รอยร้าวใน Facebook กับอนาคตของ Platform Social Network อันดับ 1

หลังจากข่าวการลาออกจากบริษัทของสองผู้ก่อตั้ง instragram อย่าง Kevin Systrom (CeO) และ Mike Krieger (CTO) ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ของวงการ Social network เลยก็ว่าได้

จาก user ผู้ใช้งานเพียง 35 ล้านคนก่อนขายให้ facebook จนมาถึงวันนี้ instragram เติบโตจนเป็น platform social ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกไปแล้วมีผู้ใช้งานสูงถึงกว่า 1000 ล้านคน และจากพนักงาน 13 คนในยุคแรกเริ่ม ตอนนี้ได้กลายเป็นกว่าพันคน กระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก

Instragram Co Founder

FILE PHOTO: Instagram founders Mike Krieger (L) and Kevin Systrom 

ถ้ามองในแง่ธุรกิจนั้น การเข้าซื้อ instragram เพียง 1 พันล้านเหรียญในปี 2012 ต้องถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของวิสัยทัศน์ของ Mark Zuckerberg เลยก็ว่าได้ ที่ซื้อมาได้ในราคาถูกเพียงแค่นี้ แต่อย่าลืมว่าการที่ instragram สามารถเติบโตได้เร็วขนาดนี้ ก็ต้องพึ่ง infrastructure พื้นฐานของ facebook ที่วางไว้อย่างดีทำให้สามรถ scale ให้ user ระดับพันล้านคนใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา

แต่หลังจากนโยบายที่เริ่มหารายได้กับ instragram นั้น ก็ทำให้ความ cool ของ instragram ตกลงไปกว่าเดิมมาก เนื่องจากมี model การหาเงินแบบเดียวกับ facebook คือ อาศัยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อไปขายโฆษณา ซึ่ง การลาออกของ 2 ผู้ก่อตั้ง ก็ต้องมาคอยดูกันต่อไปว่า ก้าวต่อไปของ instragram จะเป็นอย่างไรหลังจากยุคผู้ก่อตั้งได้ออกไป

แรกเริ่มของการควบรวมกิจการกับ instragram นั้น Mark Zuckerberg ก็ไม่ได้มาก้าวก่ายการทำงานของ 2 ผู้ก่อตั้งซักเท่าไหร่ แต่เมื่อถึงเวลา Mark ก็ต้องหา model ธุรกิจเพื่อหารายได้คืน จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ instragram ซึ่งก็เป็นไปได้ที่จะไปกระทบกับความรู้สึกของ 2 ผู้ก่อตั้ง ที่ในตอนนี้อาจจะไม่มีอำนาจเด็ดขาดเหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งก็คงเริ่มจะไม่พอใจตั้งแต่กรณีของ ข้อมูลหลุดใน case ของ Cambridge Analytica ซึ่งทำให้ facebook เสียหายอย่างหนัก และส่งผลต่อ Brand Instragram ด้วยเนื่องจากเป็น Brand ลูกของ Facebook เพราะยังไงฐานข้อมูลต่าง ๆ ก็คงมีการ share กันอยู่แล้วระหว่าง facebook กับ instragram

ถึงแม้ทั้ง 2 ผู้ก่อตั้ง instragram จะกล่าวว่า เป็นการจากกันด้วยดีกับ facebook แต่สื่อหลายๆ  สื่อก็พยายามขุดคุ้ย ถึงปัญหาระหว่าง Mark Zuckerberg , Sheryl Sandberg กับ เหล่าผู้ก่อตั้งของบริษัทที่ถูก take over มาทั้ง instragram , whatsapp หรือแม้กระทั่ง occulus เอง

ตอนนี้ เหล่าผู้ก่อตั้ง brand ลูกทั้งหลายของ facebook ก็ต่างทยอยลาออกกันไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างระหว่างกลุ่มผู้ก่อตั้งเหล่านี้กับ ทาง facebook อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ ประเด็นในเรื่องข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่อง sensitive อย่างมาก

การมาเปิดเผยกับสื่อล่าสุดของ Brian Acton ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp ที่ลาออกไปตั้งแต่เมื่อกันยายน ปี 2017 น่าจะเฉลยทุกอย่างได้อย่างดี ถึง ความเผด็จการของ Mark Zuckerberg

Brian Acton Whatsapp Co-Founder

Brian Acton Whatsapp Co-Founder

WhatsApp เดิมนั้น ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวกับลูกค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับ facebook อย่างสิ้นเชิง ที่ขายข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เป็นรายได้หลักของบริษัท ซึ่ Acton นั้นได้เคยเสนอ model ธุรกิจเรื่อง การจำกัดการส่งข้อความกับ ผู้ใช้แทน และ เรียกเก็บเงินหากผู้ใช้มีการใช้งานเยอะ แทนที่การนำข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปหารายได้แบบที่ facebook ทำ

แต่แนวคิดนี้โดนปฏิเสธโดยสิ้นเชิงจากทั้ง Mark Zuckerberg รวมถึง Sherlyn Sandberg ซีโอโอ ของ Facebook โดยอ้างการ scale up ของธุรกิจที่เป็นไปได้ยากใน model แบบนี้ จนกระทั่งในปี 2016 นั้น ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ Acton ลาออก คือการแอบเปลี่ยน นโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งคิดว่าส่วนนี้หลาย ๆ คนไม่ได้สนใจที่จะอ่านมันอยู่แล้ว ตอน install program ซึ่งการปรับเปลี่ยนนี้ ทำให้ facebook สามารถที่จะนำโมเดลของการโฆษณา ตามข้อมูลของผู้ใช้ได้แบบเดียวกับ facebook

ถ้าวิเคราะห์กันให้ดี platfrom chat กับ platform social นั้น มีข้อมูลที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ในข้อมูล chat นั้นเรามีข้อมุลที่ Sensitive ที่เราใช้คุยกับคนที่เราไว้ใจอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเรื่องการเจ็บป่วยร้ายแรง หรือ เรื่องทางการเงิน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ค่อนข้าง sensitive กว่าข้อมูลที่เราเผยแพร่ไปใน social เพราะมันเป็นการ chat แบบบุคคล ต่อ บุคคล ซึ่งหาก whatsapp เอาข้อมูลการ chat เหล่านี้ มาหากินต้องถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียวสำหรับผู้ใช้งาน

อาจจะมีผลทำให้ผู้ใช้งานหนีไปใช้ platform อื่นที่ปลอดภัยกว่าเลยก็ได้ เนื่องจากการเสียข้อมูลที่ sensitive เหล่านี้ไปให้ facebook ทำการวิเคราะห์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เช่น เราอาจจะ chat กับพ่อแม่ แต่ไม่อยากบอกใครคนอื่นว่าเราตรวจเจอมะเร็ง แล้วอยู่ดี ๆ โฆษณา ศูนย์รักษามะเร็งโผล่มาใน app chat มันคงไม่น่าจะ happy เท่าไหร่สำหรับผู้ใช้งานใน app chat

หลังจากนี้ เราก็ต้องมาดูกันต่อไป ว่า facebook จะทำการรักษาระดับของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน กับ model ธุรกิจของตัวเองอย่างไร เพราะดูจากท่าทีในช่วงหลัง ๆ facebook นั้นค่อนข้างเน้นไปทางการเติบโตทางรายได้อย่างชัดเจน ไม่ค่อยแคร์กับผู้ใช้งานซักเท่าไหร่ แม้ล่าสุด จะมาประกาศล้างบาง feed ใหม่โดยอ้างว่าทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้งานดีขึ้น แต่หากดูรายได้ที่เติบโตอย่างสูงในไตรมาส ล่าสุด นั้นมันก้เฉลยแล้วว่า สิ่งที่ facebook ทำคือ บีบให้เหล่า publisher หรือ brand ไปจ่ายตังค์ลงโฆษณา เพิ่มขึ้นนั่นเอง และประสบการณ์ของ user ก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด โฆษณายังมีมากเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง และนับวัน จะมีมากยิ่งขึ้น ในหลาย ๆ ส่วนที่ facebook ทำ ไมว่าจะเป็น stories , live , video , group , marketplace ทุกส่วนล้วนแต่ทำเงินให้ facebook ทั้งสิ้น

แต่เมื่อมันมากเกินไป หากถึงจุดหนึ่ง ที่มี startup รายเล็ก ๆ ซักรายที่มาปฏิวัติวงการ social ได้แบบที่ Mark เคยทำไว้ มันก็มีโอกาสเหมือนกัน ทีคนจะย้ายหนี facebook ไปเล่น platform อื่น เลยก็ได้ เพราะความ cool ของ facebook ในอดีต ตอนนี้มันได้ตายจากไปแล้ว เหลือเพียงแค่บริษัท ที่คอยหากินจากข้อมูลผู้ใช้งานเพียงอย่างเดียว

มาลองฟังเพลงที่แต่งจาก AI กันเถอะ

ที่ผ่านมาผมได้เขียน Blog ที่เกี่ยวข้องกับ AI ในหลาย ๆ แขนง เช่น การลงทุน การแพทย์ หรือ การตลาด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์แทบจะทั้งสิ้น แต่ในสายงานด้านศิลปะ นั้น ยังไม่ค่อยเห็นการนำ AI เข้ามาพัฒนามากนัก

เนื่องจากงานด้านศิลปะ เป็นงานที่ยากสำหรับการจะใช้ AI มาช่วยเหลือ เพราะมันเป็นศาสตร์ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต่างจากด้าน วิทยาศาสตร์ ที่สามารถนำข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์ได้

แต่ Ash Koosha นักแต่งเพลงชาวอิหร่าน ที่หลงไหลในเทคโนโลยี ได้ทำการทดลองบางสิ่งออกมา โดยการเป็นการร่วมมือกับ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ในการแต่งเพลงขึ้นมา ซึ่งต้องบอกว่าผลที่ออกมานั้น น่าสนใจเป็นอย่างมาก

ซึ่งในวันศุกร์ที่แล้วทาง Ash Koosha ได้ปล่อยอัลบั้มที่ 4 ของตัวเอง ที่ใช้ชื่อว่า “Return O” ซึ่งมี Single พิเศษที่ทำการแต่งโดย AI ที่ใช้ชื่อว่า Yona ซึ่งเป็น AI ที่ทาง Koosha ได้สร้างขึ้น โดยเป็นการสร้างผลงานร่วมกันระหว่างมนุษย์ กับ AI เป็นครั้งแรก

ซึ่ง Yona นั้นเป็น AI Software ที่ทำการประมวลผล ตัวโน๊ต ดนตรีต่าง ๆ รวมถึง การใส่คำร้อง ที่เป็นการ Training มาจาก Koosha โดยตรง ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Machine Learning

ซึ่งอัลบั้ม Return O ได้รับคะแนน 6/10 จาก Pitchfork นิตยสารด้านเพลงชื่อดัง และได้กล่าวถึงผลงานของอัลบั้มดังกล่าว ว่า เป็นอัลบั้มที่น่าสนใจ แต่ เรื่องทักษะการแต่งเนื้อเรื่องด้วย Yona อาจจะต้องมีการปรับปรุงทักษะบางอย่าง ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

อนาคตของวงการศิลปะกับ AI

สำหรับ Yona นั้นไม่ใช่เป็นผลงานแรกที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ที่เป็นการนำ AI มาช่วยเหลือ แต่ มีหลาย ๆ งานที่นำร่องไปก่อนแล้วเช่น  งานถ่ายภาพบุคคล , เขียนบทกวีและเขียนสคริปต์  ที่ได้มีการนำเอา AI มาช่วยเหลือมนุษย์ในการทำงาน

แต่ถ้าเทียบกับสาขาด้านวิทยาศาสตร์ ก็ต้องบอกว่า ยังเป็นแค่ ก้าวเล็ก ๆ ของ AI เท่านั้นที่จะมาแข่งกับมนุษย์ ในงานด้าน ศิลปะ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และ idea ต่าง ๆ มาประกอบกัน ซึ่ง เป็นเรื่องยาก ที่ AI จะสามารถมาแข่งกับมนุษย์ได้ แต่ในอนาคตนั้นเราก็ไม่สามารถมั่นใจได้หรอกว่า งานวิจัย และพัฒนาด้าน AI ใน Lab ต่าง ๆ ทั่วโลก กำลังบรรจงใส่ความคิดสร้างสรรค์ เข้าไปใน AI กันอยู่ และสุดท้าย ก็สามารถที่จะมาแข่งกับมนุษย์ ได้ เหมือนกับที่เห็นในหลาย ๆ งานในสาขาวิทยาศาสตร์

References : futurism.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

โจเซฟ พูลิตเซอร์ ผู้ปฏิวัติวงการหนังสือพิมพ์โลก

เราอาจจะเคยได้ยิน รางวัล พูลิตเซอร์ ซึ่งเป็นการตั้งขึ้นเพื่อมอบแก่ผู้ได้รับเกียรติสูงสุดระดับชาติในวงการสิ่งพิมพ์ การบรรลุความสำเร็จทางวรรณกรรม และการประพันธ์ ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการสิ่งพิมพ์ของอเมริกา

แต่การที่ได้รับเกียรติให้ชื่อชื่อตัวเองในรางวัลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ก็ต้องมีที่มาที่ไปที่หลายคนสงสัย ว่า โจเซฟ พูลิตเซอร์ คือใคร?

ในช่วงยุคแรก ๆ ของการก่อตั้งประเทศอเมริกานั้น หนังสือพิมพ์ ถือเป็นสื่อที่สำคัญที่สุด สำหรับใช้ในการสื่อสารกับคนหมู่มาก ในตอนนั้นยังไม่มีวิทยุ หรือ โทรทัศน์ เหมือนที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ จึงทำให้หนังสือพิมพ์นั้นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลสูงสุด

แต่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ในยุคแรก ๆ นั้น มีรูปแบบการเสนอที่น่าเบื่อ โดยส่วนใหญ่จะได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่าง  ๆและนำเสนอแต่เรื่องของชนชั้นสูงเท่านั้น รวมถึง อวยเหล่านักการเมืองต่าง ๆ ที่เป็น สปอนเซอร์ให้หนังสือพิมพ์นั้น ๆ เท่านั้น

จนการมาถึงของ โจเซฟ พูลิตเซอร์ ผู้อพยพชาวฮังการี ที่เริ่มต้นจากการเป็นชนชั้นล่างของสังคมอเมริกา โดย พูลิตเซอร์นั้นได้อพยพ มาอยู่ที่เมือง เซ็นต์ หลุยส์ และได้เริ่มอาชีพ นักหนังสือพิมพ์ โดยเริ่มปฏิวัติวงการ โดยเขียนข่าว เพื่อตอบสนองชนชั้นแรงงานอพยพ ที่กำลังเข้ามาบทบาทในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา

จากการทำข่าวของเค้า ที่เน้น ตีแผ่ เรื่องการคอร์รัปชั่น ซึ่งไม่มีใครที่จะกล้านำเสนอในขณะนั้น ต้องบอกว่าเป็นการปฏิวัติ วงการหนังสือพิมพ์ ของเมือง เซ็นต์ หลุยส์ เลยก็ว่า ได้  จากการเขียนข่าวของเค้า ทำให้เค้าได้ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อย ๆ จนมีบทบาทกับสำนักพิมพ์เป็นอย่างมาก

ST Louis post dispatch

หนังสือพิมพ์ ST Louis post dispatch

เมื่อสะสมเงินได้ก้อนนึง เค้าจึงนำไปซื้อกิจการสำนักพิมพ์ ที่ใกล้จะเจ๊งของเมือง เซ็นต์ หลุยส์  2 ฉบัย แล้วมารวมกันกลายเป็น เซนหลุยส์โพสต์-ดิสแพตช์ แล้วทำข่าวแบบที่เค้าถนัด จนเป็นที่ถูกใจของเหล่าผู้อพยพ และชนชั้นแรงงานในสมัยนั้น แต่ ด้วยความที่เซ็นต์ หลุยส์ เป็นเมืองที่เล็กเกินไปสำหรับเค้า เค้าจึงเดินทางไปยังเมืองที่เป็นมีอุตสาหกรรมทางด้านสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง New York

The New York World

หนังสือพิมพ์ The New York World

โจเซฟ พูลิตเซอร์ใช้วิธีการเดียวกันคือได้ทำการเข้าซื้อหนังสือพิมพ์ที่ใกล้จะเจ๊งอย่าง New York World ที่กำลังขาดทุนปีละกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐ และปรับปรุงมาทำข่าวในแนวทางที่เค้าทำแบบที่เคยทำใน เซ็นต์ หลุยส์ จนประสบความสำเร็จ ด้วยกลยุทย์ง่าย ๆ อย่างเช่น การพาดหัวด้วยตัวหนา และมาเน้นเรื่องราวที่ทำให้ผู้คนสนใจ เรื่องราวเกี่ยวกับความอื้อฉาวและเรื่องราวที่ตื่นเต้นเร้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นการคิดนอกกรอบจากหนังสือพิมพ์อื่น ๆ ในสมัยนั้น จนเค้ากลายเป็นเจ้าของสื่อใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาในที่สุด

References : wikipedia.org

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

One Medical Startup สาย HealthTech กำลังได้รับทุนเพิ่ม 200 ล้านเหรียญ

Startup สาย HealthTech เป็นสายหนึ่งที่กำลังมาแรงเลยทีเดียวในประเทศอเมริกา ต้องถือได้ว่า วงการ Healthcare นั้นเป็นวงการหนึ่งที่ ใช้เทคโนโลยีโบร่ำโบราณกว่าในอุตสาหกรรมสายอื่นเป็นอย่างมาก ซึ่งตอนนี้มี Startup หลายรายกำลังเข้ามา Disrupt วงการ Healthcare

One Medical หนึ่งใน Startup สาย HealthTech ด้วยเทคโนโลยี Virtual Visist และ Same-day appointment นั้นถือได้ว่าจะเข้ามาปฏิวัติวงการแพทย์ แบบดั้งเดิมของอเมริการ ในเรื่อง การจัดการนัดหมายในการพบแพทย์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ซึ่ง One Medical นั้นก๋อตั้งโดยคุณหมอ Tom X. Lee ซึ่งก่อตั้งขึ้นที่ San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา และกำลังเป็น Unicorn ที่น่าจับตามองตัวหนึ่งของ Startup สาย HealthTech

จากรายงานข่าวของ CNBC  ตอนนี้ทาง One Medical กำลังเจรจาเพื่อรับเงินทุนเพิ่ม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก Carlle Group มูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทาง Carlyle Group นั้นต้องการที่จะซื้อหุ้นมูลค่า 100 ล้านเหรียญ จากผู้ลงทุนกลุ่มเดิม

ซึ่งก่อนหน้านี้นั้น one Medical ก็ได้รับการลงทุนมาแล้วกว่า 180 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทั้ง Alphabet’s Venture ของ google , Benchmark Capital เพื่อทำให้ Idea ดังกล่าวเป็นจริง โดยเริ่มเปิดบริการในแถบบริเวณ San francisco , Newyork รวมถึง Seattle รวมถึงอีกหลาย ๆ เมืองกระจายไปทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งการลงทุนรอบล่าสุดทำให้ One Medical มูลค่าบริษัทของ One Medical ทะยานขึ้นสู่ง 1 พันล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย กลายเป็น Unicorn สาย HealthTech ตัวใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากการเจรจากับ Carlyle Group เป็นผลสำเร็จนั้น จะทำให้ One Medical สามารถที่จะระดมทุนได้รวมทั้งสิ้นกว่า 380 ล้านเหรียญ เพื่อมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะ Disrupt วงการ HealthTech ได้อย่างแน่นอน

 

References : techcrunch.com

5 ตัวอย่างกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรม Healthcare อย่างมีประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรมทางการแพทย์ นั้น อุตสาหกรรมหนึ่งเลยที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ที่จะนำเอา AI เพื่อมาเพิ่มประสิทธภาพการทำงานของทั้งตัวหมอเอง รวมถึง เพิ่งประสิทธิภาพของโรงพยาบาลให้ดีขึ้น

แม้ทางการแพทย์นั้น จะยุ่งเกี่ยวกับความเป็นความตายขอคนไข้ ซึ่งการนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้นั้น ก็ต้องคำนึงถึงหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลคนไข้  , เรื่อง privacy ของคนไข้ รวมถึง ความ error ต่าง ๆ ของการนำเอาเทคโนโลยี มาใช้ เพราะล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนไข้แทบจะทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ Sensitive กว่า Domain อื่น ๆ อยู่มาก

มาดูกันว่า 5 ตัวอย่างของการใช้ AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้นมีอะไรกันบ้าง

1.AI-assisted robotic surgery

ในวงการศัลยแพทย์ นั้น ได้เริ่มมีการนำหุ่นยนต์ เข้ามาใช้ช่วยเหลือ ศัลยแพทย์เป็นเวลาช่วงหนึ่งแล้ว โดย AI นั้นสามารถที่จะช่วยได้ตั้งแต่การ วิเคราะห์ข้อมูล ของคนไข้ เพื่อ Guide ให้ศัลยแพทย์ ได้ใช้เครื่องไม้ เครื่องมือ ที่ถูกต้องกับคนไข้ เป็นการลดเวลาในการเตรียมความพร้อมในการผ่าตัดไปได้มาก ซึ่งหุ่นยนต์ผ่าตัดนั้น สามารถที่จะช่วยเหลือศัลยแพทย์ ให้ผ่าตัดในจุดที่มีความเสียหายกับร่างกายน้อยที่สุด ไม่ต้องมีการผ่าตัดในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ทำให้แผลผ่าตัดนั้น มีขนาดเล็กลง

ด้วยความสามารถของ AI  ทำให้หุ่นยนต์ผ่าตัดนั้น สามารถที่จะเรียนรู้จากการผ่าตัดครั้งก่อน ๆ หน้า เพื่อปรับเทคนิคในการผ่าตัดครั้งตอไปให้กับคนไข้ได้  ซึ่งมี Case Study ที่นำเอา AI มาช่วยเหลือหมอผ่าตัดกระดูกและข้อ ซึ่งสามารถลดจำนวนการผ่าตัดได้ถึง 5 เท่า หากเทียบกับ ให้หมอ Orthopedic ได้ทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว

Da Vinci

สำหรับการผ่าตัดในจุดที่มีความละเอียดค่อนข้างสูงอย่างการผ่าตัดตานั้น หุ่นยนต์ผ่าตัดชื่อดังอย่าง Da Vinci ก็สามารถที่จะช่วยเหลือแพทย์ในส่วนที่ซับซ้อนที่ยากต่อการเข้าถึงได้ดีกว่า การผ่าตัดแบบเดิม ๆ อย่างมาก ทำให้สามารถผ่าตัดในส่วนที่เข้าถึงยาก และมีความซับซ้อน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้กระทั่งในการผ่าตัดอวัยวะที่สำคัญที่สุดของมนุษย์อย่างการผ่าตัดหัวใจก็เช่นกัน หุ่น Heartlander หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดด้านหัวใจ ก็สามารถที่จะเปิดแผลที่มีขนาดเล็กมากบริเวณหน้าอก เพื่อเข้าถึงการรักษาบริเวณเนื้อเยื่อของหัวใจคนไข้ได้ โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิดผลขนาดใหญ่เหมือนที่เคยทำมา สำหรับการผ่าตัดหัวใจ

2. Virtual nursing assistants

ในด้านการพยาบาลก็เช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงส่วนนึง ของอุตสาหกรรม Healthcare ในอเมริการนั้น ประเมินได้ว่า หากมีการนำระบบ Vitual nursing มาใชนั้น สามารถลดรายจ่ายไปได้กว่า สองหมื่นล้านเหรียญในแต่ละปี ซึ่ง งานบางงานที่ต้องทำอะไรซ้ำ ๆ นั้น สามารถที่จะใช้ Robot หรือ AI มาช่วยเหลือได้

ซึ่งคล้าย ๆ กับ ระบบ Chatbot ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ การมีผู้ช่วยเหลืออย่าง Virtual Nursing นั้น สามารถที่จะทำงานได้ตลอด 24 ชม. โดยไม่ต้องมีการพักเปลี่ยนเวร แต่อย่างใด รวมถึง ได้ประสิทธิภาพบางอย่างที่ดีกว่าด้วย สามารถตอบคำถามได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้มนุษย์เป็นอย่างมาก หากเป็นคำถามที่ซ้ำ ๆ ที่ AI สามารถที่จะเรียนรู้ได้

แถมยังช่วบลดความไม่จำเป็นในการเข้ามาที่โรงพยาบาลได้อีกด้วย ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของ Virtual Assistant เช่น Care Angel’s ที่มีความสามารถทีช่วยเช็คสุขภาพเบื้องต้นของผู้ป่วยผ่านทางการสื่อสารด้วยเสียง และความสามารถของ AI ที่จะช่วยคัดกรองคนไข้ เพื่อไม่ต้องเข้ามาที่โรงพยบาลหากไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริง ๆ

3. Aid clinical judgement or diagnosis

ในปัจจุบันมีหลาย use case ที่น่าสนใจในการนำ AI เข้ามาร่วมในการวินิจฉัยผลของคนไข้  ตัวอย่างนึงที่น่าสนใจคือทาง มหาวิทลัย Standford ได้ทำการทดสอบ AI Algorithm ในการตรวจมะเร็งผิวหนัง โดยมีการเปรียบเทียบกับ หมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง แล้วพบว่า ผลของการวินิจฉัยด้วย AI นั้น มีความสามารถเทียบเท่ากับการใช้หมอผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังในการวินิจฉัย แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ เวลา ที่ใช้ในการวินิจฉัยต่างกันอย่างมาก AI สามารถทำได้ภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ต่างกับ หมอผู้เชี่ยวชาญที่ต้องใช้เวลาหลายชม. ในการวิเคราะห์ผล

งานวิจัยอีกชิ้นที่น่าสนใจของ Danish AI software นั้น ได้ทำการทดสอบ algorithm ในการฟังเสียงสนทนา เมื่อมีการโทรศัพท์ฉุกเฉินเข้ามาในโรงพยาบาล กรณีผู้ป่วยในโรคหัวใจ โดยการดักฟังโทนเสียงของผู้ป่วย รูปแบบการพูด พบว่าสามารถคัดกรองผู้ป่วยที่มีโอกาสที่จะมีอาการหัวใจวายได้ถึง 93% ซึ่งสูงกว่ารูปแบบปรกติที่ใช้มนุษย์คัดกรองที่ทำได้เพียงแค่ประมาณ 73% เท่านั้น

ส่วนทางฝั่งยักษ์ใหญ่ Search Engine จากจีนอย่าง Baidu Research นั้น ก็ได้ทำการทดสอบ Deep learning algorithm ที่สามารถที่จะระบุถึงการแพร่กระจายของมะเร็งเต้านม ได้ดีกว่าการวิเคราะห์จากมนุษย์

ส่วนทางด้านประเทศอังกฤษ นายกรัฐมนตรี Theresa May ก็ได้ประกาศวาระสำคัญของชาติ คือ AI Revolution ซึ่งจะช่วยเหลือ National Health Service (NHS) ซึ่งคงคล้ายๆ  สปสช. ของบ้านเรา ในการช่วยทำนายผู้ป่วยที่มีโอกาสเกิดโรคมะเร็ง โดยการวิเคราะห์จาก ข้อมูลทางด้านสุขภาพ พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และยังวิเคราะห์จากข้อมูลทางด้าน พันธุกรรมของคนไข้ เพื่อช่วยทำนายว่า คนไข้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ โดยใช้ AI และข้อมูลจาก NHS

4. Workflow and administrative tasks

งานด้านเอกสารหรือธุรการต่าง ๆ ภายใน workflow ของระบบโรงพยาบาลนั้นก็เป็นต้นทุนสำคัญอย่างนึงของโรงพยาบาล ซึ่ง ประมาณได้ว่า ในปี ๆ หนึ่ง ๆ ในประเทศอเมริกา หากสามารถนำ AI มาช่วยงานเหล่านี้ได้นั้น สามารถที่จะลดต้นทุนไปได้กว่า 18,000 ล้านเหรียญ สหรัฐเลยทีเดียว

ซึ่ง AI สามารถที่จะช่วยเหลือในงานต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็น voice-to-text transcriptions หรือการแปลงจากเสียงมาเป็นtext  งานด้านเอกสารกำกับยา หรืองานที่เกี่ยวข้องกับ chart notes

ซึ่งตัวอย่างนึงที่ใช้ AI ในการช่วยเหลืองานด้าน Admin คือการร่วมมือกันระหว่าง Cleveland Clinic และ IBM โดยมีการนำเอา IBM’s Watson มาช่วยในการวางแผนการรักษาให้กับแพทย์ โดยทำการวิเคราะห์จากข้อมูล medical record โดยใช้เทคโนโลยี Natural language processing เพื่อช่วยวางแผนการรักษาให้กับแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

5. Image analysis

ต้องบอกว่าเป็นงานที่สำคัญอย่างหนึ่งเลยสำหรับการวิเคราะห์ภาพเช่นในการ ทำการ X-RAY , MRI หรือ Ultrasound ซึ่ง effect โดยตรงต่อผู้ป่วย เพราะเป็นการวิเคราะห์ ให้เจอสาเหตุของโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย

ซึ่งโดยปรกติแล้วนั้นงานทางด้าน Image Analysis โดยผู้เชี่ยวชาญนั้น เป็นงานที่ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์เป็นอย่างมาก

ตัวอย่างสำคัญในการวิเคราะห์ที่ทำให้ process เหล่านี้ทำได้รวดเร็วขึ้น คือ ในงานวิจัยของ MIT ได้ทำการพัฒนา machine learning algorithm ที่สามารถจะวิเคราะห์ภาพ Scan 3D จากการถ่าย MRI , CT-SCAN โดยสามารถที่จะวิเคราะห์ได้เร็วกว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ถึง 1000 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจเลยทีเดียว

ซึ่ง AI นั้นจะมาช่วยเหลืออย่างมากกับงานด้านรังสีแพทย์ เพราะเป็นงานที่ AI สามารถทำงานได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นการใช้ประสบการณ์การเรียนรู้จากข้อมูลในอดีต หากมีคลังข้อมูลที่มากพอ ก็ทำให้ AI มีผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำกว่ารังสีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียอีก

รวมถึงการที่ AI สามารถมาช่วยเหลืองานด้าน Telemedicine ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งคนไข้สามารถที่จะใช้ Smartphone ในการถ่ายภาพเบื้องต้น ของบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ หรือ ต้องการรักษา ซึ่ง AI สามารถที่จะช่วยเหลือในการวิเคราะห์อาการเบื้องต้นจากภาพถ่ายเหล่านี้ได้ และสามารถ guide แนวทางการรักษาเบื้องต้นให้กับผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้

AI จะเข้ามาช่วยเหลือหรือแย่งงานจากคนในอุตสาหกรรม Healthcare

ต้องบอกว่าด้วยพื้นฐานทางเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นด้าน AI , Machine Learning รวมถึงเทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์ กล้อง รวมถึงเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ต่าง ๆ นั้น ถึงแม้จะยังไม่ผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาช่วยเหลือแพทย์ได้ทุกแขนงในปัจจุบัน หรือยังเป็นงานวิจัยอยู่ก็ตาม เราต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ไปไกลเกินความสามารถของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ในปัจจุบันแล้ว

ซึ่งต้องยอมรับเช่นกันว่าเครื่องมือเหล่านี้ล้วนมาช่วยเหลือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างมาก จนหลาย ๆ งานสามารถที่จะเข้าไปทดแทนงานของมนุษย์ได้จริง แต่งานที่เกี่ยวข้องกับคนไข้นั้นยังไง ผู้ป่วยย่อมจะไม่ยอมรับผลการรักษา 100% จาก AI แน่นอนอยู่แล้ว

แต่อย่างไรก็ดีในอนาคตอันใกล้ หากเทคโนโลยีเหล่านี้พัฒนาจนเป็นที่ยอมรับของมนุษย์ได้ 100% จริง ๆ เหมือนที่ใครจะคิดว่าจะมีรถยนต์อัตโนมัติ มาวิ่งให้เรานั่งได้กันแบบสบาย ๆ  ซึ่งก็เช่นเดียวกัน ในวงการอุตสาหกรรม Healthcare นั้น ต่อไปเราก็อาจจะได้เห็น ทุก process ที่เกี่ยวกับคนไข้ สามารถทำได้โดยผ่าน AI หรือ Robot ได้จริง ๆ ตั้งแต่ การเตรียมข้อมูลคนไข้ ไปจนถึงงานระดับยาก ๆ อย่างการผ่าตัดหัวใจ หรือสมอง ซึ่งผมเชื่อว่า หากมีการแข่งขันกันจริง ระหว่างมนุษย์กับผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าสาขาใด ๆ แม้จะงานยากขนาดไหนก็ตาม ก็จะพบจุดจบเดียวกันกับที่ Alpha go สามารถชนะ Lee Sedol มนุษย์ที่เล่นเกมโกะได้เก่งที่สุดในโลก เพราะตอนนี้เราต้องยอมรับว่า AI มีขีดความสามารถเกินกว่าที่มนุษย์เราจะทำได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

References : www.forbes.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol