ประวัติ Reader’s Digest หนังสือขวัญใจนักอ่านทั่วโลก

ในปี 1922, วิลเลียม รอย เดอวิตต์ วอลเลซ (William Roy Dewitt Wallace) ได้ก่อตั้งนิตยสารฉบับหนึ่งตามความใฝ่ฝันของเขา ในขณะที่เขากำลังฟื้นตัวจากบาดแผลจากกระสุนที่ได้รับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

โดยวอลเลซ มีความคิดที่จะรวบรวมตัวอย่างของบทความที่ชื่นชอบในหลาย ๆ เรื่องจากนิตยสารรายเดือนต่าง ๆ และในบางครั้งก็ทำการกลั่นกรองและนำมาเขียนใหม่และทำการรวมเรื่องน่าสนใจเหล่านี้ให้กลายเป็นนิตยสาร

โดย วอลเลซ นั้นได้ตกผลึกแนวคิดธุรกิจของตัวเองขึ้นมา โดยเขาคิดจะทำนิตยสารที่พร้อมสรรพทุกด้านทุกมุม มีความหลากหลายและเป็นบทความที่อ่านได้ง่าย เข้าถึงผู้คนได้จำนวนมาก

และเขากับภรรยา ไลลา เบลล์ แอชีสัน (Lila Bell Acheson)  ได้ร่วมกันปั่นต้นฉบับ และทำการตั้งสำนักงานใหญ่ของ Reader’s Digest กันที่โรงรถบนถนน Eastview Avenue ในพลีแซนต์วิลล์

และได้ทำการออกฉบับแรกสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1922 โดยปกแรกสุดนั้นได้ทำการตีพิมพ์ออกมาจำนวน 5,000 เล่ม ขายในราคาเล่มละเพียง 25 เซ็นต์ และเพียงฉบับแรกก็ได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลามจากเหล่าหนอนหนังสือทั่วประเทศอเมริกา

Reader's Digest ฉบับแรกในปี 1922
Reader’s Digest ฉบับแรกในปี 1922

นับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท Reader’s Digest  มีจุดยืนอย่างแข็งแกร่งในเรื่องของความเป็นอนุรักษ์นิยม และต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยมุมมองเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองและสังคมผ่านการสะท้อนตัวตนของผู้ก่อตั้งอย่างวอลเลซได้เป็นอย่างดี

ขึ้นสู่จุดสูงสุด

พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปี Reader’s Digest ก็สามารถคืนทุนทั้งหมดได้สำเร็จ และชดใช้หนี้สินที่พวกเขาทั้งคู่ได้กู้มาทำหนังสือได้จนหมดสิ้น และในปี 1926 มีผู้สมัครสมาชิกถึง 30,000 ราย ก่อนที่ตัวเลขจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 290,000 รายในปี 1929

โดยหนังสือในฉบับนานาชาติครั้งแรกถูกตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรในปี 1938 เมื่อครบรอบ 40 ปี Reader’s Digest มีฉบับต่างประเทศถึง 40 ฉบับใน 13 ภาษาและยังมีเวอร์ชั่นอักษรเบรลล์ และ ณ จุดหนึ่งมันได้กลายเป็นนิตยสารที่มียอดขายสูงที่สุดในหลาย ๆ ประเทศ เช่น แคนาดา, เม็กซิโก , สเปน , สวีเดน , เปรู และประเทศอื่น ๆ ด้วยยอดขายรวมระหว่างประเทศ กว่า 23 ล้านเล่ม 

เข้าสู่ประเทศไทย

สำหรับคนไทยรู้จักหนังสือ Reader’s Digest ที่แปลเป็นภาษาไทย ในนาม “Reader’s Digest สรรสาระ” ที่เข้ามาบุกตลาดคนไทยเมื่อปี 1995 และเล่มแรกที่ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนเมษายน 19969 ขนถึงปัจจุบันมียอดจำหน่ายต่อเดือนสูงถึง 116,314 ฉบับ 

จุดเริ่มต้นของ Reader’s Digest ในไทย เกิดจากความมั่นใจของบริษัทแม่ที่อเมริกาคาดว่าในอนาคต ตลาดนักอ่านในไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่นมาแล้ว 

ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการบุกตลาดไทย
ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการบุกตลาดไทย

และจากตัวเลขยอดขายที่ทำได้ระดับแสนเล่มภายในระยะไม่ถึง 2 ปี นับว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียววในประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำตลาดโดยใช้การส่งจดหมายไปตามที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งในจดหมายนั้นจะมีทั้งใบตอบรับสมาชิก ใบชิงโชครางวัลต่างๆ โดยผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็สามารถมีสิทธิ์ชิงรางวัลได้ ด้วยวิธีการทำตลาดดังกล่าวในไทยนี้ถือว่ายังใหม่อยู่มากและก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศไทย

แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อกระแส Digital Disruption

กลุ่มนักลงทุนเอกชน บริษัท โฮลดิงส์ แอลแอลซี ที่ซื้อรีดเดอร์ส ไดเจสท์ มาในปี ค.ศ. 2007 ด้วยมูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.8 หมื่นล้านบาท) ก่อให้เกิดหนี้สินราว 800 ล้านดอลลาร์สหัรฐ (ราว 2.4 หมื่นล้านบาท) 

ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากที่ทุกสื่อเจอกัน ก็คือผลมาจากชาวอเมริกาเหนือนั้นได้หันไปบริโภคข่าวสารทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งสุดท้าย เป็นผลให้บริษัทถูกฟ้องล้มละลายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 เนื่องจากขาดทุนในการใช้จ่ายด้านการโฆษณาและมีภาระหนี้สินที่มากขึ้นจากการซื้อกิจการครั้งนั้น

แต่ท้ายที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี  2014 Mike Luckwell นักลงทุนจากอังกฤษก็เข้ามาซื้อกิจการ Reader’s Digest ในสหราชอาณาจักรไปและได้ทำการลงทุนเพิ่มเติม โดยตอนนี้ Reader’s Digest กำลังพยายามปรับตัวให้เข้าสู่โลกออนไลน์ ( https://www.rd.com)อย่างที่เราได้เห็นจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับ

References : 
https://en.wikipedia.org
http://info.gotomanager.com
https://www.mikeluckwell.com
https://stanglibrary.files.wordpress.com/2014/09/rd000.jpg

ประวัติ Agoda บริษัทจองโรงแรมยักษ์ใหญ่ที่ก่อตั้งในไทย

อโกด้า (Agoda) คือ บริษัทผู้ให้บริการสำรองห้องพักทางออนไลน์ สำหรับโรงแรมในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกเป็นหลัก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์และมีสำนักงานดำเนินการหลักอยู่ที่ กรุงเทพ กัวลาลัมเปอร์ โตเกียว ซิดนีย์ ฮ่องกง และบูดาเปสต์ นอกจากนี้ยังมีสำนักงานย่อยในเมืองใหญ่ทั่วเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปและอเมริกา

ประวัติจาก Startup เล็ก ๆ สู่ธุรกิจหมื่นล้านเหรียญ 

โดย Agoda นั้นก่อตั้งปี 1998 โดยนายไมเคิล เคนนี่ (Michael Kenny) ภายใต้ชื่อแพลนเน็ต ฮอลิเดย์ ดอตคอม (PlanetHoliday.com) โดยมีแนวคิดเริ่มแรกในการใช้เสิร์ชเอนจิน เพื่อเติมเต็มช่องว่างทางด้านข้อมูลโรงแรมและการท่องเที่ยว และ เพื่อเป็นเว็บไซด์ต้นทางในการค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยว (Search Engine) รวมถึงรับจองโรงแรมออนไลน์อีกด้วย

ธุรกิจของ ไมเคิล โตเร็วมากๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมสักแห่งเดียวเลยก็ตาม แต่เขาทำเงินได้มากจากการเป็นเอเจนซี่รับจองโรงแรมทั่วโลก 

โดย แพลนเน็ต ฮอลิเดย์นับเป็นหนึ่งในเว็บไซต์จองโรงแรมแห่งแรก ๆ ในวงการสำรองห้องพักออนไลน์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เว๊บไซต์การจองโรงแรมที่กำลังเติบโตอย่างสุดขีดในขณะนั้น
เว๊บไซต์การจองโรงแรมที่กำลังเติบโตอย่างสุดขีดในขณะนั้น

แต่เดิม นายเคนนี่อาศัยอยู่ในลองไอส์แลนด์ นครนิวยอร์ก ก่อนจะย้ายมาประเทศไทยในปี 1994 และก่อตั้งเว็บไซต์พร้อมสำนักงานเล็ก ๆ ขึ้นในเกาะภูเก็ต ซึ่งช่วงปี  2000-2001 เป็นยุคที่ธุรกิจ ดอตคอม ตกต่ำ และเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน  2001 ในสหรัฐอเมริกา

และในปี 2003 เกิดโรคซาร์สระบาด เหตุการณ์ทั้งหมดได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่เว็บไซต์ที่อยู่ในวงการธุรกิจสำรองห้องพักออนไลน์ทั้งหมด ก็สามารถเอาตัวรอดจากหายนะเหล่านี้มาได้

ปี 2002 สำนักงานของบริษัทได้ย้ายจากภูเก็ตมาที่กรุงเทพ และในปี 2005 บริษัทได้เพิ่ม พรีซิชั่น เรเซอร์เวชั่น ดอตคอม (PrecisionReservation.com) เข้ามา ในฐานะเว็บไซต์หุ้นส่วนเพื่อให้บริการจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ที่เป็นพันธมิตร

และในปีเดียวกันนี้ แพลนเน็ต ฮอลิเดย์ และ พรีซิชั่น รีเซอร์เวชั่น ก็ได้รวมเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ บริษัท อโกด้า จำกัด ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วไปทั่วเอเชีย

ในเดือนพฤศจิกายน 2007 Priceline.com (NASDAQ: PCLN) ได้ซื้อกิจการของบริษัทอโกด้า นับเป็นบริษัทนานาชาติแห่งที่สามที่ Priceline.com ตัดสินใจซื้อ

โดย Priceline วางแผนที่จะใช้ในการขยายสู่เอเชีย (ยกเว้นจีนและอินเดียที่ซึ่งต้องเผชิญกับคู่ปรับตัวฉกาจ) การเข้าซื้อกิจการ agoda ทำได้ในราคาถูก: โดย ไมเคิล เคนนี่ เจ้าของของอโกด้าได้รับเงินล่วงหน้า 16 ล้านดอลลาร์และอีก 142 ล้านดอลลาร์หากเขาบรรลุเป้าหมายบางอย่างภายหลังเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ

เติบโตอย่างรวดเร็วจน priceline ยักษ์ใหญ่ด้าน Hotel Agency ในขณะนั้นเข้ามา Take over
เติบโตอย่างรวดเร็วจน priceline ยักษ์ใหญ่ด้าน Hotel Agency ในขณะนั้นเข้ามา Take over

ซึ่งในขณะนั้นต้องบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ลึกลับมากในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังเอเชีย ในขณะที่นักท่องเที่ยวกำลังเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตอย่างสะดวกสบายในการจองทริปไปยังสถานที่ต่าง ๆ เช่นเวียดนาม หรือ ในไทยเองก็ตาม

ปัจจุบัน อโกด้ามีพนักงานกว่า 2,000 คน และให้บริการสำรองห้องพักออนไลน์จากโรงแรมกว่า 250,000 แห่งทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ที่มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กัน 38 ภาษาซึ่งรวมถึงภาษาจีนกลาง จีนกวางตุ้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลี และไทย

ซึ่งต่อมาสุดท้าย Priceline Group ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Booking Holdings และซื้อขายกันในตลาดหุ้น NASDAQ โดยใช้ชื่อย่อว่า BKNG มาจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

References : 
https://www.forbes.com/forbes/2009/0824/travel-expedia-travel-how-priceline-survives-recession.html#e1d9b3e66618
https://www.wikipedia.org
https://www.agoda.com/th-th/info/about-agoda.html