ยังคงจำกันได้ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเหมือนว่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย ต่างมุ่งหน้าพาตัวเองเข้าสู่โลกของ Metaverse กันเป็นทิวแถว หลังจากที่ Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ที่ประกาศรีแบรนด์บริษัทใหม่เป็น Meta
เป็นบทความที่น่าสนใจจาก The Wall Street Journal สื่อยักษ์ใหญ่ที่ได้รายงานว่า ทั้ง Disney และ Microsoft สองบริษัทชื่อดังได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อยุติการดำเนินงาน metaverse โดย Disney โละทิ้งแผนกที่เกี่ยวข้องกับ metaverse ทั้งหมดและ Microsoft ปิดหน่วยธุรกิจด้าน VR ที่พวกเขาได้ซื้อกิจการมาในปี 2017
“บริษัทและธุรกิจจำนวนมากเข้าใจดีว่าพวกเขาจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานหรือค่าใช้จ่ายโดยรวม ซึ่งหมวดหมู่ประเภทนี้ (metaverse) ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างง่ายที่จะโละทิ้ง” Scott Kessler นักวิเคราะห์ภาคเทคโนโลยีของบริษัทวิจัย Third Bridge Group กล่าว
“สิ่งที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง AI ดูเหมือนจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในขณะนี้” แต่เมื่อพูดถึง metaverse “มันแทบไร้ประโยชน์” Kessler กล่าวเสริม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง AI ดูเหมือนจะเป็นเทคโนโลยีของจริงในยุคนี้ ในขณะที่ metaverse ดูเหมือนสิ่งเพ้อฝันเสียมากกว่า
แน่นอนว่า Meta ได้ลงทุนใน Metaverse มากกว่าใคร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าอุตสาหกรรมนี้จะก้าวต่อไปในทิศทางใด แต่การเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้รวดเร็วมากขนาดนั้น
สำหรับ Microsoft ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่เคยพลาดในการแข่งขันในทุก ๆ พรมแดนของโลกเทคโนโลยี ซึ่งเราคงไม่แปลกใจที่จะได้เห็น Microsoft ออกมาลุยกับ AI แบบเต็มที่เพื่อสร้างพรมแดนใหม่ทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมนั่นเองครับผม
มันต่างกันมากนะครับ Microsoft สู้ในทุกศึก ไล่ตั้งแต่ ระบบปฏิบัติการ , Search Engine , Social Media , Smartphone เรียกได้ว่า Microsoft นั้นเจนจันในสนามรบเป็นอย่างมาก แม้จะเสียเลือดไปมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาก็สู้ในทุกศึก ที่ต่างจาก Google แทบไม่มีศึกไหนที่พวกเขาชนะได้เลยยกเว้น Search Engine หัวใจหลักของพวกเขา
Google ซื้อ Motorola มาทิ้ง เก็บไว้แค่เฉพาะสิทธิบัตร ไม่คิดลุยจริงจังกับ smartphone หรือ Google Plus ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าที่จะต่อกรกับ Facebook หรือ Nest ที่ได้ไปซื้อจาก Tony Fadell สุดท้ายตัว Fadell เองก็ออกมาแฉในหนังสือถึงนวัตกรรมแบบลูกคนรวยของ Google ที่ไม่เคยเหนื่อยยากลำบากเพราะหาเงินมาได้ง่ายจนเกินไป
Tony Fadell ได้ออกมาแฉในหนังสือ Build ของเขาถึงนวัตกรรมแบบลูกคนรวยของ Google (CR:RNZ)
ไม่ใช่เพียงแค่ Microsoft และ Google เท่านั้น เพราะตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นคล้าย ๆ กันในบริษัท Big Tech อื่น ๆ ไล่ตั้งแต่ Amazon ยักษ์ใหญ่ด้าน ecommerce และ cloud computing ที่ได้มีการร่วมมือกับ Hugging Face ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI อีกราย ส่วน Apple ก็กำลังทดสอบการใช้ AI ใหม่ในโมเดลต่าง ๆ ของธุรกิจ รวมถึงใน Siri
ที่น่าสนใจคือ Meta ที่พลิกตัว 360 องศาจากความเพ้อฝันในโลก Metaverse ของ Mark Zuckerberg ตอนนี้ เหมือนจะตื่นจากความจริงว่าเทคโนโลยีแห่งอนาคตคืออะไรกันแน่ เมื่อ Mark สั่งลุยเต็มที่กับ AI เพื่อไม่ให้ตกขบวน
เพื่อการเติบโตในยุค AI โดยไม่ตกขบวน และต้องมีอำนาจเหนือเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ไว้ แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่อยากประสบชะตากรรมเดียวกับ Kodak หรือ Blackberry , Nokia ที่พลาดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีใหม่ และสุดท้ายก็ไปไม่รอดแม้จะเป็นผู้นำมาก่อนก็ตามที
ไม่มีใครอยากเป็น Blackberry , Nokia ที่พลาดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีใหม่ (CR:Business 2 community)
ความคลั่งไคล้ของ AI จึงเต็มไปด้วยบริษัทที่ทรงพลังที่สุดของวงการเทคโนโลยี บางรายก็เริ่มเห็นผลแล้วทำให้ธุรกิจของพวกเขามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น Microsoft ซึ่งใช้ AI เพื่อทำให้ 70-80% ของการอนุมัติใบแจ้งหนี้กว่า 90 ล้านฉบับเป็นไปโดยอัตโนมัติ
เกือบสี่เดือนหลังจากที่ ChatGPT ปรากฎโฉมขึ้นบนโลก Microsoft และ Google ได้เปิดตัว Bing , Bard โฉมใหม่ Meta ได้เสนอเครื่องมือที่สร้างแคมเปญโฆษณาโดยอัตโนมัติตามวัตถุประสงค์ของผู้ลงโฆษณา
แน่นอนว่ายักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีคงไม่พอใจแน่หากมีสตาร์ทอัพหน้าใหม่มาช่วงชิงตลาดนี้ของพวกเขาไป พวกเขาได้เปรียบด้วยทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่พวกเขาเตรียมทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดเดิมพันกับเทคโนโลยี AI ใหม่นี้
พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการมีส่วนร่วม และไม่ตกขบวนรถนี้เท่านั้น แต่ต้องการที่จะมีอำนาจเหนือมัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ AI มันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนั่นเองครับผม
นั่นทำให้เกิดฟองสบู่ของแอปอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้ แม้ใน App Store หรือ Play Store จะมีแอปมากมายให้เราเลือกสรรค์ แต่มีเพียงแอปแค่หยิบมือเท่านั้นที่ถูกดาวน์โหลดไปใช้งานจริง ส่วนใหญ่จะเป็นขยะเสียมากกว่า
นั่นทำให้ไม่แปลกใจที่ตอนนี้แนวคิดของ Super App ที่ถูกคิดค้นโดยประเทศจีนนั้นจะกลายเป็นที่นิยม หลาย ๆ แพลตฟอร์มอยากก้าวขึ้นเป็น Super App ในภูมิภาคของตนเอง
อีกแนวคิดที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นกับ Web3 ที่เชื่อว่าระบบนิเวศของแอปแบบกระจายศูนย์ และโลกนี้จะให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากขึ้น และพยายามทำลายอิทธิพลที่มากล้นของบริษัท Big Tech ที่ครอบงำตลาดแอปอยู่ในปัจจุบัน
Web 1.0 คืออินเทอร์เน็ตของศตวรรษ 1990 ไม่ว่าจะเป็น Search Engine หรือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่จะอยู่เฉพาะในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเดสก์ท็อป ส่วน Web 2.0 คืออินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น การสตรีมวีดีโอและเพลง ซึ่งมันเติบโตบนอุปกรณ์พกพา
Web 3.0 ได้รับการเปิดเผยครั้งแรกในปี 2006 จาก The New York Times ที่เขียนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตในยุคที่ 3 ซึ่งจะเป็นยุคที่เว็บของข้อมูลสามารถประมวลผลได้ด้วยเทคโนโลยี AI , Machine Learning , Data Mining ตัวอย่างเช่น อัลกอริธึมจะช่วยตัดสินใจและแนะนำว่าใครควรซื้ออะไรใน Amazon นั่นคือภาพรวมของ Web 3.0
นอกจากฟีเจอร์เหล่านี้แล้วก็มีแนวคิดที่ว่าควรจะรวมเอาเครือข่ายแบบ Peer-to-peer ที่ไม่มีเซิร์ฟเวอร์และไม่มีตัวกลางในการจัดการของการไหลของข้อมูล ซึ่ง Ethereum จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับวิสัยทัศน์ของ Web 3.0
และนี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ Facebook รีแบรนด์ตัวเองเป็น Meta และกำลังสร้างโลกของ Metaverse เช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าหลายบริษัทโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่เช่น Meta ที่ต้องอาศัยใน ecosystem ของคนอื่นอย่าง iOS ของ Apple หรือ Android ของ Google นั้นก็ต้องการที่จะปลดแอกตัวเองออกจากพันธนาการเหล่านี้
ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเทคโนโลยีอย่าง Web3 อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่จะเข้ามาลดทอนอำนาจของบริษัท Big Tech อย่าง Apple หรือ Google ในเร็ววันนี้ก็อาจจะเป็นไปได้นั่นเองครับผม
Muniz ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาทำงานเกี่ยวกับกลยุทธ์ให้กับ Facebook , Google และ สตาร์ทอัพเช่น Oscar Health ซึ่งเน้นในการนำความคิดต่าง ๆ แล้วนำมันมาสร้างให้เป็นรายได้
ในขณะที่บริษัทอย่าง Disney กำลังมองหาการสร้างประสบการณ์ metaverse ของตนเอง Bill Gates คาดการณ์ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าการประชุมทางไกลส่วนใหญ่จะย้ายไปที่แพลตฟอร์มประเภท metaverse
แต่อนาคตมันก็ยังคงไม่ชัดเจนมากนักเพราะ metaverse ยังคงเป็นเพียงแนวคิดตามที่ Amy Webb ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Future Today Institute ซึ่งเป็นผู้ดูแลการอภิปรายเกี่ยวกับ metaverse ในการประชุม Future Compute ล่าสุด ซึ่งจัดโดย MIT Technology Review
โดยรวมแล้ว “metaverse เกือบจะเป็นกระแสและความคลั่งไคล้ทั้งหมดในขณะนี้” Philip Rosedale ซึ่งบริษัท Linden Lab ของเขาเคยได้สร้างอารยธรรมเสมือนผู้บุกเบิกอย่าง Second Life กล่าว “หากคุณกังวลว่าบริษัทของคุณจะต้องรีบดำเนินการในนาทีนี้เพื่อเข้าสู่โลก metaverse คุณแทบไม่ต้องกังวล”
Philip Rosedale ซึ่งบริษัท Linden Lab ของเขาเคยได้สร้างอารยธรรมเสมือนผู้บุกเบิกอย่าง Second Life (CR:Rolling Stones)
Second Life ซึ่งสร้างขึ้นในปี 2003 ผู้ใช้สร้างอวาตาร์และสามารถสร้างบ้านและพื้นที่อื่นๆ โต้ตอบกับผู้อื่น และสำรวจประสบการณ์และชุมชนที่แตกต่างกัน
Second Life มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ไม่เหมือนใคร Rosedale กล่าว หนึ่งคือผู้ใช้สร้างทุกอย่างแบบดิบ ๆ “องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบน Second Life เป็นสิ่งที่คุณต้องสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยน้ำมือของตนเอง” เขากล่าว “ผู้คนสามารถนั่งร่วมกันและสร้างพื้นที่ร่วมกันได้”
Rosedale ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า Second Life ไม่ได้ใช้โมเดลโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายที่ใช้โดยบริษัทอื่น เช่น Facebook และ Google
แม้ว่า Second Life จะมีผู้ใช้เพียง 1 ล้านคนในปัจจุบัน แต่เขากล่าวว่า มันทำเงินต่อคนได้มากกว่าบริษัทที่เขาพูดถึงโดยไม่มีโฆษณาหรือการกำหนดเป้าหมายโฆษณาตามความสนใจ
ประสบการณ์ 3D ที่ใช้ร่วมกันก็มีความสำคัญเช่นกันสำหรับ Roblox ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้สร้างเนื้อหาสามารถสร้างเกมและประสบการณ์ได้ เช่น Bloxburg เกมจำลองชีวิตยอดนิยม
“การแบ่งปันประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก มันเป็นสังคมและสิ่งที่บอกว่าคุณกำลังทำอะไรร่วมกัน” Daniel Sturman หัวหน้าเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของ Roblox กล่าว
ตัวอย่างเช่น Burning Man จัดเทศกาลเสมือนจริงใน Second Life ในขณะที่ Lil Nas X แสดงคอนเสิร์ต Roblox ในเดือนธันวาคม 2020 ซึ่งนำไปสู่การขายสินค้าดิจิทัลหลายล้านดอลลาร์
ก็ถือว่าเป็นเคสที่น่าสนใจที่เราได้เห็นโลก metaverse ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าอย่าง Second Life หรือที่กำลังเติบโตอย่างสวยงามในแพลตฟอร์มการสร้างเกมอย่าง Roblox
มันคือบทเรียนที่กล่าวถึงเคสที่ทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ซึ่งบางครั้งเราอาจจะจินตนาการโลก metaverse ที่ไกลเกินฝันจนเกินไป ที่คิดว่ามันจะให้ประสบการณ์แบบหนัง hollywood ชื่อดังอย่าง Reader player one
ส่วนตัวผมเองก็มองว่าโจทย์ใหญ่คือเรื่อง Time Sharing ในกิจวัตรประจำวันของคนส่วนใหญ่ ซึ่งเรียกได้ว่าตอนนี้มีการแข่งขันแย่งชิงเวลากันอย่างดุเดือด ทั้งแพลตฟอร์ม social media , streaming หรือแม้กระทั่งเกม
การที่ metaverse จะเข้าสู่กลุ่ม mass ได้นั้น ถือเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง ทั้งเรื่องอุปกรณ์ เศรษฐกิจภายในแพลตฟอร์ม หรือแม้กระทั่งเรื่องการจับจ่ายใช้สอยภายในแพลตฟอร์มที่ใช้สกุลเงินดิจิทัลต่างๆ มันจะ work จริง ๆ หรือไม่ และที่สำคัญไม่ใช่ว่าทุกธุรกิจจะต้องกระโจนเข้าไปยังกระแส buzzword ที่กำลังร้อนแรงอย่าง metaverse ในตอนนี้นั่นเองครับผม