เกมส์ที่ว่ากันด้วย tactics

ผ่านไปอีกเกมส์สำหรับ Arsenal ในฤดูกาลนี้ หลังจากผลงานก่อนหน้านี้โดยรวมไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ กับการมีแค่ 6 แต้มจาก 4 นัดแรกของฤดูกาล แต่ก็ยังพอที่จะลุ้นแชมป์ได้อยู่บ้าง หลังจากการสะดุดของทีมหัวแถวตารางในสัปดาห์ที่แล้ว

เกมส์นี้ถือเป็น Big Match อีก หนึ่งเกมส์ที่ถือว่าหนักหนาพอสมควร ซึ่งต้องไปเยือนทีม เชลซี แชมป์เก่า ถึงถิ่น สแตมฟอร์ดบริดจ์ ซึ่งเชลซีก็ค่อยๆ  ฟอร์มดีขึ้นมาหลังจากที่พ่ายแพ้ในนัดเปิดสนาม โดยผลงานสามนัดหลังชนะรวด จึงเป็นการเจอกันที่เร็วพอสมควร แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เจอทีมใหญ่ซะให้หมด ๆ โดยเฉพาะการเป็นทีมเยือนก่อน ซึ่งจะทำให้ครึ่งฤดูกาลหลัง จะได้เป็นฝ่ายเจ้าบ้าน

ต้องยอมรับก่อนเลยว่าผลงานของอาเซน เวนเกอร์ในการเชลซีของ คอนเต้ นั้นค่อนข้างดี เจอกัน 4 ครั้งชนะไปถึง 3 และแพ้เพียงแค่นัดเดียว ถือว่าเป็นกุนซือที่แพ้ทาง เวนเกอร์พอสมควร และแผนการเล่นหลัง 3 ของอาเซน่อลในฤดูกาลนี้นั้น ก็เป็นผลจากความสำเร็จของเชลซีในฤดูกาลที่แล้ว จึงคิดที่จะเลียนแบบบ้างในปีนี้

เกมส์นี้ต้องถือว่าการวางแท็กทิคของเวนเกอร์นั้น แก้ทางมาดี สำหรับครึ่งแรก เห็นได้ชัดเจนว่าเล่นได้เหนือกว่าเชลซี มีโอกาสจบสกอร์มากกว่า เชลซีแบบชัดเจน และทำให้เกมส์ของเชลซีในครึ่งแรกนั้น ไปกันไม่ถูกเลยทีเดียว กับการขึ้นเพรสซิ่งสูง ตั้งแต่ แดนหน้า ซึ่งถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็เสียดายที่ไม่ได้ประตูออกนำ ทั้งที่มีโอกาสหลายครั้งที่จะเป็นประตู

หลังจากจบครึ่งแรก คอนเต้ ทำการแก้เกมส์ด้วยการเพิ่ม midfeld แดนกลางเพิ่มขึ้นมา ถือว่าเป็นการแก้ tactics ที่เห็นผลอย่างชัดเจน เกมส์กลับมาเป็นของเชลซีอีกครั้ง แดนกลางที่น้อยกว่า ทำให้ อาเซน่อลไม่สามารถทำเกมส์ได้เลยในช่วงครึ่งหลัง โอกาสของเชลซี ก็เริ่มมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะประตูกันได้

จนเห็นว่าแดนกลางเริ่มสู้ไม่ได้ เวนเกอร์เลยต้องปรับ tactics ใหม่ด้วยการ เพิ่มกองกลางเข้าไปสู้ ทำให้เกมส์ดูอึดอัดมาก เพราะแดนกลางเริ่มแน่นกันไปหมด ต่างฝ่าย ต่างทำอะไรกันไม่ได้มากนัก ถือว่าเกมส์นี้ค่อนข้างเครียดเลยทีเดียวกับ กุนซือทั้งสอง และเกมส์ก็มาถึงช่วงใกล้หมดเวลา เชลซีมาเสีย ดาวิด ลุยซ์ ซึ่งโดนไล่ออกไปช่วงท้ายของเกมส์ หลังจากนั้น อาเซน่อลก็เริ่มบุกเพื่อหวังประตูชนะ แต่เนื่องจากเวลาค่อนข้างเหลือน้อย จึงไม่สามารถทำอะไรกันได้ เสมอกันไป 0-0 ซึ่งเป็นผลที่ถือว่าแฟร์กับทั้งสองทีม ที่เล่นกันได้พอ ๆ กัน โดยแลกหมัดกันด้วย tactics ของกุนซือล้วน ๆ ในเกมส์นี้

จากเกมส์นี้เราจะได้เห็นถึงความสำคัญของ tactics ที่มีต่อเกมส์ได้อย่างชัดเจนเลย ว่า การปรับเปลี่ยนผู้เล่น ปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยนั้นทำให้เกมส์สามารถเปลี่ยนโมเมนตัมได้อย่างชัดเจน ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ไม่ขี้เหร่ เท่าไหร่กับเกมส์นี้ของอาเซน เวนเกอร์ แต่ทีมนำเริ่มจะทิ้งห่างออกไปอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ก็ต้องขอเอาใจช่วยทีมให้รีบเก็บแต้มไล่ตามผู้นำ เพื่อไม่ให้หมดลุ้นแชมป์รวดเร็วเกินไป

เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เอาอีกแล้วเหรอ

ยอมรับอย่างสัจจริง ผมไม่ชอบนโยบายนี้เลย กับนโยบาย ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนจะนำมาเป็นนโยบายก็ตาม มันไม่ได้ช่วยเหลือค่าครอบชีพให้ชาวแรงงานเลยแม้แต่นิดเดียว มันกลับกลายเป็นทำให้ค่าครองชีพเราสูงขึ้นโดยใช่เหตุไปเปล่า ๆ ผมยังจำได้ดีกับการขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทในยุคสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันไม่คุ้มเลยกับการขึ้นค่าแรงเพียงน้อยนิด ซึ่งแลกกับการขึ้นค่าครองชีพอย่างมโหฬาร อย่างเห็นได้ชัดเจน

นโยบา่ยนี้ มองเผิน ๆ เหมือนจะเป็นสิ่งที่ดี ชาวแรงงานจะได้รับผลประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่เปล่าเลยคนที่ฉกฉวยผลประโยชน์จากนโยบายแบบนี้กลับกลายเป็นพ่อค้าแม่เค้า ต่างหากที่จ้องที่จะขึ้นราคาข้าวของต่าง ๆ ทันที หากนโยบายแบบนี้ผ่านไปได้ ครั้งที่แล้วที่ขึ้นมาแบบยกแผง 300 บาทนั้น ทำให้ผลกระทบตกกับอาชีพอื่นๆ  ที่รายได้ไม่ขึ้นตาม % ที่ขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งบริษัทปรกตินั้นก็ขึ้นเงินเดือนไม่เกิน 6-10% ของฐานเงินเดือน แต่การที่ปรับค่าแรงขึ้นแบบ 30-50% นั้น กลายเป็นค่าครองชีพขึ้นไปทันที 30-50% เช่นกัน

ถ้ามองกันให้ดีชาวแรงงานก็แทบจะไม่ได้ขึ้นอะไรกับเค้า เพราะแลกกับการซื้อข้าวของที่แพงขึ้น แต่ คนที่ประกอบอาชีพอื่นนั้นได้รับผลกรรมตามไปด้วย เพราะต้องแบกรับค่าครอบชีพ ที่สวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่ทันกับค่าครองชีพ และการที่บอกว่าทางพาณิชย์ จะควบคุมราคานั้น ก็ไม่เคยเห็นผลสำเร็จของการควบคุมราคาเลย ผมคิดว่า พ่อค้าแม่ค้านั้นได้ขึ้นราคาข้าวของนำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเราทุกคนก็ต้องทำใจยอมรับมัน เมื่อค่าแรงขึ้น

แต่รอบนี้ที่เห็นการมาเรียกร้องแบบขึ้นค่าแรง เพิ่มกว่า 100% หรือ 2 เท่าของค่าแรงเดิมนั้น เป็นผลที่จะตามมาน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะ ข้าวของต่าง ๆ ผมคิดว่าเค้าจะขึ้นราคาแน่นอน อาจจะไม่ถึง 100% แต่คิดว่าต้องขึ้นมามากพอสมควร เพราะมันมักจะมากับนโยบายแบบนี้เสมอไป ซึ่งไม่คุ้มเลย เดี่๋ยวการทานข้าวตามสั่งทั่วไป ก็ขึ้นมาระดับ 40-50 บาท แล้วทั้งนั้น จะเห็นได้ว่า effect จากนโยบายนี้นั้น เป็นผลกระทบที่กว้างขวางมากเกินกว่าที่ชาวแรงงานจะเข้าใจได้ ซึ่งเปรียบได้กับการที่อยู่ดี ๆ เงินเดือนที่มีอยู่ก็ลดลงไปเฉย ๆ นั่นเอง ในทุก ๆ อาชีพ

ความจริงนโยบายแบบนี้ควรกำหนดกฏหมายที่ชัดเจน ในเรื่องการขึ้นค่าครองชีพ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้ผลกับชาวแรงงานจริง ๆ ว่ารายได้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่า รายได้เพิ่มขึ้น แต่ไปซื้อของที่แพงขึ้น ซึ่งความเป็นอยู่ก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก  ซึ่งลองย้อนกลับไปก่อนที่จะขึ้นค่าแรงเป็น 300 ผมมองว่า เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ แม้รายได้จะไม่เยอะ แต่เรามีคุณภาพชีวิต ที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน

Image Ref : https://www.facebook.com/MatichonOnline/

JT 8704 ตอนที่ 3 : เที่ยวให้เต็มที่สิ

หลังจากผ่านการเดินทางที่แสนทรมาน ผมก็ถึงที่หมายคือ เชียงราย หนุ่มได้จัดรถตู้มารับเราถึงสนามบินไปส่งที่โรงแรม ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงเวลาประมาณทุ่ม ถึง 2 ทุ่ม ผมรู้ว่าเพื่อนในแก๊งค์ หลายคนได้มาถึงเชียงรายกันหมดแล้ว เราก็เดินทางเข้าสู่โรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ  กับ มหาลัยแม่ฟ้าหลวง ผมกับเอ ได้พักห้องเดียวกัน ต่างคนต่างทิ้งกระเป๋า เพื่อเตรียมไปเจอเพื่อน ๆ แก๊งค์ใหญ่ ที่รออยู่ใจกลางเมืองเชียงราย

ผมมีแก๊งที่ดื่มกันประจำตอนเรียนมหาลัย คือ แก๊งค์ ของ โอม โดยมี โจ้ ที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุด ซึ่งเราเริ่มมาทำงานกรุงเทพด้วยกัน ตั้งแต่เริ่ม และย้ายไปอยู่ที่ทำงานที่สองด้วยกัน ผมจึงสนิทกับโจ้เป็นพิเศษ

ความจริงตอนเรียนอยู่มหาลัยตอนเข้าสู่ภาควิชา คอมพิวเตอร์ นั้น ผมเป็นเด็กจากคณะวิศวะรวมในปี 1  ที่ไม่ได้แยกเข้าภาค คอมมาตั้งแต่ปี 1 ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสนิทกันใน group กันอยู่แล้ว พอเข้าสู่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ในปี 2 นั้นก็ทำให้ผมเคว้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนในช่วงแรก จนมาเจอกับแก๊งค์ ของโอม ในการไปช่วยเหลือเหยื่อ สึนามิ ที่พังงาด้วยกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น จึงได้นัดดื่มกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะ โจ้ นี่เป็นเพื่อนดื่มที่เจอกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะอยู่ด้วยกันหลายปีมาก ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปในตอนหลัง

เราได้รวมแก๊งค์กันในร้านเบียร์ใจกลางเมือง ตอนนั้นผมลืมเหตุการณ์ที่ขึ้นเครื่องบินไปสนิท เพราะไม่มีอาการใด ๆ หลังจากลงเครื่องมา เราจึงดื่มกันเต็มที่ตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่ม ไปถึง เกือบตี 1 จนร้านเบียร์ปิด เราก็ไปต่อกันที่ร้านคาราโอเกะ แล้วก็กินเหล้าต่อ เนื่องจากไม่ได้เจอกันนาน จึงมีเรื่องคุยกันเยอะสนุกสนานเฮฮา หยอกล้อกันไป จนร้านคาราโอเกะปิด ในตี 4 เราก็เริ่มเมากันได้ที่ ความจริงก็อยากหาที่ไปต่อ แต่ถามแท็กซี่เจ้าถิ่น ก็บอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว จึงเดินทางกลับ ซึ่งรุ่งเช้านั้น ก็จะเป็นงานเช้าของงานแต่งงานหนุ่ม แต่แทบจะไม่มีคนตื่นไปงานเช้ากันเลย มีแค่บางคนที่ไม่ได้กินหนักก็พอไปได้ แต่ยอมรับว่าคืนนั้นเมามาก ๆ ซึ่งไม่ได้กินเยอะขนาดนี้มานานมาแล้วเพราะภาระหน้าที่การงานที่ค่อนข้างรัดตัว กลับมาก็สลบคาเตียงไม่รู้ตัว กว่าจะตื่นก็ บ่าย ๆ ของอีกวัน

ผมตื่นมาพร้อมอาการแฮงค์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ จากร่างกายว่าเริ่มผิดปรกติ ทุกอย่างเป็นปรกติ ผมไปหาข้าวทานซึ่งต้องเดินไกลพอสมควร เนื่องจากแถวนั้นไม่มีร้านข้าวเลย แต่อยู่ใกล้หอพักของนักศึกษา เราก็ไปนั่งกินกัน แทบจะเป็นมื้อเดียวของวันนั้น เพราะตอนเย็นก็จะมีงานแต่งงานหนุ่ม ซึ่งเราต้องกลับไปเตรียมตัวเพื่อไปงานแต่งหนุ่มในตอนเย็น

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Image Ref : www.deathandtaxesmag.com

 

 

เขาเรียกผมว่า “มหาเทพ”

เป็นอีกครั้งที่ เวนเกอร์มักจะรอดจากการถูกกดดันให้ออก เมื่อทีมกลับมามีผลงานดีขึ้นในการแข่งขันนัดล่าสุด ซึ่งกระแสกดดันรอบนี้ ถือว่าหนักสุดในรอบหลาย ๆ ปี หลังจากแพ้ลิเวอร์พูลอย่างเละเทะ ก่อนเกมส์การแข่งขันบอลโลก

ซึ่งครึ้งนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งในอีกหลาย ๆ ครั้งที่ เวนเกอร์ มักจะลบกระแสกดดันให้จางลงไปได้ หลังจากโชว์พาทีมโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งในเกมส์กับ บอร์นสมัธ ซึ่งดวงเวนเกอร์ นี่ ถือว่าโชคเข้าข้างเสมอ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่อดไปเล่นแชมเปี้ยนลีค แต่ดันไปคว้าแชมป์ F.A Cup กูหน้ามาซะได้ซะอย่างงั้น

นัดนี้ถือว่าเป็นการจัดตัวผู้เล่นได้ถูกใจแฟนบอลอีกครั้ง จึงทำให้ทีมกลับมาฟอร์มยอดเยี่ยม ถล่ม บอร์นสมัธ ไปได้ 3-0 แบบรูปเกมส์สวยงาม และสกอร์ก็เด็ดขาด แทบไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยเลยด้วยซ้ำ ประกอบกับ ทีมนำอย่าง แมนยู ก็มาสะดุดเสมออีก จะทำให้สถานการณ์ ก็สามารถกลับมาลุ้นแชมป์ได้อย่างไม่น่าเกลียดอีกครั้ง

สำหรับแมตช์นี้ คนที่ต้องพูดถึงหน่อย ก็คือ แดนนี่ เวลเบ็ค ซึ่งสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงได้ถึงสองประตู + 1 assist เสียดายที่ไม่สามารถทำ แฮทริก ได้ โดยถูกเปลี่ยนตัวออกก่อน ผมก็ได้ติดตามดูฟอร์มของเวลเบ็ค มาหลายปี ตั้งแต่อยู่แมนยู คือต้องยอมรับว่า เวลเบ็ค นั้น มีแววอัจฉริยะ ในการเล่นฟุตบอลอยู่พอสมควร เหมือนจะขาดอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ จึงทำให้ไม่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ซักที ปีที่แล้ว ก็เจ็บไปครึ่งค่อนปี กว่าจะกลับมาร่างกายสมบูรณ์ ก็ปลายฤดูกาล จึงไม่ได้โชว์ฟอร์มอะไรมากมาย

แต่สำหรับปีนี้ ผมคิดว่า ร่างกายของ เวลเบ็ค ค่อนข้างสมบูรณ์เต็มที่แล้ว และฟอร์มการเล่นทั้งในทีมชาติ และสโมสร ก็ไม่ธรรมดา ยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ความจริง คนที่คล้ายอองรี มากที่สุดหลังจากหมดยุคอองรี ก็คงเป็นเวลเบ็ค นี่แหละ แต่เสียอย่างเดียวจังหวะเด็ดขาดนั้นยังไม่คมเท่าอองรี ซึ่งคิดว่าเวนเกอร์น่าจะเห็นจุดนี้เหมือนกัน เลยพยายามรีดศักยภาพของเวลเบ็คออกมาเต็มที่ ซึ่งผมหวังว่าปีนี้จะเป็นปีแจ้งเกิดของเวลเบ็คได้ซักที หลังจากอยู่กับทีมมาหลายฤดูกาล หากไม่มีอาการบาดเจ็บผมคิดว่า มหาเทพเวลเบ็คของเราจะพาทีมไปลุ้นแชมป์ได้อย่างแน่นอน

สำหรับเวลเบ็คนั้น ถ้าสังเกตการเล่นจริง ๆ จะพบว่า การยิงประตูง่าย ๆ มักไม่ค่อยทำ ชอบทำประตูที่ยาก ๆ เสมอ อย่างในทีมชาตินัดเจอมอลตา ก็ลงไปยิงอย่างสวยงาม รวมถึงเกมส์ที่เจอกับ บอร์นสมัธ เสียดายลูกล็อกหลบกองหลัง 4 คน เข้าไปชิพ ข้ามประตูไปนิดเดียว ถ้าลูกนั้นเข้าและเป็นแฮตทริก ของเค้า คนคงจะพูดถึงไปอีกนาน

ไม่แปลกใจเลยทำให้เวนเกอร์ถึงเลือกใช้เค้าเป็นลำดับแรกเสมอ ในปีนี้ เพราะความสมบูรณ์ของร่างกายเค้ามาถึงจุดพีคแล้วในปีนี้ และคิดว่า ฉายา มหาเทพ นั้น จะทำให้เวลเบ็คกลายเป็นเทพตัวจริงในฤดูกาลนี้ หากพาทีมคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้ซักครั้ง โดยยิงประตูเป็นกอบเป็นกำเหมือนกับที่อองรีเคยทำได้กับอาเซน่อลในอดีต

Image Ref : www.espnfc.com

Movie Review : เพื่อนที่ระลึก

Featured Video Play Icon

Review

สำหรับผลงานหนังผีไทยที่ชื่นชอบมากที่สุดอยู่ในลำดับต้น ๆ คือ ลัดดาแลนด์ ของผู้กำกับ มากความสามารถอย่าง จิม โสภณ ศักดาพิศิษฎ์ การกลับมากำกับอีกครั้งกับหนังผีอย่าง The Promise หรือ เพื่อนที่ระลึกในชื่อไทย จึงทำให้ผมติดตามข่าวคราวมาตลอดกับหนังเรื่องนี้

โดยเฉพาะ trailer ที่ออกมาน่าดึงดูดให้ไปชมในโรงภาพยนต์อย่างยิ่ง มีการนำบทไปผูกกับเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 ทำให้หนังเกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก และแถมยังมาในนาม GDH ซึ่งไม่ค่อยสร้างหนังที่ทำให้ผิดหวังซักเท่าไหร่

ก่อนที่จะได้เข้าไปชมจริง ผมติดตามกระแสใน social network มีทั้งด้านบวก และ ด้านลบ ถ้ามองด้วยใจเป็นกลางจริง ๆ จะออกไปในแนวทางลบเสียมากกว่า ผมจึงเริ่มลังเลที่จะเข้าไปดูในโรงดีหรือไม่ ประกอบกับหนังผี แฟนผม ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว จะไปดูคนเดียวก็ดูน่ากลัวเกินไป

แต่ก็ถือเป็นโชคดี ที่พ่อและแม่ มาจากต่างจังหวัดพอดี ผมจึงชวนท่านทั้งสองไปดูเป็นเพื่อน เพราะช่วงหลัง เริ่ม พา พ่อกับแม่ เข้าโรงหนังมากขึ้น หลังจากที่ท่านไม่ได้เข้าโรงหนังมาเป็นเวลานาน

เรื่องนี้ผมให้คนที่แบกทั้งเรื่องคือ บี น้ำทิพย์ ตัวจริง ที่รับบท บุ๋ม อดีตเด็กสาวที่ครอบครัวถูกวิกฤต เศรษฐกิจในช่วงปี 2540 เล่นงาน ทำให้ต้องเปลี่ยนสภาพจากครอบครัวเศรษฐี กลายเป็น เป็นครอบครัวที่แทบจะล้มละลาย ซึ่งในช่วงแรกนั้น มีการผูกเรื่องกับเหตุการณ์ปี 2540 ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ รวมถึง location ในการใช้ตึกร้างที่สาธร ที่เปรียบเหมือน มรดกของความล่มสลายของประเทศไทยช่วงปี 40 ที่ยังมีให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน ทำให้คน ระลึกถึงเหตุการณ์ในยุคนั้นได้อย่างดี

หนังเรื่องนี้ได้พาเราย้อนไปยังช่วงปี 40 ยุคที่ เรายังใช้ pager เพื่อส่งข้อความหากัน รวมถึง วัฒนธรรม walkman ที่ค่อนข้างบูมในช่วงขณะนั้นพอดี ช่วงต้นของเรื่องดำเนินไปได้อย่างน่าสนใจ และมีความสมเหตุสมผลของบท ซึ่งทำให้ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คงเป็นอีกผลงานมาสเตอร์พีซ ของ คุณ จิม อีกแน่ ๆ

แต่กลับกันเลย หลังจากหนังดำเนินไปถึงช่วงปัจจุบันนั้น ที่บุ๋ม ได้กลับมาตั้งหลักตั้งตัวได้ และมีลูกสาว 1 คน ที่รับบทโดย ลิลลี่ จาก the face season 2 ซึ่งน่าจะเข้าขากันได้กับ บี น้ำทิพย์ เนื่องจาก บี เป็น mentor ของ ลิลลี่ใน face season 2 เองด้วย โดยทางลิลลี่นั้นรับบทเป็น เบลล์ ลูกสาวของ บุ๋ม ที่กลายมาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สาว ที่สามารถผ่านวิกฤตมาได้

จากจุดแข็งจากการที่เคยร่วมงานมาก่อน ของ บี กับ ลิลลี่ แต่กลับกลายมาทำให้ลิลลี่ เป็นจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน ถ้ามองอย่างเป็นกลางเราจะเห็นความห่างชั้นทางการแสดงที่มากเกินไประหว่าง บี กับ ลิลลี่ มันจึงทำให้ดูไม่สมดุล ในการแสดงที่ต้องเข้าบทกัน จึงรู้สึกขัดใจกับการแสดงของน้อง ลิลลี่ เป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะน้องยังใหม่ในการแสดงหนัง แต่น่าจะเป็นการเลือกตัวละครที่พลาดของผู้กำกับ ทำให้หนังขาดอรรถรส บางอย่างไป และทำให้บี ต้องแบกหนังเรื่องนี้อยู่แทบจะคนเดียวทั้งเรื่อง

สำหรับเรื่องผี ต้องยอมรับว่า ฉากที่ทำให้กระตุก นั้นก็ทำได้ตามมาตรฐานของ คุณ จิม คล้าย  ๆ กับ ลัดดาแลนด์ คือ เรารู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นฉากแนวกระตุกผี ไม่ได้มาแบบเซอร์ไพรซ์แต่อย่างใด แต่ก็ทำให้คนดูต้องกดดันกับฉากนั้น ๆ ได้อยู่ดี ทั้งที่รู้ว่าฉากนี้ผีออกแน่นอน แม้จะไม่เป็นตัวตนแบบชัดเจนให้เราเห็น แต่ก็ถือว่าสอบผ่านในเรื่องความน่ากลัวของผี ได้อย่างดีเยี่ยม

ส่วนภาพรวมของบทนั้น ต้องเรียนตามตรงว่าเรื่องนี้สอบตกเป็นอย่างมาก คือไม่ได้ในระดับมาตรฐานของ GDH เลย ทำเป็นเหมือนหนังผีดาด ๆ ทั่วไปมากกว่า บทค่อนข้างไม่ลงตัว หนังพยายามลากการแสดงของคุณบีไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายก็พยายามจบแบบงง ๆ ซึ่งมันควรจะดีกว่านี้ตามมาตรฐานของ GDH ซึ่งหลายคนก็ได้พูดถึงประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวางในสื่อ social media

สุดท้ายต้องบอกตามตรงเลยว่า ผม ค่อนข้างผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ คือตั้งความหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้สูง แต่ก็ต้องมาผิดหวังในหลาย ๆ ส่วนที่ทำมาได้ไม่ลงตัว หลัก ๆ เลยคือบทของหนังคือ ไม่สมกับเป็น GDH ทำเลย แต่ถ้าหวังจะดูฉากกระตุก ผีออกมาให้ตกใจ อันนี้ก็พอดูได้ ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียดแต่อย่างใด ขนาดพ่อผมดูเรื่องนี้ยังหลับได้ ก็น่าจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นยังไง และมั่นใจว่าคงทำรายได้ ไม่ถล่มทลาย เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ  ของ GDH อย่างแน่นอน

เก็บตกจากหนัง

  • บี น้ำทิพย์ ที่รับ บทบุ๋ม นั้น แทบจะแบกหนังไว้คนเดียวทั้งเรื่อง
  • Location ของหนังที่ถ่ายทำนั้นถือว่าน้อยไปหน่อย มีอยู่ไม่กี่ฉาก
  • ผมมองว่าการให้ลิลลี่ มารับบท เบลล์ นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดย่างยิ่ง น้องไม่เหมาะกับบทนี้เลย
  • ภาพรวมของบทหนัง ไม่ผ่านมาตรฐานที่ GDH เคยสร้างมา

คะแนน

6/10

สรุป
“ถ้าไม่ได้หวังอะไรมาก ก็ดูไปเถอะ เป็นแค่หนังผีมาตรฐานกลาง ๆ เรื่องนึงเท่านั้น”