Bill Gates กล่าวว่าเขามีความสุขในวัย 64 ปี เพราะเขาให้ความสำคัญกับ 4 สิ่งนี้

AMA ประจำปีของ Bill Gates (Ask Me Anything) ได้กลายเป็นหนึ่งในเซสชันคำถามและคำตอบยอดนิยมใน Reddit ผู้ใช้งาน Reddit ถามคำถามทุกประเภทตั้งแต่การสอบถามเกี่ยวกับหนังสือเล่มโปรดของเขาไปจนถึงว่าเขายังเขียนโค้ดอยู่หรือไม่

ในเซสชั่นของปีที่แล้วคำถามที่กระตุ้นความคิดก็เพิ่มขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ : จากทั้งหมดนี้อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข?

ในขณะที่คำตอบของ Gates นั้นสั้น ๆ (เขาต้องคอยตอบคำถามต่อไป) แต่เขาก็เน้นถึงส่วนผสมหลัก 4 อย่างที่ทำให้เขามีความสุข

1. ยึดมั่นในคำมั่นสัญญาของคุณ

เมื่อ Gates ยังเด็กเขามุ่งมั่นในพันธกิจของไมโครซอฟต์ แนวคิดที่จะวาง “คอมพิวเตอร์ไว้บนโต๊ะทำงานทุกตัวและในบ้านทุกหลัง” ความมุ่งมั่นนั้นนั้นเกี่ยวข้องกับการทุ่มเทเวลานับไม่ถ้วนของเขากับ Microsoft แต่เมื่อเวลาผ่านไปวิสัยทัศน์ดังกล่าวก็กลายเป็นความจริง

ในขณะที่ความทะเยอทะยานเดิมของเขาหมดสิ้นไป Gates จึงต้องหาความทะเยอทะยานใหม่ ๆ โดยในทุกวันนี้มาในรูปแบบของมูลนิธิ Bill and Melinda Gates ซึ่งมุ่งมั่นที่จะกำจัดโรคติดเชื้อ เช่น มาลาเรีย และโปลิโอ รวมถึงปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของคนที่ยากจนที่สุดในโลก

2. ให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว – ไม่ว่าคุณจะร่ำรวยแค่ไหน

ในฐานะบุคคลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของโลก Gates สามารถทำหรือมีอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ นั่นเป็นเหตุผลที่บอกได้มากขึ้นว่าสิ่งที่ผลักดันเขามากที่สุดคือการบริจาคเพื่อการกุศลของเขา มูลนิธิ Bill and Melinda Gates เป็นองค์กรการกุศลที่ยิ่งใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและเขายังมีแรงผลักดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ในปี 2006 Gates ได้โน้มน้าวให้ Warren Buffet เพื่อนสนิทของเขาบริจาคเงินจำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิ และการให้คำมั่นสัญญาก็เกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อมาโดยเป็นการเชิญชวนให้มหาเศรษฐีคนอื่น ๆ ให้ทำในสิ่งเดียวกัน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกกว่า 200 คนได้เข้าร่วมการให้คำมั่นสัญญาโดยอุทิศความมั่งคั่งส่วนใหญ่ให้กับงานการกุศลทั่วโลก

ในขณะที่คุณอาจไม่มีเงินหลายพันล้านสำหรับการทำบุญ แต่ทุกคนสามารถบริจาคบางสิ่งเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้

คนส่วนใหญ่มักคิดว่าพวกเขาจะให้ได้อย่างเต็มที่เมื่อพวกเขามีความมั่งคั่งเหลือเฟือ แต่ด้วยวิธีการดังกล่าวคุณเสี่ยงที่จะมาถึงจุดจบของชีวิตโดยที่ไม่เคยมีส่วนในเรื่องดังกล่าวอย่างแท้จริง

ในทางกลับกันเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ด้วยเวลาหรือเงินที่คุณมีอยู่ และคุณจะสามารถมองย้อนกลับไปถึงมรดกแห่งความเอื้ออาทรที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น

3. ให้ความเคารพต่อร่างกายของคุณ

ในฐานะนักเทนนิสตัวยง Gates ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างการออกกำลังกายกับความสุข ประโยชน์ต่อสุขภาพของการออกกำลังกาย มีตั้งแต่การควบคุมน้ำหนักให้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจไปจนถึงการปรับปรุงสุขภาพจิตและอารมณ์โดยรวม

คุณได้รับร่างกายมาเพียงครั้งเดียวดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติต่อมันให้ดีที่สุด จากการศึกษาชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับทีโลเมียร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเซลล์มนุษย์ที่มีผลต่ออายุของเซลล์ของเรา

(** ทีโลเมียร์ คือ สาย DNA ที่อยู่บริเวณปลายของโครโมโซมทั้ง 2 ข้าง ทำหน้าที่ช่วยป้องกันสาย DNA ไม่ให้สลาย และไม่ให้ถูกทำลาย หรือ เกิดการพันกันของสาย DNA ในเซลล์ของเรา จึงทำหน้าที่เสมือนการเก็บสารพันธุกรรมให้อยู่ในที่ปลอดภัยนั่นเอง** )

ผู้ใหญ่ที่มีการเคลื่อนไหวทางร่างกายบ่อย ๆ จากการออกกำลังกาย ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่า 9 ปีในแง่ของความยาวของทีโลเมียร์ ซึ่งจะดูเหมือนอายุน้อยกว่าเพื่อนที่อยู่ในวัยเดียวกัน นั่นคือความแตกต่างที่น่าประหลาดใจที่เน้นให้เห็นว่าการใช้ชีวิตด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก

4. ใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น

วัฒนธรรมในการเชิดชูการทำงานของผู้ก่อตั้งหรือผู้ประกอบการ ที่ทำงานสัปดาห์ละ 60 หรือ 80 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสัญญาณของความทุ่มเทและความสำเร็จในอาชีพการงาน

แต่ความจริงก็คือการอุทิศตนแบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพและไม่ยั่งยืน ในความเป็นจริงความเครียดในที่ทำงานเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 5 ในสหรัฐอเมริกาเหนือ

แต่นอกเหนือจากความกังวลด้านสุขภาพที่เห็นได้ชัดแล้วการใช้เวลาในสำนักงานมากเกินไปหมายถึงการใช้เวลาน้อยลงในส่วนอื่น ๆ ของชีวิต  และเราทุกคนมีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงในทุกๆวัน

น่าเสียดายสำหรับคนบ้างานหลาย ๆ คน เวลาในการอยู่กับครอบครัวเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเวลาทำงานเริ่มเพิ่มขึ้น การใช้เวลากับงานมากขึ้นส่งผลต่อความเครียดที่มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงต่อสุขภาพทวีความรุนแรงมากขึ้น

แบ่งเวลาที่คุณใช้ร่วมกับครอบครัวด้วยการกำหนดขอบเขตเวลาส่วนตัวที่จริงจัง บางทีคุณอาจจะออกจากงานตรงเวลาทุกวัน และไม่เช็คอีเมลหรือมือถือจนกว่าคุณจะพาลูก ๆ ของคุณเข้านอน

กำหนดขอบเขตที่คล้ายกันในขณะที่คุณทำงานเพื่อช่วยให้คุณทำทุกสิ่งที่คุณต้องการให้สำเร็จในเวลาที่กำหนดเท่านั้น

ข้อคิดสำคัญของ Bill Gates ที่ทำจะให้คุณมีความสุขในวัยเกษียณผ่านประสบการณ์ของเขาก็คือ บริจาคเวลาหรือเงินให้กับสิ่งที่มีค่า ดูแลสุขภาพเป็นประจำตั้งแต่เนิ่น ๆ และใช้เวลากับครอบครัวหรือคนที่คุณรักให้มากที่สุด

เมื่อเราเริ่มต้นปีใหม่ (และทศวรรษใหม่) เลือกทำสิ่งเหล่านี้และคุณจะได้รับผลลัพธ์ของความสุขในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References : https://www.newsbreak.com/news/1490982433192/bill-gates-is-happier-at-64-than-he-was-at-25-because-he-prioritizes-these-4-things
http://www.tria.co.th/care_blog/view/5
https://www.reddit.com/r/IAmA/comments/aunv58/im_bill_gates_cochair_of_the_bill_melinda_gates/#t

Netflix, iPhone และ Facebook กับคำทำนายที่น่าทึ่งของ Bill Gates เมื่อ 25 ปีที่แล้ว

ในปี 1995 Bill Gates ซึ่งเป็นซีอีโอของ บริษัท ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง Microsoft ได้ทำการคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตที่มนุษย์เราทุกคนกำลังเจออยู่ในยุคปัจจุบันนี้

การคาดการณ์เหล่านี้แม้หลาย ๆ สิ่งอาจจะไม่ได้เป็นไปในสิ่งที่ Gates คิดนัก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง 25 ปีต่อมาหนังสือเล่มใหม่ที่จะออกวางจำหน่ายในปีหน้า เขาได้มองย้อนกลับไปที่การคาดการณ์เหล่านั้น และนี่คือคำทำนายที่น่าทึ่งที่สุดของ Gates จากปี 1995

1. เขามองเห็นสมาร์ทโฟนเกือบจะตรงกันกับสิ่งที่มีในทุกวันนี้

“ผมคิดและเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้” เกตส์เขียนในบล็อกโพสต์ใหม่ที่มองย้อนกลับไปที่หนังสือของเขาที่ 1995 The Road Ahead เมื่อเขามองไปข้างหน้าสิ่งที่เขาเรียกว่า “กระเป๋าเงินพีซี” นอกเหนือจากชื่อแล้วเขายังอธิบายสมาร์ทโฟนในปัจจุบันในรายละเอียดที่น่าตกใจ นี่คือสิ่งที่เขาเขียนในปี 1995:

มันจะมีขนาดใกล้เคียงกับกระเป๋าสตางค์ซึ่งหมายความว่าคุณจะสามารถพกพาไปในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋าเงินได้ มันจะแสดงข้อความและตารางเวลาและให้คุณอ่านหรือส่งจดหมายและแฟกซ์อิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบสภาพอากาศ และรายงานหุ้น เล่นเกมที่เรียบง่ายและซับซ้อน ในการประชุมคุณอาจจดบันทึก ตรวจสอบการนัดหมาย เรียกดูข้อมูลหากคุณเบื่อหรือเลือกจากรูปถ่ายที่สามารถเปิดดูได้ง่าย ๆ ของลูก ๆ ของคุณหลายพันรูป

เขาคาดการณ์เพิ่มเติมว่า “wallet PC” จะได้รับการรักษาความปลอดภัยด้วยไบโอเมตริกซ์ซึ่งอาจเป็นลายนิ้วมือที่คุณสามารถใช้เพื่อเข้าชมคอนเสิร์ตหรือขึ้นเครื่องบินซึ่งจะแทนที่การจ่ายด้วยเงินกระดาษ และเจ้าเครื่องดังกล่าวมันจะบอกคุณได้ผ่านลำโพงเมื่อทางออกของคุณกำลังมาถึงบนทางหลวง เขายังเดาราคาได้ค่อนข้างดีตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคา 1,000 เหรียญขึ้นไป

2. เขาคาดการณ์ว่าการสตรีมวิดีโอจะแซงหน้าทีวี

“ โทรทัศน์มีมากว่า 60 ปีแล้ว แต่ในเวลานั้นมันกลายเป็นอิทธิพลสำคัญในชีวิตของเกือบทุกคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว” เขาเขียน แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าวันเวลานั้นอิทธิพลที่ทรงพลังจะสิ้นสุดลง “ไม่มีสื่อออกอากาศที่เรามีในตอนนี้เทียบได้กับสื่อในการสื่อสารที่เรามีเมื่ออินเทอร์เน็ตพัฒนาไปจนถึงจุดที่มีความจุบรอดแบนด์ที่จำเป็นในการรับชมวิดีโอคุณภาพสูง”

สังเกตว่าในปี 1995 ผู้คนมักบันทึกโปรแกรมทางทีวีไว้ดูหรือเช่าภาพยนตร์จากร้านวิดีโอ ซึ่งในภายหลังเขาเขียนว่า “วิดีโอออนดีมานด์เป็นการพัฒนาที่เห็นได้ชัด จะไม่มี VCR หรือตัวกลางใด ๆ คุณเพียงแค่เลือกสิ่งที่คุณต้องการจาก โปรแกรมที่มีให้เลือกมากมาย “

3. เขารู้ว่า Facebook กำลังมา

“อีกหนึ่งแนวคิดที่เป็นศูนย์กลางของหนังสือ The Road Ahead คือเทคโนโลยีนั้นจะช่วยให้เครือข่ายสังคมออนไลน์กลายมาเป็นปรากฏการณ์ของมนุษย์ ” Gates กล่าวในบล็อกโพสต์ของเขา สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือเครือข่ายทางสังคมจะช่วยสร้างความแตกแยกและความไม่ลงรอยกันได้อย่างไร (และในบางกรณีความรุนแรง) ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขานำผู้คนมารวมกัน “ ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าผู้คนจะเลือกกรองมุมมองที่แตกต่างออกไปและทำให้มุมมองของพวกเขาแข็งกระด้างมากแค่ไหน” เขาเขียน

แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามเมื่อคุณพิจารณาว่าสิ่งที่ Gates ได้ทำการทำนายในปี 1995 ก่อนที่ Friendster และ MySpace จะเปิดตัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Mark Zuckerberg อายุได้เพียงแค่ 11 ปีเท่านั้น ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งเป็นอย่างมากครับ

–> อ่าน Blog Series : Bill Gates-The Man Behind Microsoft Empire

References : https://www.cnbc.com/2019/05/31/bill-gates-1995-predictions-about-streaming-movies-fake-news.html
https://www.businessinsider.com/bill-gates-15-predictions-in-1999-come-true-2017-6
https://thenextweb.com/shareables/2011/05/24/bill-gates-brilliantly-accurate-predictions-for-the-internet-from-1995/
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Bill_Gates_@_the_University_of_Waterloo.jpg

Geek Story EP56 : Bill Gates – The Man Behind Microsoft Empire (ตอนที่ 4)

แม้สุดท้ายจะมีการฟ้องร้องกันโดยมีการกล่าวหาว่า Microsoft ผูกขาดการตลาดของระบบปฏิบัติการ แต่ทางฝั่ง Microsoft นั้นก็ไม่แยแสกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยังเดินหน้าแถม Browser ต่อไปจนครองส่วนแบ่งแทบจะทั้งหมดของ Browser ในขณะนั้นในที่สุด

และ ทำให้ Netscape ต้องถูกขายให้กับ AOL ในภายหลังก่อนจะพัฒนากลายมาเป็น Moziila Firefox อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนคดีความฟ้องร้องนั้น ถึงแม้สุดท้าย ศาลจะพิพากษาให้ Microsoft เป็นฝ่ายผิด แต่ Microsoft ก็ยินยอมจ่ายค่าปรับเพียงร้อยกว่าล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งเปรียบเหมือนในสงครามนี้ Microsoft ยอมแพ้ในศาลแต่ ในเชิงธุรกิจนั้น Netscape ได้สูญพันธุ์จากตลาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง มาติดตามรับฟังเรื่องราวกันต่อได้เลยนะครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2UJ3Zni

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/36LEwPQ

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/mFA7isOYPfo

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-bill-gates-the-man-behind-microsoft-empire/

Bill Gates , Mark Zuckerberg กับความเชื่อผิด ๆ ที่ไม่ต้องเรียนในชั้นมหาวิทยาลัยก็ประสบความสำเร็จได้

หลายท่านอาจจะเคยได้เห็นคำคม หรือ บทความใด ๆ ที่มักยกตัวอย่างการเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยของสองตำนานนักธุรกิจอย่าง Mark Zuckerberg และ Bill Gates ที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อมาทำตามความฝันของตัวเอง

ใช่แล้ว ทั้ง Zukcerberg และ Bill Gates นั้น ต่างลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่น้อยคนนักที่จะเป็นได้เป็นแบบพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่จบการศึกษา แต่ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัย ก็ยังคงมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของพวกเขา

Zuckerberg นั้นได้สร้าง Facebook ในมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นกระแสในหมู่นักศึกษา เพราะมันได้สร้างขึ้นจากความต้องการที่แท้จริงในมหาวิทยาลัย

ส่วน Gates นั้นใช้เวลา 3 ปี ในการเรียนคณิตศาสตร์ และ การเขียนโปรแกรมที่ Harvard อย่างเข้มข้น ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นสร้างบริษัทตัวเองอย่าง Microsoft ขึ้นมา และที่มหาวิทยาลัยนี่เองที่เขาได้พบกับ Steve Ballmer ชายที่เข้ามากุมบังเหียนของ Microsoft ในอีก 4 ทศวรรษต่อมา

ต้องบอกว่ามีสถานที่ล้ำค่าไม่กี่แห่งในโลก และช่วงเวลาในชีวิตเรา ที่อยู่รายล้อมไปด้วย ความกระตือรือร้น พลังผลักดันอันแรงกล้า ในช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัย

การไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ทำให้เราได้เรียนรู้มากกว่าเพียงแค่ในห้องเรียน และใน case ที่ร้ายแรงที่สุดอย่างน้อย เราก็ได้ตีตรา ว่าผ่านการจบสถาบันการศึกษาในมหาวิทยาลัยมาแล้ว ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของเราในการเริ่มต้นชีวิตทำงาน

แผนกทรัพยากรบุคคลในบริษัทยักษ์ใหญ่ส่วนใหญ่ ยังมีความคิดที่ยากจะเปลี่ยนแปลงไปในเร็ว ๆ วันนี้ พวกเขายังคัดคนจากมหาวิทยาลัยระดับท็อปเป็นสิ่งแรก แม้จะมีตัวเลือกระดับเทพมากมายที่อาจจะเรียนรู้เฉพาะทางจากโลกที่เปิดการเรียนรู้อย่างมากมายในปัจจุบัน

ตัวอย่างในประเทศอเมริกา แม้จะไม่มีใครเชื่อ แต่ต้องยอมรับจริง ๆ ว่า อเมริกานั้น มีระบบชั้นวรรณะ ที่เรียกว่า มหาวิทยาลัย เมื่อถึงจุดสูงสุดของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ อัตราการว่างงานในกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมีน้อยกว่า 5% ในขณะที่ผู้ที่จบเพียงชั้นมัธยมปลายนั้น มีอัตราว่างงานสูงถึง 15% และระดับความสำเร็จในชีวิตคุณนั้นจะแบ่งตามมหาวิทยาลัยที่คุณเข้าเรียน ซึ่ง ตรงนี้ คงไม่ต่างจากในประเทศไทยสักเท่าใดนัก

ตอนนี้มีความเข้าใจผิดมาก ๆ ที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่า บริษัท เทคโนโลยีเฉพาะ ที่เป็นยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley นั้น กำลังปฏิวัติการศึกษาในแบบแผนเดิม ที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับคนที่จบมหาวิทยาลัยเข้าทำงาน

แต่ในทางกลับกันนั้น Harvard, Yale , MIT และ Stanford กลับกลายเป็นมหาวิทยาลัยรายการโปรด ตัวเลือกแรก ๆ ในการรับเข้าทำงานของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้

ต้องบอกว่าในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพียงแค่ชื่อ หรือ แบรนด์ของมหาวิทยาลัยนั้นไม่ใช่สิ่งเดียว ที่เราจะได้รับนอกเหนือจากเรื่องของการศึกษา Connection คือสิ่งสำคัญมาก ๆ ที่ได้รับจากมหาวิทยาลัยระดับท็อปเหล่านี้

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะกลายเป็นเครือข่าย Connection ที่่สำคัญ ในการทำงานในอนาคตนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเราเติบโตขึ้น เราไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเองเพียงคนเดียวอีกต่อไป ส่วนใหญ่แล้วบุคคลในระดับสูงที่ประสบความสำเร็จก็มักจะมีส่วนช่วยที่สำคัญจากที่ปรึกษา หรือ พันธมิตรทางธุรกิจ ที่เราได้รับจาก Connection เมื่อครั้งยังเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั่นเองครับ

References : https://www.wired.com/story/playing-monopoly-what-zuck-can-learn-from-bill-gates/
หนังสือ The Four The Hidden DNA of Amazon, Apple, Facebook, and Google

Geek Story EP15 : Xerox กับบทเรียนครั้งสำคัญในการสร้างนวัตกรรมให้กับผู้อื่น

Xerox เป็นบริษัทแรก ๆ ที่สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีหน้าจอ คีย์บอร์ด เมาส์ และ GUI ที่เรียกว่า Xerox Alto ซึ่งในปี 1973 ในช่วงเวลาที่ผู้คนยังคงคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเมนเฟรมขนาดใหญ่ในห้องคอมพิวเตอร์

Xerox ได้สร้างเครื่องจักรที่ปฏิวัติวงการอย่างบ้าคลั่งในยุคนั้น และมันทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เปลี่ยนแปลงโลกเราอย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ที่พวกเขาแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2PDoJdE

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/31A0OBs

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2PALwqz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/T8X5bBTHl0Y