Tesla Model S กับจุดเริ่มต้นในการปฏิวัติวงการรถยนต์ EV

มันคงไม่ใช่คำพูดเกินเลยหากจะบอกว่า Tesla Roadster รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Tesla นั้นก็เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ Apple II ของบริษัท Apple เพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์ของอีลอน มัสก์ สำหรับรถยนต์คันที่สองที่ Tesla จะทำการสร้างขึ้นมานั้นมันก็คือ Apple’s Macintosh ของ Tesla ดี ๆ นั่นเอง

ปัญหาใหญ่ของ Roadster นั้น คือเรื่องการ Design เพราะมัสก์ไม่อยากที่จะเริ่มต้นการผลิตรถยนต์จากศูนย์ใหม่ ซึ่งแน่นอนข้อดีคือมันช่วยลดต้นทุนให้ Tesla เป็นอย่างมากใน Model แรกอย่าง Roadster

แต่คันที่สองมันต้องไม่เหมือนคันแรก มันต้องเป็นการสร้างสรรค์ใหม่ตั้งแต่ต้นจาก Tesla เท่านั้น มันต้องมีจุดเด่นที่ใคร ๆ ก็ต้องเห็นว่ารถคันนี้คือรถที่ผลิตโดย Tesla เหมือนที่เราเห็นรถยนต์ Benz , BMW , Ferrari , Audi ที่รู้ได้ทันทีว่าแต่ละคันคือแบรนด์ไหนออกแบบมา

Tesla จึงได้ทำการสร้าง Design Studio เพื่อรองรับการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่โดยเฉพาะในโรงงานของ SpaceX ที่ลอสแอนเจลลิส แต่ปัญหาคือมัสก์ต้องการมือดีด้านนี้มาทำงานที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับ Tesla โดยเฉพาะ และต้องเป็น ดีไซน์ที่ไม่ซ้ำรถยนต์อื่น ๆ ในท้องตลาดเพื่อให้ทุกคนเห็นแล้วรู้ทันทีว่านี่คือ Tesla

และในที่สุด มัสก์ และ Tesla ก็ได้คนที่ต้องการ von Holzhausen ดีไซน์เนอร์ชื่อดังในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ผ่านงานมาทั้ง Volkswagen , Audi , GM และ Mazda โดยมัสก์ได้ยื่นข้อเสนอให้ von Holzhausen มาร่วมงานที่ยากจะปฏิเสธ

von Holzhausen ที่ถูกชักชวนโดยมัสก์ให้มาออกแบบ Model S (CR:Wikipedia)
von Holzhausen ที่ถูกชักชวนโดยมัสก์ให้มาออกแบบ Model S (CR:Wikipedia)

มัสก์ต้องการให้ von Holzhausen ปฏิวัติการดีไซต์ของรถซีดานใหม่ทั้งหมดซึ่งเป็นที่มาของการสร้างรถยนต์คันที่ 2 ของ Tesla ซึ่งก็คือ Model S นั่นเอง

สำหรับ von Holzhausen นั้นงานดีไซน์รถยนต์แบบปรกติทั่วไปที่ใช้น้ำมันกับการดีไซน์รถยนต์ไฟฟ้าให้กับ Tesla นั้นมันเป็นอะไรที่แตกต่างกันอยู่พอสมควร  รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีพื้นที่ว่างให้ใส่ไอเดียต่าง ๆ เข้าไปมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันแบบปรกติ

สิ่งสำคัญอีกส่วนนึงก็คือเรื่องของเสียง เนื่องจากความแตกต่างของเสียงเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันกับไฟฟ้า โดยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้านั้นจะมีเสียงที่เงียบกว่าเพราะฉะนั้นต้องมีการดีไซน์เรื่องการลู่ลมของรถยนต์ให้ดีเพื่อไม่ให้มีเสียงดังมาขัดใจผู้ขับขี่

Model S นั้นถูกใช้วัสดุจากอะลูมิเนียมชนิดพิเศษแบบเดียวกับที่ใช้ในจรวดของ SpaceX แทบจะทั้งคัน ซึ่งจะแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปที่ใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก

ความเจ๋งอีกอย่างหนึ่งของ Model S ก็คือหน้าจอขนาดยักษ์ 17 นิ้ว ที่เป็นแบบ Touch Screen ที่ดูคล้าย ๆ iPad ขนาดยักษ์ ซึ่งติดตั้งไว้ที่ Console ของรถยนต์ Model S ทุกคัน และลูกค้าทุกคนก็หลงรักเจ้าจอขนาดยักษ์นี้ทันที่ มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดอย่างนึงของทีมออกแบบภายในรถยนต์ Model S

แต่ก็มีบางเรื่องที่เหล่าทีมดีไซน์ของ Holzhausen นั้นคิดผิดไป รายละเอียดเล็ก ๆ อย่างไฟสำหรับอ่านหนังสือตรงที่นั่งด้านหลังนั้น เหล่าทีมดีไซน์คิดกันว่า คนในยุคนี้นั้นแทบจะไม่อ่านหนังสือกันแล้วส่วนใหญ่จะอ่าน ebook กัน ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องไปติดไฟส่องสว่างสำหรับที่นั่งด้านหลัง

แต่เชื่อหรือไม่ว่ามัสก์นั้นเป็นคนค้นพบจุดบกพร่องนี้ด้วยตัวเอง ในระหว่างช่วงทดสอบรถซึ่งเขามักจะทดสอบด้วยตัวเองนั้น ลูกของเขาต้องการที่จะอ่านหนังสือเมื่อนั่งตรงด้านหลัง แต่มองไม่เห็นสวิตช์ไฟถึงกับอุทานออกมาต่อหน้าพ่อของเขาผู้เป็น CEO ของ Tesla ว่า “มันเป็นรถยนต์ที่งี่เง่าที่สุดในโลก” เลยทีเดียวและสุดท้ายก็ต้องทำการติดไฟสำหรับอ่านหนังสือให้กับ Model S ทุกคันในท้ายที่สุด

และในที่สุดตัว prototype ของ model S ก็พร้อมออกมาให้ยลโฉมกันในเดือนมีนาคมปี 2009 แม้หลาย ๆ คนจะยังไม่ประทับใจกับมันนักก็ตาม เหล่านักวิจารณ์ก็มองมันเหมือนเป็นของเล่นของมัสก์เท่านั้น มันยังไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้าจริง ๆ แบบที่เขาได้เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้หลาย ๆ สื่อเริ่มโจมตีและวิจารณ์บริษัท Tesla อย่างหนัก

มีการทดสอบตัว prototype โดยวิ่งไปในเมือง Palo Alto และมีผู้คนสามารถที่จะถ่ายรูปเจ้า Model S และหลุดออกไปทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งความจริง Tesla อยากให้เรื่องนี้เป็นความลับอยู่

แต่มันได้กระจายไปทั่วแล้ว หลาย ๆ คนต่างผิดหวังกับดีไซน์ของรถยนต์รุ่นใหม่ของ Tesla และหวังว่ามันคงไม่ใช่รถยนต์ที่ผลิตโดย Tesla จริงตามข่าว มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะขายรถยนต์หน้าตาแบบนี้ในราคาสูงถึง 50,000 หรือ 60,000 เหรียญ ซึ่งผู้บริโภคมีทางเลือกอื่น ๆ อีกมากมายกับมูลค่าที่สูงขนาดนั้น

หลาย ๆ คนเปรียบเทียบมันกับรถยนต์โบราณสุดเห่ยอย่าง Ford Probe ที่เป็นรถยนต์ในยุค 80’s เลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญสถานการณ์ของบริษัทของมัสก์ในขณะนั้นก็เริ่มซวนเซไม่ว่าจะเป็นทั้งฝั่ง SpaceX รวมถึง Tesla

Model S ที่ถูกเปรียบเทียบกับ Ford Probe รถยนต์ในยุค 80’s (CR:Wikipedia)
Model S ที่ถูกเปรียบเทียบกับ Ford Probe รถยนต์ในยุค 80’s (CR:Wikipedia)

ในช่วงกลางปี 2012 Tesla ทำให้เหล่าบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องตกตะลึง เมื่อบริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ รุ่น Model S ซึ่งเป็นยานยนต์สุดหรูใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน

โดยที่การชาร์จหนึ่งครั้งนั้นสามารถเดินทางได้ถึง 300 ไมล์ และสามารถที่จะทำความเร็วไปถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ ใน 4.2 วินาที และสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 7 คน ไร้ซึ่งเสียงรบกวน หน้าจอสัมผัสขนาด 17 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันควบคุมมากมายในส่วนใหญ่ของรถ

ซึ่งทุกอย่างนั้น Model S เหนือกว่ารถยนต์กลุ่มไฮเอนด์ส่วนใหญ่ ทั้งเรื่องของความเร็วในการขับขี่ จำนวนไมล์ต่อค่าใช้จ่ายเพราะไม่ต้องเติมน้ำมัน ความรู้สึกในการขับขี่ แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพื้นที่เก็บของ Model S ก็กินขาด

Model S ของ Tesla ได้แสดงให้โลกเห็นถึงรถยนต์ต้นแบบแห่งประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงเรื่องของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันที่กำลังจะหมดโลกในอีกไม่ช้า โดย Model S นั้นมีชิ้นส่วนที่ขยับไปมาแค่โหลเดียว ชุดแบตเตอรี่ส่งพลังงานไปยังมอเตอร์ขนาดเท่ากับผลแตงโมที่ใช้หมุนล้อในทันที่ มันเป็นกลไกง่าย ๆ แต่แฝงไปด้วยประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่

Model S ของ Tesla ได้ฉีกกฏของการซื้อขายรถยนต์แบบเดิม ๆ ลูกค้าไม่ต้องไปที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรือศูนย์รถยนต์อีกต่อไปเพื่อไปต่อรองเรื่องต่าง ๆ กับเซลล์ผู้กระหายเงิน

แต่ลูกค้าของ Tesla สามารถที่จะสั่ง Model S ได้ผ่านร้านของ Tesla โดยตรงรวมถึงสามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก และสุดท้าย Tesla จะส่งรถไปถึงหาคุณถึงที่บ้านเอง

มันเป็นการปฏิวัตวงการรถยนต์ที่มีมากว่า 100 ปี แม้กระทั่งการดูแลรถยนต์ หากเกิดปัญหาข้อบกพร่องบางอย่าง วิศวกร Tesla สามารถเชื่อมต่อเข้าไปในรถผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว Download Software อัพเดตข้อบกพร่องให้ได้ทันที ราวกับมีพ่อมดในโลกเวทมนต์มาเสกให้คงเป็นการเปรียบเทียบไม่เกินไปนัก

เรียกได้ว่าเจ้า Model S มันเปลี่ยนทุกอย่างของการคมนาคมไปอย่างสิ้นเชิงเพราะมันเปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ติดล้อดี ๆ นี่เอง แม้ตอนแรกเหล่าบริษัทรถยนต์เก่าแก่จะมอง Tesla เป็นเรื่องกระแสชั่วคราวที่ไม่นานจะตกไปเอง

แต่หลังจากรถยนต์ได้ส่งมอบไม่กี่เดือนในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 Model S ก็ได้รับตำแหน่งรถยนต์แห่งปีจากนิตยสาร MotorTrend ด้วยผลโหวตที่เป็นเอกฉันท์ครั้งแรก โดยสามารถเอาชนะ Porche BMW Lexus Subaru ซึ่งหลายเดือนต่อมา นิตยสาร ComsumerReport ให้คะแนนสูงสุดเป็นประวัติการณ์กับ Model S นั่นคือ 99 เต็ม 100 พร้อมกับประกาศว่าเป็นรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา

อเมริกาไม่ได้เห็นบริษัทรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จมานานมากแล้วครั้งสุดท้ายน่าจะเป็น Chrysler เมื่อปี 1925 ย้อนไปเกือบ 100 ปี มัสก์ก็ไม่เคยทำรถยนต์มาก่อนแต่เขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ เพียงแค่หนึ่งปีหลังจากวางจำหน่าย Model S ก็สามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำทันที

มัสก์ได้สร้างรถยนต์ในระดับเดียวกับที่ สตีฟ จ๊อบส์ สรรสร้าง iPhone ขึ้นมา และมันคล้าย ๆ กับที่ Blackberry , Nokia ต่างมอง iPhone ในช่วงแรกของการเปิดตัว เหล่าผู้บริหารของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั้งจากอเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เยอรมนี ก็เริ่มหันมามองว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร

Tesla สามารถดิ้นรนจนอยู่รอดได้สำเร็จ โดยตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2012 นั้น Tesla ขาย Roadster รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทไปได้กว่า 2,500 คัน มันทำให้ฝันของมัสก์นั้นเป็นจริง และมันเป็นข้อพิสูจน์ว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นสามารถที่จะขับให้สนุกได้ไม่ต่างจากเจ้าตลาดที่ทำกัน

ในที่สุด Tesla ก็ก้าวไปอีกขั้นได้สำเร็จกลายเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรที่แท้จริงได้ มันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันของมัสก์เพียงคนเดียวอีกต่อไป Tesla ได้เปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนในวันที่ 29 มิถุนายนปี 2010 ซึ่งทำให้บริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 226 ล้านเหรียญ

Tesla ได้เปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนในวันที่ 29 มิถุนายนปี 2010 (CR:Bloomberg)
Tesla ได้เปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนในวันที่ 29 มิถุนายนปี 2010 (CR:Bloomberg)

ซึ่งการขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งนี้ของ Tesla นั้นกลายเป็นครั้งแรกของบริษัทผลิตรถยนต์ในประเทศอเมริกานับตั้งแต่ฟอร์ดเปิดขายเมื่อปี 1956 ซึ่งเมื่อเงินทุนหลั่งไหลเข้ามา มัสก์ก็เริ่มขยายทีมวิศวกรรม และเริ่มสร้างโรงงานเพิ่มเติมเพื่อให้ผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น

เหล่าพนักงานขายของ Tesla สามารถทำยอดขายรถได้อย่างมหาศาล ซึ่งมันทำให้ตัวเลขทางการเงินในไตรมาสแรกของปี 2013 พุ่งกระฉูดขึ้นทันที

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 Tesla สามารถประกาศกำไรก้อนแรกได้สำเร็จในฐานะบริษัทมหาชน ซึ่งสามารถทำกำไรได้ 11 ล้านเหรียญจากยอดขายกว่า 562 ล้านเหรียญ

โดยบริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ Model S ออกไปได้กว่า 1,400 คัน ส่งผลให้หุ้นของ Tesla พุ่งขึ้นจาก 30 เหรียญไปแตะที่ 130 เหรียญ และได้ทำให้ Tesla สามารถจ่ายเงินกู้คืนให้กับรัฐบาลได้สำเร็จแถมยังเป็นการจ่ายก่อนกำหนดอีกด้วย

สิ่งสำคัญที่มัสก์ทำไปแต่ผู้ผลิตรถคู่แข่งพลาดหรือไม่ตั้งใจที่จะทำก็คือ การเปลี่ยนให้ Tesla กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ บริษัทไม่ได้คิดเพียงแค่แค่ขายรถให้ใครสักคนเท่านั้น แต่บริษัทกำลังขายภาพลักษณ์ ขายความรู้สึกที่ว่าพวกเขากำลังย่างเท้าเข้าสู่โลกแห่งอนาคต มันเป็นความผูกพันคล้าย ๆ กับที่ Apple ทำกับ ทั้ง Mac , iPod หรือ แม้กระทั่ง iPhone แม้แต่คนที่ไม่ศรัทธาจะเข้าสังกัด Apple แบบเต็มตัวก็ยังถูกดึงเข้าจักรวาลของพวกเขาเมื่อซื้อฮาร์ดแวร์ และ ดาวน์โหลดซอฟท์แวร์อย่าง iTunes

รูปแบบของ Tesla ไม่เพียงแค่ทำให้ธุรกิจแนวคิดเดิม ๆ ของอุตสาหกรรมรถยนต์เปลี่ยนไปเท่านั้นแต่ยังเป็นการแสดงออกว่ารถไฟฟ้าคือแนวคิดใหม่ของยานยนต์ ซึ่งอีกไม่นานบริษัทรถยนต์อื่น ๆ ล้วนจะต้องทำตามหลักการที่นำโดย Tesla

แม้หลายคนอาจจะเคยปรามาสมัสก์ว่าธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าคือโอกาสทางธุรกิจที่ห่วยแตกที่สุดของโลกใบนี้ เหล่านักลงทุนส่วนใหญ่ต่างกระโจนหนีในความคิดเพ้อฝันของมัสก์ โอกาสที่จะทำกำไรกับธุรกิจนี้มันมีน้อยมาก ๆ

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ Tesla แตกต่างจากคู่แข่งก็คือความมุ่งมั่นในการพุ่งชนวิสัยทัศน์ของตัวเองโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ซึ่งนั่นก็คือการทุ่มเทสุดตัวให้กับการทำตามมาตรฐานของมัสก์ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่เคยมีมานั่นเองครับผม

References :

หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance
หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus
หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา!
ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์)
ผู้แปล จินดารัตน์


BYD , TikTok , Huawei , Xiaomi , Shein และ Temu กับเส้นทาง 100 ปีมาราธอนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ถ้าย้อนไป 20 ที่แล้ว และกล่าวว่าจะมีบริษัทจีนเหล่านี้ขึ้นมาครองโลกธุรกิจในอุตสาหกรรมของตนเอง ผมว่าทุกคนคงขำก๊าก

ต้องบอกว่าเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่สหรัฐฯ มีบทบาทอย่างมากในการช่วยเหลือจีนในการสร้างเศรษฐกิจ พัฒนาขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และการทหาร และก้าวขึ้นมาบนเวทีโลก

ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มในการเปิดความสัมพันธ์กับจีน สหรัฐฯ เชื่อว่าการผงาดขึ้นมาของจีน ก็จะไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่อเมริกาเคยชักใยได้ สุดท้ายก็จะมาร่วมมือกับพวกเขาในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอเมริกา

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความฝันที่แท้จริงของจีนแล้ว พวกเขามีเป้าหมายเพื่อมาแทนที่อเมริกา และทำเฉกเช่นเดียวกับที่อเมริกาเคยเข้ามาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกแทนที่จักรวรรดิอังกฤษ

มีข้อมูลจากหนังสือหลายๆ เล่มที่ตีแผ่เรื่องราวแผนอันลึกลับซับซ้อนของจีน ที่ต้องการเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก

และพวกเขาจะต้องดำเนินการให้สำเร็จภายในปี 2049 ซึ่งเป็นวันครบรอบหนึ่งร้อยปีของการก่อตั้ง และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

กลยุทธ์ของจีนคือรูปแบบของ Unrestricted Warfare จีนยินดีต้อนรับการลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก แต่จะไม่ยอมปล่อยให้นักลงทุนนำผลกำไรออกนอกประเทศ บริษัทของจีนสยายปีกไปทั่วทุกมุมโลก แต่ในประเทศพวกเขาจำกัดบริษัทต่างชาติที่เติบโตในจีนทุกรูปแบบ

แน่นอนว่าประเทศหนึ่งไม่ต้องการกองทัพขนาดใหญ่โตอีกต่อไปเพื่อพิชิตเป้าหมายในการเป็นมหาอำนาจ

เมื่อก่อนเราอาจจะเห็นประเทศมหาอำนาจต่างไล่ล่าเพื่อควบคุมประชากร ทรัพยากร หรือแม้กระทั่งเข้าควมคุมรัฐบาลของประเทศอื่น ๆ

แน่นอนว่าการใช้กำลังทหารนั้นเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการแสดงความก้าวร้าว แต่อีกวิธีหนึ่งในการบรรลุอำนาจในมุมมองของจีนนั่นก็คืออำนาจทางเศรษฐกิจ

มันคือการสร้างความเป็นต่อในขอบเขตการสู้รบอื่น ๆ ทั้งหมดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งสามารถใช้เพื่อสร้างอิทธิพลและโน้มน้าวผู้นำทางการเมืองในต่างประเทศ ปิดปาก ซื้อหรือขโมยเทคโนโลยี

มันยังสามารถใช้ในการผลิตสินค้าราคาถูกและขับไล่คู่แข่งออกจากธุรกิจหรือทำให้เศรษฐกิจของคู่แข่งอ่อนแอลง

สามารถใช้เพื่อสร้างกองทัพนักวิชาการที่รวบรวมข่าวกรองทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนำไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายอื่นๆ ได้

การพุ่งทะยานของธุรกิจจีน

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ที่แล้ว หากเราพูดถึงแบรนด์อย่าง BYD , TikTok , Huawei , Xiaomi , Shein และ Temu คิดว่าหลายๆ คนคงส่ายหัวไม่รู้จัก อาจจะมีเพียงแค่ Huawei ที่พอจะมีชื่อเสียงในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมอยู่บ้าง

แต่หากพูดถึงที่เหลือพวกเขาเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเกิดมาแทบจะทั้งสิ้น BYD ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 เริ่มผลิตรถยนต์คันแรกในปี 2005 , TikTok ที่เริ่มจาก Douyin ก่อนจะแพร่กระจายไปตัวทั่วโลกผ่านแบรนด์ TikTok ที่เปิดตัวในปี 2016

Shein ก่อตั้งขึ้นในเมืองหนานจิงเมื่อเดือนตุลาคมปี 2008 โดยผู้ประกอบการที่เก่งด้านการทำตลาดผ่าน SEO อย่าง Chris Xu , ส่วน Temu แม้จะมีบริษัทแม่อย่าง PDD Holdings ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีน แต่แบรนด์ใหม่อย่าง Temu เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2022 นี่เอง

หรือแบรนด์ Xiaomi ที่ตอนนี้ก้าวขึ้นมาท้าชนยักษ์ใหญ่จากทั้งเกาหลีใต้ หรือ ญี่ปุ่นในสินค้ากลุ่ม consumer electronics ก็ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2010

จะเห็นได้ว่าแบรนด์เหล่านี้กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมตนเองโดยใช้ระยะเวลาไม่นานนัก ด้วยอัตราเร่งในการเติบโตแบบโครตไฮสปีด

นี่ยังไม่นับแบรนด์อื่นๆ อีกมากมายที่กำลังเจริญรอยตามรุ่นพี่ๆ และงอกขึ้นมาในแทบจะทุกอุตสาหกรรม รถไฟความเร็วสูง ชิป เครื่องบินพี่จีนก็พัฒนาของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยซึ่งนั่นก็คือ Comac และพร้อมขึ้นมาท้าชนผู้นำอย่าง Boeing หรือ Airbus ในเร็ววันนี้ หรือแม้กระทั่งการท่องอวกาศที่พวกเขาได้ปักหมุดไปไกลแล้ว

ส่วน Huawei เองความจริงพวกเขาประกาศกร้าวอย่างชัดเจนมาก ๆ และดูเหมือนเส้นทางจะสดใสซะด้วยว่าจะก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนโลกภายในปี 2020

แต่ด้วยปัญหาเรื่องสงครามการค้า การแบนเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้พวกเขาต้องถอยทัพกลับไปเริ่มต้นสร้างตัวใหม่โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านชิปที่พวกเขาหรือแม้กระทั่งรัฐบาลจีนเองมองว่าคงยืมจมูกคนอื่นหายใจไม่ได้อีกต่อไป

และเมื่อต้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว Huawei ได้ประกาศวางขายสมาร์ทโฟน Huawei Mate 60 ซึ่งใช้ขุมพลังชิปประมวลผล 7 นาโนเมตรได้สำเร็จ ซึ่งทำให้คู่แข่งทั่วโลกต่างสะพรึงกลัวและเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า จีนทำมันได้อย่างไรในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้

จะเห็นได้ว่ารูปแบบของธุรกิจต่าง ๆ ของจีนนั้นคล้ายคลึงกันอย่างมาก เริ่มต้นก็หลอกล่อบริษัทจากต่างประเทศให้มาลงทุนผลิตในประเทศ และดึงดูดเอา knowhow ก่อนที่จะเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างรวดเร็ว

และฐานผู้บริโภคในประเทศของพวกเขาที่ใหญ่โตมหาศาลทำให้พวกเขาสามารถที่จะทดลองสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ และปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ตลอดเวลา และที่สำคัญประชาชนในชาติก็พร้อมใจกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศตัวเองเสียด้วย

ทุกแบรนด์เหล่านี้ ล้วนสร้างนวัตกรรมแบบไม่หยุดยั้ง และพัฒนาด้วยความเร็วแบบไฮสปีด กอรปกับความสัมพันธ์ที่มีความลึกลับซับซ้อนกับทางรัฐบาลจีน ที่เหมือนจะอยู่เบื้องหลังบริษัทเหล่านี้แทบจะทุกแห่ง สามารถชี้เป็นชี้ตายอนาคตของบริษัทเหล่านี้ได้ ดูได้จากเคสตัวอย่างของการกวาดล้างบริษัทเทคโนโลยีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

มันเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกวางหมากไว้แทบจะทั้งหมดสอดประสานกันระหว่างองค์กรธุรกิจและภาครัฐของจีนที่คอยกำหนดแผนการที่สอดรับไว้ ตัวอย่างเช่น การวางโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือขนส่งสินค้าที่มีอยู่ทั่วโลกในขณะนี้

ซึ่งสุดท้ายมันก็จะเป็นไปตามแผนการ The Hundred-Year Marathon ของประเทศจีน ซึ่งดูจากสถานการณ์ในตอนนี้มันมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่พวกเขาก็จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกโดยแทบจะไม่ต้องใช้กระสุนซักนัดเหมือนที่อเมริกาเคยล้มจักรวรรดิอังกฤษได้สำเร็จมาแล้วนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Hundred-Year Marathon: China’s Secret Strategy to Replace America as the Global Superpower โดย Michael Pillsbury
หนังสือ Stealth War: How China Took Over While America’s Elite Slept โดย Robert Spalding
https://en.wikipedia.org/wiki/BYD_Auto
https://en.wikipedia.org/wiki/TikTok
https://en.wikipedia.org/wiki/Shein
https://en.wikipedia.org/wiki/Temu_(marketplace)
https://en.wikipedia.org/wiki/Xiaomi

คำทำนายของ Elon Musk “บริษัทรถยนต์ 10 อันดับแรกจะเป็น Tesla ตามด้วยบริษัทรถยนต์จีนอีก 9 แห่ง”

ต้องยอมรับสภาพตามตรงว่าแบรนด์ที่ส่วนตัวผมเองหลงรักมาก ๆ ในยุคนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ Xiaomi ที่ผลิตสินค้าเรียกได้ว่าสากเบือยันเรือรบแม้บางสินค้าจะไม่ได้มากจากบริษัทแม่อย่าง Xiaomi จริง ๆ แต่ผ่านบริษัทลูกอย่าง Xiaomi Youpin แต่ต้องบอกว่าคุณภาพของสินค้าหลายๆ ตัวนั้นน่าประทับใจเป็นอย่างมาก

เมื่อก่อนผมเคยหลงรักแบรนด์อย่าง Sony ที่เรียกได้ว่าผลิตอะไรมาก็ซื้อเกือบจะทั้งหมด แต่หลังจากประสบปัญหาในการต่อสู้กับบริษัทสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลี ก็ทำให้มนต์สเน่ห์ของ Sony เริ่มที่จะเจือจางสูญหายไป

สำหรับ Xiaomi นั้นแม้กระทั่งปากกาลูกลื่น ผมยังประทับใจในสินค้าของพวกเขาที่ออกแบบมาได้แบบปราณีตมาก ๆ ซึ่งหาได้ยากสำหรับแบรนด์สินค้าในยุคปัจจุบัน

และเมื่อพวกเขาคิดจะทำรถยนต์สักคัน มันถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจเอามาก ๆ

Elon Musk เคยกล่าวในงานประชุม New York Times DealBook Summit เมื่อปลายปีที่แล้วว่า “มีคนจำนวนมากที่คิดว่าบริษัทรถยนต์ 10 อันดับแรกจะเป็น Tesla และตามด้วยบริษัทรถยนต์จากจีนอีก 9 แห่ง”

มันเป็นคำพูดที่ฉายภาพชัดเจนมาก ๆ ถึงสถานการณ์ รถ EV ที่จีนกำลังจะครองโลกในปัจจุบัน ขนาดที่ว่าพวกเขาโดนเล่นงานจากสงครามทางด้านการค้า ไม่สามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่อย่างอเมริกาได้ พวกเขาก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างที่ Musk กล่าวไว้จริง ๆ

และเมื่อ xiaomi ประกาศเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก และคำประกาศกร้าวจาก Lei Jun CEO ของ Xiaomi ว่าพวกเขาจะทะยานสู่หนึ่งในห้าผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกในอีก 10-15 ปีข้างหน้า มันเป็นเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก

สถานการณ์ของโลกรถยนต์ในตอนนี้กลายเป็นว่าข้อได้เปรียบที่สำคัญนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหล่าวิศวกรเครื่องกลชั้นเทพ เหมือนที่ เยอรมัน หรือ ญี่ปุ่น เคยมี ที่เคยสร้างสรรค์ผลงานที่ตราตรึงหัวใจผู้บริโภคทั่วทั้งโลกมาหลายสิบปีในยุคเครื่องยนต์สันดาป

แต่เมื่อโลกผลัดใบสู่เทคโนโลยีขับเคลื่อนไฟฟ้าแล้วนั้น กลายเป็นว่าเรื่องความแข็งแกร่งทางด้านเครื่องยนต์กลไก ไม่ใช่ข้อได้เปรียบใหญ่สำหรับแบรนด์จากเยอรมันหรือญี่ปุ่นอีกต่อไป

มันเปิดโอกาสอย่างชัดเจนให้ประเทศจีนที่สะสมองค์ความรู้ในหลากหลายธุรกิจ ทั้งเรื่องการพัฒนา software ด้าน AI สำหรับการขับเคลื่อนรถยนต์แบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ หรือ ระบบ Entertainment ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในตัวรถ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แน่นอนว่าการผลิตในยุคแรก ๆ นั้นก็ต้องประสบพบเจอปัญหาเหมือนแบรนด์ทุกแบรนด์ในโลกที่เคยประสบพบเจอมาก่อน แบรนด์จากญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่เคยถูกขนานนานว่ารถกระป๋องมาแล้วในยุคแรก ๆ ในการทำตลาด แต่วันเวลาที่ผ่านพ้นไป การปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ก็ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นแนวหน้าได้ ซึ่งแน่นอนว่าจีนก็สามารถทำแบบนั้นได้เช่นเดียวกัน

หรือการที่แบรนด์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาลุยในตลาดนี้ทั้ง Xiaomi หรือ Huawei เอง จึงไม่น่าเป็นเรื่องที่แปลกใจเพราะพวกเขาก็มีความเชี่ยวชาญใน domain ดังกล่าวไม่ใช่น้อย ไม่ด้อยไปกว่าแบรนด์ยานยนต์ยุคเก่าแต่อย่างใด

การเปิดตัวรถยนต์ SU7 หรือ Speed Ultra ของ Xiaomi นั้นจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะมันสามารถใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการบนโทรศัพท์มือถือของพวกเขาที่ขายดีมาก ๆ ในประเทศจีน และพวกเขายังมีแฟน ๆ เหนียวแน่นที่เรียกว่ากลุ่ม “Mi Fan” ที่เป็นคนที่หลงรักในระบบนิเวศอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลายของ Xiaomi ที่มีอยู่หลายร้อยล้านคนทั่วโลก

Xiaomi SU7 รถยนต์ซีดานที่เตรียมจะเปิดตัว (CR:Xiaomiui)
Xiaomi SU7 รถยนต์ซีดานที่เตรียมจะเปิดตัว (CR:Xiaomiui)

รถยนต์ซีดาน 5 ที่นั่งรุ่นใหม่ของ Xiaomi จะมีระยะทางสูงสุดถึง 500 ไมล์ ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ความเร็วสูงสุดประมาณ 165 ไมล์ต่อชั่วโมง และเทคโนโลยีอย่าง “Super Electric Motor” ที่จะทำให้สามารถเร่งความเร็วได้สูงกว่า Tesla หรือ Porche รุ่น EV

ข้อได้เปรียบที่สำคัญจากแบรนด์รถยนต์จีนเหล่านี้ก็คือ พวกเขาไม่ต้องแบกรับภาระ ecosystem ของอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคเก่าแต่อย่างใด แต่พร้อมที่จะพุ่งทะยานไปข้างหน้าแบบสดใหม่ และรวดเร็ว ไม่มีวัฒนธรรมเดิมๆ คอยปิดกั้นแนวคิดยานยนต์ยุคใหม่ของพวกเขาแม้แต่น้อยโดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยานยนต์สันดาปที่แน่นอนว่าต้องถนัดในเรื่องเครื่องยนต์กลไกเป็นหลัก

ในขณะที่แบรนด์เก่า ๆ ต้องมาพะว้าพะวง ว่าจะเอาไงดี จะดันไปข้างหน้า ก็มีชนักติดหลังอยู่ มีโรงงานและเครือข่ายชิ้นส่วนอีกมากมาย คอยเกาะแข้งเกาะขา ที่เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจในการเดินหน้า

มันคงเป็นคำทำนายที่รู้ลึกรู้จิงของคนอย่าง Elon Musk ที่ได้เห็นศักยภาพของคนจีนโดยเฉพาะการสร้างโรงงาน Giga Factory ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่ง Musk คงรับรู้ได้ถึงศักยภาพของพลังในการผลิตของชาวจีนเป็นอย่างดี

แต่ดูเหมือนว่าคู่แข่งที่แบรนด์อย่าง Xiaomi ต้องเผชิญนั้นก็คือคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามจากจีนด้วยกันเสียมากกว่า ซึ่งผู้นำในขณะนี้คือ BYD ซึ่งครองตลาด EV ในประเทศถึงหนึ่งในสาม ส่วน Tesla มีส่วนแบ่งอยู่ราว ๆ 9% และต้องเผชิญกับสงครามราคาที่รุนแรงมาก ๆ ในประเทศจีน

เราก็ต้องมาดูกันว่าคำทำนายของ Elon Musk นั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่สภาพที่เราเห็นในตอนนี้มันก็แทบจะเป็นอย่างที่ Musk กล่าวไว้กลายๆ อยู่แล้ว ซึ่งไม่อยากคิดว่าหากไม่มีปัญหาเรื่องสงครามการค้า ป่านนี้เราคงได้เห็นรถยนต์แบรนด์อย่าง BYD วิ่งเต็มท้องถนนในประเทศอเมริกาแล้วก็เป็นได้

จีนจะเป็นผู้ชนะของสงคราม EV? เมื่อการแข่งขันเพื่อเอาชนะระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติคือสิ่งที่พวกเขาถนัด

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา บริษัทรถยนต์ของจีนเกือบสิบแห่งได้ประกาศแผนการที่มีความทะเยอทะยานในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ NOA (Navigation on Autopilo) ของตนไปยังหลายเมืองทั่วประเทศ

เช่นเดียวกับฟีเจอร์ Full Self-Driving (FSD) ที่ Tesla กำลังทดสอบเวอร์ชั่นเบต้าในอเมริกาเหนือ ระบบ NOA เป็นระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่เวอร์ชันที่มีความสามารถมากขึ้น ซึ่งสามารถที่จะหยุด บังคับทิศทาง และเปลี่ยนเลนได้แบบอัตโนมัติในเมืองที่มีการจราจรที่ซับซ้อน

ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการขับขี่แบบไร้คนขับอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากระบบดังกล่าวยังต้องจับพวกมาลัยและมนุษย์ต้องพร้อมที่จะเข้าควบคุมอยู่ตลอดเวลา

ขณะนี้เหล่าบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าได้นำเสนอ NOA เป็นการอัปเกรดซอฟต์แวร์ระดับพรีเมี่ยมให้กับเจ้าของรถที่ยินดีจ่ายเพื่อประสบการณ์ใช้งานระดับสุดยอด

เมื่อปีที่แล้ว ระบบ NOA ของจีนยังคงจำกัดอยู่แค่บนทางหลวงและไม่สามารถทำงานได้ในเขตเมือง แม้ว่าคนจีนส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแล้วก็ตาม

นั่นเองด้วยองค์ความรู้ที่สุดยอดโดยเฉพาะในเรื่อง AI ของทางฝั่งจีน บริษัทผลิตรถยนต์ของจีนได้เร่งผลิตระบบนำทางเฉพาะของเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ขยายไปยังส่วนอื่น ๆ ของประเทศ

บริษัทชั้นนำอย่าง Xpeng , Li Auto และ Huawei ได้ประกาศแผนเชิงรุกที่จะเปิดตัวบริการ NOA เหล่านี้ไปยังเมืองต่าง ๆ อีกหลายสิบหรือหลายร้อยเมืองในอนาคอันใกล้ ถึงขนาดที่ว่าผู้ผลิตรถยนต์บางรายยอมปล่อยให้ใช้ NOA แบบฟรี ๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

อย่าคิดว่ามันจะเทพขนาดนั้น!!!

อุตสาหกรรมการขับขี่รถยนต์แบบอัตโนมัติแบ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีออกเป็นหกระดับ ตั้งแต่ระดับ 0 ซึ่งมนุษย์ควบคุมการขับขี่ทั้งหมด ไปจนถึงระดับ 5 ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการแทรกแซงจากมนุษย์เลยแม้แต่น้อย

ปัจจุบันมีการใช้งานจริง ๆ เพียงแค่สองระดับเท่านั้น หนึ่งคือเทคโนโลยีที่นำโดยบริษัทต่าง ๆ เช่น Cruise , Waymo และ Baidu ยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งนำเสนอเทคโนโลยีระดับ 4 แก่ผู้โดยสาร แต่มักจะถูกจำกัดในบางขอบเขตทางภูมิศาสตร์

อีกระดับหนึ่งคือระบบ NOA เช่น FSD ของ Tesla หรือ XNGP ของ Xpeng ซึ่งเป็นเพียงแค่ระดับ 2 ที่คนขับยังคงต้องตรวจสอบหลายๆ อย่าง แต่เทคโนโลยีนี้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและขณะนี้มีอยู่ในรถยนต์อัตโนมัติที่มีจำหน่ายทั่วโลก และมีการถูกเรียกในชื่อที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น

  • Li Auto ทำสิ่งที่คล้ายกับ Tesla และเรียกมันว่า NOA
  • NIO เรียกว่า NOP (Navigate on Pilot) และ NAD (NIO Assisted and Intelligent Driving)
  • XPeng เรียกมันว่า NGP (Navigation Guided Pilot) และเมื่อเร็ว ๆ นี้ กลายมาเป็น XNGP
  • Huawei เรียกว่า NCA (Navigation Cruise Assist)
  • Haomo.AI สตาร์ทอัพด้าน AI เรียกมันว่า NOH (Navigation on HPilot)
  • Baidu เรียกมันว่า Apollo City Driving Max
ฟีเจอร์ Full Self-Driving (FSD) ที่ Tesla กำลังทดสอบเวอร์ชั่นเบต้าในอเมริกาเหนือ (CR:Techcrunch)
ฟีเจอร์ Full Self-Driving (FSD) ที่ Tesla กำลังทดสอบเวอร์ชั่นเบต้าในอเมริกาเหนือ (CR:Techcrunch)

จะเห็นได้ว่าหลายบริษัทต่างทำให้มันมีความสับสน นอกจากจะจำได้ยากแล้ว ชื่อที่แตกต่างกันยังหมายถึงมันไม่ได้มีมาตรฐานที่สอดคล้องกันอีกด้วย

ไม่มีอะไรบอกได้ว่าพวกมันจะทำงานในสิ่งเดียวกันด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อคล้าย ๆ กัน ซึ่งบางบริษัทอาจครอบคลุมเฉพาะถนนสายหลักในเมือง ในขณะที่บางบริษัทอาจครอบคลุมถนนสายเล็ก ๆ ซึ่งบางบริษัทใช้เทคโนโลยี LiDAR เพื่อช่วยปรับปรุงความแม่นยำ ในขณะที่บางบริษัทใช้เฉพาะกล้องเท่านั้น และแทบไม่มีมาตรฐานว่าเทคโนโลยีจะต้องมีความปลอดภัยเพียงใดก่อนที่จะขายให้กับผู้บริโภค

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว บริษัทจีนสองแห่งแข่งขันกันเพื่อเป็นบริษัทแรกที่เปิดตัวระบบ NOA ในเมืองจีน โดย Xpeng บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นภาพลักษณ์ของแบรนด์เกี่ยวกับการใช้ AI มาอย่างยาวนาน สามารถเอาชนะการแข่งขันด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในเมืองกวางโจว แต่อีกสัปดาห์ถัดมา Huawei ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีได้เปิดตัวในเซินเจิ้น

นั่นเองที่มันได้เกิดความคืบหน้าแบบก้าวกระโดด โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Haomo.AI สตาร์ทอัพรถยนต์ไร้คนขับสัญชาติจีนอายุ 4 ปี ประกาศว่าจะให้บริการ NOA ในเมือง 100 เมืองของจีนภายในสิ้นปี 2024

จากนั้นในช่วงกลางเดือนเมษายน Huawei ได้กำหนดเป้าหมายเป็น 45 เมืองภายในสิ้นปี 2023 สามวันหลังจากนั้น Li Auto ซึ่งเป็นบริษัท EV ของจีนอีกแห่งประกาศว่าจะขยายไปยัง 100 เมืองภายในสิ้นปี 2023 ส่วน Xpeng , NIO และบริษัทอื่นๆ ตามาหลังจากนั้นไม่นานด้วยการประกาศที่คล้ายกันซึ่งมีแผนที่จะขยายไปถึง 200 เมือง

เพื่อให้บริษัท EV ในประเทศจีนสามารถแข่งขันในตลาดได้ พวกเขากำลังพัฒนาเทคโนโลยีนำทางระดับ 2 ภายในบริษัทและขายบริการ NOA ในเมืองเพื่อเป็นการอัปเกรดแบรนด์รถยนต์ของตนเอง โดยให้เหล่าลูกค้าชำระเงินเพิ่มเติมเป็นรายเดือนหรือรายปี

ในขณะเดียวกันบริษัทด้าน AI ก็ได้เข้ามาร่วมวงแข่งขันในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โดยมุ่งไปที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 4 หรือ 5 และที่สำคัญที่สุดก็คือการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อฝึกอบรมโมเดล AI

ความซับซ้อนบนท้องถนน

มันหลีกหนีความจริงไม่ได้เช่นกันว่าบริการนำทางแบบอัตโนมัติในเมืองเหล่านี้ มันยังไม่พร้อมให้บริการแก่สาธารณชนทั่วไป

ในปี 2023 รถยนต์ประมาณ 360,000 คันที่ผลิตในจีนจะติดตั้งความสามารถด้าน NOA ซึ่งโมเดลที่มีการอัพเกรดเหล่านี้มักจะมีราคาแพงกว่ารถยนต์ EV ทั่วไป เนื่องจากต้องมีการอัพเกรดฮาร์ดแวร์เช่น LiDAR หรือเซ็นเซอร์อื่นๆ

ลูกค้ายังต้องอาศัยอยู่ในเมืองระดับ first-tier ซึ่งมีเพียงไม่กี่เมืองที่มีฟังก์ชันเหล่านี้พร้อมให้บริการ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น หรือกวางโจว ด้วยเหตุนี้ระบบ NOA ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เฉพาะในประเทศจีนในขณะนี้

แม้ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่การนำทางก็มักจะถูกกีดขวางด้วยอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การก่อสร้างซ่อมแซมถนน คนเดินถนน หรือ รถสองล้อ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในประเทศจีน เมืองของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ ปี

แม้ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่การนำทางก็มักจะถูกกีดขวางด้วยอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย (CR:Youtube)
แม้ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่การนำทางก็มักจะถูกกีดขวางด้วยอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย (CR:Youtube)

Lei Xing อดีตหัวหน้าบรรณาธิการของ China Auto Review ได้มีโอกาสทดลองขับรถ Xpeng รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ในกรุงปักกิ่งเพื่อทดสอบระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ

Xpeng เป็นบริษัทจีนแห่งแรกที่นำระบบนนำทางอัตโนมัติมาสู่เมืองหลวงของจีน แต่จนถึงขณะนี้ระบบเหล่านี้ยังจำกัดอยู่เฉพาะถนนวงแหวนและทางด่วนที่สำคัญของปักกิ่งเพียงเท่านั้น

คืนหนึ่งในขณะที่การจราจรปลอดโปร่ง Xing ได้ขับรถจากสถานีรถไฟในเขตชานเมืองไปยังทางหลวงวงแหวนชั้นในสุดของปักกิ่ง และเทคโนโลยีของ Xpeng ได้เข้ามาควบคุมการขับขี่ทั้งหมด แต่ยังไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขาแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในช่วงที่มีการจราจรคับคั่ง

Xing เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วมันได้กลายเป็นคำคุยโวโอ้อวดที่เกินจริงจากบริษัทผลิตรถยนต์ซะมากกว่า

บทสรุป

ในหนังสือ AI Super-Powers ของ Kai-Fu Lee นั้นมีบทสรุปเรื่องราวของเทคโนโลยี AI กับการขับเคลื่อนรถยนต์แบบอัตโนมัติไว้ได้อย่างน่าสนใจ

รถยนต์แบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้นกำลังอยู่ในเส้นทางการพัฒนาที่จะปลอดภัยกว่ารถยนต์ที่ขับขี่โดยมนุษย์ในท้ายที่สุด ซึ่งการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้อย่างกว้างขวางมากเท่าไหร่ก็จะช่วยลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้มากขึ้นเท่านั้น

มันเป็นเรื่องท้าทายมาก ๆ กับเทคโนโลยีนี้เพราะต้องทดสอบกันบนท้องถนนจริง ๆ สภาพจริง ๆ ผู้ร่วมท้องถนนที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ซึ่งมันเหมือนกับการทดสอบซอฟต์แวร์บนโปรดักชั่นของจริง เพื่อให้ AI มันฉลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันมีความเสี่ยง แต่ใครได้ทดสอบก่อนก็เรียนรู้ก่อน และพัฒนาไปก่อน ซึ่งสุดท้ายมันอาจจะกลายเป็นธุรกิจแบบ Winner Take All ได้ในท้ายที่สุด

มันกลายเป็นว่าอุตสาหกรรมใหม่อย่างรถยนต์ EV นั้น มันไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยกลไกทางวิศวกรรมเครื่องกลเหมือนในอดีต ที่เหล่าผู้ผลิตจากญี่ปุ่นหรือเยอรมันมีความถนัดมากกว่า และครองตลาดมาได้อย่างยาวนาน

แต่ในศึก EV นั้น ซอฟต์แวร์โดยเฉพาะเรื่องของ AI จะเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการเอาชนะในธุรกิจนี้ถ้ามองในระยะยาว และดูเหมือนว่าพี่จีนเองจะไม่รอใครแล้ว พวกเขาเร่งพัฒนาและทดสอบก่อนใคร และเทคโนโลยีที่เป็น layer บน ๆ เฉกเช่น AI นั้นดูเหมือนว่าจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพวกเขาจะไม่เป็นสองรองใครในโลกนี้แต่อย่างใดนั่นเองครับผม

References :
https://www.technologyreview.com/2023/08/15/1077895/china-city-race-autonomous-driving/
https://newatlas.com/automotive/xpeng-p7-self-driving/
หนังสือ Ai Superpowers: China, Silicon Valley, and the New World Order โดย Kai-Fu Lee

Sharing Economy อย่าง Uber และ Lyft สามารถทำเงินเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรจริง ๆ ได้หรือไม่?

Sharing Economy คำพูดที่ดูสวยหรูที่เราได้ยินกันมากว่า 15 ปีแล้ว ดูเหมือนว่าการจะสร้างธุรกิจด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้นั้นมันยากที่จะเป็นจริง Uber ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2008 เป็นบทพิสูจน์หนึ่งในนั้น

ลองจินตานาการถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สตาร์ทอัพ แล้วพวกคุณคือนักลงทุนคนหนึ่ง และได้ให้โอกาส ให้ทุนเจ้าของกิจการไปเผาผลาญเงินเป็นว่าเล่นเป็นเวลาถึง 15 ปีแล้ว แต่ธุรกิจกลับยังไม่ไปถึงไหน คุณจะคิดอย่างไรกับธุรกิจแบบนี้

ต้องบอกว่ามันกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเหล่านักลงทุนใน Uber ที่เป็นบริษัทเรียกรถโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก นับตั้งแต่ได้ทำ IPO ในปี 2019 ในช่วงหกเดือนแรกในฐานะบริษัทมหาชน ราคาหุ้นของ Uber ดิ่งลงเหวมูลค่าลดลงไปถึงหนึ่งในสี่

ตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว สัญญาณทางวินัยทางการเงินที่มากขึ้นได้ผลักดันราคาหุ้นของ Uber กลับสู่จุดที่ซื้อขายครั้งแรกในปี 2019

ด้วยต้นทุนที่ลดลง ค่าโดยสารที่สูงขึ้น ในเดือนนี้บริษัทรายงานผลกำไรจากการดำเนินงาน 326 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สองของปี

และมีข่าวที่น่ายินดีของ Uber เมื่อในวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา Lyft ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในประเทศ รายงานผลกระกอบการขาดทุนอีก 159 ล้านเหรียญ มูลค่าตลาดของ Lyft ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลงลงสูงถึง 85% จากจุดที่บริษัทเริ่มทำ IPO ในปี 2019

แต่อย่างไรก็ตาม Uber ก็ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน แม้จะเพิ่มผลกำไร แต่บริษัทยังขาดทุนสุทธิ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เปิดเผยผลประกอบการครั้งแรกในปี 2014

เงินของนักลงทุนที่ถูกเน้นไปที่การเผาผลาญเพื่อการเติบโต การเพิ่มผลกำไรจากการดำเนินงานไตรมาสล่าสุด เมื่อคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินทุนนั้น มันเป็นเพียงแค่ 5% เท่านั้น ซึ่งมันชี้ให้เห็นว่าเงินของเหล่านักลงทุนที่สูญเสียไป ที่หวังผลตอบแทนแบบบ้าคลั่งเหมือนธุรกิจสตาร์ทอัพรายอื่น ๆ เช่น Faceboook , Google ฯลฯ มันดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมานั้น การเติบโตของรายได้ของ Uber มากกว่า 60% มาจากธุรกิจอื่นนอกเหนือจากบริการเรียกรถ และที่สำคัญที่สุดของเป็นธุรกิจการจัดส่งอาหารซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 แต่อัตรากำไรของ Uber ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาในธุรกิจจัดส่งอาหารนั้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับธุรกิจเรียกรถ

ธุรกิจการจัดส่งอาหารซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 (CR:Lawyer Weekly)
ธุรกิจการจัดส่งอาหารซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 (CR:Lawyer Weekly)

สิ่งทีน่ากังวลเพิ่มเติมก็คือ Uber มุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจนอกอเมริกา ซึ่งตอนนี้แทบจะไม่เติบโตอีกต่อไปแล้ว อัตรากำไรที่สูงที่สุดนั้นอยู่ในอเมริกา โดยครองส่วนแบ่งการตลาดของบริการเรียกรถได้เกือบสามในสี่ ในขณะที่ภูมิภาคอื่น ๆ นั้น ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมาก ๆ จากคู่แข่งในท้องถิ่น เช่น Bolt และ Freenow ในยุโรป , Gojek และ Grab ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ Ola ในอินเดีย

ผู้ชนะ Sharing Economy ตัวจริงคือ Airbnb

ลองมาเปรียบเทียบธุรกิจแบบ Sharing Economy อย่าง Airbnb นั้น ก็เกิดมาพร้อม ๆ กับยุค การบูมขึ้นของ sharing economy ที่นำโดย Uber เป็นเจ้าแรก แต่ดูเหมือนผู้ที่มาก่อนอย่าง Uber จะตกอยู่สถานการณ์ที่ยากลำบากในขณะนี้

และที่สำคัญ เราจะเห็นได้ว่า แทบจะทั่วโลกนั้น ดันไปเลียนแบบ และ copy โมเดลมาจาก Uber กระจายไปทั่วโลก เพราะมัน copy ได้ง่ายมากและไม่มีอะไรที่ซับซ้อน Grab ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลาไม่นานก็สามารถเอาชนะ Uber ที่เป็นต้นแบบของพวกเขาได้

และเมื่อเกิดบริการใหม่ ๆ ที่ต่อยอด อย่างบริการขนส่งอาหาร หรือ ขนส่งสินค้าของชำ ก็เกิดบริการแบบนี้เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นเดียว ทุกบริการต่างอัดเงินเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง สอดรับกับผลประกอบการที่ขาดทุนกันแทบจะทุกเจ้า ตั้งแต่ทางฝั่งตะวันตก ยุโรป มาจนถึงเอเชีย รวม ๆ กัน อาจจะขาดทุนไปกว่าแสนล้านเหรียญในธุรกิจดังกล่าวนี้

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น กลับกัน เจ้าพ่อห้องพักแบบ sharing อย่าง Airbnb แทบจะมีคู่แข่งน้อยมาก ๆ จะเห็นได้ว่าเมื่อไม่มีการแข่งขันเท่าที่ควร Airbnb ก็ปรับราคาสูงขึ้น หรือมีบริการต่าง ๆ ยิบย่อยที่สามารถสร้างรายได้ให้กับพวกเขาได้อีกมากมาย

ตัวเลขทุกอย่างของ Airbnb เป็นบวกแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น รายรับที่เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อนหน้า จำนวนคืนที่พักก็เพิ่มขึ้น 25% มูลค่าของการจองเพิ่มขึ้น 31% เรียกได้ว่า ตัวเลขเป็นสีเขียวในแทบทุกจุด

Airbnb คือผู้ชนะตัวจริงใน Sharing Economy (CR:borneobulletin)
Airbnb คือผู้ชนะตัวจริงใน Sharing Economy (CR:borneobulletin)

กลับกัน มาดูธุรกิจจัดส่งอาหาร หรือบริการเรียกรถ ผลประกอบการที่ออกมาเรียกได้ว่าบัดซบเอามาก ๆ มองไปจุดไหนก็เป็นสีแดง แถมคู่แข่งก็มากมายมหาศาลในไทยประเทศเดียว ก็มี 4-5 บริการมาแข่งกันอย่างดุเดือด ขาดทุนกันทุกเจ้า

ซึ่งบางครั้ง ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับว่าเหล่านักลงทุนเขาเห็นอะไรในธุรกิจพวกนี้ การเดิมพันของเหล่านักลงทุนกับธุรกิจอย่าง Uber ที่พวกเขามองว่าธุรกิจเรียกรถจะเป็นธุรกิจแบบ winner-takes-all  นั่นแสดงให้เห็นถึงการเผาผลาญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด

แต่มาถึงวันนี้มันเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว ความคาดหวังของนักลงทุนที่จะเห็น Uber กลายเป็นเหมือน Facebook หรือ Google ในธุรกิจเรียกรถนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลเกินฝันไปแล้วนั่นเองครับผม

References :

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Can Uber and Lyft ever make real money? – The Economist
https://www.usnews.com/news/business/articles/2022-11-01/airbnb-posts-1-2-billion-profit-in-3q-as-revenue-jumps-29
https://www.foxbusiness.com/markets/airbnb-posts-1-2-billion-profit-3q-revenue-jumps-29-percent
https://www.dailymail.co.uk/news/article-11379203/Airbnb-reports-record-revenue-2-88B-warns-risks-inflation.html
https://www.youtube.com/watch?v=9TrzpSvn_d4