กระเป๋านับพันล้าน ธุรกิจบริการกับการพุ่งทะยานของ Apple สู่ใจกลาง Wall Street

เมื่อสิ้นสุดปี 2018 Tim Cook ได้ลดคำสั่งซื้อชิ้นส่วนประกอบที่รวมอยู่ใน iPhone 3 รุ่นล่าสุด แม้ว่า iPhone X จะทำให้แฟรนไชส์ของ iPhone กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ตามที

Cook และบริษัทมีความคาดหวังสูงสำหรับ iPhone รุ่น XR โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่ง Cook ได้ทำการตลาดโทรศัพท์รุ่นดังกล่าวให้ผู้ติดตามนับล้านบน Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำของจีน

แต่ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ภูมิทัศน์การแข่งขันของจีนกำลังเปลี่ยนไป Huawei ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ทำการตลาดด้วยโทรศัพท์หลายรุ่นที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่าและราคาถูกกว่าของ Apple

หนึ่งในนั้นคือ Huawei P20 ซึ่งราคาแทบจะหารสามจากราคาของ iPhone XR แต่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า กล้องที่ดีกว่า และแบตเตอรี่ความจุมากกว่าแบบกินขาด

นั่นทำให้ลูกค้าชาวจีนมองไปที่ Huawei แทน เพราะตอบโจทย์ของพวกเขามากกว่า และพวกเขาแทบไม่ได้ประโยชน์จากบริการด้านซอฟต์แวร์ระดับเทพของ Apple อยู่แล้ว

เนื่องจากผู้ใช้มือถือสมาร์ทโฟนในจีนส่วนใหญ่ ต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำจาก ecosystem ของ WeChat ซึ่งเป็น Super Apps หลักที่ชาวจีนใช้กัน เนื่องจากใช้งานได้ทุกอย่างตั้งแต่การส่งข้อความ การชำระเงิน ไปจนถึงเครือขายโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งบริการเรียกรถ

Huawei P20 ที่แรงขึ้นมาท้าชน iPhone (CR:Black Miners Museum)
Huawei P20 ที่แรงขึ้นมาท้าชน iPhone (CR:Black Miners Museum)

เมื่อ iPhone XR ขายไม่ออก Cook ก็เริ่มโฟกัสไปที่ทีมขายและทีมงานด้านการตลาดของเขา และต้องพบความจริงที่แสนปวดร้าว เพราะ iPhone นั้นมีคุณภาพสูงเกินไป ทำให้การอัพเกรดจาก iPhone รุ่นเก่า ๆ เริ่มช้าลง

ฝั่ง Wall Street ผลกระทบนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน มูลค่าของ Apple ที่ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกถูกแทนที่ด้วย Microsoft อดีตศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา

วันที่ 2 มกราคม 2019 Apple ได้ออกจดหมายจาก Tim Cook ถึงนักลงทุนโดยลดการคาดการณ์ยอดขายรายไตรมาสของบริษัทเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

โดย Cook ได้กล่าวว่า Apple ได้คาดการณ์ยอดขายที่ 84 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหวังไว้ที่ 89 พันล้านดอลลาร์

การปรับลดลงอย่างน่าประหลาดใจนี้ทำให้บริษัทคาดการณ์การเติบโตของบริษัทที่ลดลง 4.5 เปอร์เซ็นต์

Cook ได้พูดถึงความต้องการ iPhone ที่ลดลงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนเป็นต้นเหตุของความถดถอยของ Apple

“เราเชื่อว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในจีนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐอเมริกา” เขาเขียน “ในขณะที่บรรยากาศของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน และผลกระทบดูเหมือนจะไปถึงกลุ่มผู้บริโภคด้วยเช่นเดียวกัน โดยปริมาณ Traffic ในร้านค้าปลีกของเราและพันธมิตรช่องทางการขายของเราในจีนลดลดเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา”

และเพียงแค่วันถัดมาราคาหุ้นของ Apple ก็ร่วงลงไป 10 เปอร์เซ็นต์และบริษัทก็สูญเสียมูลค่าไปถึง 75 พันล้านดอลลาร์

ซึ่งการลดลงในวันเดียวครั้งนี้เป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Apple ในรอบ 6 ปี และทำให้การประเมินมูลค่าของบริษัทลดลงไปสู่ระดับที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2017

แน่นอนว่ามันทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สั่นคลอนได้เลยทีเดียว เพราะ Apple ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่เหล่านักลงทุนสถาบันถือไว้มากที่สุด ซึ่งรวมอยู่ทั้งในกองทุนรวม กองทุนดัชนี ฯลฯ

ผลกระทบนั้นยังส่งไปถึงนักลงทุนชื่อดังอย่าง Warren Buffet จาก Berkshire Hathaway หรือแม้กระทั่งคนเฒ่าคนแก่ในฟลอริดาไปจนถึงคนทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์แถบมิดเวสต์ต่างก็ลงทุนในธุรกิจของ Apple ซึ่งพวกเขาทั้งหมดได้รับความเดือดร้อน

ในขณะที่ธุรกิจ iPhone กำลังถดถอย คำถามสำคัญของ Cook ก็พุ่งเป้าไปที่ Apple Store ที่เป็นธุรกิจค้าปลีกที่ดูแลโดย Angela Ahrendts อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Burberry

ต้องเรียกได้ว่า Cook คาดหวังกับผลงานกับเธอไว้สูงมาก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการอันล้นเหลือจาก Cook ได้เลย

คนที่ทำงานกับ Ahrendts กล่าวว่าเธอไม่ได้มีตัวเลขหรือมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเลขปลีกย่อยตามที่ Cook ต้องการ เพราะเธอมาจากสายแฟชั่นที่เน้นไปที่เรื่องของอารมณ์เป็นหลัก ไม่ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาซัพพอร์ตมากนัก

และการประชุมเริ่มดุเดือดขึ้นหลายครั้งในช่วงต้นปี 2019 ทำให้สุดท้าย Cook และ Ahrendts ตกลงที่จะแยกทางกัน

เพื่อทดแทนตำแหน่งดังกล่าว Cook จึงหันไปหา Deirdre O’Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation มาอย่างยาวนาน

O’Brien เคยร่วมงานกับ Apple ในปี 1998 ตอนที่ Cook เพิ่มมาถึง และสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองในฐานะสมาชิกคนสำคัญของทีม Operation ด้วยการคาดการณ์ความต้องการผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้อย่างแม่นยำ และแทบจะมีนิสัยที่ตรงข้ามกับ Ahrendts เพราะเธอสนุกสนานไปกับเรื่องตัวเลขรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่เธอผ่านการทำงานกับ Cook มาก่อนหน้านี้

Deirdre O'Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation ที่เข้ามาแทนที่ Ahrantds (CR:Khaleej Times)
Deirdre O’Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation ที่เข้ามาแทนที่ Ahrantds (CR:Khaleej Times)

ไม่นานหลังจากมีการการประกาศการจากลาของ Ahrendts ทางฝั่งของ Jimmy Iovine ผู้ก่อตั้ง Beats ที่ Apple ได้เข้าซื้อกิจการมาก็วางแผนที่จะแยกทางกับบริษัทเช่นเดียวกัน

Apple Music ที่เขาช่วยสร้าง มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคอนเทนต์จากฮอลลีวูและที่เขาผลักดันได้รับการพัฒนาโดยอดีตผู้บริหารของ Sony อย่าง Zack Van Amburg และ Jamie Erlicht

Iovine เริ่มรู้สึกว่า Apple มีขนาดใหญ่เกินไปและเป็นองค์กรแบบราชการเกินกว่าจะก้าวตามวัฒนธรรมแบบสมัยนิยมได้ และมันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นห้าปีหลังจากการขาย Beats ให้กับ Apple มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ เขาจึงตัดสินใจที่จะเกษียณ

Eddy Cue ซึ่งเป็นผู้ดูแลด้านบริการของ Apple ได้เข้ามาทำหน้าที่แทน Iovine และในช่วงไม่กี่เดือนถัดมา ครีเอทีฟอาวุโสที่สุดของ Apple สองคนก็ได้ลาออกตามไป

Cook ได้ทำการยกเครื่องบอร์ดบริหารครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าเขากำลังสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่อีกครั้งที่เขาสามารถควบคุมได้ทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ ในสถานการณ์ที่วิกฤติเขาจึงต้องพึ่งพามือดีที่เป็นคนรู้ใจ เหล่าผู้บริหารที่มีวินัยและทักษะในสิ่งที่เขารู้ดีที่สุด นั่นก็คือ ผู้บริหารลูกหม้อเก่าจากฝ่าย Operation ที่เขาเคยกุมบังเหียนมาก่อน

กระเป๋านับพันล้าน

สำหรับ Cook แล้ว เขาได้เตรียมรับมือสิ่งเหล่านี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะวิกฤติที่เกิดขึ้นกับ iPhone ที่เป็นผลิตภัณฑ์ทำเงินหลักของบริษัท

Cook วางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาตั้งใจสร้างสรรค์และจะกลายเป็นจุดหักเหที่สำคัญที่สุดของ Apple เลยก็ว่าได้

ที่ Apple Park ทาง Cook ได้เชิญเหล่าดารา เซเลบริตี้ชื่อดังในฮอลลีวูดมาที่สำนักงานใหญ่ของ Apple เพื่อแสดงสิ่งบางอย่าง

กลยุทธ์ส่วนหนึ่งเกิดจากความจำเป็น Cook ได้มองเห็นอนาคตที่ App Store ที่เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำแหล่งทำเงินหลักในสินค้าด้านบริการกำลังจะสูญสิ้นไป

Apple ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการเรียกเก็บเงิน 30 เปอร์เซ็นต์ที่เรียกเก็บจากเหล่านักพัฒนาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ของตนเองให้กับผู้ใช้ iPhone

มีการร้องเรียนในรูปแบบเดียวกันจากเหล่าบริษัทเช่น Epic Games ผู้สร้าง Fortnite หรือ Spotify บริการ Music Streaming ชื่อดัง ที่มองว่า Apple กำลังผูกขาดผ่านนโยบายของ App Store

Cook รู้ดีว่าวิธีหนึ่งที่บริษัทจะปกป้องตัวเองได้คือการสร้างบริการเหล่านี้ของตัวเอง

แต่กลยุทธ์ดังกล่าวก็เรียกว่าท้าทาย Apple เป็นอย่างมาก เพราะจุดแข็งของ Apple คือการสร้างอุปกรณ์ที่น่าทึ่งด้วยซอฟต์แวร์ที่ผสานกันได้อย่างลงตัวมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคของ Jobs

ส่วนประวัติความเป็นมาในธุรกิจด้านบริการนั้น ไล่มาตั้งแต่ iTunes ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามซึ่งได้เปลี่ยนโฉมวงการเพลง ส่วน Apple Maps กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า หรือ Siri ซึ่งเป็นบริการผู้ช่วยเสมือนจริงของ Apple ก็ล้าหลังคู่แข่งในด้านประสิทธิภาพ

ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์ที่เปลี่ยนเกมตัวถัดไปอย่างที่พวกเขาเคยทำได้กับ iPhone , iPad หรือแม้กระทั่ง iPod ตัว Cook เองเลือกที่จะเดิมพันว่าเขาสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้ายึดติดกับ iPhone โดยเชื่อมโยงเข้ากับบริการอย่าง Apple Music และบริการอื่น ๆ

ตามสูตรการนำเสนอของ Apple Cook ได้เปลี่ยนผู้ชมจากบริการหนึ่งไปอีกบริการหนึ่ง เขาเริ่มต้นด้วยการแนะนำ Apple News+ ซึ่งเป็นบริการที่มีค่าใช้จ่าย 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

โดยสามารถเข้าถึงนิตยสารมากกว่า 300 ฉบับได้ไม่จำกัด รวมถึง Vogue , The New Yorker และ National Geographic

เขาเปิดตัวบัตรเครดิต Apple Card ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Goldman Sachs และยังได้แนะนำ Apple Arcade ซึ่งเป็นบริการสมัครสมาชิกวีดีโอเกมรายเดือน

แต่ในขณะที่ Cook กำลังท่องบทอยู่บนเวที มันแทบไม่น่าตื่นเต้น ฝูงชนจากฮอลลีวูดเริ่มกระสับกระส่ายและเบื่อหน่าย ทั้ง นิตยสาร บัตรเครดิต และวีดีโอเกม มันแทบไม่เหมือนกับความคุ้นเคยที่พวกเขาเคยดู Steve Jobs เปิดตัวอุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกมานานหลายปี

หรือการปิดท้ายด้วยบริการทีเด็ดที่ Cook หวังจะได้รับเสียงปรบมืออย่าง Apple TV+ ที่โม้ว่าจะมีเหล่านักแสดงชื่อดัง ผู้กำกับชื่อดังมาเข้าร่วมนั้นมันก็ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนทำให้เหล่าฝูงชนผิดหวัง

แต่ความผิดหวังของผู้ชมไม่ได้หยุด Cook เพราะเขาได้ขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งแล้วบอกว่ามีอีกเรื่องหนึ่ง (one more thing)

ทั้งห้องมืดลงเมื่อวีดีโอเริ่มเล่นพร้อมด้วยข้อความสีขาวบนหน้าจอสีดำ เมื่อแสงสว่างสาดส่องไปที่กลางเวที Oprah Winfrey ยืนอยู่บนเวทีในชุดเสื้อสีขาวและกางเกงสีดำ ฝูงชนต่างพากันลุกขึ้นยืน กรีดร้องและปรบมือกันอย่างหนัก

“โอเค” ในที่สุดเธอก็พูดออกมา “สวัสดี.” ฝูงชนหัวเราะขณะที่น้ำเสียงที่เป็นมิตรของเธอดังไปทั่วทั้งห้อง

“พวกเราทุกคนต่างโหยหาความสัมพันธ์” เธอกล่าว “เราค้นหาพื้นที่ร่วมกัน เราต้องการให้มีคนฟัง แต่เราก็ต้องฟัง เปิดกว้างและมีส่วนร่วมด้วยเช่นเดียวกัน”

เธอบอกว่านั่นคือเหตุผลที่เธอเซ็นสัญญาเป็นพิธีกรในรายการของ TV+ เพราะ Apple อนุญาตให้เธอทำสิ่งที่เธอทำมานานหลายปีในวิธีการแบบใหม่แทบจะทั้งหมด”

“เพราะว่า” – เธอยักไหล่และยกมือขึ้น จากนั้นเธอก็โน้มตัวไปข้างหน้าราวกับจะบอกความลับ – “พวกเขามีอุปกรณ์ (iPhone) ในกระเป๋าของผู้คนนับพันล้าน”

เมื่อเธอพูดจบ Cook ก็เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมปรบมือ เขาโน้มตัวลงไปกอดเธอ “คุณนี่น่าทึ่งมาก” เขาพูดเบา ๆ

แขนของ Oprah โอบล้อมเอวของ Cook ขณะที่เขากำลังเช็ดน้ำตาจากหางตา นั่นทำให้เพื่อนร่วมงานของ Cook ประหลาดใจกับการแสดงออกทางอารมณ์ครั้งนี้ และต่างคิดว่าชายผู้มาจากเมืองเล็ก ๆ ในแอละบามาคงรู้สึกเอ่อล้นจากการที่เขามีส่วนในการชวน Oprah ให้มาเป็นคีย์หลักของรายการโทรทัศน์ที่พวกเขาต้องการนำเสนอต่อโลก

Oprah ที่ทำให้ Tim Cook ถึงกับต้องเสียน้ำตา (CR:Shacknews)
Oprah ที่ทำให้ Tim Cook ถึงกับต้องเสียน้ำตา (CR:Shacknews)

Oprah ยิ้มและหัวเราะ การนำพาความรู้สึกอันลึกซึ้งของผู้คนออกมาคือพลังพิเศษของเธอ และเธอก็ทำให้คนนับไม่ถ้วนร้องไห้ในอาชีพการงานของเธอ การที่เธอสามารถปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของ CEO ที่ไม่ค่อยแสดงความคิดหรืออารมณ์ออกมายิ่งเสริมเสน่ห์ให้กับเธอมากยิ่งขึ้น

“ผมจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้” Cook พูดพร้อมกับหัวเราะ และเช็ดน้ำตาอีกครั้ง “ขอโทษ” เขากล่าวกับฝูงชน

ข้างหลังเขามีภาพขาวดำของรูปถ่ายในคืนก่อนหน้านั้นซึ่งมีทีมงานของ Apple ทุกคนยกเว้น Cook

“คนกลุ่มนี้คือผู้ที่เรานับถือสำหรับเสียงที่ยิ่งใหญ่ ความคิดสร้างสรรค์อันน่ามหัศจรรย์และมุมมองที่หลากหลายอย่างยิ่ง” Cook กล่าว “พวกเขามีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมของเรา และเราตื่นเต้นมาก” เสียงของเขาสั่นเครือ และเขาหยุดพูดชั่วขณะ

“ผมรู้สึกได้รับเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา” Cook กล่าว

ในขณะที่ฝูงชนเริ่มออกจากงาน บางคนรู้สึกสับสน คนจากฮอลลีวูดต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนรายการทีวี คนในโลกการเงินต่างตะเกียกตะกายเพื่อเพื่อค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรเครดิต อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอปข่าว แต่ละกลุ่มถูกบดบังด้วยทัศนคติแคบ ๆ ของตนเอง กระบวนการปฏิวัติครั้งนี้จึงแทบจะผ่านไปโดยแทบไม่มีใครสังเกต

หลังจากถูกถามคำถามเดิม ๆ นานนับปีว่า อุปกรณ์ใหม่ตัวถัดไปคืออะไร? – ในที่สุด Cook ก็ได้คำตอบแล้วว่า “ไม่มีเลย”

ข้อความของเขาต้องการสื่อสารไปยัง Wall Street ว่าเขาต้องการให้นักลงทุนเห็นว่า Apple กำลังทำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

แทนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียง Cook วาดภาพอนาคตที่ Apple จะเฉิดฉายในรัศมีของผู้อื่นแทน

เขาไม่ต้องการเพียงแค่อัปเดท iPhone ทุกปีเท่านั้น เขาต้องการให้ผู้คนจ่ายค่าสมัครสมาชิก Apple สำหรับภาพยนตร์ที่พวกเขาดูบน iPhone

เขาไม่ต้องการเพียงแค่อำนวยความสะดวกในการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล เขาต้องการให้ Apple เป็นผู้ประมวลผลทุกธุรกรรม และเขาไม่ต้องการให้ Apple เป็นเพียงหน้าจอที่ผู้คนอ่านบทความ เขาต้องการขายสิทธิ์ในการเข้าถึงนิตยสารที่พวกเขาอ่าน

Cook มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจเหล่านี้มาหลายปีแล้ว เขาเพียงแค่วางแผนที่จะไปถึงจุดนั้น โดยเริ่มจากการซื้อ Beats ในปี 2014 ชักชวนตัวแทนและผู้กำกับจากฮอลลีวูดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและสร้างพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับ Goldman Sachs

Cook มองเห็นทุกสิ่งเหล่านี้ที่จะช่วยให้ Apple หลุดพ้นจากวงจรการขายฮาร์ดแวร์ที่เหมือนจะดูเหนื่อยล้าเต็มที แล้วก้าวเข้าสู่โลกของธุรกิจบริการที่มีโอกาสเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และสุดท้ายเมื่อ Wall Street เริ่ม Get กับกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ราคาหุ้นของ Apple ก็พุ่งทะยาน แทบจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นปี บริษัทที่เคยเป็นที่รักของมหาชนได้กลายมาเป็นที่รักของ Wall Street มันเป็นชัยชนะของ Tim Cook อย่างสมบูรณ์แบบ

References :
หนังสือ After Steve: How Apple Became a Trillion-Dollar Company and Lost Its Soul โดย Tripp Mickle
https://www.cnet.com/tech/services-and-software/oprah-brings-apple-ceo-tim-cook-to-tears/
https://www.cnbc.com/2019/03/26/oprah-had-best-explanation-for-what-apples-tv-event-was-really-about.html

Joseph Tsai ชายผู้ยอมทิ้งเงินเดือนหกหลักมารับเงินเพียงไม่กี่ร้อยหยวนเพื่อร่วมงานกับ Jack Ma

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1999 ในบ้านธรรมดาหลังหนึ่งในหมู่บ้านริมทะเลสาบเมืองหังโจวซึ่งเป็นบ้านของ แจ๊ค หม่า เป็นบ้านที่แสนธรรมดามีเนื้อที่เพียง 150 ตารางเมตรมีโต๊ะเก่า ๆ และเก้าอี้อยู่ไม่กี่ตัว

แต่วันนี้สำหรับพนักงานอาลีบาบาแล้วนั้น เป็นวันที่ควรแก่การรำลึก บ้านหลังนี้เป็นที่แห่งแรกที่ใช้ในการบ่มเพาะความฝันแรกเริ่มของอาลีบาบาและที่แห่งนี้ยังเคยเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจแรกของแจ็คอย่างไชน่าเพจเจส

สำหรับผู้ร่วมการประชุมครั้งนี้คือบรรดาผู้ก่อตั้ง อาลีบาบา จนกลายเป็นชื่อที่เรียกกันติดปากในภายหลังว่าคือ “เหล่า 18 อรหันต์” ซึ่งในวันนั้นไม่ได้มาทั้งหมดที่ประชุมมีเพียง 16 คน (ส่วนอีก 2 คนร่วมการประชุมผ่านทางโทรศัพท์)

เหล่า 18 อรหันต์ เหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่อายุยังน้อยซึ่งยังมีต้นทุนให้เสียได้ หากอาลีบาบามันไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่แจ็คหวังไว้ พวกเขาเหล่านี้ก็สามารถที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ทันอยู่

แจ็ค หม่ากับเหล่า 18 อรหันต์ ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบา (CR : X)
แจ็ค หม่ากับเหล่า 18 อรหันต์ ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบา (CR : X)

แต่แจ็คค่อนข้างมั่นใจอย่างมากเพราะแนวโน้มของอินเทอร์เน็ตกำลังมาแรง แจ็คเปรียบเหมือนแม่ทัพที่กระตุ้นคนหนุ่มสาวเหล่านี้ให้สู้พร้อมที่จะบุกและตะลุยกับ อาลีบาบา โปรเจคใหม่ของแจ็ค

แต่ก็ต้องบอกว่าความฝันอันยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียวของแจ็คคงพาอาลีบาบาไปได้ไม่ถึงไหน สิ่งที่อาลีบาบาต้องการอย่างสูงในการพาบริษัทก้าวขึ้นไปอีกระดับให้ได้นั่นก็คือคือพนักงานระดับมืออาชีพและมีฝีมือ

แต่การจะที่จะหาพนักงานระดับ top มาร่วมงานกับอาลีบาบาได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก เพราะหลังจากเริ่มต้นบริษัทมาได้ไม่นานฐานะทางการเงินของอาลีบาบาในตอนตั้งต้นนั้นเงินทุนก็แทบร่อยหรอต้องอยู่กันอย่างประหยัดมากถึงมากที่สุดเพื่อประคองบริษัทให้อยู่ได้แม้เริ่มจะมีฐานลูกค้าเข้ามาบ้างแล้วก็ตาม

แต่แล้ววันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม 1999 ชายที่ชื่อ โจเซฟ ไช่ ผู้ที่มีดีกรีเป็นถึงรองประธานและผู้จัดการระดับสูงของบริษัท Investor Asia Limited ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Investor AB อันเป็นบริษัทโฮลดิ้งด้านการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย

โจเซฟเรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากเยล และ MBA จากฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้ที่มากด้วย profile ชนิดที่บริษัทยักษ์ใหญ่แทบจะทั่วทั้งโลกต่างอยากได้ตัวไปร่วมงาน

โจเซฟกำลังทำงานให้บริษัท Investor AB ของสวีเดนซึ่งมีสาขาอยู่ในฮ่องกง ซึ่งเป็นสาขาที่รับผิดชอบกิจการลงทุนความเสี่ยงในเอเชียรวมถึงประเทศจีน ทำให้เขาสนใจเป็นพิเศษกับตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศจีนและมักได้ยินคนพูดถึง แจ็ค หม่า และ อาลีบาบา จากสื่อใหญ่ ๆ อยู่บ่อยครั้ง

ดังนั้นเขาจึงหวังอยู่ตลอดเวลาว่าจะได้พบกับ แจ็ค หม่า สักครั้ง ซึ่งโอกาสนั้นก็มาถึงเขาอย่างรวดเร็ว ในต้นเดือน พฤษภาคม 1999 โจเซฟบินจากฮ่องกงไปหังโจวในฐานะตัวแทนของ Invest AB เพื่อไปหาช่องทางลงทุนในจีน ซึ่ง บริษัทที่ โจเซฟ นึกถึงแห่งแรกก็ต้องเป็นอาลีบาบาของ แจ็ค หม่า เป็นแน่แท้อยู่แล้ว

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าการไปพบแจ็คในครั้งนี้นั้น จะเปลี่ยนแปลงอาชีพของเขาไปตลอดกาล คำพูดของแจ็คนั้นมีสเน่ห์ดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก แจ็ค พร่ำพรรณนาถึงความฝันในอาลีบาบาของเขาให้ โจเซฟ ฟังเขาพูดถึงกับว่าเขาจะทำ B2B ที่ดีที่สุดในโลกและอาลีบาบาจะเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขาย online ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

หลังจากนั้น แจ็ค ก็พา โจเซฟ ไปตระเวนทัวร์บริษัทซึ่งทำให้ โจเซฟ ทึ่งกับภาพที่เขาเห็น ออฟฟิศที่มีคนนั่งเบียดเสียดกันอยู่ยี่สิบกว่าคนบนพื้นเต็มไปด้วยผ้าปูเตียงเก่า ๆ แต่ โจเซฟ ประทับใจฉากเหล่านี้มาก ๆ โดยเฉพาะบุคลิกและสเน่ห์ของแจ็คที่เปรียบเสมือนลูกพี่ใหญ่ของบริษัทที่หาใครเทียบได้ยาก

หลังจากผ่านการพบเจอกันครั้งแรก อีกราว ๆ ครึ่งเดือน โจเซฟ ก็ต้องกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาพาภรรยามาด้วย แจ๊ค พา โจเซฟ ไปพายเรือในทะเลสาบหังโจวที่ติดกับออฟฟิศหลักของอาลีบาบา

ในระหว่างพายเรือกันอย่างสนุกสนานเมื่อถึงกลางลำน้ำ โจเซฟ หยุดฝีพายลง แล้วหันไปกล่าวกับแจ็คที่อยู่ข้างหลังว่า “แจ็ค งานที่ฮ่องกงผมจะไม่ทำแล้ว ผมจะเข้าร่วมกับอาลีบาบา ทำงานกับคุณดีไหม”

โจเซฟ และ ภรรยา พยายามขอร้องให้แจ็ครับไปทำงานด้วย เพราะนี่เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ โจเซฟ ได้ร่วมงานกับบริษัทที่มีอนาคตที่สดใสอย่างอาลีบาบา โจเซฟ นั้นเชื่อในวิสัยทัศน์ของแจ็คอย่างแรงกล้ายอมทิ้งเงินเดือนหกหลักที่บริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่มารับเงินเพียงไม่กี่ร้อยหยวนเพื่อร่วมงานกับแจ็ค

โจเซฟ ที่ต้องการร่วมงานกับ แจ็ค หม่า (CR:Forbes)
โจเซฟ ที่ต้องการร่วมงานกับ แจ็ค หม่า (CR:Forbes)

และ โจเซฟ นี่เองเป็นคนแรกในบรรดาอีกหลายคนที่จะตามที่ถูกมนต์สเน่ห์ของแจ็คดึงดูให้สยบ และยอมมาทำงานด้วยในอาลีบาบา

โดย โจเซฟ เข้าร่วมงานในตำแหน่ง CFO (Chief Financial Officer) ในเดือนมิถุนายน 1999 ซึ่งเพราะการเข้าร่วมของ โจเซฟ นี่เองที่เปลี่ยนแปลงอาลีบาบาให้กลายเป็นบริษัทที่มีระบบและ Go Inter ได้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งได้ไม่นาน

และบทบาทสำคัญคือ โจเซฟ ทำหน้าที่ตั้งสำนักงานใหญ่อาลีบาบาที่ฮ่องกง รับผิดชอบด้านตลาดระหว่างประเทศ การขยายกิจการ และ การเงินของบริษัท ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก ๆ ที่ได้อดีตนักลงทุนมืออาชีพมาในช่วงเวลาเช่นนี้เพราะตอนนี้แจ็คกับอาลีบาบาก็ห่างจากเงินทุนไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

ตอนที่โจเซฟ เข้าร่วมงานกับอาลีบาบา ต้องบอกว่าตอนนั้นเงินทุนของอาลีบาบาแทบจะไม่เหลือหลอแล้ว อาลีบาบาต้องการเงินหมุนเวียนมาคลี่คลายสถานการณ์เช่นนี้ โจเซฟ ต้องทำหน้าที่เฟ้นหานักลงทุนให้มาลงทุนกับอาลีบาบา โดยเฉพาะที่ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศอย่างที่ฮ่องกง

และด้วย connection ของ โจเซฟ นี่เองที่นำพา อาลีบาบา ไปพบกับโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งตอนนั้นเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งวงการลงทุนของโลก ซึ่งทิศทางการลงทุนของโกลด์แมน แซคส์นั้นจะมุ่งที่อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเป็นหลัก แต่เมื่อถึงปี 1999 กระแสดอทคอมกำลังร้อนแรงบริษัทลงทุนเก่าแก่แห่งนี้จึงเกิดความอยากเข้ามาเสี่ยงมากขึ้นบ้าง 

ซึ่งเมื่อว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้วนั้น เมื่อเทียบกับบริษัทการลงทุนอื่น ๆ ที่แจ็คกับ โจเซฟ กำลังเจรจาอยู่นั้น เงื่อนไขของโกลด์แมน แซคส์โหดกว่ามาก ๆ แต่ในฐานะภูมิหลังความเป็นอินเตอร์ของโกลด์แมน แซคส์ การที่สามารถดึงมาเป็นผู้ถือหุ้นได้นั้นย่อมเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาในระยะยาวของอาลีบาบามากกว่าบริษัทลงทุนอื่น ๆ 

ซึ่งกองทุน Angel Fund ของโกลด์แมน แซคส์ หลักการสำคัญหนึ่งที่บรรดาผู้ลงทุนต้องเคารพคือ การที่จะไม่ก้าวก่ายการบริหารของอาลีบาบา นี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่แจ็คต้องการ ทำให้แจ็คสามารถนำพาทีมงานของเขาได้อย่างคล่องตัวโดยไม่ถูกแทรกแซงจากนักลงทุนทำให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับเงื่อนไขและยินดีร่วมมือกันในที่สุด

โกลด์แมน แซคส์ ที่เป็นกลุ่มทุนแรก ๆ ให้กับอาลีบาบา (CR:Fx News Group)
โกลด์แมน แซคส์ ที่เป็นกลุ่มทุนแรก ๆ ให้กับอาลีบาบา (CR:Fx News Group)

ในเดือนตุลาคม 1999 กลุ่มทุนซึ่งนำโดยโกลด์แมน แซคส์ ร่วมด้วย Fidelity Investment Group , Invest AB ตลอดจนกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีของรัฐบาลสิงค์โปร์ ก็ร่วมกันลงทุนในอาลีบาบาด้วยเงินก้อนแรกเป็นจำนวนห้าล้านเหรียญสหรัฐซึ่งนี่ถือเป็นกองทุน Angle Fund ก้อนแรกในประวัติศาสตร์ของอาลีบาบา

การที่อาลีบาบาได้ขุนพลระดับพระกาฬอย่าง โจเซฟ ไช่ ผู้ซึ่งมากดีกรีความสามารถที่ยอมสวามิภักดิ์ให้กับแจ็คแต่โดยดี ด้วยมนต์สเน่ห์ทางคำพูดของแจ็ค

แม่ทัพใหญ่เมื่อได้ขุนพลชั้นดี ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางอุโมงค์กับอาลีบาบา โดยเฉพาะเงินทุนก้อนแรกที่สำคัญที่สุดที่จะพาอาลีบาบาก้าวข้ามจากบริษัทเล็ก ๆ ในหังโจว ให้ก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีโลกได้สำเร็จอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built by Duncan Clark
หนังสือ ชีวประวัติ แจ็ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก
ผู้เขียน หลิวซื่ออิง
ผู้แปล ชาญ ธนประกอบ
https://en.wikipedia.org/wiki/Joseph_Tsai

The PodFather กับวลี “อีก 10 ปีจากนี้ไป Apple จะกลายเป็นบริษัทเพลง ไม่ใช่บริษัทคอมพิวเตอร์”

ถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่ชื่อ โทนี่ ฟาเดลล์ มันก็ไม่อาจจะทำให้ สตีฟ จ็อบส์ สามารถพลิกฟื้น Apple กลับมาได้สำเร็จ โปรแกรมเมอร์หนุ่มมาดกร่าง หน้าตาและการแต่งตัวออกไปทางแนวไซเบอร์พังค์ เป็นคนมีเสน่ห์ที่รอยยิ้ม และมีหัวคิดแบบเจ้าของกิจการ และที่สำคัญมีความเชี่ยวชาญทางด้านฮาร์ดแวร์โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการฟังเพลง

และเป็น จอห์น รูบินสไตน์ ผู้บริหารที่ดูแลด้านฮาร์ดแวร์ของ Apple ในยุคนั้นที่เป็นคนไปค้นพบโทนี่ ฟาเดลล์ เข้า

ฟาเดลล์ เคยตั้งบริษัทถึง 3 แห่งสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยมิชิแกน พอเรียนจบก็ได้เข้าไปทำงานที่ General Magic ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา แล้วย้ายข้ามห้วยไปยัง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก

ฟาเดลล์ มีไอเดียอย่างแรงกล้าที่จะทำเครื่องเล่นเพลงที่ดีกว่าเครื่องที่มีขายอยู่ในท้องตลาด เขาเคยไปนำเสนอไอเดียที่ RealNetwork , Sony และ Philips แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ 

และในวันหนึ่งที่ฟาเดลล์ ในขณะที่เขากำลังเล่นสกีอยู่กับลุงที่เมืองเวลรัฐโคโลราโด ระหว่างที่นั่งลิฟต์ขึ้นเขา เพื่อไปเล่นสกีเหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ปลายสายคือ รูบินสไตน์ ที่เป็นผู้อำนวยด้านด้านฮาร์ดแวร์ ของ Apple ซึ่งได้แจ้งเขาว่ากำลังหาคนที่จะมาช่วยทำ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก” ซึ่งคนระดับฟาเดลล์นั้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เขาทำอุปกรณ์พวกนี้เก่งในระดับที่หาตัวจับยาก รูบินสไตน์ จึงได้เชิญ ฟาเดลล์ เข้าไปพบที่ office ของ Apple ในคูเปอร์ติโน่

ฟาเดลล์ เข้าใจว่า Apple นั้นจะจ้างไปทำเครื่อง PDA แต่เมื่อได้พบกับ รูบินสไตน์ การสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ iTunes ที่ Apple เพิ่งได้ทำเสร็จก่อนหน้านั้นไม่นาน

ปัญหาในตอนนั้นคือทาง Apple พยายามที่จะใช้เครื่องเล่น mp3 ที่มีในตลาดเพื่อใช้งานกับ iTunes ซึ่งพบว่า ไม่มีอุปกรณ์ไหนที่สามารถตอบโจทย์ของ Apple ได้เลย ตอนนั้นมีแต่อุปกรณ์เล่น mp3 ห่วย ๆ อยู่เต็มตลาดไปหมด Apple อยากที่จะสร้างเวอร์ชั่นของตัวเองขึ้นมา

ฟาเดลล์ ที่ถูกชักชวนมาสร้างเครื่องเล่น MP3 ให้กับ Apple (CR: Apple Wiki)
ฟาเดลล์ ที่ถูกชักชวนมาสร้างเครื่องเล่น MP3 ให้กับ Apple (CR: Apple Wiki)

และมันทำให้ ฟาเดลล์ รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รักในเสียงดนตรี และเคยพยายามนำไอเดียที่เขาคิดไปเสนอที่ RealNetworks เหมือนกัน ตอนที่ RealNetworks กำลังนำเสนอเครื่องเล่น mp3 ให้กับบริษัท Palm แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ ฟาเดลล์ เป็นคนที่รักอิสระเขาไม่อยากที่จะเป็นพนักงานเต็มตัวของ Apple เขาแค่อยากร่วมงานในฐานะที่ปรึกษาเพียงเท่านั้น

รูบินสไตน์ ได้พยายามบีบบังคับให้ ฟาเดลล์ ทิ้งไพ่ในมือด้วยการมัดมือชก และยืนกรานว่าหาก ฟาเดลล์ ต้องการที่จะเป็นหัวหน้าทีมก็ต้องเข้ามาเป็นพนักงานเต็มตัวของ Apple เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

และมีการเรียกทีมงานทั้งหมดที่จะทำโปรเจกต์นี้กว่า 20 คนเข้ามารวมตัวแล้วยื่นคำขาดกับ ฟาเดลล์ ว่าต้องให้ตัดสินใจโอกาสที่ทาง Apple มอบให้เดี๋ยวนั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ แม้ตัว ฟาเดลล์ จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ได้เสนอตอบรับมาร่วมทีมในท้ายที่สุด

และสุดท้าย Apple ก็ได้ว่าจ้าง ฟาเดลล์ ในปี 2001 และได้สร้างทีมพัฒนาขนาด 30 คนให้ที่มีทั้ง Designer , Programmers รวมถึง Hardware Engineers เพื่อทำโครงการนี้ 

ช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังจากฟาเดลล์ เข้ามาร่วมทีมทุกคนต่างยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาทะเลาะกัน จ็อบส์อยากให้ iPod (ชื่อที่เรียกแทนเจ้าอุปกรณ์ตัวใหม่นี้) ออกวางตลาดให้ทันช่วงคริสต์มาส์ ซึ่งมันแปลว่าต้องทำเสร็จพร้อมเปิดตัวในเดือนตุลาคมซึ่งมันมีระยะเวลาเพียงแค่ 8 เดือน ถือเป็นช่วงเวลาที่บีบคั้นมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คนภายในทีม

ตอนนั้นทีมงานต่างมองหาดูว่ามีบริษัทไหนออกแบบเครื่องเล่น MP3 ที่พอจะใช้เป็นพื้นฐานการทำงานของ Apple ได้บ้าง และได้ตัดสินใจเลือกบริษัทเล็ก ๆ ที่ชื่อ PortalPlayer ให้มาทำเป็นเครื่องต้นแบบ Mp3 Player ของ Apple

PortalPlayer นั้นมีเครื่องต้นแบบอยู่ตัวหนึ่งที่มีขนาดเท่าซองบุหรี่ ซึ่งว่ากันว่ามันมีหน้าตาที่ดูน่าเกลียดมาก ๆ ดูเหมือนวิทยุราคาถูก ที่มีปุ่มเยอะ ๆ ซึ่งมันเป็นที่เข้าใจได้ เพราะว่าบริษัท PortalPlayer เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ ผลิตภัณฑ์ทุกตัวจึงถูกออกแบบโดย Hardware Engineer

แต่ ฟาเดลล์ เห็นตรงกันข้ามเมื่อเขาได้เห็นเจ้าเครื่องตัวนี้ เขารู้สึกทึ่งมากและคิดว่านี่แหละจะเป็นตัวต้นแบบของ iPod ที่ apple จะสร้างขึ้นมา

โดยขณะนั้น PortalPlayer นั้นมีลูกค้าอยู่ถึง 12 ราย และหนึ่งในนั้นคือ IBM ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งร่วมวงการกับ Apple โดย IBM กำลังแอบซุ่มทำเครื่องเล่น MP3 ที่ใช้ฮาร์ดดิสก์ขนาดเล็กของ IBM อยู่

ฟาเดลล์ ได้บีบให้ PortalPlayer ทิ้งลูกค้า 12 รายที่เหลือไป และให้มาร่วมงานกับ Apple เพียงบริษัทเดียว ด้วยข้อเสนอ ที่ PortalPlayer มิอาจปฏิเสธได้ลง และเพิ่มทีมงานจนกลายเป็นทีมขนาดใหญ่ ด้วยจำนวนคนถึง 200 คนที่อยู่ในอเมริกา และเหล่า Engineer อีก 80 คนในอินเดียเพื่อเร่งทำให้มันเสร็จก่อนคริสมาสต์

ตอนนี้เรียกได้ว่า iPod หรือ อุปกรณ์เครื่องเล่น MP3 ตัวใหม่ของ apple ได้ทีมงานที่เพียบพร้อมแล้ว โดย PortalPlayer นั้นจะดูแลเรื่อง Hardware , จ๊อบส์ และ ไอฟฟ์ นั้นจะมาดูแลเรื่อง “User Experience” โดยมี ฟาเดลล์ เป็นหัวเรือหลักในการคุมโปรเจ็คนี้

แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด มันมีข้อบกพร่องมากมายกับเจ้าเครื่อง PortalPlayer ไม่ว่าจะเป็น User Interface ที่ดูซับซ้อน หรือข้อจำกัดในการทำ Playlist ที่ได้ไม่เกิน 10 เพลงเท่านั้น

ฟาเดลล์พบจ็อบส์ ครั้งแรกที่งานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านของ แอนดี้ เฮิร์ตซเฟลด์ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น และเคยได้ยินกิตติศัพท์ของจ็อบส์มามาก ซึ่งหลายเรื่องนั้นฟังแล้วน่าขนลุก แต่เพราะเขายังไม่รู้จักจ็อบส์ดีพอเขาจึงรู้สึกหวั่นใจพอสมควรเมื่อต้องมาประจันหน้ากับจ็อบส์ จริง ๆ ในการประชุมงานเรื่อง iPod

เดือนเมษายน 2001 มีการประชุมนัดสำคัญ วันนั้นจ็อบส์ต้องตัดสินใจเลือกองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับเครื่อง iPod ซึ่ง ฟาเดลล์ เป็นคนนำเสนอโดยมี รูบินสไตน์ ,ฟิล ชิลเลอร์ , เจฟฟ์ ร็อบบิน และ สแตน อึง ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดของ Apple เข้าร่วมฟังด้วย

การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอเรื่องของศักยภาพของตลาด และเนื้อหาทางการตลาดอื่น ๆ ที่เหล่านักการตลาดมักจะทำกัน แต่จ็อบส์เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ สไลด์ชุดไหนที่มีความยาวเกินหนึ่งนาทีเขาจะไม่สนใจทันที และเมื่อถึงฟาเดลล์ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคู่แข่งในตลาดที่ขณะนั้นมีทั้ง Sony  , Creative หรือ Rio  ที่อยู่ในตลาดเครื่องเล่น MP3 เหมือนกัน

แต่จ็อบส์นั้นโบกมืออย่างไม่แยแส จ็อบส์แทบไม่เคยสนใจคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้โปรเจค iPod ยังเป็นความลับอยู่ เหล่าคู่แข่งยังไม่รู้ว่า Apple กำลังทำอะไร

จ็อบส์ ชอบให้เอาสิ่งที่จับต้องได้มาโชว์ เพื่อเขาจะได้สัมผัส ลูบคลำ สำรวจ ฟาเดลล์ จึงได้นำโมเดล 3 แบบเข้ามาในห้องประชุมด้วย รูบินสไตน์ ได้สอนเทคนิคให้จ็อบส์ดูเรียงตามลำดับเพื่อให้ชิ้นที่เขาชอบที่สุดเป็นชิ้นที่เด่นที่สุดทีมงานจึงซ่อนโมเดลที่ชอบไว้ใต้โต๊ะประชุม

จากนั้น ฟาเดลล์ เริ่มเอาโมเดลออกมาโชว์ซึ่งโมเดลเหล่านี้ทำจากโฟมแบบเดียวกับที่ใช้ทำกล่องอาหาร ยัดไส้ตะกั่วเพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม ตัวอย่างแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดสำหรับบันทึกเพลงแบบถอดได้ จ็อบส์ตัดตัวอย่างนี้ออกทันทีมันดูซับซ้อนไป

ตัวอย่างที่สองนั้นใช้เมมโมรี่แบบ dynamic RAM ซึ่งราคาถูกกว่า แต่เพลงทั้งหมดจะถูก delete ทิ้งทันที หากแบตเตอรี่หมดซึ่งแน่นอนว่าจ๊อบส์ไม่ปลื้มอย่างแน่นอน

จากนั้นแบบที่สามคือ ฟาเดลล์ ได้ทำการจับชิ้นส่วนต่อกันเหมือนเลโก้ เพื่อให้ดูว่าเครื่องเล่นบรรจุฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้วจะมีหน้าตาอย่างไรซึ่งโมเดลนี้ จ็อบส์ดูสนใจมาก ๆ  ซึ่งสุดท้าย จ็อบส์ ก็เลือกแบบดังกล่าว ซึ่งทำให้ ฟาเดลล์ ถึงกับทึ่งมาก เพราะปรกติการประชุมแบบนี้ที่บริษัทอื่น จะต้องตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก แต่กับ Apple จ็อบส์ ถือเป็นสิทธิ์ เด็ดขาดสามารถฟันธงได้ทันทีทำให้ทุกอย่างสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างโมเดลต้นแบบของ iPod (CR:Wired)
ตัวอย่างโมเดลต้นแบบของ iPod (CR:Wired)

ต่อจากนั้นเป็นคิวของ ฟิล ชิลเลอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท มันเป็นไอเดียที่สำคัญที่สุดของ iPod ที่ทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาด ชิลเลอร์ ได้นำเสนอล้อกลม ๆ สำหรับใช้เลือกเพลง ( trackwheel ) แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้จะสามารถเลือกเพลงใน Playlist ได้ ยิ่งหมุนนานก็ยิ่งไล่เพลงได้เร็วขึ้นถึงจะมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลงก็สามารถไล่ดูได้ง่ายซึ่งไอเดียนี้ จ็อบส์ร้องอุทาน “นั่นแหละใช่เลย!!!” แล้วสั่งให้ฟาเดลล์กับทีมวิศวกรลงมือทำทันที

โดยหลังจากเริ่มโครงการอย่างเป็นทางการ จ็อบส์ ก็เข้ามาคลุกคลีด้วยทุกวัน จ็อบส์ให้ concept หลักของ iPod คือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” ทุกฟังก์ชันต้องทำได้ภายใน 3 click ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบางครั้งทีมงานต้องพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนของ User Interface แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว

แต่จ็อบส์ก็พยายามหาจุดอ่อน ไปเรื่อย ๆ และให้ทีมงานไปคิดหาวิธีแก้มา ซึ่งบางครั้งทีมงานก็คิดไม่ออกว่าจะไปถึงสิ่งที่จ็อบส์ต้องการได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ ในหลายเรื่องที่ทีมงานต้องมานั่งแก้ไขเพื่อให้จ็อบส์นั้นพอใจ จนตอนนั้นมันทำให้ปัญหาเล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบมลายหายไปเลยทีเดียว เพราะจ็อบส์จะเห็นรายละเอียดในทุก ๆ จุด และสั่งให้แก้ไขมันทันที

แนวคิดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จ็อบส์ได้กำหนดไว้ คือ ควรให้ซอฟท์แวร์ iTunes ในคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือจัดการกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มากที่สุดแทนที่จะทำในเครื่อง iPod

และมีคำสั่งอย่างนึงจากจ็อบส์ที่ทำให้ทีมงานต่างอึ้งกันไปเลยทีเดียวกับความเรียบง่ายตามความต้องการของจ็อบส์  โดยจ็อบส์ไม่ต้องการให้ iPod มีปุ่ม เปิด-ปิด และเราจะสังเกตได้ว่าอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน คือไม่มีปุ่มสวิตช์ เปิด-ปิด โดยจะเข้าสู่โหมดพักทันทีเมื่อไม่ได้ใช้งานและจะตื่นเมื่อแตะแป้นใด  ๆ ก็ได้

แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เริ่มเข้าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นชิปที่เก็บเพลงได้เป็นพันเพลง ส่วนของ User Interface และวงล้อที่ช่วยนำทางไปหาเพลงต่าง ๆ การเชื่อมต่อผ่าน FireWire ที่ช่วยให้ดาวน์โหลดเพลงทั้ง 1,000 เพลง ได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที และแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้ถึง 1,000 เพลงเช่นกัน

ตอนนี้จ็อบส์ เริ่มรู้แล้วว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้มันเจ๋งแค่ไหน ด้วยคอนเซ็ปต์ของเครื่องที่เรียบง่ายและงดงามมันคือ “หนึ่งพันเพลงในกระเป๋าคุณ” 

จ็อบส์ได้เผยโฉมเครื่อง iPod ครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2001 ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ในบัตรเชิญที่ส่งไปยังสื่อนั้นมีข้อความยั่วยวนว่า “คำใบ้: คราวนี้ไม่ใช่ Mac” 

และเมื่อถึงเวลาเผยโฉมผลิตภัณฑ์หลังจากบรรยายสมรรถนะทางเทคนิคแล้วจ็อบส์ไม่ได้เดินไปเปิดผ้าคลุมกำมะหยี่บนโต๊ะอย่างที่เคยทำในทุก ๆ ครั้งที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่เขาแค่พูดขึ้นว่า “ผมบังเอิญมีเจ้านี่อยู่ในกระเป๋า”

เขาล้วงเอาอุปกรณ์สีขาววาววับออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ “เจ้าเครื่องเล็ก ๆ น่าทึ่งนี่จุเพลงได้ 1,000 เพลง และใส่กระเป๋าผมได้พอดี” เขาใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋าแล้วเดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราวจากเหล่าสาวก

นาทีภาพประวัติศาสตร์ที่จ็อบส์ล้วงเอาอุปกรณ์สีขาววาววับออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ (CR:Catalign Innovation)
นาทีภาพประวัติศาสตร์ที่จ็อบส์ล้วงเอาอุปกรณ์สีขาววาววับออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ (CR:Catalign Innovation)

ซึ่งในตอนแรกนั้นบรรดาสาวกแฟนพันธุ์แท้ทางเทคโนโลยีไม่ค่อยเชื่อราคาคุยของจ็อบส์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะการตั้งราคาไว้สูงถึง 399 เหรียญ ทำให้ชาวบล็อกเกอร์ต่างพากันไปเขียนล้อเลียนชื่อ iPod ย่อมาจาก “idiots price our devices” หรือแปลเป็นไทยว่า “คนปัญญาอ่อนเป็นคนตั้งราคาเครื่องให้เรา”

โดยที่วันวางจำหน่ายจริง ๆ ของ iPod ที่ออกสู่ตลาดคือ วันที่ 10 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นหลังเหตุการณ์ 9-11 เพียงหนึ่งเดือน ช่างเป็นลางที่ไม่ดีเลยสำหรับ iPod และไม่เพียงแต่เป็นการออกสู่ตลาดหลังเหตุการณ์เศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกาเท่านั้นแต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ตลาดเทคโนโลยีร่วงตกต่ำแบบสุด ๆ อีกต่างหาก

ไม่เพียงแค่ราคาที่แพงสุดกู่ มันยังต้องใช้คู่กับเครื่อง Macintosh เท่านั้นด้วยซึ่งขณะนั้น Windows แทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

โจนี่ ไอฟฟ์ ได้กล่าวหลังจากเปิดตัว iPod ไว้ว่า  “Apple นำปรัชญาด้านการออกแบบมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เรายังไม่มี และ iPod ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการมาก ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลง Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง” ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือพนักงานของ Apple นั้นบ้าดนตรีอยู่เป็นจำนวนมากพนักงานส่วนใหญ่ต่างคลั่งไคล้ในเสียงดนตรี

แม้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุป คือ การสร้างเครื่องเล่น mp3 ตัวใหม่ขึ้นมา แต่เป้าหมายสำคัญของ Apple ไม่ใช่การหาเงิน เป้าหมายอยู่ที่การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่โครตเจ๋งออกสู่ตลาด เพื่อให้สามารถทำเงินมหาศาลจากมันได้มากกว่า

นอกเหนือจากนั้น iPod ยังกลายเป็นแก่นสำคัญของทุกอย่างที่ Apple ถูกชะตากำหนดมาแล้ว ทั้งบทกวีที่เชื่อมโยงกับวิศวกรรม ศิลปะ และ ความคิดสร้างสรรค์ มาบรรจบกับเทคโนโลยี การออกแบบที่กล้าแต่เรียบง่ายการใช้งานที่ง่ายมาก ๆ ซึ่งมันเป็นผลจากการทำงานอย่างหนักและทำอย่างบูรณาการตั้งแต่ต้นจนจบ

ตั้งแต่ FireWire ถึงตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์ และการจัดการคอนเทนต์ เมื่อลูกค้าหยิบเครื่อง iPod ออกจากกล่อง มันสวยจนดูคล้ายเรืองแสงได้เทียบกันแล้วดูเหมือนเครื่องเล่นเพลงยี่ห้ออื่น ๆ ถูกออกแบบและผลิตในดินแดนที่ล้าหลังเลยทีเดียว

ต้องยอมรับว่าตอนนั้น iPod โครตที่จะสมบูรณ์แบบเลย มันแทบจะสุดยอดนวัตกรรมใหม่ที่คนทั่วโลกต่างตื่นเต้นกับเจ้า iPod เครื่องนี้ และเพียงไม่นานผู้บริโภคก็ทำให้มันกลายเป็นสินค้าขายดี 

และมันส่งผลชัดเจนในเรื่องตัวเลขยอดขายในไตรมาสแรก หลังจากวางตลาดนั้นสูงถึง 250,000 เครื่อง และอีกสิบแปดเดือนต่อมายอดขายก็ทะยานเพิ่มขึ้นมากกว่า 800,000 เครื่อง ส่งผลให้ iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกทันที

iPod มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ยิ่งพวกที่คลั่งเรื่องดีไซน์และเหล่าสาวกของ Apple ต่างหลงรัก iPod กันทั้งนั้น และ มันเริ่มแพร่ขยายลัทธิของ iPod กระจายไปทั่วโลก

มันทำให้ iPod เป็นไอคอนแห่งการฉีกกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีมาทั้งในเรื่องวิศวกรรมรวมถึงศิลปะด้านการดีไซน์ และเพียงไม่นานก็กระโดดเข้าไปกินเรียบส่วนแบ่งการตลาดถึง 70% ของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาทั่วโลก

มีคนเปรียบเทียบ iPod ว่าเป็น walkman แห่งศตวรรษที่ 21 เป็น walkman แห่งยุคดิจิทัลเป็น walkman ที่ Sony นั้นลืมนึกถึงและเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก

ในตลาดเครื่องเล่น MP3 แบบพกพานั้น หลังจากการมาของ iPod ทำให้คู่แข่งต่างๆ เริ่มล้มลุกคลุกคลาน ไม่สามารถที่จะมาต่อกรกับ iPod ของ Apple ได้เลย

โดย Apple ยังคงเดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้งมีการออก iPod รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ iPod Shuffle , iPod Nano , iPod Video ไปจนถึง iPod Touch  และธุรกิจเพลงกลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ Apple มากขึ้นในท้ายที่สุด

ในเดือนมกราคม 2007 ยอดขาย iPod ทำรายได้ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้รวมบริษัทและยังทำให้แบรนด์ Apple เปล่งรัศมีและมีอนาคตที่สดใสมากยิ่งขึ้น

แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ iTunes Store ซึ่งขายเพลงได้ถึง 1 ล้านเพลงหลังเปิดตัวได้เพียง 6 วัน ในช่วงเดือนเมษายน 2003 และมียอดขายในปีแรกสูงถึง 70 ล้านเพลง เดือนกุมภาพันธ์ 2006 iTunes Store ขายเพลงที่ 1,000 ล้านส่วนเพลงที่ 10,000 ล้านนั้นขายออกไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2010

และสุดท้ายมันก็เป็นไปอย่างที่ ฟาเดลล์ เคยทำนายไว้ว่า “โครงการนี้ (iPod) จะปั้น Apple ขึ้นใหม่ และอีก 10 ปีจากนี้ไป Apple จะกลายเป็นบริษัทเพลงไม่ใช่บริษัทคอมพิวเตอร์”

References :

หนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ : Steve Jobs
ผู้เขียน : Walter Isaacson (วอลเตอร์ ไอแซคสัน)
ผู้แปล : ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ

หนังสือ IPOD…แบรนด์ นวัตกรรมและจักรกลบันเทิง
ผู้เขียน : Dylan Jones
ผู้แปล : กรกฎ พงศ์พีระ

https://en.wikipedia.org/wiki/IPod
https://www.cnet.com/pictures/the-complete-history-of-apples-ipod/
https://www.lifewire.com/history-ipod-classic-original-2000732
https://www.nytimes.com/topic/subject/ipod
https://www.businessinsider.com/apple-ipod-oral-history-tony-fadell-2020-1

1 พันล้านกับพนักงาน 13 คน สู่ดีลการซื้อกิจการที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Mark Zuckerberg

ในขณะที่ Facebok เตรียมพร้อมสำหรับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะหรือการทำ IPO ในปี 2012 ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์บริษัททางด้านอินเทอร์เน็ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

Mark Zuckerberg ก็ต้องเริ่มมองความเป็นจริงในเรื่องระยะยาวของธุรกิจของเขา มันคงเป็นโปรเจกต์แบบหอหักนักศึกษาเหมือนเดิมแล้วพุ่งแรงขึ้นมาแบบปากต่อปากไม่ได้อีกต่อไป

ในตอนนั้นผู้ใช้งานเริ่มเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์พกพาอย่างรวดเร็ว Facebook แม้จะมีแอปอยู่แล้ว แต่ก็ต่างจาก Google และ Apple ตรงที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์

นั่นหมายความว่าถ้า Facebook เดินกลยุทธ์ที่ผิดพลาด สุดท้าย Zuckerberg จะสร้างบริษัทของเขาให้อยู่ในวงล้อมของบริษัทอื่นที่เขาเองไม่ได้เป็นเจ้าของในท้ายที่สุด

ดูเหมือนว่าจะมีเพียงสองวิธีในการชนะธุรกิจในเกมระยะยาว หนึ่งคือ วิศวกรของ Facebook ต้องทำให้ Facebook มีประโยชน์จนสามารถที่จะทำให้ผู้คนใช้เวลาบนโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และอีกวิธีก็คือ เขาต้องฆ่าแอปที่คิดจะมาเป็นคู่แข่งของเขาให้ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทอื่น ๆ จะไม่มารุกล้ำอาณาเขตของ Facebook

และในช่วงเวลาเดียวกันของ 2012 ต้องบอกว่า Instagram กลายเป็นหนึ่งดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงเป็นอย่างมาก ผู้ใช้งานเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ๆ แบบที่ไม่เคยมีแพลตฟอร์มใดสามารถทำได้มาก่อน

Instagram ที่กลายเป็นแอปดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนั้น (CR:TechCrunch)
Instagram ที่กลายเป็นแอปดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนั้น (CR:TechCrunch)

Instagram ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ตุลาคม 2010 และมันได้กลายเป็นไวรัลทันที เพราะได้ Jack Dorsey จาก Twitter ที่ซี้กับ Systrom ช่วยโปรโมตผ่านแพล็ตฟอร์ม Twitter

โดยภายในวันแรกมีผู้คนมากกว่า 25,000 คนเข้าใช้งาน Instagram หลังการเปิดตัว ภายในสัปดาห์แรกผู้ใช้งานก็ทะลุ 100,000 เมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุดในปี 2010 ผู้ใช้งานทะลุ 1 ล้านคน และ อีกหกสัปดาห์หลังจากนั้นเพิ่มเป็น 2 ล้านคน

เรียกได้ว่า มันเป็นจังหวะเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในช่วงการแจ้งเกิดของ Instagram เพราะตอนนั้นเครือข่ายมือถือก็มีความพร้อมในเรื่องของเร็วในการอัพโหลดภาพ รวมถึง smartphone เองก็เริ่มมีกล้องหน้า ซึ่งเป็น key สำคัญมาก ๆ ในการแจ้งเกิดของ Instagram ได้ถูกช่วงเวลาพอดิบพอดี

ตัว Zuckerberg ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการระดมทุนรอบล่าสุดมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ของ Instagram และเขาก็เริ่มที่จะตระหนักว่าคู่แข่งที่สดใหม่ วัยรุ่นชอบใจอย่าง Instagram อาจกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องทำคือ “ซื้อ”

Zuckerberg คิดว่าเขารู้วิธีที่จะพูดคุยกับ Kevin Systrom ผู้ก่อตั้ง Instagram เพราะตัวเขาเองก็เคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาก่อนในการถูกล่อซื้อจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในอดีต

กลุ่มผู้นำบริษัทสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ต้องการความอิสระ และรักษารูปแบบของบริษัทของพวกเขาไว้ และแน่นอนว่าหากได้เครือข่ายของ Facebook ที่เป็นมืออาชีพเต็มตัวแล้ว จะช่วยให้ Instagram เติบโตได้

และในที่สุดก็มีการเจรจาอย่างจริงจังกันที่บ้านหลังใหม่ของ Zuckerberg ในย่าน Crescent Park ในแถบพาโล อัลโต และ Systrom เริ่มต้นด้วยการเรียกตัวเลขที่ 2 พันล้านดอลลาร์

Zuckerberg มองว่ามันเป็นราคาที่สูงเกินไป และเริ่มที่จะประชุมกับเหล่าฝ่ายผู้บริหารคนสำคัญ ๆ ของ Facebook เช่น Sheryl Sandberg และ David Ebersman ที่ดำรงตำแหน่ง CFO ของ Facebook ในตอนนั้น

ผู้บริหารต่างถกเถียงกันว่าดีลนี้ควรจะมีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่ ส่วนตัว Zuckerberg เองนั้นค่อนข้างเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง

มีการถกเถียงกันว่า Instagram ไม่ใช่แค่แอปสำหรับให้ผู้คนโพสต์รูปอาหารแต่มันน่าจะเป็นธุรกิจที่เป็นไปได้ ระบบ hashtag สำหรับจัดระเบียบโพสต์ตามหัวข้อก็คล้าย ๆ กับ Twitter แต่เป็นภาพแทน ดังนั้นผู้คนจึงสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเพียงแค่คลิกที่ hashtag ที่สนใจ

แม้แอปจะมีผู้ใช้งานเพียงแค่ 25 ล้านคน เมื่อเทียบกับหลายร้อยล้านคนของ Facebook ในขณะนั้น แต่ธุรกิจต่าง ๆ ก็ใช้ Instagram เพื่อโพสต์รูปถ่ายผลิตภัณฑ์ของตนเองอยู่แล้ว ส่วนผู้ติดตามก็โต้ตอบและแสดงความเห็นกันจริง ๆ

Instagram แม้ยังไม่ได้ทำเงิน แต่รูปแบบของฟีดก็คล้าย ๆ กับ Facebook ที่สามารถเลื่อนดูโพสต์ต่าง ๆ ได้ไม่รู้จบ สุดท้ายก็สามารถที่จะพัฒนาความสามารถในการโฆษณาแบบเดียวกันได้ในที่สุด และใช้โครงสร้างพื้นฐานของ Facebook เพื่อให้เติบโตได้เร็วขึ้น อย่างที่ Youtube ทำที่ Google

Zuckerberg ต้องการปิดดีลนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ต้องบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นหมากรุกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของซิลิกอน วัลเลย์ โดยมักจะคิดไปไกลหลายก้าว

หาก Facebook ใช้เวลาเจรจานานเกินไป Systrom ก็จะเริ่มโทรหาเพื่อนและที่ปรึกษาของเขา ซึ่ง Systrom สนิทกับ Jack Dorsey หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งเขาทำข้อตกลงได้เร็วเท่าไหร่ Systrom ก็ยิ่งมีโอกาสน้อยที่จะโทรหาใครสักคนที่จะให้คำแนะนำที่จะไม่เป็นประโยชน์กับ Facebook

Systrom ที่สนิทกับ Jack Dorsey หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter (CR:Expansion)
Systrom ที่สนิทกับ Jack Dorsey หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter (CR:Expansion)

ฝั่ง Facebook เองก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกันในเรื่องของดีลการเข้าซื้อว่าจะใช้เงินสดหรือหุ้น ซึ่งการใช้เงินสดคงเป็นเรื่องยากในสถานการณ์ ณ ตอนนั้น

Zuckerberg พยายามโน้มน้าว Systrom ด้วยมูลค่าหุ้น ซึ่งเขามองว่าราคามันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และต้องการให้ราคาที่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของมูลค่า Facebook

Facebook มีมูลค่าการประเมินในตอนนั้นราว ๆ หนึ่งแสนล้านเหรียญเพราะฉะนั้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของดีลนี้คือ หนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่า Facebook กำลังอยู่ในช่วงการเติบโต ที่ Systrom ต้องการสองพันล้านดอลลาร์นั้น สุดท้ายอาจจะได้มูลค่าที่สูงกว่านั้นในอนาคต

ฝั่ง Systrom เองก็ต้องคิดหนัก Steve Anderson ที่เป็นนักลงทุนและบอร์ดบริหารของ Instagram พยายามคัดค้านการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ของ Facebook

Anderson คิดว่า Facebook ประเมินราคาต่อหุ้นต่ำเกินไป มันเหมือนเป็นเกมที่ Facebook ต้องการฆ่า Instagram ออกไปจากการแข่งขันกับ Facebook ซึ่งสิ่งนี้มันอาจจะมีมูลค่าสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์

แต่ Systrom ก็ให้เหตุผลไว้สี่ประการ อันดับแรก มูลค่าของ Facebook มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นมูลค่าการซื้อกิจการจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ประการที่สอง มันเป็นสิ่งที่ดีที่ไม่ต้องไปแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ซึ่งหาก Facebook คิดจะคัดลอกฟีเจอร์แล้วสร้างแอปของพวกเขาเองขึ้นมา ก็อาจจะทำให้ Instagram เติบโตได้ยากขึ้น

ประการที่สาม Instagram จะได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานของ Facebook ไม่ใช่เพียงแค่ศูนย์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการทุกอย่างที่ Instagram ต้องเรียนรู้ในอนาคต ส่วนประการสุดท้ายคือ ตัวเขาและ Mike Krieger ผู้ร่วมก่อตั้ง จะยังมีความอิสระในการบริหารงาน Instagram

ย้อนกลับไปที่พาโล อัลโต เงื่อนไขต่าง ๆ ค่อนข้างลงตัวหมดแล้ว Zuckerberg ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เล็ก ๆ เพื่อฉายซีรีส์ดังอย่าง “Game of Thrones” ในคืนนั้น Systrom ไม่ได้อยู่ดูด้วย เขาเซ็นสัญญาเสร็จสิ้นในช่วงเย็นวันนั้นในห้องนั่งเล่นของ Zuckerberg

ต้องบอกว่าโครงสร้างการเข้าซื้อกิจการของ Instagram ถือเป็นมิติใหม่ในวงการ ซึ่งเป็นบริษัทที่ซื้อมาแต่ไม่ได้นำมาถูกรวมเข้าด้วยกัน และได้กลายเป็นแบบอย่างที่สำคัญในการ M&A ของแวดวงเทคโนโลยีในภายหลัง

ซึ่งในอีกไม่กี่ปีถัดมา Twitter ได้เข้าซื้อ Vine และ Periscope โดยแยกแอปให้เป็นอิสระและโยนให้ผู้ก่อตั้งเป็นผู้รับผิดชอบโดยไม่ก้าวก่าย หรือ Google ที่ซื้อ Nest โดยแยกให้บริหารแบบอิสระ และเกิดเหตุการณ์เดียวกันเมื่อ Amazon ซื้อ Whole Foods

และสุดท้ายดีลข้อตกลงของ Instagram จะทำให้ Zuckerberg และ Facebook มีความได้เปรียบในสงครามการแข่งขันไปอีกนานแสนนานก่อนจะมาเจอคู่แข่งที่โหดหินอย่าง TikTok ในภายหลัง

ผู้บริหาร Facebook คนหนึ่งถึงกับพูดถึงดีลนี้ในภายหลังว่า “ลองนึกภาพถึงการที่ Microsoft เข้าซื้อ Apple ในขณะที่ Apple ยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ อยู่ นั่นคงจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับ Microsoft แต่นั่นคือสิ่งที่ Facebook ได้รับจาก Instagram”

Systrom และพนักงานกลุ่มเล็ก ๆ ของเขา (CR:The New York Times)
Systrom และพนักงานกลุ่มเล็ก ๆ ของเขา (CR:The New York Times)

หลังจากดีลเสร็จสิ้นมีการเล่นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก

“พนักงาน 13 คนของบริการแชร์รูปภาพ Instagram กำลังเฉลิมฉลองในวันนี้ หลังจากรู้ตัวว่าพวกเขาจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านกัน” Daily Mail เขียน

“ตอนนี้ Instagram มีมูลค่า 77 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อพนักงานหนึ่งคน” The Atlantic รายงาน

Business Insider ได้เผยแพร่รายชื่อพนักงานทั้งหมดที่พวกเขาสามารถหาได้ พร้อมด้วยรูปถ่ายและข้อมูลที่ทำการคัดลอกมาจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับโรงเรียนที่พวกเขาเคยเรียนงานที่พวกเขาเคยทำ ทีมงานของ Instagram ได้รับโทรศัพท์และแสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลามบน Facebook จากเพื่อนและครอบครัว พวกเขาได้รับการแสดงความยินดีที่ประสบความสำเร็จในชีวิต”

ภายใต้การนำของ Systrom ในฐานะซีอีโอหลังจากการเข้าซื้อกิจการ Instagram กลายเป็นแอปที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งาน 800 ล้านคนต่อเดือน ณ เดือนกันยายนปี 2017 และเขาได้ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Instagram เมื่อวันที่ 24 กันยายน ปี 2018

Facebook ที่ซื้อ Instagram ในราคาหนึ่งพันล้านดอลลาร์ในปี 2012 ซึ่งเป็นจำนวนเงินมหาศาลในขณะนั้นสำหรับบริษัทที่มีพนักงานเพียง 13 คน ปัจจุบัน Instagram มีผู้ใช้งานมากกว่าหนึ่งพันล้านคนและสร้างรายได้มากกว่าสองหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับ Meta Platforms

และสุดท้าย Systrom ก็ได้ถูกรวมอยู่ในรายชื่อผู้ประกอบการอายุต่ำกว่า 40 ปีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาในปี 2016

References :
หนังสือ No Filter : The Inside Story of Instagram โดย Sarah Frier
https://en.wikipedia.org/wiki/Kevin_Systrom
https://www.forbes.com/sites/katevinton/2016/08/01/instagram-ceo-kevin-systrom-joins-billionaire-ranks-as-facebook-stock-soars/
https://www.cnet.com/tech/services-and-software/facebooks-sliding-stock-takes-instagram-below-1b-price-tag/

23andMe จากสตาร์ทอัพสุดร้อนแรงมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ดิ่งลงเหวจนเหลือเกือบ 0

ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ต้องบอกว่า 23andMe ถือเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพร้อนแรงที่สุดในโลก ผู้คนนับล้านถุยน้ำลายใส่หลอดทดลองเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับบรรพบุรุษของเขา

คนดังต่างๆ เข้ามาร่วมชื่นชมกับผลงาน 23andMe แม้กระทั่ง Oprah Winfrey ก็ได้แนะนำอุปกรณ์ของบริษัทแห่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่เธอชื่นชอบ

23andMe ทำ IPO ขายหุ้นสู่สาธาณะในปี 2021 และมูลค่าบริษัทของพวกเขาก็พุ่งทะยานสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์ และในเวลาเพียงไม่นาน Forbes ได้ถึงกับเชิดชูให้ Anne Wojcicki ผู้บริหารระดับสูงของ 23andMe ให้เป็น “newest self-mand billionaire”

แต่ตัดภาพมา ณ ปัจจุบัน เงินหลายพันล้านดอลลาร์ได้มลายหายสาปสูญไป การประเมินมูลค่าของ 23andMe ตกลงมาจากจุดสูงสุดถึง 98% และ Nasdaq ขู่ว่าจะเพิกถอนหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ออกจากตลาด

Wojcicki ต้องตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานไปกว่า 25% ผ่านการเลิกจ้างสามรอบและขายบริษัทในเครือออกไป ต้องบอกว่าบริษัทของเธอแทบจะไม่เคยทำกำไรได้เลย และกำลังเผาเงินอย่างบ้าคลั่งจนจะหมดลมหายใจภายในปี 2025

ต้องบอกว่าหัวใจสำคัญของธุรกิจการตรวจ DNA ของ 23andMe คือความท้าทายสองประการ นั่นก็คือ ลูกค้าส่วนใหญ่ทำการทดสอบเพียงแค่ครั้งเดียว และมีลูกค้าเพียงไม่กี่รายที่ทดสอบไปแล้วได้รับผลตรวจสุขภาพที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาได้จริง

เดิมพันอันสูงสุดของ Wojcicki คือการพัฒนายาโดยใช้คลังตัวอย่าง DNA มากกว่า 10 ล้านตัวอย่างที่ 23andMe เก็บไว้ แต่การจะนำยาใหม่ออกสู่ตลาดได้จริงนั้นต้องใช้เงินทุนในการวิจัยมหาศาลและใช้เวลาอีกนานหลายปี

จุดเริ่มต้นจากความรัก

Wojcicki ลูกสาวของอดีตประธานภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเรียกได้ว่าเติบโตมาท่ามกลางกลิ่นอายของซิลิกอนวัลเลย์

เธอเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเยล โดยเธอได้มองเห็นความล้มเหลวของบริษัทในด้านการดูแลสุขภาพ และเธอก็มองว่าเหล่านักลงทุนหน้าเลือดมักจะบีบเงินจากนวัตกรรมซะเป็นส่วนใหญ่ นั่นทำให้เธอตัดสินใจว่าเธอต้องการช่วยผู้บริโภคในการควบคุมและดูแลสุขภาพของตนได้มากขึ้น

และตัวละครคนสำคัญที่สุดที่ทำให้ 23andMe ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้สำเร็จนั่นก็คือ Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ที่ได้ออกเดทกับ Wojcicki

ในปี 1998 Brin และ Larry Page เช่าโรงรถของ Susan Wojcicki ซึ่งเป็นพี่สาวของ Anne Wojcicki เพื่อเป็นสำนักงานแห่งแรกของ Google ก่อนที่ในภายหลัง Susan จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารในธุรกิจโฆษณาของ Google และ Youtube

แนวคิดสำหรับธุรกิจตรวจ DNA ที่เน้นไปที่กลุ่มผู้บริโภคโดยตรงมาจาก Linda Avey ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง 23andMe

Avey เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ และ Sergey Brin แสดงความสนใจในงานของ Avey ดังนั้นในปี 2005 Wojcicki ที่เป็นแฟนสาวของ Brin ก็ได้เข้ามาร่วมประชุมเกี่ยวกับแนวคิดธุรกิจใหม่นี้ ซึ่งหลังจากฟังแนวคิดว่ามันน่าสนใจ เธอก็ต้องการที่จะลุยด้วยทันที

ก็เป็น Brin นี่เองที่เป็นคนให้เงินทุนก้อนแรกแก่บริษัท รวมถึงการช่วยเหลือในการว่าจ้างพนักงานในช่วงแรก ๆ และไม่ใช่เพียงแค่ใช้เงินส่วนตัวเท่านั้น เพราะเขาได้นำ Google เข้ามาร่วมลงทุน โดยประกาศเข้าลงทุนเพียงแค่สองสัปดาห์หลังจากที่ Brin และ Wojcicki แต่งงานกันในปี 2007

Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ที่ให้ทุนก้อนแรกกับบริษัท (CR:Phys.org)
Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ที่ให้ทุนก้อนแรกกับบริษัท (CR:Phys.org)

เรียกได้ว่า Wojcicki ชีวิตเปลี่ยนไปในข้ามคืน เธอเคยเป็นอดีตนักวิเคราะห์ทางการเงินที่แทบไม่มีคนรู้จักที่กลายมาเป็นดาราดังในซิลิกอน วัลเลย์ เธอช่วยสร้างแบรนด์ของ 23andMe โดยจัด “spit parties” โดยแขกจะมอบตัวอย่าง DNA มีการรวบรวมน้ำลายของคนดังที่ World Economic Forum ในเมืองดาวอสในปี 2008 และอีกครั้งที่ New York Fashion Week ในปีเดียวกันนั้น

แม้มันจะเป็นที่จับตามองของสื่อ เพราะเธอเล่นใหญ่มาก แต่ก็แทบไม่ได้ช่วยเหลือธุรกิจของเธอมากนัก เพราะชุดทดสอบ DNA ของ 23andMe มีราคาสูงถึง 399 ดอลลาร์ในขณะนั้น ซึ่งเป็นราคาที่แพงเกินกว่าจะดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคได้

ภายในสำนักงานของ 23andMe นั้นก็ต้องการสร้างวัฒนธรรมเลียนแบบซิลิกอน วัลเลย์ ถึงขั้นที่ว่า Avey เองถึงกับกล่าวว่า Wojcicki ชอบทำตัวให้โดดเด่นเพื่อให้สามารถแข่งขันกับ Brin ได้ ซึ่ง Wojcicki เคยกล่าวไว้ขนาดที่ว่า 23andMe จะกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่กว่า Google

สู่ความเจิดจรัส

ในปี 2012 การระดมทุนรอบใหม่จากมหาเศรษฐีชาวอิสราเอลที่เกิดในรัสเซียอย่าง Yuri Milner ซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านของ Wojcicki และ Brin ใน ลอส อัลโตส ฮิลล์ ซึ่งเงินทุนที่ได้ทำให้ 23andMe สามารถลดราคาชุดทดสอบ DNA ให้เหลือราคาเพียงแค่ 99 ดอลลาร์ได้สำเร็จ

สำหรับแคมเปญโฆษณาระดับประเทศครั้งแรกของบริษัทในไม่กี่เดือนถัดมานั้นได้รับความสนใจจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ซึ่งได้สั่งระงับการขายชุดทดสอบ DNA ของ 23andMe โดยอ้างว่ามีความเสี่ยงที่อุปกรณ์เหล่านี้จะรายงานข้อมูลที่เป็นเท็จ

นั่นเองที่ Wojcicki ต้องใช้เวลาถึงสองปีและเงินอีกหลายล้านดอลลาร์เพื่อให้อุปกรณ์ของเธอผ่านการ approve จาก FDA สหรัฐฯ

มันเป็นช่วเวลาเดียวกันกับที่มรสุมชีวิตกำลังถาโถมเข้าสู่ตัวเธอเองเช่นเดียวกัน เพราะเธอเพิ่งแยกทางกับ Brin ซึ่งไปแอบกิ๊กกับพนักงานรุ่นน้องที่ Google

แต่เธอก็ผ่านมันมาได้ สุดท้ายชุดตรวจ DNA ของ 23andMe ก็ได้ผ่านการทดสอบจาก FDA และเมื่ออุปกรณ์ปล่อยออกไปให้เหล่าผู้บริโภคได้ใช้งานกันจริง ๆ มันก็กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วทั้งโลกอินเทอร์เน็ต

เพราะเรื่องราวที่เกี่ยวกับผู้คนที่ค้นพบพ่อแม่หรือพี่น้องที่ไม่คาดคิด มันได้กลายเป็นเรื่องดราม่าเป็นอย่างมาก การเดินทางของ 23andMe ต้องใช้เวลา 9 ปีกว่าจะมีลูกค้าหนึ่งล้านคน และสามปีถัดมาเพิ่มมาเป็นแปดล้านคน

รอบ ๆ สำนักงานใหญ่ของ 23andMe เต็มไปด้วยเหล่าเซเลป ดาราชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Bono และ the edge แห่ง U2 , นางแบบชื่อดังอย่าง Karlie Kloss และคนดัง ๆ คนอื่น ๆ ต่างก็ให้ความสนใจกับ 23andMe โดย Wojcicki ได้ไปงานเดินพรมแดง Met Gala กับแฟนหนุ่มคนใหม่ของเธออย่าง Alex Rodriguez นักเบสบอลชื่อดัง

ในปี 2019 Wojcicki ย้าย 23andMe ไปยังอาคารสำนักงานแห่งใหม่ในซิลิกอน วัลเลย์ ซึ่งมีพื้นที่มากพอในการขยายพนักงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และทำสิ่งที่ไม่น้อยหน้าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่โดยเฉพาะ Google เลย ไม่ว่าจะเป็น คลาสเรียนโยคะ ห้องออกกำลังกาย โรงอาหารสุดหรู ด้วยเชฟระดับมิชลินสตาร์

ในปี 2021 บริษัทได้ทำ IPO ขายหุ้นสู่สาธารณะ ซึ่งในยุคนั้นรูปแบบของ SPAC กำลังได้รับความนิยม บริษัทหลายร้อยแห่งกล้าที่จะขายหุ้นที่มีราคาสูงให้กับเหล่านักลงทุน

23andMe ที่ IPO ขายหุ้นสู่สาธารณะ ในปี 2021 (CR:CNBC)
23andMe ที่ IPO ขายหุ้นสู่สาธารณะ ในปี 2021 (CR:CNBC)

Wojcicki ได้รับเงิน 33 ล้านดอลลาร์ในปีนั้นโดยส่วนใหญ่เป็นหุ้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับซีอีโอบริษัทมหาชนขนาดใหญ่รายอื่น ๆ โดยหุ้นของ Wojcicki นั้นก็คล้าย ๆ กับผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังส่วนใหญ่ที่มีสิทธิพิเศษในการลงคะแนนเสียง ทำให้เธอสามารถควบคุมบริษัทได้อย่างเบ็ดเสร็จ

จากดาวรุ่งสู่ดาวร่วง

ด้วยตัวอย่างฐานข้อมูล DNA จำนวนมากที่เก็บไว้ 23andMe จึงได้เร่งการพัฒนายา โดยมีการดีลกับยักษ์ใหญ่ด้านวงการเภสัชกรรมอย่าง GSK (GlaxoSmithKline)

แต่ก็ต้องบอกว่า 23andMe เหมือนหว่านแห ตรวจสอบการรักษาโรคหลายสิบโรคจากผล DNA เหล่านั้น แน่นอนว่ามุมหนึ่งผลตอบแทนอาจะได้สูง แต่การพัฒนายาตัวใดตัวหนึ่งนั้นต้องใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ และใช้เวลาเป็นสิบปีถึงจะผ่านการทดสอบทางคลินิก

แม้จะมียาบางตัวเริ่มมีการทดลองในมนุษย์จริงแล้ว โดยภายในปี 2022 มีผู้ป่วยทดลองกว่า 150 คนในซานฟรานซิสโก โดย Wojcicki คิดว่าจะสามารถระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อมาสนับสนุนความพยายามในการพัฒนายาของเธอได้

แต่ก็อย่างที่ทราบกันยุคเงินทุนราคาถูกที่ให้เหล่าสตาร์ทอัพมาเผาผลาญมันจบสิ้นลงไปแล้ว จากปัญหาหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องสงคราม ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ที่สำคัญหุ้นของบริษัทยาก็ไม่เป็นที่โปรดปรานสำหรับเหล่านักลงทุนเช่นกัน เมื่อไม่สามารถหาเงินทุนเพิ่มได้ Wojcicki จึงได้ตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานไปกว่าครึ่งเมื่อกลางปีที่แล้ว

และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ของ 23andMe เชื่อว่าข้อมูลด้านสุขภาพของตนเองนั้นอยู่ภายใต้กฎหมาย Hipaa ซึ่งเป็นกฎหมายความเป็นส่วนด้านสุขภาพของชาวอเมริกัน

แน่นอนว่าลูกค้าบางคนอาจจะรู้สึกยินดีที่ข้อมูล DNA ของตนเองจะถูกนำมาใช้เพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง แต่ก็มีอีกหลายคนที่รู้สึกว่าถูกหลอก เพราะพวกเขาจ่ายเงินให้ 23andMe ราว ๆ 299 ดอลลาร์สำหรับชุดทดสอบ DNA แต่ 23andMe ใช้ข้อมูลสุขภาพฟรีของพวกเขาในการหารายได้เข้าบริษัท

และในปีที่แล้วมีโปรไฟล์ลูกค้าเกือบ 7 ล้านรายถูกแฮ็กไปจากระบบ โดยแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ รวมถึงรายงานของผู้ให้บริการ ตลอดจนข้อมูลส่วนบุคคลมากถึง 5.5 ล้านคน ทำให้เกิดการฟ้องร้องกันอย่างหนัก

Wojcicki ต้องแก้เกมโดยการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ โดยพยายามเปลี่ยนไปใช้รูปแบบของการสมัครรับข้อมูลหรือ Subscription เลียนแบบเหล่าบริษัทสื่อชื่อดัง โดยเธอได้เปิดตัว 23andMe+ โดยนำเสนอรายงานสุขภาพส่วนบุคคล คำแนะนำด้านไลฟ์สไตล์ ในราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์ พร้อมค่าต่ออายุรายปี 69 ดอลลาร์

แต่เมื่อบริษัทได้เปิดเผยจำนวนสมาชิกเมื่อปีที่แล้ว มีสมาชิกเพียง 640,000 รายที่ยอมเสียเงินสมัคร ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่คาดการณ์ไว้ในขณะนั้น

แนวคิดเบื้องหลังระบบ Subscription ของ 23andMe+ ก็คือ มันอาจจะมีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงล็อคอยู่ใน DNA ของลูกค้าซึ่งควรรู้ไว้จะดีกว่า แต่มันเป็นตัวเลขที่น้อยมาก ๆ ที่ลูกค้าเหล่านี้จะมีรหัสทางพันธุกรรมที่เสียงต่อโรคเช่น มะเร็งเต้านม

23andMe+ ที่เป็นบริการแบบ Subscription (CR:Amazon)
23andMe+ ที่เป็นบริการแบบ Subscription (CR:Amazon)

แน่นอนว่าชุดทดสอบของ 23andMe นั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือได้ และได้รับการ approve จาก FDA ซึ่งอาจนำไปสู่การติดตามผลของแพทย์ที่สามารถช่วยชีวิตได้แต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะโรคร้ายแรงเช่นมะเร็ง

แต่ก็ต้องบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีโรคเหล่านี้แฝงตัวอยู่ในรหัสทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้ 23andMe+ ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าแต่อย่างใด

Bruno Bowden นักลงทุนด้านเทคโนโลยีในซิลิกอน วัลเลย์ ที่เคยออกมาอวย 23andMe ไว้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ถึงกับผิดหวัง และมองว่ารูปแบบโมเดลธุรกิจแบบนี้มันไม่น่าจะมีประโยชน์มากนัก

ในเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่ผ่านมา 23andMe ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สมัครสมาชิกที่ advance ขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งจะรวมถึงการทดสอบทางพันธุกรรมระดับคลินิกที่มีความครอบคลุมมากขึ้น เช่นเดียวกับการตรวจเลือดและนัดหมายกับแพทย์ของ 23andMe โดยมีค่าใช้จ่าย 1,188 ดอลลาร์ต่อปี

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ถูกเรียกว่า TotalHealth มันเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ของ Wojcicki ที่จะให้บริการการรักษาพยาบาลโดยใช้พื้นฐานทางพันธุกรรม และ 23andMe ได้จ่ายเงิน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าซื้อกิจการบริษัท Lemonaid Health บริษัทด้านการดูแลสุขภาพทางไกล

แต่ Lemonaid นั้นไม่ได้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ และคนรู้จักน้อย ส่วนใหญ่จะให้คำปรึกษาและจ่ายยาทางไกล ด้วยอาการพวกหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือ ผมร่วงเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ผลก็คือมีตัวเลขผู้ใช้บริการของ 23andMe น้อยมาก ๆ ที่มาปรึกษาแพทย์ของ Lemonaid จริง ๆ

Roelof Botha คณะกรรมการของ 23andMe และ หุ้นส่วนของ Sequoia Capital ได้ถึงกับออกมากล่าวว่า ตอนนี้ไม่ใช่ยุคของเงินทุนราคาถูกอีกต่อไป และ 23andMe ต้องโฟกัสโปรเจกต์ที่จะทำเงินจริง ๆ ไม่ใช่หว่านแหไปทั่วแบบนี้

Sequoia ซึ่งลงทุน 145 ล้านดอลลาร์ใน 23andMe ยังคงถือหุ้นทั้งหมดอยู่ในตอนนี้ แต่ในวันนี้มูลค่าที่พวกเขาลงทุนลดเหลือเพียงแค่ 18 ล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น แถมบริษัทอาจจะถูกเพิกถอนออกจากตลาด Nasdaq ในไม่ช้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางการเงินที่กำลังวิกฤติอยู่ในขณะนี้ได้

References :
https://www.wsj.com/health/healthcare/23andme-anne-wojcicki-healthcare-stock-913468f4
https://en.wikipedia.org/wiki/23andMe
https://www.wired.com/story/23andme-genomic-testing-financial-results-earnings-anne-wojcicki/
https://www.theguardian.com/technology/2024/feb/17/23andme-dna-data-security-finance