใหม่ในตลาด ที่ไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลกำไรเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับความต้องการและความสามารถในการจ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่มีความหลากหลาย แข่งขัน และเป็นธรรมมากขึ้นสำหรับทุกฝ่าย ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และแรงงานในอุตสาหกรรมได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

ความท้าทายใหม่ของ Elon Musk เมื่อ Tesla กำลังจะสิ้นมนต์ขลังในตลาดรถยนต์ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสถานการณ์ของ Tesla โดยเฉพาะในตลาด EV อันดับหนึ่งของโลกอย่างประเทศจีน

เหล่าพนักงานที่แสนภาคภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิก EV แต่กลับมารู้ตัวว่าชะตาพวกเขากำลังจะขาดก็เมื่อเสียบบัตรพนักงานเพื่อเข้าสู่การทำงานที่ไซต์งาน แต่พบว่าบัตรของพวกเขานั้นใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขากำลังถูกเลิกจ้าง!

เหล่าซัพพลายเออร์ของ Tesla ก็ต้องประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นเดียวกัน เพราะได้รับแจ้งตารางการผลิตใหม่จากสไลด์เพียงแผ่นเดียวในการประชุมช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด

ซัพพลายเออร์รายหนึ่งที่เคยทำงาน 6 วันครึ่งต่อสัปดาห์ในช่วงที่วุ่นวายที่สุดของไตรมาสแรก ได้เปิดเผยว่ากำลังการผลิตของพวกเขาต้องลดลงสูงถึง 40% เลยทีเดียวจากแผนการผลิตใหม่

หลังจากนั้นไม่นาน การเลิกจ้างพนักงานของ Tesla ก็ดำเนินต่อไป ผู้บริหารระดับสูงทยอยลาออกคนแล้วคนเล่า และทีมสร้างสถานี Supercharger ก็ได้ถูกลดขนาดลงอย่างมาก เหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องการลดการผลิตแบบทั่วไป แต่มันแสดงให้เห็นว่าพายุกำลังซัดกระหน่ำ Tesla อย่างรุนแรงในตลาดประเทศจีน

ต้องบอกว่าวิกฤติครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในช่วงรุ่งเรืองที่สุด ราคาหุ้นของ Tesla พุ่งสูงขึ้น 20 เท่า และมูลค่าตลาดของบริษัทก็สูงกว่ายักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ 11 รายรวมกัน ซึ่งรวมถึง Honda , Volkswagen และ General Motors

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปลายปี 2021 มูลค่าตลาดของ Tesla ได้ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 1.235 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 574.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Tesla?

ต้องบอกว่าหลังจากต่อสู้กับสงครามราคาเกือบสองปี กำไรสุทธิประจำปีของ Tesla ในปี 2023 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปี นอกจากนี้ในไตรมาสแรกของปี 2024 Tesla ส่งมอบรถยนต์ทั่วโลก 387,000 คัน ลดลง 8.53% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และลดลง 20.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

แม้จะครองตำแหน่งแชมป์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก แต่ Tesla กำลังแสดงสัญญาณของการถดถอยเป็นครั้งแรก

สภาพแวดล้อมในตลาดโลกก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา Mercedes-Benz , General Motors และ Ford ได้ประกาศชะลอแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ตลาดจีนยิ่งหนัก โดยมีส่วนแบ่งถึงหนึ่งในสามของยอดขายทั่วโลกของ Tesla และมากกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตก็อยู่ที่ประเทศจีนนี่เอง

Tesla กำลังเผชิญการแข่งขันอันดุเดือด เรียกได้ว่าทุกแบรนด์จีนกำลังไล่รุมสกรัม Tesla ในเดือนเมษายนยอดขายของ Tesla Model 3 ลดลงเหลือ 5,065 คัน ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดจาก Xiaomi SU7 , IM L6 และ Zeekr 001

การโฟกัสของ Elon Musk ที่มีกับ Tesla ก็ลดลงไป เนื่องจากเขาต้องดูแลอีกหลายบริษัท ทั้ง xAI , SpaceX และ X ซึ่งล้วนแต่ดูดพลังงานของเขาไปเป็นอย่างมาก

Elon Musk ที่งานล้นมือ และตอนนี้กำลังโฟกัสกับ xAI (CR:xataka.com)
Elon Musk ที่งานล้นมือ และตอนนี้กำลังโฟกัสกับ xAI (CR:xataka.com)

xAI เพิ่งระดมทุนรอบ Series B มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเร่งนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ซึ่ง Musk เองก็ไม่อยากแพ้ในเกมนี้เพราะเคยบาดหมางกับ Sam Altman แห่ง OpenAI เรียกได้ว่า Musk คงไม่ยอมโดนหยามหน้าในธุรกิจนี้ที่เขาแทบจะเป็นคนจุดประกายมาเป็นคนแรก ๆ ด้วยซ้ำ แต่โดนคนอื่นแย่งไปกินขุมทรัพย์อันมหาศาล

เหล่าพนักงานของ Tesla ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของ Musk อย่างชัดเจน โดยมีรายงานว่า เมื่อก่อน Musk เคยจัดประชุมทุกสัปดาห์เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ แต่ในช่วงหลัง การประชุมเหล่านี้ลดลงเหลือเพียงการอัปเดททุกไตรมาส

ตลาดในประเทศจีน เรียกได้ว่า Cycle ของยานยนต์ไฟฟ้าที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดต้องวัดกันเดือนต่อเดือน แต่รุ่นหลักของ Tesla คือ Model 3 และ Model Y เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2016 และ 2019

ในปี 2018 Musk เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าราคา 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะมีความเป็นไปได้ และจะเปิดตัวภายในสามปี นั่นหมายถึงรถยนต์ขนาดเล็กแต่ราคาไม่แพงสำหรับตลาด mass อย่างไรก็ตามผ่านมาหกปี แทบไม่มีความคืบหน้าเกิดขึ้น

Tesla มีโครงการรถยนต์ใหม่สองรุ่น คือ รถซีดานและรถ SUV รหัส NV91 และ NV93 ซึ่งเป็นรุ่นขนาดเล็กกว่า Model 3 และ Model Y ตามลำดับ โครงการ NV91 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคา 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีข่าวลือว่าจะเป็น Model Q หรือ Model 2 โดยมีกำหนดการผลิตจริงในเดือนสิงหาคม 2025

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าสองโครงการได้ถูกยกเลิกไป คนวงในกล่าวว่า เหตุผลหนึ่งอาจะเป็นเพราะรุ่นใหม่เหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ตลาดจีนเป็นหลัก แต่ Tesla ดูเหมือนจะยอมแพ้ไปซะแล้วเมื่อเผชิญกับสงครามราคาอันบ้าคลั่งในจีน

รถยนต์ไฟฟ้าแดนมังกรผู้หิวโหย

ความล่าช้าของ Tesla ในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งตรงกันข้ามอย่างชัดเจนกับสภาพแวดล้อมของตลาดโดยรวมที่เปลี่ยนแปลงไปไวดุจความเร็วแสง

ในปี 2024 อัตราการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด Ford , GM , Mercedes-Benz , Volkswagen และผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและอเมริกันรายอื่น ๆ ได้ประกาศชะลอแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทบจะทั้งหมด

Tesla ได้รับผลกระทบมากที่สุด ในไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดของ Tesla ในยุโรปอยู่ที่ประมาณ 66,200 คัน ลดลง 4.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในสหรัฐอเมริกา ยอดขายอยู่ที่ประมาณ 140,100 คัน ลดลง 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

การลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดในประเทศจีน ในเดือนเมษายน ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในจีนอยู่ที่ 62,200 คัน ลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และลดลง 30.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

เหล่าผู้บริโภคชาวจีนกำลังเมิน Tesla เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์จากจีนดินแดนบ้านเกิดของพวกเขาได้ทะลักเข้าสู่ตลาดให้ผู้บริโภคชาวจีนได้เลือกสรร บวกด้วยความชาตินิยมที่กำลังก่อตัวขึ้นในประเทศจีนซึ่งมันแสดงให้เห็นแล้วในตลาดมือมือสมาร์ทโฟนที่แบรนด์บ้านเกิดอย่าง Huawei แม้จะไม่มีระบบปฏิบัติการ android ก็สามารถทำยอดขายได้แบบพุ่งกระฉูด

เมื่อ Xiaomi เปิดตัว SU7 ผู้ก่อตั้ง Lei Jun กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของรถยนต์แบรนด์ Xiaomi นั้นชัดเจนว่าต้องการถล่ม Tesla Model 3 และ SU7 ก็สร้างกระแสอย่างรวดเร็วได้รับคำสั่งซื้อไปแล้วกว่า 100,000 คัน

Lei Jun ส่ง SU7 มาเพื่อถล่ม Tesla โดยตรง (CR:news.rthk.hk)
Lei Jun ส่ง SU7 มาเพื่อถล่ม Tesla โดยตรง (CR:news.rthk.hk)

นอกจากนี้แบรนด์อื่น ๆ อย่าง Xpeng G6 และ Li Auto L6 ก็เข้ามารุมสกรัม Tesla ใน Model X รวมถึงแบรนด์รองของ Nio อย่าง Alps ก็ได้ประกาศกร้าวอย่างชัดเจนว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 และมีราคาถูกกว่า Model Y 10%

สถานการณ์กำลังวิกฤติ แต่ดูเหมือนผู้บริหารของ Tesla จะไม่ตระหนักถึงภัยคุกคามที่อาจจะมาทำลายบริษัทของพวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ

“ตราบใดที่รถยนต์ Tesla ถูกผลิตออกมา ยังไงก็ขายได้” Tom Zhu ซึ่งถูกส่งตัวจาก HQ ในอเมริกาเหนือเพื่อกลับมากู้วิกฤติในจีนกล่าวสุนทรพจน์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมงาน Tesla

แต่ก็ต้องบอกว่าเหล่าพนักงานต่างส่ายหัว พวกเขาแทบไม่มีความมั่นใจเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ซัพพลายเออร์หลายรายก็บ่นออกมาว่าการผลิตของ Tesla ชะลอตัวลงอย่างมากในปีนี้ ทำให้เกิดปัญหาสิงค้าคงคลังค้างสต็อกจำนวนมหาศาล

จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของ Tesla โดยในปี 2023 Tesla ขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนได้ 603,664 คัน คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของยอดขายรวม 1.81 ล้านคัน รองจากสหรัฐอเมริกาที่ขายได้ 654,888 คันเพียงเท่านั้น

โรงงานในจีนก็มีกำลังการผลิตกว่าครึ่งของกำลังการผลิต Tesla ทั้งหมด จากรถยนต์ใหม่ 1.81 ล้านคันที่ Tesla ส่งขายทั่วโลกในปี 2023 เกือบ 957,000 คันผลิตจากโรงงานในเซี่ยงไฮ้ นอกจากนั้น อัตราการใช้ชิ้นส่วนในประเทศของ Gigafactory Shanghai ยังเกิน 95% ซึ่งทำให้ Tesla สามารถทำกำไรได้สูงมาก แต่พวกเขาก็ต้องพึ่งพาตลาดจีนและห่วงโซ่อุปทานในจีนอย่างมากเช่นเดียวกัน

Gigafactory Shanghai ศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญที่สุดของ Tesla (CR:Xinhua)
Gigafactory Shanghai ศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญที่สุดของ Tesla (CR:Xinhua)

อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าจะมีระยะห่างที่เพิ่มขึ้นระหว่าง Tesla จีนกับสำนักงานใหญ่ในอเมริกา เพราะเมื่อก่อนงานวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนจะมีบทบาทอย่างสูงมาก ๆ แต่หลังจากมีการเลิกจ้างครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้ทำให้มีช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักงานใหญ่กับแผนกในประเทศจีนชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเหล่าซัพพลายเออร์ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนเพราะต้องไปคุยกับสำนักงานใหญ่ Tesla ที่อเมริกาเหนือ เนื่องจากการตัดสินใจด้านการจัดซื้อทำที่นั่น และ Tesla ในจีนต้องปฏิบัติตามเพียงเท่านั้น

ในช่วงต้นปี 2020 เรียกได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองของ Tesla ในจีน ยอดขาย Model 3 ในจีนเติบโตอย่างบ้าคลั่ง สร้างความคึกครื้นให้กับห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดในการผลิตของ Tesla แต่ตอนนี้การแข่งขันอันดุเดือนในจีนกำลังค่อย ๆ กัดกร่อนส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทไปทีละน้อย

ความเป็นจริงหากมันดำเนินไปตามแผน รุ่นใหม่ ๆ ราคาย่อมเยาว์ของ Tesla จะช่วยกระตุ้นยอดขายของ Tesla ได้เป็นอย่างมาก หาก Tesla สามารถเปิดตัวรถยนต์รุ่นประหยัดที่ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2021 ตามที่ Musk ได้วาดฝันไว้ในปี 2018

แต่สภาพของตลาดจีนในทุกวันนี้ เต็มไปด้วยแบรนด์ดินแดนมังกรผู้หิวโหย มีตัวเลือกมากมายให้เหล่าผู้บริโภคเลือกสรร สำหรับงบประมาณ 25,000 ดอลลาร์ (180,000 หยวน) ผู้ซื้อชาวจีนสามารถเลือกซื้อรถยนต์ระดับไฮเอนด์มากมายเช่น Xpeng G6 , Geely’s Galaxy E8 , BYD Han , Song L และ Tang DM-i

แม้แต่ BYD Seal ซึ่งถูกประกบคู่มวยโดยตรงกับ Model 3 ตอนนี้ราคาลดเหลือเพียงแค่ 149,800 หยวน (21,110 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในขณะที่ Qin Plus รุ่นราคาประหยัดสำหรับตลาด Mass มีราคาเพียง 79,800 หยวน (11,240 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ดูเหมือนว่า Tesla ไม่ได้รับรู้ถึงความก้าวหน้าในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้ทันเวลา ยังคงใช้ตรรกะการพัฒนาแบบเดิม ๆ เพื่อรับมือกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแบบติดจรวดที่จีนกำลังสร้างขึ้นมา

ตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่ชาร์จเร็วพิเศษที่สามารถเพิ่มระยะทางการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าได้ประมาณ 400 กิโลเมตรในเวลาสิบนาที นอกจากนี้ แบตเตอรี่ลิเธียมเฟอร์โรฟอสเฟต (LFP) รุ่นใหม่สามารถปรับตัวได้ดีขึ้นกับอุณหภูมิต่ำ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าพึ่งพาสภาพอากาศอบอุ่นน้อยลงและเหมาะสมกับภูมิภาคที่หนาวเย็นมากขึ้น

แต่แนวโน้มการแข่งขันเหล่านี้กลับถูกเมินที่สำนักงานใหญ่ของ Tesla ที่ยังคงคิดว่าคนขับรถจะหยุดทุก 300 กิโลเมตรเพื่อชาร์จแบต และการชาร์จแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 18 นาที ซึ่งน่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่ง mindset เหล่านี้นี่เองที่ทำให้ Tesla ตามไม่ทันสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดจีน นำไปสู่การพลาดโอกาสมากมายของพวกเขา

บทสรุป

ต้องบอกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของ Tesla โดยเฉพาะในประเทศจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ บริษัทกำลังประสบปัญหาในเรื่องยอดขายการเข้าสู่สงครามราคาไม่ใช่เรื่องดีกับ Tesla ในระยะยาวอย่างแน่นอน และไม่ใช่วิถีทางของ Elon Musk ในการทำธุรกิจ

การแข่งขันอย่างรุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ความล่าช้าในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่และการขาดการตอบสนองต่อแนวโน้มของตลาดทำให้ Tesla กำลังอยู่ในภาวะเสียเปรียบอย่างยิ่ง แต่ Elon Musk ก็กำลังแก้ไขสถานการณ์โดยมุ่งเน้นไปที่ AI และการขับขี่แบบอัตโนมัติ

แต่แม้ว่า Tesla จะเผชิญกับความท้าทายมากมายขนาดไหน แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างแล้วว่า Elon Musk มักจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่ง การเดิมพันครั้งใหญ่ของเขาใน AI และรถยนต์ไร้คนขับอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมดก็เป็นได้

แต่คำถามที่สำคัญก็คือ Tesla จะกลับมาผงาดครองผู้นำได้อีกครั้งหรือไม่ เราก็ต้องมาติดตามความเคลื่อนไหวของ Elon Musk กับ Tesla อย่างใกล้ชิด เพราะนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติครั้งใหม่ในวงการยานยนต์ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราตลอดไปนั่นเองครับผม

References :
https://kr-asia.com/is-teslas-blind-spot-in-the-chinese-market-leading-to-it-decline
https://www.reuters.com/business/autos-transportation/tesla-lay-off-more-than-10-its-staff-electrek-reports-2024-04-15/
https://www.axios.com/2023/09/08/walter-isaacson-elon-musk-book-excerpt
https://kr-asia.com/nios-alps-to-begin-trial-production-of-first-ev-model-in-july-2024