รักแรก รักเดียว และรักแท้ ของชายที่ชื่อ Mark Zuckerberg

เรื่องราวความรักจากการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของ Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan ได้รับการเปิดเผยจากหลายแหล่ง แต่ข้อเท็จจริงแล้วนั้นมันเกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยลูกพี่ลูกน้องของ Mark Zuckerberg ในปี 2003 และสิ่งที่น่าประหลาดใจในการพบกันครั้งแรกของพวกเขาก็คือ พวกเขาพบกันในห้องน้ำ

หลังจากนั้นนักเรียน Harvard สองคนนี้ได้เริ่มคบกัน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความประทับใจเกี่ยวกับ Mark Zuckerberg “เขาเป็นเด็ก nerd ที่แสบไม่ใช่ย่อยเลยทีเดียว” Chan กล่าว “ฉันจำได้ว่าเขามีแก้วเบียร์ที่เขียนว่า ‘pound include beer dot H’ ซึ่งมันเป็นแท็กสำหรับโปรแกรมภาษา C++ มันเหมือนกับอารมณ์ขันในวิทยาลัย แต่มีความน่ารัก แฝงไปด้วยความน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์

ในสมัยนั้น Mark Zuckerberg เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าพ่อ Social Network เหมือนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เขาเปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ซึ่งกิจวัตรประจำวันส่วนใหญ่ของเขาคือการเขียน Code รวมถึง แก้ปัญหาต่างๆ ทั้งวัน ด้วยพลังงานที่ล้นเหลือ 

หนุ่มเนิร์ดที่รักการเขียนโค้ด ด้วยพลังที่ล้นเหลือ
หนุ่มเนิร์ดที่รักการเขียนโค้ด ด้วยพลังที่ล้นเหลือ

อันที่จริงผู้หญิงแทบทุกคนใน Harvard ในตอนแรกเหมือนจะไม่ชอบในตัว Mark Zuckerberg เพราะเขาทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ ที่มีการปล่อยรูปถ่ายของนักเรียนผ่านเว็บไซต์ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบความ Hot ของสาว ๆ อย่าง Facemash  

แต่ถึงอย่างนั้น Chan ก็ตกหลุมรักเขาตั้งแต่เริ่มแรก และเช่นเดียวกัน Zuckerberg เองก็รักเธอมากเช่นกัน โดยเขามักทำเรื่องตลก ๆ ตามสไตล์ของเด็กเนิร์ด เขาอยากจะออกเดทกับเธอมากกว่าที่จะตั้งใจเรียนให้จบกลางภาคเรียนซะด้วยซ้ำในตอนนั้น นอกจากนี้ Zuckerberg ยังพยายามเรียนภาษาจีนอย่างรวดเร็วเพื่อให้มีส่วนร่วมกับครอบครัวของ Chan มากยิ่งขึ้น

ต่อมา Mark Zuckerberg ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งในชีวิตของเขา เขาได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาบริหารกิจการของเขาซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ Facebook ด้วยการที่ใช้ชีวิตร่วมกันตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของ Facebook ทำให้พวกเขาได้ผ่านช่วงเวลาสำคัญด้วยกันมากมาย

ในปี 2006 มีข้อเสนอมากมายที่ตั้งใจจะซื้อ Facebook รวมถึงจาก Yahoo ที่มาพร้อมกับข้อเสนอมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ 

ซึ่งก็ต้องบอกว่าตัวของ Zuckerberg กำลังดิ้นรนภายใต้แรงกดดันมากมายในช่วงเวลานั้น และ Chan ก็จำได้ว่า “ฉันจำได้ว่าเรามีการสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงของ Yahoo อยู่เสมอ แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายใหญ่ที่สุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook” 

สำหรับข้อเสนอต่าง ๆ มากมายที่เข้ามาหา Zuckerberg เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอการซื้อกิจการแทบจะทั้งหมด และตอนนี้มันก็ได้พิสูจน์ในสิ่งที่เขาทำ เมื่อ Facebook ได้กลายเป็น Social Network ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

แม้ว่า Zuckerberg เป็นคนบ้างาน แต่ Chan ก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่รู้วิธีรักษาความสัมพันธ์ที่ดี Chan ได้วางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดสำหรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ซึ่งพวกเขาต้องทำตาม “หนึ่งวันต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย ที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยหนึ่งร้อยนาที และสถานที่ต้องไม่ใช่ในอพาร์ตเมนต์ของเขา และแน่นอนว่าไม่ใช่ที่ Office ของ Facebook”

แม้จะงานยุ่งขนาดไหน ทั้งคู่มีกฏที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยอาทติย์ละครั้ง
แม้จะงานยุ่งขนาดไหน ทั้งคู่มีกฏที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

เมื่อ Chan อายุเพียง 13 ปีเธอตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัย Harvard ชีวิตนั้นยากเกินกว่าที่เธอคาดหวังไว้ แต่เธอถูกสอนให้เป็นผู้หญิงที่ฉลาด โดยพ่อของ Chan เป็นชาวจีนและแม่ของเธอเป็นชาวเวียดนาม 

ทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในเวียดนามเป็นระยะเวลาหนึ่งและจากนั้นย้ายเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของ Chan ทำงานอย่างหนักมากถึง 18 ชั่วโมงต่อวันในการบริหารร้านอาหาร 

สำหรับความพยายามของพวกเขาทั้งคู่ก็คือการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และการให้การศึกษาที่ดีสำหรับลูก ๆ  อย่างไรก็ตามทั้งพ่อและแม่ของ Chan นั้นมีเวลาไม่มากนักในการดูแลลูก ๆ ซึ่งพวกเขาต้องทิ้ง Chan ไว้ให้คุณยายเลี้ยงดู

ซึ่งแม้ว่าคุณยายของ Chan นั้นจะไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยก็ตาม แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผล เธอช่วย Chan ให้วางแผนชีวิตที่ถูกต้องและสอนให้เธอพึ่งพาตนเอง และมีความมั่นใจในตัวเอง

ในช่วงมัธยมปลายของ Chan เธอได้รับรางวัลพิเศษมากมาย เมื่อเธอถามครูสอนเทนนิสเกี่ยวกับการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard หลังจากสำเร็จการศึกษา ครูแนะนำให้ Chan เข้าร่วมทีมเทนนิสเพราะ Harvard ต้องการให้นักเรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่จากทุกด้านรวมถึงกิจกรรมด้านกีฬา 

Chan เข้าร่วมทีมเทนนิส และมีความพยายามอย่างมากที่จะพาตัวเองเข้าสู่ Harvard ให้ได้  และในที่สุดเธอก็ได้รับการตอบรับทุนจากมหาวิทยาลัย Harvard

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Harvard Chan ได้มาเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ University of California, San Francisco เธอไม่ได้เลือกที่จะทำงานใน Facebook แต่เธอเลือกที่จะทำงานที่ FASE และ สอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน Harker เพราะเธอเป็นคนรักเด็ก ๆ มาก

ทั้งคู่ที่คบกันมา 9 ปี ก่อนที่จะแต่งงานกันในปี 2012 มีรายงานว่างานแต่งงานเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับแขกที่ได้รับการแจ้งว่าพวกเขากำลังจะมาร่วมงานฉลองสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ของ Chan และไม่มีใครคาดคิดว่าคู่นี้จะแต่งงานในหนึ่งวันหลังจากที่ Facebook ทำ IPO ในตลาดหุ้น

ซึ่งสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้จัดงานแต่งงานในสวนหลังบ้านใน Palo Alto ของ Zuckerberg และในที่สุด Zuckerberg ก็สวมชุดสูทมากกว่าที่จะเป็นฮูดเครื่องหมายการค้าของเขา นอกจากนี้เขายังออกแบบแหวนด้วยตัวเองและเป็นสิ่งที่ทำมาเซอร์ไพรซ์ Chan ในวันแต่งงาน

Zuckerberg และ Chan ทำสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบง่ายที่สุดเสมอ สำหรับการ ฮันนีมูน ในอิตาลี พวกเขายังมานั่งทานแมคโดนัลด์กัน ดังนั้นหนังสือพิมพ์บางฉบับจึงกล่าวถึงฮันนีมูนว่า “McHoneymoon ของ Zuck” แต่จากรูปคุณจะเห็นว่าพวกเขาสนุกกับงานเลี้ยงของ McDonald มากมายขนาดไหน

ในขณะที่ Chan อาจเป็นที่รู้จักจากความพยายามด้านการกุศล ซึ่งเธอและ Zuckerberg มีเป้าหมายเดียวกันและกลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่ในที่สุด จนถึงตอนนี้พวกเขาได้มอบเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการศึกษา 

โดยทั้งคู่ยังประกาศว่าพวกเขาจะบริจาคเงิน 120 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นกองทุนสาธารณะสำหรับโรงเรียนของรัฐซานฟรานซิสโก ซึ่งหลังจากที่ลูกสาวคนแรกของพวกเขาเกิด พวกเขาตั้งใจจะบริจาคมากถึง 99% ของจำนวนหุ้นใน Facebook เพื่อต่อสู้เรื่องสิทธิ์ในความเท่าเทียมและความรัก การตัดสินใจนี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ Chan คิดทั้งหมด

หลังจากคลอดลูกสาวคนแรกทั้งคู่ก็ทุ่มเงินให้การกุศลทั้งหมด
หลังจากคลอดลูกสาวคนแรกทั้งคู่ก็ทุ่มเงินให้การกุศลทั้งหมด

ต้องบอกว่าเรื่องราวความรักของทั้งคู่นั้น มันเกินขอบเขตของเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ จากเรื่องราวความรักของ Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan เราสามารถเรียนรู้ได้ว่าการได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคู่รักทุกคู่ 

พวกเขาถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการเป็นคู่รักที่ทรงพลังและสร้าง Impact อย่างมหาศาลให้กับโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวคิดการบริจาคหุ้นที่มีแทบจะทั้งหมดให้กับการกุศล หรือ เรื่องราวของธุรกิจที่ Mark Zuckerberg กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้เกิดขึ้นกับโลกของเรา และเรื่องราวทั้งสองด้านของคู่รักคู่นี้ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชมเป็นอย่างมากนั่นเองครับ

–> อ่านเพิ่มเติมประวัติ Mark Zuckerberg

References : https://www.bollywoodshaadis.com/articles/the-love-story-of-mark-zuckerberg-and-priscilla-chan-1839 https://www.businessinsider.com/mark-zuckerberg-and-priscilla-chans-12-year-relationship-in-photos-2015-7 https://people.com/human-interest/mark-zuckerberg-priscilla-chan-love-story/ https://fabiosa.com/rsako-auemm-pbdar-phkan-a-timeline-of-unconditional-love-the-story-of-mark-zuckerberg-and-priscilla-chan/

Big Tech x EU กับศึกช่วงชิงข้อมูลส่วนบุคคลของชาติมหาอำนาจโลก

คำเตือนที่ชัดเจนของ Meta บริษัทแม่ของ Facebook เกี่ยวกับการที่จะนำบริการของพวกเขาออกจากยุโรปอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เนื่องจากหนึ่งในผู้กำกับดูแลความเป็นส่วนตัวของภูมิภาคยุโรปเตรียมการตัดสินใจที่อาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้จำนวนมหาศาลที่ไหลผ่านข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในทุก ๆ วันกลายเป็นอัมพาต และมีความเสี่ยงต่อรายได้หลายพันล้านสำหรับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของ ไอร์แลนด์ซึ่งควบคุมดูแลบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์ที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ กำลังพิจารณาถึงความถูกต้องตามกฎหมายของข้อสัญญามาตรฐาน (Standard Contractual Clauses หรือ SCC) ที่ Meta, Google ของ Alphabet และบริษัทอื่น ๆ ใช้ในการโอนข้อมูลผู้ใช้จำนวนมากไปยังสหรัฐอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย

ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวกล่าวว่าการตัดสินใจดังกล่าวสามารถกำจัดหนึ่งในตัวเลือกที่เหลืออยู่สำหรับ Meta และอาจมีบริษัทเทคโนโลยีอื่นอีกหลายพันแห่งที่ต้องพึ่งพาการจัดส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลทั่วมหาสมุทรแอตแลนติก

ผู้มีอำนาจของไอร์แลนด์ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของ SCC โดยกล่าวว่า มันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปกป้องพลเมืองยุโรปจากการสอดรู้สอดเห็นของหน่วยงานต่างๆ ของสหรัฐฯ

ซึ่งนั่นคือความตึงเครียดในการพิจารณาคดีที่ Meta เตือนในรายงานประจำปีล่าสุดว่า บริษัทจะปิดการให้บริการทั้ง Facebook และ Instagram ในสหภาพยุโรปหากไม่สามารถใช้ SCC ได้

Facebook สร้างรายได้ 8.2 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 25% ของรายรับทั่วโลกในยุโรปในช่วงไตรมาสเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งภูมิภาคนี้เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญสำหรับ Meta ซึ่งเป็นรองเพียงแค่ตลาดในบ้านเกิดที่สหรัฐฯและแคนาดาเท่านั้น

ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนั่นจะทำให้การจัดเก็บข้อมูลในยุโรปไม่สามารถทำได้สำหรับบริการใด ๆ ไล่ตั้งแต่วิดีโอเกมไปจนถึงการสตรีมวิดีโอเนื่องจากกฎข้อมูลของยุโรปจะปฏิบัติตามข้อมูลของบุคคลไม่ว่าจะอยู่ที่ใด

โมเดลธุรกิจของ Meta เช่นเดียวกับ Google ของ Alphabet อาศัยการรวบรวมข้อมูลให้เพียงพอที่จะแยกแยะว่าผู้ใช้สนใจหรือต้องการซื้ออะไร และเพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบริษัทกำลังถูกเล่นงานโดยกฎความเป็นส่วนตัวของยุโรป และการห้ามใช้ SCC อาจทำให้รูปแบบธุรกิจของบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยลงโดยเฉพาะในการลงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

Johannes Caspar นักวิชาการจากหนึ่งในหน่วยงานกำกับดูแลด้านการปกป้องข้อมูลชั้นนำของเยอรมนี กล่าวว่า “สิ่งที่มีความเสี่ยงคือการถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ และเหล่าบริการที่พึ่งพาพวกเขา”

อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานฝ่ายกิจการและการสื่อสารระดับโลกของ Meta ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว

อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ที่กลายมาเป็นผู้บริหารของ Facebook ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ (CR:The Verge)
อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ที่กลายมาเป็นผู้บริหารของ Facebook ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ (CR:The Verge)

Google กล่าวในบล็อกโพสต์เมื่อเดือนมกราคมโดย Kent Walker หัวหน้าฝ่ายกิจการระดับโลกซึ่งเรียกร้องให้ยุติปัญหาอย่างรวดเร็ว

“มันเป็นเดิมพันที่สูงเกินไป การค้าระหว่างประเทศระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกามีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของผู้คนนับล้านมากเกินกว่าที่จะล้มเหลวในการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ใกล้เข้ามาแบบทันทีทันใด” Walker กล่าว

การโต้เถียงเรื่องการถ่ายโอนข้อมูลเริ่มตั้งแต่ปี 2013 เมื่อ Edward Snowden เปิดเผยขอบเขตการสอดแนมโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ

การพิจารณาคดีในปี 2020 โดยศาลสูงสุดของสหภาพยุโรปได้ประกาศให้ยกเลิก Privacy Shield ซึ่งเป็นข้อตกลงการโอนถ่ายข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเฝ้าระวังของอเมริกา

Tom De Cordier นักกฎหมายด้านเทคโนโลยีและการปกป้องข้อมูลที่ CMS DeBacker ในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวว่า “สำหรับหลายๆ บริษัท แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลสหภาพยุโรปในปี 2020 “ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของการลดความเสี่ยงในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของข้อมูล แทนที่จะพยายามปฏิบัติตามข้อกำหนด 100 เปอร์เซ็นต์”

หากผู้มีอำนาจในไอร์แลนด์มีแนวคิดในเรื่องข้อมูลที่มีความซีเรียสมากกว่านี้ สถานการณ์วันโลกาวินาศสำหรับ Meta และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว

การตัดสินใจของผู้มีอำนาจของไอร์แลนด์ “ตอนนี้อาจเป็นแบบอย่างซึ่งจะทำให้สถานการณ์ทั้งหมดคลี่คลาย” Caspar อดีตผู้กำกับดูแลชาวเยอรมันกล่าว “มันขึ้นอยู่กับนักการเมืองในสหรัฐอเมริกาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงหรือไม่”

บทสรุป

มันเป็นเรื่องน่าสนใจนะครับ ทำไมยุโรปถึงเริ่มมาจัดการการโอนถ่ายข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนในทุก ๆ ภูมิภาคก็โดนในรูปแบบเดียวกันแม่งกระทั่งประเทศไทยที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เช่นเดียวกัน

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เหล่านี้ รู้ข้อมูลเชิงลึกของประชาชนแทบจะทั่วทั้งโลก แม้จะเป็นบริษัทเอกชนก็ตามที แต่ข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้เราก็ได้เห็นว่าพวกเขามีความแน่นแฟ้นกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกามากมายขนาดไหน

ข้อมูลส่วนบุคคล หรือ แม้กระทั่งข้อมูลทางธุรกิจเหล่านี้ มันได้กลายเป็นอาวุธที่สำคัญให้สหรัฐอเมริกา มีความได้เปรียบกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เราไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจีนถึงแบนแอปเหล่านี้ไม่ให้เข้ามาในประเทศ ซึ่งสิ่งที่ยุโรปกำลังทำก็คงไม่ต่างจากที่จีนทำ เพราะพวกเขาเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนแล้ว ตอนนี้ข้อมูลต่าง ๆ ของประชาชนที่สูญเสียไปนั้น มันไม่ได้ใช้เพียงแค่เชิงธุรกิจอย่างที่หลายๆ คนคิด แต่มันนำมาซึ่งอำนาจทางอธิปไตยที่อเมริกากำลังรุกล้ำไปทั่วโลกนั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2021/03/25/big-tech-how-europe-became-the-worlds-top-regulator.html
https://www.scmp.com/tech/policy/article/3167568/meta-google-other-american-tech-giants-face-eu-data-blackout-ruling
https://www.ft.com/content/045346cf-c28a-4f6f-9dce-4f8426129bf9
https://daystech.org/eu-lawmakers-back-rules-to-curb-big-tech-tech-news-news-top-stories/

Geek Daily EP107 : เมื่อ Facebook รู้ดีว่ากำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับ TikTok

Meta และ Mark Zuckerberg กำลังประสบปัญหาหกตัวอักษร นั่นคือ: TikTok แอปวิดีโอขนาดสั้นที่มีผู้ใช้มากกว่าพันล้านคนและกลายเป็น Hot Thing in Tech หมายถึงปัญหาสำหรับ Zuckerberg และเครือข่ายโซเชียลของเขา 

เขายอมรับหลายครั้งในการพูดคุยกับนักวิเคราะห์ของวอลล์สตรีทเมื่อต้นสัปดาห์นี้เกี่ยวกับรายรับรายไตรมาส การบรรยายสรุปที่เขาพยายามอธิบายการเติบโตของแอปของเขา และการลดลงอย่างแท้จริงในผู้ใช้รายวันของ Facebook ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของบริษัทในประวัติศาสตร์ 18 ปี

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3gJtXlQ

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3sARk6A

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3sFS9Lr

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3HUi2gO

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/_EPAKMULDrA

References Image : https://www.dkoding.in/newsline/facebook-mark-zuckerberg-gain-bytedance-zhang-yiming-loses-tiktok-sale/

คนเก่งที่สุด vs คนไว้ใจได้ที่สุด กับการแต่งตั้ง CTO คนใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook

เป็นเรื่องจริงที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อยิ่งขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งระดับสูง ๆ ทั้งในองค์กรเอกชน รัฐ หรือ แม้กระทั่งข้าราชการก็ตามที คนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้มีอำนาจมากที่สุด มักจะได้รับตำแหน่งดี ๆ ในองค์กรอยู่เสมอ

แน่นอนว่าความเก่งมันต้องมีอยู่แล้วเพื่อที่ให้ได้รับโอกาสเหล่านี้ แต่มันไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องมีความเก่งกาจที่สุด เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความไว้วางใจต่างหาก

เฉกเช่นเดียวกับเคสที่เกิดขึ้นกับ Facebook เมื่อ Mark Zuckerberg ได้นำคนที่เขาไว้ใจที่สุดคนหนึ่งอย่าง Andrew ‘Boz’ Bosworth อดีตผู้ช่วยสอนในคลาสปัญญาประดิษฐ์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ขึ้นมารับตำแหน่งใหญ่อย่าง Chief Technology Officer (CTO)

เมื่อ Facebook ถูกถล่มยับจากปัญหา Fake News

แม้จะพยายามแก้ปัญหาดังกล่าวมาหลายปี แต่ก็ต้องบอกว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแก้ไข และไม่ใช่เพียงแค่ Fake News ที่กำลังเป็นปัญหา แต่ยังรวมถึงปัญหาของแพล็ตฟอร์มอย่าง Instagram ที่กำลังส่งผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นเป็นจำนวนมากอีกด้วย

Instagram ที่กำลังส่งผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นทั่วโลก (CR:CNBC)
Instagram ที่กำลังส่งผลต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นทั่วโลก (CR:CNBC)

รายงานบางฉบับระบุว่าพนักงานและผู้บริหารของ Facebook ทราบปัญหาเหล่านี้แต่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยทางฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐสภาสหรัฐก็ได้ให้คำมั่นกับประชาชนที่จะซักถามผู้บริหารจาก Facebook และบริษัท Big Tech อื่นๆ เกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อวัยรุ่น หรือ ปัญหาข่าวปลอมที่กำลังแพร่กระจายอย่างหนักในแพล็ตฟอร์ม

มันเป็นปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ Facebook โดยตรง และคนที่รับผิดชอบหลัก ที่ต้องลาจากไปก็คือ Mike Schroepfer อดีต CTO ของบริษัทที่ดำรงตำแหน่งมานานกว่า 8 ปี

Mark Zuckerberg ต้องการคนไว้ใจที่สุดเพื่อสะสางปัญหาที่มีความซับซ้อน

การเข้ามารับตำแหน่งของ Bosworth มันมีความชัดเจนว่า Mark Zuckerberg ต้องการหันไปพึ่งคนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุด ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดอีกต่อไป

Bosworth เข้ามาร่วมงานกับ Facebook ในปี 2006 เขามีส่วนช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์หลัก และมีชื่อเสียงเรื่องความตรงไปตรงมากับเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา และสิ่งสำคัญก็คือ เขามักจะออกมาปกป้องบริษัทจากประเด็นปัญหาต่าง ๆ เสมอ เรียกได้ว่าพร้อมลุยเพื่อกู้ชื่อเสียงของ Facebook และ Mark Zuckerberg ในทุก ๆ เรื่องที่เป็นปัญหา

แต่ถามว่าเขาเป็นคนเก่งที่สุดหรือไม่ คงจะไม่ใช่เพราะ Facebook มีพนักงานระดับอัจฉริยะมากมายเต็มไปหมดที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท แน่นอนว่าเขาเป็นคนเล่นการเมืองเก่ง อดีตพนักงานคนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ ได้เปิดเผยข้อมูลออกมาว่า “Bosworth คิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่เขาอาจจะแค่โชคดีในอาชีพการงานที่ Facebook เพียงเท่านั้น”

Bosworth ได้เจอกับ Mark Zuckerberg ครั้งแรกที่ฮาร์วาร์ด โดยเป็นผู้ช่วยสอนในชั้นเรียนคลาสปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งหลังจากที่ Zuckerberg ได้ก่อตั้ง Facebook ในปี 2004 Bosworth ก็เข้าร่วมงานกับบริษัทในเดือนมกราคมปี 2006 โดยเป็นหนึ่งในวิศวกรซอฟต์แวร์รายแรก ๆ ของบริษัท

ในเดือนสิงหาคมปี 2017 Facebook ได้ประกาศว่า Bosworth จะเข้ามาดูแลในผลิตภัณฑ์ด้านฮาร์ดแวร์ของบริษัท

แม้ว่า Bosworth จะไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานด้านฮาร์ดแวร์มาเลยก็ตามที แต่ Zuckerberg ก็ดูเหมือนว่าจะเชื่อมั่นในเพื่อนคนนี้ของเขาเป็นอย่างมาก โดยให้ดูแลแผนก Virtual Reailty ของ Oculus ที่ Facebook เข้าซื้อกิจการในปี 2014 ด้วยมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์

โดย Oculus เปิดตัวชุดหูฟังสำหรับผู้บริโภคตัวแรกคือ Oculus Rift ซึ่งก็ดูเหมือนจะยังไม่ประสบความสำเร็จในตลาดนี้แต่อย่างใด

Oculus Rift ที่ดูจะยังไม่ปังเท่าที่ควร (CR:Ars Technica)
Oculus Rift ที่ดูจะยังไม่ปังเท่าที่ควร (CR:Ars Technica)

โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา Bosworth ได้เข้ามาจัดระเบียบและปรับหน่วยงานด้านฮาร์ดแวร์ของ Facebook ซึ่งปัจจุบันถูกเรียกว่า Facebook Reality Labs

ก็ต้องเรียกได้ว่าเป็นภาระที่หนักอึ้งเลยทีเดียวสำหรับ Bosworth ที่ขึ้นดำรงตำแหน่ง CTO ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดด้านเทคโนโลยีของ Facebook

ปัญหาที่ถาโถมเข้ามามากมาย และดูว่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ และยังมีความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับหลายเรื่องทั้งเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือ การที่ต้องร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในบางประเด็นที่อ่อนไหว

ซึ่งดูเหมือนว่าปัญหาที่มีความซับซ้อนเหล่านี้ คนที่เก่งที่สุดอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะตอนนี้ Zuckerberg ต้องการคนที่ไว้ใจได้ที่สุด เพื่อมาสะสางปัญหาเหล่านี้นั่นเองครับผม

แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร หากคุณเป็นผู้นำระดับสูง และมีอำนาจสูงสุดขององค์กร คุณจะเลือกคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด หรือ คนที่เก่งที่สุด มาทำงานใหญ่ ๆ ให้กับคุณ?

References : https://www.cnbc.com/2021/09/23/what-mark-zuckerberg-gets-with-new-cto-andrew-boz-bosworth.html
https://www.wsj.com/articles/the-facebook-files-11631713039
https://www.wsj.com/articles/facebook-knows-instagram-is-toxic-for-teen-girls-company-documents-show-11631620739
https://www.buzzfeednews.com/article/ryanmac/growth-at-any-cost-top-facebook-executive-defended-data
https://www.businessinsider.com/facebook-executive-andrew-bosworth-tips-maximizing-skills-personal-api-2020-5

Darkside of Instagram กับอิทธิพลที่มีผลต่อสภาพจิตใจอันบอบบางของกลุ่มวัยรุ่นทั่วโลก

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่กำลังสร้างปัญหาไปทั่วโลกเลยนะครับสำหรับ Instagram แม้มันจะดูเป็นสังคมในอุดมคติ ที่ทุกต่างมาโชว์สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้ง ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต การท่องเที่ยว การแต่งตัว หรือ การอวดเรือนร่างต่าง ๆ นา ๆ

แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า แม้กระทั่งเจ้าของแพล็ตฟอร์มอย่าง Facebook เองนั้นก็รู้ดีว่า แพล็ตฟอร์ม Instagram ของพวกเขาอันตรายแค่ไหน โดยเฉพาะกับหมู่วัยรุ่น ที่ตอนนี้มันกำลังสร้างปัญหาต่อสภาพจิตใจของวัยรุ่นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ

จากการศึกษาของ Wall Street Journal ที่ได้เข้ามาทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา Instagram มีผลกระทบต่อเหล่าวัยรุ่นหรือฐานผู้ใช้งานอายุน้อย ๆ อย่างไรบ้าง

ซึ่งผลออกมาเรียกได้ว่าน่าตกใจมาก ๆ มีรายงานเกี่ยวกับความคิดการฆ่าตัวตายถึง 13% ของผู้ใช้งานชาวอังกฤษ และ 6% ของผู้ใช้ชาวอเมริกันก็ประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกัน

“32% ของเด็กสาววัยรุ่นกล่าวว่า พวกเขารู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างการของพวกเขา Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง”

มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า 14% ของเด็กชายในสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวว่า Instagram ทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเองมากยิ่งขึ้น

ตามรายงานของ Wall Street Journal นั้น ผู้บริหารระดับสูงของ Facebook ได้ทบทวนงานวิจัยดังกล่าวที่เกิดขึ้นแล้ว มีการอ้างถึงการนำเสนอต่อ Mark Zuckerberg ซีอีโอของบริษัทเมื่อปีที่แล้ว

Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)
Mark Zuckerberg ที่รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว (CR:Flickr)

แต่อย่างไรก็ตาม Facebook ได้รายงานว่า ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ได้ง่ายนัก โดยมีรายงานว่า Facebook กำลังสร้าง Instagram เวอร์ชั่นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี

แต่ก็ต้องบอกว่า เหล่าฐานผู้ใช้รุ่นเยาว์ ไปจนถึงวัยรุ่นเหล่านี้ มันคือกุญแจความสำเร็จที่สำคัญของ Instagram ที่ Facebook ค่อนข้างหวงแหนมาก ๆ

หากมีแพล็ตฟอร์มใด ที่คิดจะมาแย่งฐานนี้ของ Facebook เราจะเห็นได้ว่า Facebook พร้อมลุยแบบเต็มที่เพื่อที่จะกำจัดหรือควบรวมบริษัทเลยทีเดียว อย่าง case ของ SnapChat ที่เคยพุ่งแรงขึ้นมา Facebook ก็ทำทุกวิถีทางทั้ง copy ฟีเจอร์ หรือ พยายามเจรจาขอซื้อ จนสุดท้าย SnapChat ก็ผ่อนแรงลงไป

ตอนนี้ น่าจะมี App เดียวที่กลายเป็นหนามยอกอกของ Facebook นั่นก็คือ TikTok ที่กำลังมาแย่งฐานผู้ใช้งานกลุ่มนี้ที่เปรียบเสมือนไข่ในหินของ Facebook ซึ่งจะเห็นได้ว่าตอนนี้ Facebook เองก็ทุ่มเท ทุกสรรพกำลังเพื่อต่อสู้ ตัวอย่างเช่นการเพิ่ม Reels เข้ามา Instagram นั่นเอง

Karina Newton หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Instagram ได้กล่าวถึงรายงานดังกล่าวว่า บริษัทกำลังค้นคว้าวิธีที่จะดึงผู้ใช้ออกจากการหมกมุ่นอยู่กับโพสต์ Instagram บางประเภท

Lori Trahan หนึ่งในสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงข้อกังวลด้านสุขภาพจิตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย และเรียกร้องให้ Facebook ละทิ้งแผนการสร้าง Instagram สำหรับเด็ก และมุ่งโฟกัสไปที่การปกป้องผู้ใช้งานที่อายุน้อยแทน

“เอกสารภายในของ Facebook แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของบริษัทในการปกป้องเด็กบน Instagram โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง มันเป็นการละเลยโดยสิ้นเชิง และมันก็เกิดขึ้นหลายปีแล้ว” Trahan กล่าว

Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)
Lori Trahan สมาชิกสภาคองเกรส ที่มองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น (CR:Wikipedia)

ไม่ตั้งใจแก้หรือไม่รู้จะแก้ยังไง

ต้องบอกว่า ในยุคปัจจุบันนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เรากระทำบนโลกออนไลน์ ล้วนถูกจับจ้อง ถูกตามรอย ถูกประเมิน ทุก ๆ การกระทำที่เราได้ทำไป ล้วนถูกจับตาดูด้วยความระมัดระวัง และบันทึกไว้

ไม่ว่าจะเป็นภาพใดบ้าง ที่เราหยุดมอง และมองมันนานแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รู้ถึงขนาดที่ว่า ตอนไหนที่ใครกำลังเหงา

พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าตอนไหนที่ใครซึมเศร้า เป็นคนชอบเก็บตัว หรือ เข้าสังคม มีอาการทางประสาทชนิดใด ซึ่งพวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับเรามากยิ่งกว่า ที่ใครจะเคยคาดคิดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

และที่สำคัญข้อมูลเหล่านี้นั้น ได้ถูกนำไปวิเคราะห์อยู่แทบจะตลอดเวลา โดยจะถูกนำป้อนเข้าสู่ระบบ ซึ่งแทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอยู่เลยด้วยซ้ำ

ซึ่งพลังของเทคโนโลยี AI Machine Learning ที่อยู่เบื้องหลังระบบเหล่านี้ ทำให้มันคาดการณ์ได้แม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเราจะทำอะไร และ เราเป็นใคร

พวกเขาได้สร้างโมเดล ที่คาดเดาการกระทำของเรา ตัวอย่างเช่น เรามักจะเห็นว่า ระบบเหล่านี้สามารถที่จะทำนายได้ว่า วีดีโอแบบไหนที่จะทำให้เราต้องดูต่อไป และถูกผูกติดกับแพล็ตฟอร์มของพวกเขาไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเรื่องของอารมณ์ ที่ระบบพวกนี้สามารถทำนายได้ว่า อารมณ์แบบไหนที่สามารถกระตุ้นเราได้

พวกเขามีทีมวิศวกรยอดอัจฉริยะ ที่มีหน้าที่ในการ Hack จิตวิทยาของมนุษย์ โดยใช้วิธีการที่จะเจาะลึกลงไปในก้านสมองของเรา และทำการปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างในตัวเราจากข้างใน

และสุดท้ายก็สามารถป้อนคำสั่งเราได้ ในระดับที่ลึกลงไป โดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ และนั่นคือการที่พวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของจิตใจมนุษย์นั่นเอง

แต่ที่น่าสนใจคือ สำหรับวัยเด็กหรือกลุ่มวัยรุ่นนั้น การกระทำเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ ดึงความสนใจของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ

Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)
Social Media ได้เริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในก้านสมองของพวกเขา และทำการเข้ายึดอัตลักษณ์ กับความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของเด็ก ๆ (CR:Social Dilemma Netflix)

แม้ว่าโลกเราผ่านการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน สื่อต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ การเข้ามาถึงของอินเทอร์เน็ต รวมถึงโลกของ Social Media

ซึ่งก็มักจะมีคำพูดว่า มนุษย์เราจะสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับมันได้ในท้ายที่สุด และจะเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในท้ายที่สุด เหมือนที่เราได้เคยเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับสิ่งอื่นๆ ที่เคยผ่านมาในแต่ละยุคสมัย

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เครือข่าย Social Media ยักษ์ใหญ่ในตอนนี้ แทบจะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมมันอีกต่อไป เพราะมันได้ปล่อยให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี AI ที่มีความซับซ้อนสูงที่ขึ้นเรื่อย ๆ

ซึ่งผมก็เคยเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไปในหลายโพสต์ แม้กระทั่งผู้นำด้านการพัฒนา AI ของ Facebook เอง ก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันอย่างไร

เพราะมีน้อยคนนัก แม้กระทั่งวิศวกรระดับอัจฉริยะของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เองก็ตามที่จะเข้าใจได้ว่า คอมพิวเตอร์ หรือ AI เหล่านี้มันกำลังจะทำอะไรอยู่ ซึ่งเทคโนโลยีด้าน AI เหล่านี้ มีความคิดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีมนุษย์เป็นผู้เขียน Code ให้กับมันก็ตามที

ดังนั้นมันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในโลกที่ มนุษย์เราเองนั้น ไม่สามารถที่จะไปควบคุมระบบเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นฝ่าย AI ต่างหากที่ควบคุมข้อมูลของพวกเราอยู่นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2021/09/14/facebook-documents-show-how-toxic-instagram-is-for-teens-wsj.html
https://orge.medium.com/instagram-beware-of-the-toxic-culture-behind-it-7ecff96108b4
https://about.instagram.com/blog/announcements/using-research-to-improve-your-experience
https://www.wsj.com/articles/facebook-knows-instagram-is-toxic-for-teen-girls-company-documents-show-11631620739
The Social Dilemma (Netflix)