ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 4 : What Do I Do Now?

และแล้วมันก็ถึงเวลาที่ อีลอน มัสก์ จะได้เป็นอิสระ เสียที ในปี 1989 หลังจากที่เขาได้มุ่งหน้าสู่ประเทศแคนาดา เมย์ ผู้เป็นแม่ ก็รู้สึกได้ถึงความดีใจที่มัสก์ ได้ก้าวเข้าสู่โลกใหม่ของเขาได้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป้าหมายต่อไปเขาคือการเดินตามความฝันของตัวเองให้ได้นั่นเอง

ทันทีที่เครื่องบินลงที่เมือง มอนทรีออล มัสก์ ก็ ต่อรถบัสเพื่อไปที่เมือง แวนคูเวอร์ทันที มันเป็นการเดินทางมาแทบจะตัวเปล่าของมัสก์ มันเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ของเขา เขาต้องเริ่มทำงานเพื่อหาเงินยังชีพในแคนาดา โดยเริ่มต้นจากงานที่ฟาร์มของญาติของเขา

เขาเริ่มต้นด้วยงานที่ใช้แรงงานอย่าง การดูแลสวน มันเป็นงานที่ไม่น่าเชื่อว่าชายคนนี้สุดท้ายจะกลายมาเป็นมหาเศรษฐีในอนาคต ช่วงแรก ๆ นั้นเขามีเงินติดตัวเพียงไม่กี่พันเหรียญ เขาต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดเป็นอย่างมากในช่วงแรกของการมาใช้ชีวิตที่แคนาดา

และหลังจากนั้นหนึ่งปี ทั้งแม่ และน้อง ๆ ของมัสก์ ก็ได้ย้ายตามมาอยู่ที่แคนาดา ด้วยความที่น้อง ๆ นั้นทนคิดถึงพี่ชายไม่ไหว ซึ่งเป็นช่วงที่ มัสก์ ได้เริ่มตั้งหลักกับชีวิตในแคนาดาได้บ้างแล้ว มัสก์ นั้นได้สมัครเข้าเรียนที่ Queen’s University ซึ่งเป็นมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของแคนาดา

มัสก์ นั้นได้เริ่มเรียนในสาขาธุรกิจ และ ฟิสิกส์ แม้เขาจะไม่เคยเข้าชั้นเรียนเลยก็ตาม ด้วยความอัจฉริยะเป็นกรด เขาแค่อ่าน textbooks แล้วเขาสอบก็เพียงพอที่จะสอบผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ 

และก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ตอนนั้นมัสก์ เริ่มสนใจที่จะจีบสาวมากกว่าการไปเรียน เหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกเรียนที่ Queen ‘s University ก็เพราะสาว ๆ ที่นี่ Hot กว่าใครนั่นเอง

มัสก์เลือกเรียนที่ Queen's University เพราะที่นี่สาว Hot กว่าใคร
มัสก์เลือกเรียนที่ Queen’s University เพราะที่นี่สาว Hot กว่าใคร

มหาวิทยาลัยนั้นเหมาะกับมัสก์ เขาเริ่มเปลี่ยนตัวเองจากคนที่รู้ไปทุกเรื่อง ก็พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับเพื่อน ๆ มันไม่เหมือนที่แอฟริกาใต้ ที่นี่ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขาเรื่องความเห็นที่เขามีต่อเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเรื่องพลังงาน อวกาศ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่เขาสนใจอยู่ในตอนนั้น

มัสก์ได้เจอกับเหล่าผู้คนที่ตอบสนองต่อความทะเยอทะยานของเขามากกว่าที่จะหัวเราะเยาะเหมือนเคย และเขาก็รักในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก ๆ มันแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียวระหว่างชีวิตตอนเรียนมัธยม กับ ชีวิตในมหาลัย

มันทำให้เขามีความทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเรียนมัธยม เขาได้เรียนทั้งบริหารธุรกิจ เข้าร่วมการแข่งขันการพูดในที่สาธารณะ และเริ่มแสดงภาพลักษณ์เอาจริงเอาจังและชอบแข่งขัน ซึ่งเป็นที่มาของนิสัยและพฤติกรรมของเขาในปัจจุบัน 

หนึ่งในสาวที่ มัสก์ ออกเดทด้วยคือ จัสติน วิลสัน ซึ่งมีอายุอ่อนกว่า มัสก์ อยู่ 1 ปี ที่มีหน้าตาออกไปทางสไตล์ ยุโรป มากกว่าชาวแคนาดาส่วนใหญ่ เธอค่อนข้างเรียนหนัก เพราะต้องรักษาทุนการศึกษาที่เธอได้รับไว้ จึงต้องรักษาเกรดให้อยู่ในระดับสูงอยู่ตลอด

มัสก์ นั้น เจอกับ จัสติน ที่ห้องเรียนติดกันในมหาลัย เขาเริ่มต้นจีบเธอด้วยการโกหกว่า เขาเคยพบกับเธอที่ปาร์ตี้มาก่อน แต่หารู้ไม่ว่า จัสติน นั้นเป็นคนไม่เที่ยว ถือว่าหน้าแตกไม่น้อยสำหรับ มัสก์ แต่เขาก็พยายามออกเดทกับจัสตินให้ได้ แต่จัสติน นั้นไม่ได้ประทับใจมัสก์ เท่าไหร่ตั้งแต่แรก

แม้มัสก์ พยายามตื้อจนได้คบกับ จัสติน ในที่สุด แต่ความรักของทั้งคู่ก็ดูลุ่ม ๆ ดอน ๆ แม้มัสก์นั้นจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้นานที่สุด แต่เขาเองนั้นก็รู้ดีว่าเขาก็เตรียมตัวที่จะย้ายไปที่อเมริกาในอีกไม่นาน

อีลอน มัสก์ รู้ตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ว่าที่แคนาดา มันไม่ใช่ที่ที่เขาจะอยู่ถาวรอย่างแน่นอน เป้าหมายของเขาคือ สหรัฐอเมริกา เขามีความคิดตั้งแต่แรกว่าเขาจะต้องสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มี impact ต่อโลกใบนี้ นวัตกรรมรวมถึงความคิดใหม่ ๆ ล้วนเกิดในอเมริกา เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นที่ ๆ เหมาะที่สุดกับเขาที่จะแจ้งเกิดได้

และในที่สุดเขาก็สามารถมาถึงดินแดนอเมริกาที่เขาฝันไว้ได้สำเร็จ ด้วยทุนการศึกษา ที่ University of Pennsylvania ซึ่งที่นั่นเขาได้เจอกับเพื่อนอย่าง อาดีโอ เรสซี่ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ University of Pennsylvania เช่นเดียวกัน และ ได้มาแชร์ที่พักอยู่ด้วยกัน

มัสก์เข้าสู่อเมริกาได้สำเร็จได้มาเรียนที่ University of Pennsylvania
มัสก์เข้าสู่อเมริกาได้สำเร็จได้มาเรียนที่ University of Pennsylvania

และถ้าถามว่าความคิดเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มัสก์มีนั้น มันมีอิทธิพลจากเพื่อนเขาคนนี้ นี่เอง เพราะ เรสซี่ เป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ The Green Times ของมหาลัย ซึ่งเป็นสื่อที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และมันเป็น Thesis ที่ใช้ในการเรียนจบปริญญาของ เรสซี่อีกด้วย

เรียกได้ว่า เรสซี่ และ มัสก์ นั้นเข้าขากันได้อย่างดี แม้จะดูเป็นขั้วตรงข้ามกับมัสก์เลยก็ตาม เพราะเรสซี่ จะมีหัวทางศิลปะ ต่างจากมัสก์ ที่เป็นเด็กเนิร์ด บ้าเรียน และไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก

มันต่างจากชีวิตที่แอฟริกาใต้อย่างชัดเจน มัสก์ อยู่ที่นี่ด้วยความสุข ที่บ้านของพวกมักเชิญเพื่อนๆ  มาจัดปาร์ตี้กัน บางครั้งก็เปลี่ยนบ้านเช่าของพวกเขาให้กลายเป็นคลับดี ๆ นี่เอง พวกเขาจัดปาร์ตี้ขนาดยักษ์ มีคนมาร่วมกว่า 500 คน โดยเก็บค่าเข้าคนละ 5 เหรียญ โดยสามารถที่จะดื่มเบียร์ได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งมันเป็นธุรกิจอย่างนึงที่ทั้งคู่คิดไว้อย่างดี ด้วยหัวทางด้านธุรกิจของมัสก์ ทำให้บางปาร์ตี้ สามารถทำกำไรได้กว่า พันเหรียญ ซึ่งมันมันสามารถจ่ายค่าบ้านด้วยการจัดงานปาร์ตี้เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น

เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นปาร์ตี้
เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นปาร์ตี้

ถ้าไม่ปาร์ตี้ มัสก์ ก็มักจะขลุกอยู่กับเกมส์ FPS ซึ่งเป็นเกมส์ที่เขาติดหนึบเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าบางทีเขาเล่นเกมส์มากกว่าเรียนอีกด้วยซ้ำ เพราะเรื่องเรียนไม่เคยเป็นปัญหาของคนระดับอัจฉริยะอย่าง อีลอน มัสก์ เขาอ่านหนังสือเอง และไปสอบได้แบบผ่านฉลุยแทบจะทุก ๆ ครั้ง

และไม่ใช่แค่เพียงทำแต่เรื่องไร้สาระเท่านั้น เขาใช้เวลาบางส่วนในการเริ่มคิดแผนธุรกิจ สำหรับธุรกิจ E-Book Scan รวมถึงใช้เวลาในช่วงพัก summer เข้าไปฝึกงานกับบริษัทชื่อดังอย่าง Pinnacle Research 

อย่างที่กล่าวในบทที่แล้ว มัสก์ นั้นสามารถสร้างเกมส์ได้ตั้งแต่เด็กและหาเงินรายได้ด้วยตัวเองโดยส่งเกมส์ไปให้นิตยสารเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเวลาว่างตอนอยู่มหาลัยเขาก็ได้ไปรับงานสร้างเกมส์ ให้กับ Rocket Science Games เขามีส่วนในการสร้างเกมส์มากมายเช่น Loadstar:The Legend of Tully Bodine ที่วางขายในปี 1994 รวมถึง Cadillacs and Dinosaurs: The Second Cataclysm ที่ออกจำหน่ายในปี 1995 

เกมส์ที่มัสก์มีส่วนร่วมในการสร้าง Loadstar:The Legend of Tully Bodine
เกมส์ที่มัสก์มีส่วนร่วมในการสร้าง Loadstar:The Legend of Tully Bodine

และเป็นช่วงที่เรียนมหาลัยนี่เอง ที่มัสก์ เริ่มที่จะสนใจเรื่องของพลังงานแสงอาทิตย์ และการหาวิธีควบคุมพลังงานแบบใหม่ ๆ มัสก์เจาะลึกลงไปถึงการทำงานของเซลล์แสงอาทิตย์ และองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เขาได้ทำรายงานเกี่ยวกับ สถานีพลังงานในอนาคต เป็นภาพแผงพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดยักษ์สองแถวในอวกาศ ซึ่งแต่ละแถวกว้าง 4 กิโลเมตร ส่งพลังงานมาบนโลกผ่านคลื่นไมโครเวฟ สู่จานรับสัญญาณขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 กิโลเมตร 

รายงานอีกเรื่องที่เขาทำเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องตัวกักเก็บพลังงานรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเหมาะกับสิ่งที่เขาพยายามทำต่อไปในอนาคต ทั้งกับรถยนต์ เครื่องบิน ยานอวกาศ มันเป็นจุดสำคัญในเรื่องของการส่งพลังงานออกมาได้รวดเร็วกว่าแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเท่ากันถึง 100 เท่า

ซึ่งสุดท้าย แม้เขาจะไม่ได้ขยันเรียนมากมายนัก แต่สุดท้ายเขาก็ได้ปริญญามา 2 ใบ คือ ด้านการเงินจาก Wharton Shool และ สาขาฟิสิกส์ จาก University of pennsylvania ซึ่งหลังจากเขาทำเป้าหมายแรกได้สำเร็จ มันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป เพราะตอนนี้เขามีความรู้ทั้งเรื่องของวิทยาศาสตร์ และ เรื่องธุรกิจ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และที่สำคัญ ช่วงเรียนมหาลัยนี่เอง ที่ทำให้เขาเกิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่มากมาย ในหัว ทั้งเรื่องเกมส์ เรื่องอินเตอร์เน็ต พลังงานที่ไร้ขีดจำกัด และเรื่องการเดินทางในอวกาศ  ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ในอนาคตแทบจะทั้งสิ้น 

จากตอนนี้จะเห็นว่า ชีวิตในมหาลัยของมัสก์ นั้นเปลี่ยนจากช่วงมัธยมอย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มเข้ากับผู้คนได้ และเริ่มมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ที่มันกำลังจะเกิดขึ้นจริง แล้วหลังจากเขาเรียนจบมหาลัย จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ อีลอน มัสก์ เขาจะหาเงินทุนมาสร้างธุรกิจที่เป็นไอเดียบรรเจิดของเขาได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : The Meaning of Life

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 3 : Boredom Leads to Great Things

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของอีลอน มัสก์ ตอนเด็ก สมัยที่อาศัยอยู่ในเมือง พริทอเรีย ของแอฟริกาใต้ เขาแทบดูจะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะกล่าวได้ว่าเมืองแห่งนี้มันเหมือนคุกสำหรับกักขัง อีลอน มัสก์ ให้เขาแทบจะต้องเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เมืองแห่งนี้มันได้หล่อหลอมนิสัยบางอย่างของเขา ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย นั่นคือ นิสัยรักการอ่าน

อดีตนายก รัฐมนตรี ผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ อย่าง วินสตัน เชอร์ชิล  เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมือง ครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเอง สงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้

ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้ เขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษ แต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์ เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาได้ประกอบวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด

เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจ แม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่า โดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้น หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขา และคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพริทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ
เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง และประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎร นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้ว เส้นทางชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล ในเมืองพริทอเรีย มันก็แทบจะคล้ายกับ อีลอน มัสก์ ประสบพบเจอตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพริทอเรีย แห่ง แอฟริกาใต้

ในวัย 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ครั้งนึงที่บ้านของญาติเขาในเมือง พริทอเรีย ด้วยความที่ มัสก์ นั้นได้ถูกห้ามจากแม่ของเขาไม่ให้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านญาติของเขา

เขาไม่เห็นด้วยกับการ กระทำดังกล่าว เขาจึงได้วางแผนที่จะหนีไปจากบ้าน เพื่อไปยังงานปาร์ตี้ ซึ่งความคิดแรกของ มัสก์นั้น เขาก็อยากที่จะปั่นจักรยานไปแทนที่จะเดินซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวไกล 

แต่ เมย์ แม่ของมัสก์ ได้หลอกกับเขาว่า การที่จะขับรถจักรยานได้นั้นต้องมีใบขับขี่ และตำรวจจะจับหากยังดื้อด้านที่จะขับรถจักรยานออกไปข้างนอก ซึ่ง มัสก์ นั้นมีทางเลือกเดียวที่ต้องเดินข้ามเมือง พริทอเรีย ที่ต้องใช้ระยะทางกว่า 10 ไมล์ ( 16 km) เพื่อไปยังที่จัดปาร์ตี้

มันเป็นเส้นทางเดียวกับที่ เชอร์ชิล หนีออกจากคุก ซึ่งเชอร์ชิล นั้นได้แต่เฝ้ามองทิศผ่านดวงดาว เพื่อหนีออกไปจาก พริทอเรีย ให้ได้ แต่มัสก์ เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ที่ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง

มัสก์ ได้อ่านสัญญาณจราจร บนถนน เพื่อเดินทางไปยัง ปาร์ตี้ให้ได้ เขาเดินผ่านตึกยุคโบราณที่มีอยู่เต็มเมืองพริทอเรีย ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ชม. กว่าจะถึงสถานที่จัดงานปาร์ตี้ดังกล่าว

และมันเป็นจังหวะที่ เมย์ แม่ของเขาเห็นเข้าพอดี ซึ่งมัสก์ นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้มางานดังกล่าว ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนั้นคือ หนี!!! และมัสก์ ก็หนีโดยการปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทางเลือกที่หนูน้อยมัสก์ คิดออก ณ ขณะนั้น 

มัสก์ อยู่บนต้นไม้ ไม่ยอมลงมา จนแม่เขาต้องสัญญาว่า จะไม่ทำโทษมัสก์ กับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาลงมาพร้อมความรู้สึกเบื่อหน่าย และต้องกลับบ้าน เหมือนที่เขาต้องทำทุก ๆ ครั้ง เพราะที่ พริทอเรีย มันคือ คุกดี ๆ สำหรับมัสก์ นั่นเอง

ที่ พริทอเรีย มัสก์ แทบจะไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตที่แอฟริกาใต้ คือ เล่นกับลูกพี่ลูกน้องของเขา หรือ อ่านหนังสือ หรือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือ การดูทีวี เพราะเขาเกลียดรายการทีวีที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัสก์มีนิสัยเบื่อง่ายเป็นอย่างมาก

อีลอน มัสก์ ในสมัยเด็ก มักอยู่แต่กับญาติพี่น้องเท่านั้น
อีลอน มัสก์ ในสมัยเด็ก มักอยู่แต่กับญาติพี่น้องเท่านั้น

แต่สิ่งนึงที่เขาชอบที่สุด ก็คือ การอ่านหนังสือ มัสก์อ่านทุกอย่างที่อ่านได้เพื่อเป็นการแก้เบื่อของเขาในการใช้ชีวิตที่นี่ เขาสามารถใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดกว่า 10 ชม.ต่อวัน เขาอ่านหนังสือได้มากมาย บางครั้งสามารถอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ได้ 2 เล่มภายในวันเดียวเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปฝังตัวอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นประจำ มันเหมือนโลกทั้งใบของเขา คือ โลกของการอ่านหนังสือนี่เอง  บางครั้งการไปฝังตัวที่ร้านหนังสือของเขานานจน เจ้าของร้านต้องมาไล่ให้เขากลับบ้าน แม้กระทั่งยามที่ทานอาหารมือค่ำ หากมีอาหารที่ไม่น่าสนใจนัก เขาก็มักจะพกหนังสือมานั่งอ่านบนโต๊ะอาหารด้วย

หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ ที่มากอบกู้โลก หรือ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย

หนังสืออย่าง everything by Jules Verne นั้นทำให้ มัสก์ สนใจเรื่องฟิสิกส์ รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นอนาคต เช่น เรือดำน้ำ , ยานอวกาศ  การเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วเป็นที่มาในความสนใจของเขาที่สุดท้ายแล้วมาสร้างบริษัท SpaceX แทบจะทั้งสิ้น

หนังสือของ Jules Verne ทำให้มัสก์ เริ่มหันมาสนใจฟิสิกส์
หนังสือของ Jules Verne ทำให้มัสก์ เริ่มหันมาสนใจฟิสิกส์

ซึ่งหลายปีต่อมา เขาก็ชอบอ่าน ประวัติ บุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติ ของ สตีฟ จ๊อบส์ เขาสนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้

การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจ ซึ่งมัสก์ เอง ก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูน หลาย  ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้าย หลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหลังจากอ่านการ์ตูน จนไม่มีอะไรจะให้เขาอ่านแล้วนั้น เขาก็เริ่มสนใจไปอ่านหนังสืออย่าง Encyclopedia Britannica ซึ่งแม่ของเขายังตกใจว่า มัสก์ นั้นสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ของ encyclopedia หลังจากอ่านจบ พี่สาวของเขา ทอสก้า ให้ฉายากับ มัสก์ว่า “genius boy” เพราะทึ่งในความสามารถในการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของมัสก์

มัสก์ สามารถ จดจำข้อมูลมหาศาลใน encyclopedia ได้
มัสก์ สามารถ จดจำข้อมูลมหาศาลใน encyclopedia ได้

ครูของมัสก์นั้นก็คิดไม่ต่างจากพี่สาวของเขา  แม้มัสก์จะเป็นคนเงียบ แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่รักคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก

แต่ตัวมัสก์เองนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเสียทีเดียว เพราะเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เขานั้นฉลาดกว่าใครเพื่อน และความฉลาดของเขานั้น เขาก็ต้องการจะช่วยเพื่อน ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจกับความหวังดีของมัสก์ในลักษณะนี้ มันทำให้เขาดูแปลกในสายตาเพื่อน ๆ ตั้งแต่เด็ก

เขาไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนสักเท่าไหร่ มักจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนเสียมากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างเล่นสนุกกัน ซึ่ง นิสัยเหล่านี้นั้น จะเห็นได้ว่าจะคล้ายกับเหล่านักธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ๊อบส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ๆ สำหรับเด็กน้อยยอดอัจฉริยะ อย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็ส่งผลสำคัญต่อมัสก์ ในวัยเด็กเป็นอย่างมาก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อของเขามาก ๆ กับการใช้ชีวิตในแอฟริกา เขามักถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ แต่มันไม่มีทางเลือกสำหรับเด็ก ที่ต้องตื่นเช้าและไปโรงเรียน เขาเกลียดชีวิตในวัยเด็กของตัวเองเป็นอย่างมาก

และมันได้ส่งผลต่อชีวิตในครอบครัวของเขา การที่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก บางครั้งทำให้ไม่ค่อยเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เขามักจะถามหาเหตุผลในทุก ๆ เรื่อง คำว่า Why? นั้นคือประโยคที่เขามักพูดกับแม่เขาบ่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รู้เยอะมากจากการอ่าน บางครั้งหากพ่อแม่สอนอะไรผิด ๆ เขาก็มักจะสวนกลับไปทันที และ ไม่มีท่าทีรดราวาศอก เขาจะเถียงจนกว่าแม่เขาจะยอมแพ้ไปเท่านั้น

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มัสก์ คือ การได้พบเจอกับโลกใหม่คือคอมพิวเตอร์ เขาได้พยายามสะสมเงินเพื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรกของเขาอย่าง Commodore VIC-20 ซึ่งแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ มันใช้สำหรับเล่นเกมส์นั่นเอง

Commodore VIC-20 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของมัสก์
Commodore VIC-20 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของมัสก์

มัสก์ ต้องการสร้างเกมส์ของตัวเอง เขาจึงได้พยายามเรียนรู้ที่จะทำการฝึกเขียนโปรแกรม เขาจึงได้ไปลงเรียนในคลาส computer programming ซึ่งในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีนั้น เขาสามารถสร้างเกมส์และขายไปยัง นิตยสารที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ถึง 500 เหรียญ เขาติดต่อผา่น mail ง่าย ๆ ไปยังนิตยสารเพื่อต้องการขายเกมส์ที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งเกมส์แรกที่เขาสร้างขึ้นคือ “Blaster” 

เป็นการเอาแนวคิดเกมส์อาเขต ที่เขาชอบอย่าง Asteroids และ Space Invaders มารวมร่างกัน ซึ่งจากผลงานชิ้นแรก นั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากนิตยสาร และเขาก็สามารถสร้างเกมส์อื่น ๆ ขายได้อีกในภายหลัง

BLASTER เกมส์แรกที่ทำรายได้ให้มัสก์
BLASTER เกมส์แรกที่ทำรายได้ให้มัสก์

ตอนอายุได้ 17 ปี มัสก์ ต้องการที่จะออกจากแอฟริกา ไปยัง แคนาดา หนึ่งในเหตุผลหลักคือ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกณฑ์ทหาร มัสก์นั้นอยากเข้าเรียนมหาลัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เขาต้องการหนีจากแอฟริกาใต้ มานานมากแล้ว ที่นี่เปรียบไปก็ไม่ต่างจากคุกสำหรับคนอย่างเขา ความหลงไหลในคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเป็นแรกผลักให้เขาต้องออกจากแอฟริกา แคนาดานั้นเป็นแค่ ที่พักชั่วคราวเท่านั้น เพราะเขามีบรรพบุรุษเป็นชาวแคนาดา 

ตอนนี้เขาเริ่มเติบโตขึ้นอีกขั้นแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะไปแสวงโชค ที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ เป้าหมายอันแรงกล้าของเขาคือ  ซิลิกอน วัลเลย์ สถานที่บ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ มันชัดเจนว่าเขามีจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับความฉลาดเป็นกรด เขาแค่ต้องเรียนให้จบมหาลัยเท่านั้น และตอนนี้ตั๋วเดินทางไปแคนาดามันพร้อมแล้ว ซึ่ง มันจะเป็นการเดินทางจากบ้านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับสำหรับชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์

–> อ่านตอนที่ 4 : What Do I Do Now?

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol 

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 2 : Lost Cities

หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าตัว อีลอน มัสก์ นั้นได้เติบโตขึ้นในวัยเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้ นี่เองเป็นที่ ที่ มัสก์ นั้นได้หล่อหลอมเอาความคิด และ นิสัยบางอย่าง จากสภาพแวดล้อม รวมถึงวัฒนธรรม ที่สุดท้ายมันได้หล่อหลอมให้กลายเป็น อีลอน มัสก์ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

และหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า นามสกุลของ อีลอน มัสก์ นั้น นับเป็นหนึ่งในนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดนามสกุลนึงเลยก็ว่าได้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นนามสกุลแรก ๆ ของอังกฤษ หลังจากประเทศอังกฤษนั้นได้ เริ่มมีการปรับมาให้ใช้นามสกุลเพิ่มจากเดิมที่เหล่าประชากรจะมีแต่เพียงแค่ชื่อเพียงเท่านั้น ซึ่งการเกิดขึ้นของนามสกุล ก็เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษี ได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

ถ้าจะย้อนไปถึงรากเหง้าจริง ๆ ของตระกูล มัสก์ นั้น มีข้อมูลว่าสามารถที่จะติดตามย้อนกลับไปได้ถึง ศตวรรษที่ 18 ต้นตระกูลจริง  ๆ นั้นคือ เฮนรี่ มัสก์ ที่ได้แต่งงานกับ Mary Faulkener ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ และมีลูกๆ  รวมทั้งสิ้น 4 คน และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึง อีลอน มัสก์ ในปัจจุบัน

มัสก์ มักจะถูกล้อเสมอ ๆ ในวัยเด็ก เพราะชื่อที่แปลกประหลาดอย่าง อีลอน นั้นมีที่มาจากไหน ซึ่งชื่อของเขามาจาก คุณตาทวด ที่ชื่อ จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน ซึ่งคุณตาทวดของมัสก์ นั้น ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มียารักษาในขณะนั้น โดยเสียชีวิตในปี 1909

ภรรยาของ คุณตาทวด จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน คือ  อัลเมด้า ฮัลเดอมัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับลูกชาย ซึ่งก็คือคุณตาของมัสก์ โจชัว ฮัลเดอมัน โดยหลังจากสามีได้เสียชีวิตไป ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ แคนาดา ด้วยความเชื่อที่ว่าหากเป็นโรคเบาหวาน จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากอยู่ในที่ที่หนาวพอ ซึ่งแคนาดาสามารถตอบสนองสิ่งดังกล่าวได้ดี

ซึ่งต้นแบบหลักของมัสก์ ก็น่าจะเป็นคุณตาของเขาอย่าง โจชัว ฮัลเดอมัน นี่เอง ที่เป็นผู้ชายแหวกแนว ที่มีความโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญของมัสก์ต่อมา

โจชัว คุณตาของมัสก์ นั้นทำงานได้หลายอย่าง และยังมีทักษะในหลาย ๆ เรื่องเช่น การต่อยมวย การเล่นมวยปล้ำ การยิงปืน การไต่เชือก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายเลยทีเดียวในขณะนั้น 

คุณตา โจชัว ได้แต่งงานกับ วีน ครูสอนในสตูดิโอเต้นรำชาวแคนาดาในปี 1948 โดยมีลูกด้วยกัน 5 คน และสองในห้า นี้เป็นฝาแฝด คือ เคย์ และ เมย์ ซึ่งคือ แม่บังเกิดเกล้าของอีลอน มัสก์ ในภายหลังนั่นเอง

เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์
เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์

คุณตา โจชัว เป็นคนโลดโผน และใช้วิธีเสรีนิยมในการเลี้ยงลูก ๆ ของเขา เขาชอบขับเครื่องบิน ในตอนนั้นเขาได้เปิดคลินิกไคโรแพรกติก ซึ่งคลินิกแพทย์ทางเลือกที่มีความนิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก

แต่ในปี 1950 ชีวิตของคุณตา โจชัว และครอบครัวก็ต้องออกผจญภัยอีกครั้ง เพราะคุณตาเบื่อกับระบบราชการแคนาดาที่ชอบมาก้าวก่ายชีวิตการทำงานของเขา และนิสัยรักการผจญภัยของเขา รวมถึงเขาก็มีแนวคิดที่จะนำเอาคลินิกไคโรแพรกติกไปเผยแพร่ในประเทศอย่างแอฟริกาใต้อีกด้วย เขาจึงพาครอบครัวทั้งหมดออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ที่ๆ พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ไคโรแพรกติก เป็นแพทย์ทางเลือก ที่ปัจจุบันก็ยังไ้ดรับความนิยม
ไคโรแพรกติก เป็นแพทย์ทางเลือก ที่ปัจจุบันก็ยังไ้ดรับความนิยม

สำหรับเมืองในแอฟริกาใต้ ที่ โจชัว ต้องการจะไปอาศัยนั้น เขายังไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรก เขาทำการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ จนสุดท้าย มาปักหลักอยู่ที่เมือง พริทอเรีย นอกกรุงโจฮันเนสเบิร์ก 

ย้ายมาอยู่ Pretoria ที่แอฟริกาใต้
ย้ายมาอยู่ Pretoria ที่แอฟริกาใต้

และที่แอฟริกาใต้นี่เองที่เปิดโอกาสให้ โจชัว ได้ใช้ชีวิต โลดโผนผจญภัยได้อย่างเต็มที่ มีเรื่องที่น่าสนใจที่ โจชัวต้องการค้นหาสิ่งหนึ่งนั่นก็คือ Lost City หรือ เมืองโบราณในทะเลทราย คาลาฮารี ที่มีการตีพิมพ์เรื่องราวจากนักเดินทางชื่อดังอย่าง ฟารินี่ ที่เคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับเมืองลึกลับแห่งนี้ ว่ามีซากของเมืองโบราณอยู่ และหลังจากที่ ฟารินี่ กลับไปที่ยุโรป ก็ได้ตีพิมพ์ เรื่องนี้ออกสู่สาธารณชน ทำให้มีผู้คนสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึง ตัวโจชัวด้วยนั่นเอง

มันได้ท้าทายโจชัวให้ไปค้นหา นิสัยรักการผจญภัยของเขา จึงได้ทำการออกทำการค้นหาเมืองลับแลในทะเลทราย คาลาฮารี ที่แสนน่าสะพรึงกลัว เขาต้องการเห็นด้วยตาตัวเอง ทะเลทราย คาลาฮารี เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย นา ๆ นับชนิด รวมถึงยังมีชนเผ่าโบราณ ที่ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมอาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้

เมืองลับแล ในทะเลทราย คาลาฮารี ที่ โจชัว คิดว่ามาอยู่จริง
เมืองลับแล ในทะเลทราย คาลาฮารี ที่ โจชัว คิดว่ามาอยู่จริง (Credit : messagetoeagle.com)

ทะเลทรายคาลาฮารี ได้ชื่อว่าเป็นทะเลทรายที่อุดมสมบูรณ์และเปียกชื้นที่สุดของแอฟริกา มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก สภาพภูมิประเทศเป็นทุ่งหญ้าสลับกับต้นไม้ มีลักษณะคล้ายทุ่งสะวันนา ในอดีตทะเลทรายคาลาฮารีเคยมีพื้นที่กว้างขวางไปจรดถึงทะเลทรายสะฮาราทางตอนเหนือ ปัจจุบันอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันที่แดดร้อนจัดอาจสูงได้ถึง 70 องศาเซลเซียสบนพื้นดิน และในเวลากลางคืนก็มีอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท้าทายสำหรับนักเดินทางเป็นอย่างมาก

เขาออกสำรวจที่ทะเลทรายหลายครั้ง บางครั้งก็พาภรรยา วีน รวมถึงลูกชายอย่าง สก็อตไปด้วย มันเป็นการผจญภัยที่น่าสนุกสำหรับ โจชัว แต่ไม่สนุกสำหรับลูกชายเขาเลย เพราะบางครั้ง การนอนค้างแรม อาจจะมีสิงห์โต หรือ เสือ ตัวยักษ์ มาเยี่ยมเยียน เต๊นของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ เพื่อมาทำอาหาร ต้องบอกว่ามันเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายรักการผจญภัยอย่าง โจชัว

การออกผจญภัยแต่ละครั้งใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ซึ่งเขาก็ได้พยายามหาเมืองลึกลับ ตามที่ ฟารินี่ บันทึกไว้ แต่ก็ไม่ได้พบมันซักครั้ง ซึ่งสุดท้าย ก็เกิดโศกนาฏกรรม กับตัวเขาเอง เพราะเขาได้ประสบอุตบัติเหตุเครื่องบนตกจนเสียชีวิตในที่สุดในปี 1974 

ซึ่งสุดท้ายได้มีการทำการวิจัยเรื่องที่ฟารินี่เล่าในบันทึกการเดินทาง และมีหลักฐานบางอย่างที่มาหักล้างว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด แต่ ก่อนที่โจชัว จะเสียชีวิตนั้น เขาก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่า Lost Cities หรือ เมืองลับแล แห่งนี้นั้นมันมีอยู่จริง ๆ 

ตอนนั้น อีลอน มัสก์ ยังอยู่ในวัยหัดเดิน แต่ ต้องบอกเลยว่า คุณตา โจชัวของเขานั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อหลาย ๆ อย่างของอีลอน มัสก์ เมื่อเขาเติบโตขึ้นมา อีลอน นั้นได้ยินวีรกรรมมากมายเกี่ยวกับความกล้าหาญของคุณตา โจชัว ของเขา

อิทธิพลของคุณตาโจชัว นั้นส่งผลถึง อีลอน มัสก์ เป็นอย่างมาก
อิทธิพลของคุณตาโจชัว นั้นส่งผลถึง อีลอน มัสก์ ตั้งแต่วัยเด็ก เป็นอย่างมาก

เขาได้ดูภาพถ่ายนับไม่ถ้วน ที่บันทึกการเดินทางของคุณตาโจชัวของเขา มันเป็นการผจญภัยที่แสนมหัสจรรย์ ที่ อีลอน มัสก์ นั้นรับรู้มาตั้งแต่เด็ก มันคือจิตวิญญาณของการชอบสำรวจ และทำอะไรบ้า ๆ ซึง อีลอน มัสก์ นั้นเชื่อว่า นิสัยสำคัญอย่างนึงของเขา ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเกิดขีดจำกัดธรรมดาของมนุษย์ของเขา นั้น น่าจะเป็นมรดกตกทอดจาก คุณตา โจชัวของเขาโดยตรงนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 3 : Boredom Leads to Great Things

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 1 : Sand Hill Road

อีลอน มัสก์ ถูกเปรียบเทียบดั่ง สตีฟ จ๊อบส์ แห่ง apple แต่เขาเป็นคนที่สนใจปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเรา หากจะให้อธิบายสิ่งที่เขากำลังทำนั้นต้องใช้คำสั้้น ๆ ว่า เขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เขากำลังสร้างขึ้นมา ซึ่งชายคนนี้ เป็นชายที่โลกเรากำลังต้องการอย่างยิ่ง

โลกเรานั้นได้ถูกขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับทั่วโลก เพราะน้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่จะหมดไปภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นมนุษย์เรานั้นต้องการเทคโนโลยีที่ต้องไม่ขึ้นอยู่กับน้ำมันอีกต่อไป เพราะมันเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัด

ซึ่งหนึ่งในคนที่แคร์ปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเรา คน ๆ นั้นไม่ใช่ใคร เขาก็คือ อีลอน มัสก์ นั่นเอง เขาเป็นคนที่คิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ Tesla Motor คือแนวคิดที่รถยนต์ในอนาคต จะต้องไม่พึ่งพาน้ำมันอีกต่อไป ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องน้ำมันเขายังคิดถึงเรื่อง การย้ายอพยพถิ่นฐานไปยังดาวอังคาร หากในอนาคตเกิดอะไรที่ไม่แน่นอนขึ้นกับโลกของเรา น้ำอาจจะท่วมโลก หรือ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย

แนวคิดอพยพไปดาวอังคารของ Elon Musk
แนวคิดอพยพไปดาวอังคารของ Elon Musk

หรือเกิดภัยพิบัติ ครั้งรายแรงทำให้เราไม่สามารถอาศัยอยู่ในโลกได้อีกต่อไป อีลอน มัสก์ เป็นคนคิดการณ์ไกลขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ หากดูจาก สภาพภูมิอากาศของโลกเราในปัจจุบัน มันมีความเสี่ยง มันอาจจะถึงจุดจบของมนุษย์โลกก็ได้หากไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน

ทุก ๆ บริษัทที่ อีลอน มัสก์ สร้างขึ้นมา ทั้ง Tesla Motor , SpaceX หรือ SolarCity มันเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ เหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น เขาสนใจแต่ปัญหาใหญ่  ๆ ของโลกเราแทบจะทั้งหมด

ในวัย 28 ปี มัสก์ ต้องการที่จะซื้อรถคันใหม่ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาในขณะนั้น ที่เพิ่งขายบริษัท Zip2 ธุรกิจแรกของเขา ได้เงินกว่า 22 ล้านเหรียญ ในโรงรถของมัสก์ มีรถ Jaguar Series 1 E-type ปี 1967 ซึ่งเป็นรถที่ขึ้นชื่อว่ามีดีไซต์สวยที่สุดคันหนึ่งของโลกอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้เขาต้องการรถที่เร็วที่สุด เพื่อมาเติมเต็มโรงรถของเขา McLaren F1 เป็นรถที่ตอบโจทย์เรื่องความเร็วที่เขาต้องการได้ ตอนนั้น บริษัท McLaren F1 จากอังกฤษ ได้ผลิตรถรุ่นที่สามารถวิ่งบนท้องถนนได้ โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 231 mph (372 km/h) ซึ่งมันได้สร้างสถิติเป็นรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกได้ในปี 1998 ซึ่งสามารถทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ในเวลาเพียง 3.2 วินาทีเพียงเท่านั้น

มันเป็นรถในฝันของ มัสก์ เลยก็ว่าได้ มี celebrity ระดับโลกต้องการรถคนนี้หลายคน และรถรุ่นนี้ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 106 คันเท่านั้น โดย มัสก์ สามารถซื้อได้ทันก่อนที่ แฟชั่น ดีไซต์เนอร์ชื่อดังอย่าง Ralph Lauren จะซื้อทันเพียง 1 ชม.เท่านั้น

มันเป็นรถราคากว่า 1 ล้านเหรียญ ซึ่งราคาในตอนนี้นั้นพุ่งไปสูงถึงกว่า 4 ล้านเหรียญไปแล้ว ทุกคนจะมีหมายเลขกำกับ โดยคันที่ มัสก์ ได้มาคือหมายเลข 67

ตอนนั้น มัสก์ ก็เริ่มมีชื่อเสียงระดับหนึ่งใน silicon valley แล้ว มัสก์ ดีใจเป็นอย่างมาก ถึงกับกระโดดโลดเต้นหลังจาก รถบรรทุกมาส่งที่บ้านของเขา มันเป็นความฝันหนึ่งของมัสก์ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไป 3 ปีก่อนหน้า เขายังต้องนอนอยู่ชั้นล่างของออฟฟิส ตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาสามารถซื้อรถยนต์ มูลค่ากว่าล้านเหรียญได้สำเร็จ

McLaren รถในฝันของ อีลอน มัสก์
McLaren รถในฝันของ อีลอน มัสก์

มัสก์ ซึ่งตอนนั้นกำลังพัฒนา X.com ที่กำลังจะรวมกับ Paypal ของ ปีเตอร์ ธีล โดย Sand Hill Road เป็นถนนที่ มัสก์นั้น ชอบมาขับรถ McLaren คันโปรดของเขา  มัสก์ มีความสุขอย่างมากกับรถคันนี้

ถนน Sand Hill Road นั้นเปรียบเสมือน WallStreet ในนิวยอร์ก ที่นี่เต็มไปด้วยบริษัทด้านการลงทุนมากมาย และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังมหาลัยชื่อดังอย่าง Stanford University รวมถึง Silicon Valley ได้อีกด้วย

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์บริเวณ Sand Hill Road นั้นสูงลิบลิ่ว ซึ่งในยุคนั้นอาจจะพูดได้ว่าเป็นถนนที่แพงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาของมัสก์ ในตอนนั้น Silicon Valley กำลังบูม ทุกคนเข้ามาเพื่อแสวงหาเงินจากเหล่านักลงทุน เพื่อสร้าง startup ของตัวเอง

วันหนึ่ง เขาได้ชวน ปีเตอร์ ธีล ให้มาลองนั่ง McLaren ของเขา แต่วันนั้นได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น มัสก์ ไม่สามารถบังคับเจ้า McLaren ได้เหมือนเคย ด้วยความเร็ว มัสก์ไม่สามรถที่จะ control รถได้ จนไปชนเข้ากับขอบทาง และ แรงกระแทกทำให้รถหลุดออกไปนอกถนน พลิกคว่ำสภาพแน่นิ่งอยู่ข้างทาง

หลังจากฝุ่นได้จางหายไป ปีเตอร์ ธีล ได้ยินเสียง มัสก์ หัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่หนักแต่อย่างใด เนื่องจากรถเป็นรถที่มีคุณภาพสูง แม้รถจะสภาพเละน่าดู หลังจากมีหน่วยฉุกเฉินมาช่วย ทั้งคู่ ก็ต้องโบกรถเพื่อกลับไปประชุมนัดสำคัญให้ทัน

สภาพรถที่ยับเยินหลังอุบัติเหตุ
สภาพรถที่ยับเยินหลังอุบัติเหตุ

และเจ้า McLaren นี่เอง มันทำให้มัสก์ ได้มองเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม McLaren นั้นสูบน้ำมันเป็นว่าเล่น เป็นรถที่ใช้น้ำมันเปลืองอย่างมาก ในปี 2007 นั้น เขาจำใจต้องขายเจ้า McLaren สุดรักคันนี้ของเขา

มันถึงเวลาที่เขาต้องการที่จะปรับภาพลักษณ์ ด้านสิ่งแวดล้อมของเขาเสียที แม้ McLaren นั้นจะเป็นรถที่ดีมาก แต่มันไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลกที่เขากำลังสนใจอยู่ และมันเป็นที่มาของการลงทุนครั้งใหญ่กับธุรกิจใหม่ในอนาคตของเขา

หลังจากขาย paypal ให้กับ ebay ได้สำเร็จในปี 2002 ซึ่งสามารถทำเงินได้มากกว่า 1,500 ล้านเหรียญ เขาได้ทุ่มเงิน 100 ล้านเหรียญให้กับ SpaceX   70 ล้านเหรียญให้กับ Tesla Motor และ 10 ล้านเหรียญให้กับ SolarCity ทุก ๆ บริษัทที่เขาลงทุนใหม่นั้น จะสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่โดยเริ่มต้นจากศูนย์ เขาจะเป็นอัจฉริยะผู้หมกมุ่นกับการเสาะแสวงหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน แล้วแนวคิดต่าง ๆ ของ มัสก์ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร Blog Series ชุดนี้ จะพาไปทำความรู้จัก กับตัวตนของ อีลอน มัสก์ ให้มากขึ้นครับ โปรดอย่าพลาดติดตามในตอนต่อ ๆ ไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : Lost Cities

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Blog Series : Elon Musk The Real Life Iron Man

Blog Series : Elon Musk The Real Life Iron Man

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) นักธุรกิจและนักลงทุนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และยังเป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์หลายสิ่งที่เป็นนวัตกรรมอีกด้วย เขาเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัท SpaceX และยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ผู้บริหารและสถาปนิกผลิตภัณฑ์ของบริษัท Tesla Motor และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัทของ Paypal ตลอดจนบริษัทอื่นๆอีกมากมาย

นอกจากนี้เขายังเป็นผู้จุดประกายความคิดระบบขนส่งความเร็วสูงที่เรียกว่า Hyperloop และเขาได้รับการจัดอันดับจากนิตสารฟอบส์ให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดเป็นอันดับ 56 ของโลกเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2018

ชายผู้นี้มีประวัติที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่ง คิดว่าหลาย ๆ ท่านคงได้ยิน ได้อ่านมาบ้างแล้ว ทั้งจากหนังสือชื่อดังอย่าง Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future ที่เขียนโดย Ashlee Vance ที่ตอนนี้ได้มีฉบับแปลเป็นไทยออกมาให้ได้อ่านกันแล้ว

หนังสือ Elon Musk Tesla , SpaceX , and the quest for a Fantastic Future by Ashlee Vance
หนังสือ Elon Musk Tesla , SpaceX , and the quest for a Fantastic Future by Ashlee Vance

 มัสก์ นั้นมีคนตั้งฉายา ให้กับเขาว่า เปรียบเสมือนเป็น IRON Man ในโลกแห่งความเป็นจริงเลยก็ว่าได้ มี Documentary ที่เป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตของเขาอย่าง Elon Musk: The Real Life Iron Man

สำหรับใน Blog Series ชุดนี้ ผมได้ไปเจอหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง ที่น้อยคนที่จะได้อ่าน ซึ่งก็คือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus ซึ่งพบว่าเป็นงานเขียนที่มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดย Erik Nordeus นั้น ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลของ Elon Musk ขึ้นมาเอง แล้วแต่งเป็นหนังสือเล่มดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

หนังสือ The Engineer Follow Elon Musk on a Journey from South Africa to Mars
หนังสือ The Engineer Follow Elon Musk on a Journey from South Africa to Mars by Erik Nordeus

มันต่างจากหนังสือของ Ashlee Vance ที่เป็นการเล่าผ่านตัวตนของ Elon Musk โดยตรงเหมือนอัตถชีวประวัติผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ แต่ดูเหมือนเล่มนี้ จะมีมุมมองที่ต่างออกไปที่น่าสนใจ อยากให้เปิดโอกาสให้ได้อ่านกันครับ โดย Blog Series ชุดนี้ จะดำเนินเรื่องตามหนังสือของ Erik Nordeus เป็นหลัก พร้อมกับข้อมูลอื่น ๆ ทั้งทาง Wikipedia และข้อมูลออนไลน์ โดยจะมาเรียบเรียงใหม่ในแบบฉบับผมเองตามเคยครับ หากใครสนใจ ก็อย่าลืมฝากติดตามกันด้วยนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : Sand Hill Road

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance

หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus

หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา!
ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์)
ผู้แปล จินดารัตน์

biography.com/business-figure/elon-musk

en.wikipedia.org/wiki/Elon_Musk

businessinsider.com/the-rise-of-elon-musk-2016-7

electrek.co/2020/04/30/elon-musk-tesla-battery-day-terafactory

youtube.com/watch?v=wQuBZp5d7zA

youtube.com/watch?v=PdZAVTxtEcQ