Movie Review : ฉลาด เกมส์ โกง

Review

เอาตรง ๆ ผมก็ถือว่าเป็นแฟนพันธ์แท้ของค่าย GDH หรือ GTH เก่า มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ค่อนข้างคาดหวังได้กับหนังของค่ายนี้ ว่าดูแล้วคุ้มกับเงินที่เสียไป

แต่ช่วงหลัง ๆ มา หนังของ GDH นั้นมาสไตล์เดิม ๆ มาตลอด แทบจะไม่มีแนวใหม่ ๆ เข้ามาเลย แต่เนื่องจากการทำการตลาดที่ดี และมีแฟนหนังที่มฐานคนดูอยู่มากพอสมควร จึงมั่นใจได้ว่าหนังในแนวทางเดิม ๆ ของ GDH นั้นทำแล้วไม่เจ๊งแน่นอน อย่างเช่นหนังเรื่องแรกของค่ายคือ แฟนเดย์ นั้น ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ concept ของหนังก็ไม่ต่างจากหนังเดิม ๆ ของ GDH เท่าที่ควร ซึ่งคิดว่า ทาง GDH ก็คงไม่ค่อยกล้าฉีกแนวตัวเองเยอะ เพราะหนังสไตล์นี้สามารถทำเงินได้แน่ ๆ อยู่แล้ว

แต่สำหรับหนังเรื่องที่สองของ GDH นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ถือว่าเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้คนดู ที่จะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ของหนัง GDH ที่มี production และบทของหนังต่างจากที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ถือว่า GDH สามารถทำได้อย่างดีกับหนังเรื่องนี้

โดยส่วนตัวเคยชมผลงานของผู้กำกับ นัฐวุฒิ พูนพิริยะ  จากหนังเรื่อง เคาท์ดาวน์ ซึ่งก็ค่อนข้างประทับใจกับหนังเรื่องแรกของเค้า และเฝ้ารอคอยหนังเรื่องใหม่ของเค้าอยู่เหมือนกัน จากหนังเรื่อง ฉลาด เกมส์ โกง เราจะได้กลิ่นอายของ เคาท์ดาวน์ อยู่บ้างเหมือนกัน จะฉีกแนวจาก GTH เดิม ๆ อย่างชัดเจน

สำหรับนักแสดงในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเด็กยุคใหม่แทบจะทั้งสิ้น แทบจะไม่มีดาราเก๋าประสบการณ์มาเล่นด้วยเลย ถือว่าเป็นการเสี่ยงพอสมควรสำหรับบทหนัก ๆ อย่างหนังเรื่องนี้

แต่เหมือนการ design character ของแต่ละตัวละคร นั้นเหมาะกับนักแสดงนำทุกคนอยู่แล้ว อย่างเช่น ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง (ออกแบบ) ที่รับบท ลิน ในเรื่องนั้น สามารถสื่อสารความเป็นลิน ได้อย่างลงตัว การแสดงสีหน้า ท่าทาง ก็ถือว่าทำได้ไม่ขี้เหร่ สำหรับการเล่นหนังครั้งแรกของเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางช่วงการแสดงก็ไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ ยังเหมือนหุ่นยนต์มากเกินไป แต่โดยรวมก็ค่อนข้างทำได้ดี

แต่ที่ผมชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็น ชานน สันตินธรกุล  ที่รับบทแบงค์ ถ้าเทียบกับลินที่เป็นตัวละครหลักแล้ว แบงค์ ก็ถือว่าเป็นตัวละครที่เป็นตัวหลักที่ไม่แตกต่างจาก ลิน แม้จะได้รับบทน้อยกว่ามาก แต่ key หลักของเรื่องน่าจะอยู่ที่เจ้าแบงค์ นี่แหละ ที่ตีบท ในเรื่องได้แตก ไม่แน่ใจว่าด้วยบุคลิก และลักษณะส่วนตัวของเค้าเป็นอย่างงี้ด้วยหรือ ป่าว จึงทำให้ง่ายต่อการรับบทบาทดังกล่าว  ดูแล้วค่อนข้างอินกับตัวละครนี้มาก ถ้าเทียบกับลินแล้ว บทของแบงค์นั้น แสดงได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ส่วน เกรซ กับ พัฒน์ นั้นก็ถือเป็นส่วนเติมเต็มเรื่องได้อย่างน่าประทับใจ

ที่ เซอร์ไพร์ อีกอย่างสำหรับหนังเรื่องนี้คือการนำเอานักแต่งเพลงระดับตำนานอย่าง พี่  ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่มารับบทพ่อของลิน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ในการเห็น พี่ ธเนศ เล่นหนัง ต้องยอมรับว่าพี่เค้าไม่ได้แต่งเพลงเก่งเพียงอย่างเดียว บทพ่อที่ได้รับ ก็ถือว่าตีบทนี้ได้แตกกระจาย เหมือนกัน

โดยรวมหนังให้แง่คิดในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งความสัมพันธ์ของพ่อลูก ความสัมพันธ์ของเพื่อน รวมถึงการกล่าวถึงเรื่องการโกง หรือ คอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นประเด็นหลักของเรื่อง และบทสรุปที่่ถือได้ว่าทำออกมาได้ดี ยกให้เป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ได้ดูมาของ GTH เลยก็ว่าได้

 

เก็บตกจากหนัง

  • หนังมีการเชื่อมโยงการโกง กับ การคอร์รัปชั่น ได้อย่างน่าสนใจ
  • เราจะได้เห็นนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง พี่ ธเนศ มารับบทหลักของหนังที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
  • ตัวละครเอก แบงค์ กับ ลิน ถือว่าเล่นคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
  • เป็นหนังที่รูปแบบบท และ production แตกต่างจากที่ GTH ทำมาอย่างสิ้นเชิง
  • อาจเปรียบเปรยได้ว่าหนังเรื่องนี้ให้ประสบการณ์แบบดูหนัง hollywood เลยทีเดียว

คะแนน

9/10


สรุป
“โดยส่วนตัวถือเป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดของ GTH ตั้งแต่ได้ดูมา”

World Class ของจริง

ความแตกต่างระหว่างนักเตะเกรด A กับ นักเตะ World Class นั้น มักจะทดสอบได้ในเกมส์ใหญ่ ๆ ที่มีความกดดันสูง ซึ่งนักเตะระดับ world class นั้นแม้ว่าจะมีความกดดันแค่ไหน ในเกมส์ ใหญ่แค่ไหน ก็พร้อมที่จะเป็น Heroes ของทีมได้ทุกเมื่อ

อย่างเช่นเกมส์เมื่อคืน ผลงาน แฮททริค ของ โรนัลโด้ รวมถึงผลงานการยิงคนเดียวในเกมส์รอบก่อนรองชนะเลิศกับ บาเยิร์น มิวนิค คงไม่ต้องสงสัยถึงความเป็น world class ของ โรนัลโด้ ที่ได้รับรางวัล บัลลังดอร์ มาถึง 4 สมัยอย่างไม่ต้องสงสัย  ซึ่งในตอนนี้ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ในโลกนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็น นักเตะระดับ World Class จริง ๆ  คือ เมสซี่ กับ โรนัลโด้ เท่านั้น ที่พร้อมจะโชว์ศักยภาพพลิกเกมส์ในเกมส์ใหญ่ๆ  ที่มีความกดดันสูงได้

ย้อนกลับมาดูทีมอาเซน่อลนั้น เราอาจจะเห็น Ozil กับ Alexis ที่เป็นนักเตะระดับฝีเท้าเกรด A  แต่ต้องยอมรับว่ายังห่างชั้นกับความเป็น World Class อยู่อีกมาก โดยเฉพาะ Ozil ที่ในเกมส์ใหญ่ๆ  ที่มีความกดดันสูงนั้น แทบจะไม่มีบทบาทต่อทีมเลย ไม่สามารถพลิกเกมส์ในเกมส์ใหญ่ ๆ ได้แม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เข้ามาร่วมทีม Arsenal เกือบ 4 ปี Ozil มักจะฉายแววเฉพาะ ในเกมส์ที่ไม่มีความกดดัน ที่เล่นได้แบบสบาย ๆ อิสระที่จะเล่นเท่านั้น รวมถึงความมั่นใจก็ลดลงไปมากจากเมื่อก่อนสมัยอยู่ รีล มาดริด ในช่วงที่เล่นกับ โรนัลโด้ ถือได้ว่าเข้าขากันมาก ส่วน Alexis นั้นเป็นนักเตะที่เล่นเห็นแก่ตัวมากเกินไป บางครั้งก็ไม่ได้เล่นตามแผนที่กุนซือวางไว้ ทำให้ทีมปั่นป่วนพอควร แต่ระดับฝีเท้านั้นก็ถือว่ายังไม่ถึงกับ world class

หากทีมต้องการก้าวเข้าไปถึงระดับแชมป์ แชมเปี้ยนลีคจริง ๆ นั้น อาเซน่อลก็ต้องทุ่มทุนคว้านักเตะระดับ เกรด A ขึ้นไปเพิ่มมากกว่านี้ เพื่อไปต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ทีมอื่น ๆ ได้อย่างสูสีกว่านี้ ซึ่ง4-5 ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าไปไม่รอดในรอบ 16 ทีมทุกครั้ง ซึ่งถ้าหวังจะคว้าแชมป์ ก็ต้องมีการลงทุนที่มากกว่านี้ หรือ อีกหนทางก็คือการเปลี่ยนแปลงกุนซือ เพื่อนำไปสู่แรงผลักดันใหม่ ๆ แท็กทิคใหม่ ๆ ไม่ใช่วนเวียนอยู่แบบนี้ไปอีกนานแสนนาน หาก wenger ยังคงอยู่คุมทีม

Image Ref :  http://indianexpress.com

 

อีหรอบเดิม

ต้องยอมรับกันตามความเป็นจริงว่าตอนนี้ Spurs เป็นทีมที่ดีกว่า Arsenal ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Spurs นั้นสามารถรักษามาตรฐานจากฤดูกาลที่แล้วได้อย่างดีรวมถึงมีการเสริมทัพที่มาต่อจิกซอว์ ให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก

บอกตามตรงก็ไม่ได้หวังสำหรับผลการแข่งขันเมื่อคืนที่ Spurs เอาชนะ Arsenal ไปอย่างไม่ยากเย็น เนื่องจากดูความกระหายชัยชนะของทีมเด็กหนุ่มอย่าง Spurs นั้น ช่างแตกต่างจากนักเตะของ Arsenal อย่างสิ้นเชิงในเวลานี้  ตอนแรกคิดว่าไว้คงหวังอย่างมากแค่เสมอ แต่หลังจากดูการเล่นในครึ่งแรก ก็ต้องยอมรับในความแข็งแกร่งของ Spurs ในฤดูกาลนี้จริง ๆ และเป็นทีมของจริง ที่คิดว่าน่าจะลุ้นแชมป์กับ Chelsea ในช่วงท้าย  ๆ อย่างสนุก

กลับมาที่ตัว wenger จะเห็นได้ว่านัดหลัง ๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแทคทิค การเล่นเป็น หลัง 3 ตัวเลียนแบบ chelsea แต่ก็ได้ผลบ้างในช่วง 2-3 นัดที่ผ่านมา อาจจะเพราะ ไม่ได้เจอคู่แข่งที่หินเท่าไหร่ จึงยังคิดว่า แทคทิคดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้นอย่างชัดเจน เพราะทีมไม่เคยเล่นกันมาเลย จะมาลองเอาตอนนี้ ผมคิดว่ามันสายไปหน่อย น่าจะให้ทีมได้ปรับตัวในการเล่นมากกว่านี้ อาจจะมีผลงานที่ดีกว่านี้ในระยะยาวมากกว่า

สำหรับการเปลี่ยนตัวของ wenger นั้นจะเห็นได้ว่าแทบจะเหมือนกันทุกนัด ทั้งตัวผู้เล่นที่จะเปลี่ยนลง รวมถึง เวลาที่จะเปลี่ยนลงไป ทำไมถึงได้วนลูป อยู่อย่างงี้ไม่ทราบแน่ชัด wenger น่าจะเป็นกุนซือที่ตกยุคไปแล้วในปัจจุบัน ไม่สามารถทำทีมยกระดับขึ้นมาได้เลย ซึ่งฤดูกาลนี้จะว่าไปก็ลงทุนไปไม่ใช่น้อย ๆ กับการทุ่มซื้อนักเตะมาในจำนวนเงินที่ไม่ต่างกับ แมนยู หรือ เชลซีมากนัก แต่ผลงานกลับแย่ลงกว่าปีที่แล้วเสียอีก

จะว่าไปตัวผู้เล่นในทีมขณะนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรเลย คิดว่าถึงเวลาที่ต้องเปิดทางให้คนใหม่ ๆ นำแทคทิคใหม่ ๆ เข้ามาใช้กับทีมบ้าง ไม่งั้น เราจะเห็นภาพซ้ำแบบนี้ ไปอีกกี่ฤดูกาล ก็ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ หาก wenger ยังไม่คิดจะวางมือจริง ๆ

 

Img Ref : http://www.football.london

ฺBook Review : ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็สู้

ได้ยินชื่อ อินาโมริ คาซึโอะ จากการที่ได้เข้าไปพลิกฟื้นกิจการ JAL สายการบินแห่งชาติของญี่ปุ่นที่ได้ล้มละลาย ให้กลับมายืนได้อีกครั้ง ผ่านสื่อ online ต่างๆ  มาพอสมควร

จึงได้มีโอกาสมาอ่านหนังสือเล่มนี้ที่ได้เล่าแนวคิดการบริหารงานองค์กรขนาดใหญ่ อย่าง kyocera ,KDDI หรือการมาพลิกฟื้นกิจการ JAL ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้อย่างไร

แนวคิดการบริหารของ อินาโมริ คาซึโอะ นั้น จะเป็นแนวทางแบบญี่ปุ่น ซึ่งหากอ่านผ่านจากหนังสือเล่มนี้เราจะได้เห็นวิธีการบริหารงานแบบญี่ปุ่น การที่ญี่ปุ่นสามารถพลิกฟื้นประเทศจากที่เกือบล่มสลายในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้อย่างไร เราได้เห็นแง่มุมในเรื่องของจิตวิญญาณการเป็นนักสู้ของชาวญี่ปุ่น ถึงแม้เศรษฐกิจจะเริ่มถดทอยมาเป็นระยะเวลานาน การบริหารงานแบบญี่ปุ่น ก็ให้แนวคิดที่ดีเสมอ

อินาโมริ คาซึโอะ นั้นเริ่มจากกิจการเล็ก ๆ จนพา kyocera เป็นองค์ใหญ๋ระดับโลกได้อย่างไร ซึ่งสามารถค้นหาคำตอบได้ภายในสือเล่มนี้  ถึงจะไม่ใช่การให้รายละเอียดเชิงลึก แต่หนังสือเล่มนี้ได้ให้แนวคิดหลักในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งคิดว่า หลาย ๆ องค์กรใหญ่ของญี่ปุ่น ก็น่าจะใช้รูปแบบเดียวกันในการทะยานพุ่งมาเป็นบริษัทระดับโลก หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

จึงย้อนกลับมาดูที่ประเทศเรา ไม่เคยแพ้สงคราม ไม่เคยได้รับความลำบาก เหมือนญี่ปุ่น รวมถึง ทรัพยากรก็มีอยู่อย่างมากมาย แต่ทำไมเราไม่สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างญี่ปุ่นเสียที เราจะเห็นคำตอบว่า เพียงแค่แนวคิดบางอย่าง และ เมื่อทุกคนในองค์กรหรือในชาติร่วมมือกัน นั้น ก็ทำให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างที่ อินาโมริ คาซึโอะ ได้ทำไว้นั่นเอง