เมื่อ Cryptocurrencies จะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ในโลกของ metaverse

ต้องบอกว่าเป็นบทความที่น่าสนใจเลยทีเดียวนะครับจาก Financial Times ที่มีบทความที่ว่า Cryptocurrencies will be as useless in the metaverse as they are now หรือ Cryptocurrencies จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในโลกของ metaverse นั่นเอง

Janet Murray ศาสตราจารย์ด้านสื่อดิจิทัลจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งจอร์เจียและผู้เขียนหนังสือ Hamlet on the Holodeck : The Future of Narrative in Cyberspace กล่าวว่า “Metaverse เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจทางการตลาด” “มีจินตนาการที่มีความคลุมเครือมากเกี่ยวกับสิ่งนี้

จะมีวิธีทำเงินจำนวนมากจากมัน เพราะเทคโนโลยีได้ให้สิ่งที่เราไม่คิดว่าจะเป็นไปได้มาก่อน และผู้คนจะทำเงินได้มากมาย

แม้ว่า metaverse จะกลายเป็นอนาคตของอินเทอร์เน็ต คำถามก็คือทำไมเราถึงต้องการใช้โทเค็น crypto เพื่อซื้อของที่นั่น?

แน่นอนว่าเราต้องการใช้เงินที่เราสามารถใช้ในชีวิตจริงได้เช่นกัน ซึ่งท้ายที่สุด เราอาจซื้อเสื้อผ้าเสมือนจริงใน metaverse ได้ แต่เรายังคงต้องการของจริง และเพื่อกินอาหารจริงและนอนบนเตียงจริง เราต้องการเงินจริงเพื่อจ่ายทั้งหมดนี้

การใช้สกุลเงินดิจิทัลหมายถึงการเผชิญกับความผันผวนที่มีอยู่ในโทเค็นของการเก็งกำไรสกุลเงินเหล่านี้ นอกจากนี้ยังหมายถึงการต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับการแลกเปลี่ยนเงินอีกด้วย ไม่มีเหตุผลใดที่จะใช้ crypto ใน metaverse

เอาจริง ๆ ก็ถือเป็นความเห็นที่น่าสนใจนะครับจาก ศาสตราจารย์ Janet Murray ซึ่งส่วนตัวผมเองก็มองว่าตอนนี้โลก metaverse ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว นั่นก็คือ โลกของเกม ที่มีการซื้อขาย item ต่าง ๆ ด้วยสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองนั่นเอง

ตัวอย่างโลก metaverse ที่น่าสนใจของเกมก็คือ เกมอย่าง Roblox ที่มีสกุลเงิน Robux เป็นของตนเอง และมันก็ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี blockchain หรือ เป็นสกุลเงินแบบ cryptocurrency แต่อย่างใด รวมถึงเกมอีกมากมายที่ใช้คอนเซปต์เดียวกัน และประสบความสำเร็จในทางธุรกิจได้ดี

ส่วนตัวผมเองก็คิดว่าการที่จะใช้ cryptocurrency มาพัฒนาเพื่อให้มันเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งเพื่อดึงดูดนักลงทุน แต่มันก็ไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนรูปแบบอื่นที่โลกเราได้สรรค์สร้างขึ้นมา ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมดก็แทบไม่ต่างจากรูปแบบการลงทุนอย่างอื่นที่เคยมีมาในอดีต

ซึ่งผมได้ถอดข้อความนึงจากหนังสือเล่มดัง Digital Gold โดย Nathaniel Popper ที่เขียนถึง Bitcoin ไว้ว่า

มีเพียงชนชั้นนำเล็ก ๆ เพียงไม่ถึง 1% ที่ร่ำรวยจากโลกการเงินแนวคิดใหม่นี้ ในขณะที่ 99 เปอร์เซ็นต์นั้นก็เป็นคนจนเหมือนเคย หรือไม่ก็ล้มละลายไปเลยจาก Case ตัวอย่างของ Mt.Gox

ย้อนกลับไปที่แนวคิดตั้งต้นของสกุลเงิน cryptocurrency ชื่อดัง ตัวอย่างเช่น Bitcoin ที่ได้สัญญาว่าจะกระจายผลประโยชน์ให้กับผู้ใช้ทุกคน แต่ในปัจจุบัน มูลค่าของเศรษฐกิจใน Bitcoin เป็นของคนไม่กี่คนที่ร่ำรวยขึ้นมา

การเกิดขึ้นของเหรียญใหม่ส่วนใหญ่ที่ออกในแต่ละวันถูกรวบรวมโดยกลุ่มเหมืองแร่ขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งถ้ามองว่า Bitcoin คือแนวคิดของโลกการเงินแบบใหม่ แต่ถึงวันนี้มันก็ได้พิสูจน์ในระดับนึงแล้วว่า มันไม่ได้แตกต่างจากโลกการเงินหรือการลงทุนแบบเก่า ๆ ที่เราเคยเห็นกันในอดีตเลยนั่นเองครับผม

** สำหรับใครที่สนใจประวัติการสร้างสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังอย่าง Bitcoin สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ –> Blog Series : Digital Gold – The inside Story of Bitcoin

References : https://www.ft.com/content/c28799d4-88bf-42b9-8ad5-53ab5647ba60

Geek Monday EP108 : วิธีที่ Air Asia เปลี่ยนจากสายการบินสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร

ความพยายามในการทำให้ดิจิทัลของแอร์เอเชียย้อนกลับไปในปี 2016 เมื่อโทนี่ เฟอร์นันเดส ซีอีโอของสายการบินประกาศแผนการที่จะเปลี่ยนแอร์เอเชียให้เป็น “สายการบินดิจิทัล” แบบเต็มเปี่ยม 

แม้จะมีวิกฤตการณ์ COVID-19 สายการบินก็ยังคงยืนหยัดด้วยวิสัยทัศน์นี้ ทางสายการบินก็ได้ประกาศอัตลักษณ์ใหม่ว่าเป็น “ซูเปอร์แอปของอาเซียน” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายกว่า เร็วกว่า และสะดวกกว่าสำหรับลูกค้าทั้งหมดในที่เดียว แพลตฟอร์มเดียว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3nNG3NK

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/7mGRR1DKbvw

Geek China EP32 : JD.com in 2009-2015

• Jd.com ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม eCommerce ที่ได้รับอานิสงค์จากการระบาดของโรคซาร์ ที่ระบาดตั้งแต่ปลายปี 2002 ถึงกลางปี 2004 ทำให้ต้องผันตัวเองจากขายหน้าร้าน Physical stores ที่เค้าก่อตั้งมาในปี 1998 มาสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มตัวในปี 2004

• เขาพลิกวิกฤติจากโรคระบาดหนักในช่วงปี 2003 ให้เป็นโอกาส ในปลายปี2003 เค้าเห็นว่ามีเพียง eCommerce ที่จะเติบโตและมองว่านี่คืออนาคต จึงตัดสินใจเปิดเป็นลักษณะแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ (online retailer)

• จุดที่เค้าวางกลยุทธ์ลงทุนด้าน logistics ก็ทำให้เค้าแตกต่างจาก Alibaba เนื่องจาก Alibabaหรือตอนนั้นมีแพลตฟอร์ม Taobao เป็นเพียง C2C Platform เท่านั้น แต่ JD ทำตัวเองเสมือน Online Retailer /direct sales platform sourcing from branded suppliers เพื่อสร้างความเชื่อใจและมั่นใจเรื่องสินค้าของแท้อย่างเต็มเหนี่ยว สองสิ่งนี้เป็นแกนหลักที่ทำให้เขาแตกต่างจากคู่แข่งและส่งผลให้ JD เติบโตต่อไปได้ในเวลาต่อมา อีกทั้งการเติบโตของ eCommerce ในจีน ก็ได้อานิสงค์จาก model ที่ หลิว วางไว้อีกด้วย

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3mvUjeR

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ResntLSNlnY

การเปลี่ยนแปลงสู่ Meta และธุรกิจที่จะถูก Disrupt ครั้งใหญ่จากโลก Metaverse ของ Facebook

ต้องบอกว่ายุคต่อไปคำว่า digital disruption อาจจะกลายเป็นคำล้าสมัยไป เมื่อมีการเกิดขึ้นของโลกเสมือนใหม่อย่างโลก metaverse ที่ facebook กำลังทุ่มเททุกสรรพกำลังพาบริษัทไปในทิศทางดังกล่าว ซึ่งแน่นอนก่อนหน้านี้ facebook เองก็ได้ทำการ disrupt ธุรกิจหลากหลายทั้งสื่อต่าง ๆ ที่ถูกพายุ digital โหม disrupt ทำให้โลกของสื่อยุคเก่าต้องสั่นสะเทือนพนักงานตกงานไปมากมาย

การเปลี่ยนแปลงครั้้งใหญ่นี้ ผมว่าไม่ใช่น่าเรื่องแปลกใจ เพราะ facebook เองกำลังถูกท้าทาย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าพวกเขาอย่างมากมาย ที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคม ทั้งปัญหา fake news , การเป็นสถานที่ toxic ของ facebook เอง หรือปัญหากับกลุ่มวัยรุ่นของแพลตฟอร์มอย่าง instagram

ถึงเวลาที่ facebook ต้อง disrupt ตัวเองก่อน

ต้อบอกว่าปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังรุมเร้านั้น คงไม่ใช่เหตุผลเดียว facebook จะลงทุนยกเครื่องบริษัทครั้งใหม่กับ metaverse ในครั้งนี้

แม้ดูตัวเลขเรื่องรายได้จะมีความมั่นคง จากผลประกอบการครั้งล่าสุด ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดความร้อนแรงแต่อย่างใด แต่ ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้ facebook ต้องยอมรับความจริงที่ว่าพวกเขาเจอคู่แข่งแบบจริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรกนั่นก็คือ TikTok

คนรุ่นใหม่ตอนนี้แทบจะหนีออกจาแพลตฟอร์ม facebook เพราะมันไม่มีความ cool เหมือนในอดีตอีกต่อไป จะเห็นได้ว่า Tiktok กลายเป็นแพลตฟอร์มน้องใหม่ที่สามารถดึงดูดกลุ่มวัยรุ่นได้ดีมาก ๆ

Tiktok กำลังแย่งฐานผู้ใช้งานที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มวัยรุ่นของ facebook (CR:CNBC)
Tiktok กำลังแย่งฐานผู้ใช้งานที่สำคัญที่สุดคือกลุ่มวัยรุ่นของ facebook (CR:CNBC)

และแน่นอน เหมือนตอนที่ facebook แจ้งเกิดจากกลุ่มวัยรุ่น ผู้คนในกลุ่มอื่น ๆ จะตามมาเอง ซึ่งตอนนี้มันเริ่มเกิดเหตุการณ์นั้นแล้วกับ Tiktok ตัวอย่างใกล้ตัวง่ายๆ คุณแม่ผมอายุ 60+ ตอนนี้เสพติด Tiktok ยิ่งกว่าอะไรดี เห็นได้ชัดว่าวัยรุ่นเป็นกลุ่มหลักที่จะผลักดันกลุ่มอื่นในช่วงวัยอื่น ๆ ให้เข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มนั่นเอง

อีกเรื่องที่สำคัญ ความ cool ในการได้ร่วมงานกับ facebook นั้นคงจะเริ่มหมดมนต์ขลังลงไป ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่บริษัทที่เริ่มมีขนาดใหญ่มากขึ้นมักจะพบปัญหานี้ Microsoft , Google เอง ก็เคยเจอมาก่อน ต้องปรับภาพลักษณ์กันใหม่ ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงาน ซึ่ง facebook ก็คงมองถึงจุดนี้เหมือนกันในการรีแบรนด์ตัวเองครั้งใหญ่ครั้งนี้ให้กลายเป็น Meta

รวมถึงมันคงไม่มีอะไรที่เหมาะสมกว่านี้อีกแล้วที่ facebook ถึงเวลาที่จะต้อง disrupt ตัวเอง เพราะด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทั้ง AR , VR รวมถึงเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่าง 5G ที่พร้อมเริ่มเข้าสู่ตลาด mass ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ facebook จะต้องรีบเปิดตัว metaverse แพลตฟอร์มของตัวเองในตอนนี้

Metaverse disruption ที่จะกลายเป็นคลื่น disrupt ลูกใหม่

หากใครยังจำกันได้ว่ากระแส digital disruption นั้นเริ่มมีความรุนแรงตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นของ facebook นั่นเอง ที่ได้ทำลายล้างหลาย ๆ ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจด้านสื่อให้ถึงขั้นล้มละลายกันได้เลยทีเดียว

เช่นกันผมมองว่า การเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมของโลก metaverse ในรอบนี้ หลังจากที่เราได้ฟัง concept เรื่องราวในโลกเสมือนมาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่มีใครที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลักดันมันเข้าสู่ตลาด mass เหมือนที่ facebook กำลังจะทำได้

เรียกได้ว่าเป็นการ disrupt ตัวเองแบบเต็มตัว หาก facebook ผลักดัน metaverse จริง ๆ จัง ๆ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดมันคือเวลาของผู้ใช้งาน ที่ทุกแพลตฟอร์มต่างแย่งชิง eyeball และ เวลาของผู้ใช้งาน ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าแย่งชิงกันอย่างดุเดือดจากทุกแพลตฟอร์ม

metaverse จะไม่ใช่แค่แย่งชิงเรื่อง eyeball จากสื่อดั้งเดิมอีกต่อไป ทั้งสื่อ out of home media , ทีวี , วิทยุ , เนื้อหาคอนเทนต์ออนไลน์ต่าง ๆ หรือ บริการสตรีมมิ่งชื่อดังต่างๆ ทั้ง netflix , disneyplus หรือ แม้กระทั่ง youtube เอง

เพราะ metaverse กำลังสร้าง full experience แบบสมจริง หากวิเคราะห์กันง่าย ๆ มันคือการ disrupt ธุรกิจที่ทำ digital disruption มาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ecommerce , steaming , social media , game เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุุรกิจที่ต้องมีการแย่งชิงเวลาของผู้ใช้งาน

ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในโลกของ metaverse ประสบการณ์ช็อปปิ้งออนไลน์ ก็จะถูกย้ายไปในรูปแบบ VR เสมือนจริงมากขึ้น ได้เลือกช็อปแบบสมจริงกันมากขึ้น เกมเองข่าวล่าสุดเกมชื่อดังอย่าง GTA ก็เตรียมพัฒนาบน metaverse ของ facebook แล้วเช่นกัน

GTA ก็เตรียมพัฒนาบน metaverse ของ facebook เช่นกัน (CR:Game News 24)
GTA ก็เตรียมพัฒนาบน metaverse ของ facebook เช่นกัน (CR:Game News 24)

เมื่อเวลามีจำกัด เพราะฉะนั้น คนก็จะย้ายถ่ายเทจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทั้ง social media หรือ บริการอย่าง steaming ต่าง ๆ ที่ดึงเวลาและสร้างรายได้จากเวลาของผู้ใช้งาน ก็อาจจะได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ เช่นเดียวกัน

รวมถึงบริการที่เป็น physical ทั้งการออกกำลังกาย fitness หรือแม้กระทั่ง ประสบการณ์ในการดูภาพยนต์ ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่า ผลกระทบต่อหลากหลายธุรกิจมาก ๆ หากไม่ปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงก็อาจจะถึงคราล่มสลาย ๆ ได้เหมือนในยุค digital disruption นั่นเอง

บทสรุป

ผมยังเชื่อว่าสุดท้าย metaverse คงไม่สามารถมีได้หลากหลายแพลตฟอร์มได้ และผู้ชนะคงเป็นคนที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้านที่จะเข้าสู่โลก metaverse จริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่พร้อมกว่าใครนั่นก็คือ facebook นั่นเอง

พวกเขาลงทุนไปมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาทั้งในเรื่อง hardware เองอย่าง oculus หรือแว่น rayban stories ที่จะเข้ามามีบทบาทกับโลก metaverse อย่างแน่นอน

ที่สำคัญฐานผู้ใช้งานเก่าที่มีมหาศาล ทำให้ไม่น่าเป็นเรื่องยากสำหรับ facebook เองที่จะทำให้พวกเขาเอาชนะในโลกของ metaverse ได้

ส่วนตัวผมก็เชื่อว่า นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงภาพลบครั้งใหญ่ของ facebook เอง รวมถึงผู้ก่อตั้งอย่าง mark zuckerberg ได้อีกครั้งหนึ่ง และหวังว่าคงไม่เกิดปัญหาเดิม ๆ เหมือนที่เกิดกับแพลตฟอร์ม facebook อีก

ผมก็ยังเชื่อว่า Mark Zuckerberg เองคงทำมันได้สำเร็จอีกครั้ง เหมือนที่เขาสามารถทำได้กับ facebook แต่ครั้งนี้มันจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แบบที่หลาย ๆ คนอาจจะคิดไม่ถึง และจะส่งผลกระทบต่อหลากหลายธุรกิจอย่างที่ไม่คาดคิด และแน่นอนว่ามันก็จะเปิดโอกาสให้กับธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมายมหาศาลในโลกเสมือนใหม่แห่งนี้นั่นเองครับผม

Credit : https://www.marketwatch.com/story/facebook-plans-to-hire-10-000-in-eu-to-help-build-its-metaverse-11634518473

Geek Story EP126 : การพุ่งทะยานสู่ความล่มสลาย ของธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ IBM

ในวันที่ 12 สิงหาคม ปี 1981 ที่โรงแรม Waldorf Astoria ใจกลางแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก IBM ได้เปิดตัว IBM PC เพื่อเข้าสู่ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างเป็นทางการ

ในไม่ช้า โลกก็เปิดรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเหล่านี้ ยอดขายกว่าหลายล้านเครื่อง โดย IBM สามารถครองยอดขายเหล่านั้นได้แบบเบ็ดเสร็จ ทิ้งนำโด่งคู่แข่งอย่างไม่เห็นฝุ่น

แต่ใช้เวลาเพียงไม่ถึงทศวรรษ ธุรกิจ PC ของพวกเขาก็ถึงคราล่มสลาย ตายจากไปแบบไม่เหลือเค้าลางของความยิ่งใหญ่ในอดีตอีกต่อไป สุดท้ายในปี 2005 บริษัทคอมพิวเตอร์สัญชาติจีนอย่าง Lenovo Group ก็ได้เข้ามา take over ธุรกิจ PC ของ IBM ไป

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นของยักษ์ใหญ่ Big Blue ที่น่าเกรงขามอย่าง IBM กับ ธุรกิจ PC

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3pNbuu7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/AJIoElXLJv4