เริ่มจากศูนย์ สู่ธุรกิจหมื่นล้าน : เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจจากนักลงทุนระดับตำนาน Warren Buffet

ในโลกของการเป็นผู้ประกอบการ มีเรื่องราวมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จล้วนมีจุดร่วมที่สำคัญ นั่นคือการตระหนักถึงศักยภาพของตนเอง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปให้ไกลกว่าจุดที่เป็นอยู่ พวกเขาพร้อมทุ่มเทเวลาและพลังงานเพื่อพัฒนาตนเอง และเมื่อได้รับการพัฒนาทักษะแล้ว สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้นั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการ

บทความวันนี้ จะเป็นเป็นเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยโดยนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffet ที่มาคุยถึง case study ของธุรกิจที่น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณได้

เรื่องราวแรกคือ Rose Blumkin หรือที่รู้จักกันในนาม Mrs. B ผู้อพยพชาวยิวรัสเซียที่เดินทางมาถึง Seattle ในปี 1917 โดยไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย

เธอมาพร้อมกับป้ายแขวนคอที่เขียนว่า Fort Dodge, Iowa Red Cross เพื่อไปพบสามีที่มาถึงอเมริกาก่อนหน้านั้นสองปี หลังจากใช้ชีวิตที่ Fort Dodge เป็นเวลาสองปีด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่สามารถสื่อสารได้ เธอตัดสินใจย้ายไปเมือง Omaha ในปี 1919

ที่ Omaha เธอพบชุมชนชาวยิวรัสเซียเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น Francis ลูกสาวคนโตของเธอเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนและกลับมาสอนแม่

Rose ใช้เวลา 20 ปีในการเก็บเงินทีละเล็กละน้อยจากการขายเสื้อผ้ามือสอง เพื่อนำพี่น้องและพ่อแม่มาอเมริกา ในระหว่างนั้นเธอมีลูกถึง 4 คน

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1937 เมื่อ Rose มีเงินเก็บ 2,500 ดอลลาร์ เธอตัดสินใจเดินทางไปชิคาโกเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์มาขาย ด้วยความฝันที่จะเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์เป็นของตัวเอง

ผู้หญิงที่ไม่เคยได้รับการศึกษาในระบบคนนี้ ได้สร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างน่าทึ่ง จนกระทั่งขายให้กับ Berkshire ในปี 1983 ด้วยมูลค่าประมาณ 60 ล้านดอลลาร์ และในปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้ทำยอดขายได้ถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันมีทายาทรุ่นที่ 4 กำลังสืบทอดกิจการ

Mrs. B ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนอายุ 103 ปี ก่อนจะเกษียณและเสียชีวิตในปีถัดมา เธอไม่ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ในวงการเฟอร์นิเจอร์ แต่สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จคือความมุ่งมั่น การทำงานหนักกว่าใคร การใส่ใจลูกค้า และการยอมรับกำไรขั้นต้นที่ต่ำเพื่อสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่

อีกเรื่องราวที่น่าสนใจคือ Jack Taylor ผู้ก่อตั้ง Enterprise ชายผู้เกิดในปี 1922 แม้จะเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถ แต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบการเรียน เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพียงปีเดียวก่อนลาออกในปี 1941 เมื่อสหรัฐฯ ถูกโจมตี

แม้จะถูกปฏิเสธจากกองทัพอากาศเพราะแพ้เกสรดอกไม้ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ และได้เข้าร่วมกองทัพเรือแทน จนได้รับเหรียญ Distinguished Flying Cross ถึงสองครั้ง

หลังจากสงคราม Jack กลับมาที่ Midwest และผ่านงานหลายตำแหน่งก่อนจะมาเป็นพนักงานขายรถมือสองที่ตัวแทนจำหน่าย Cadillac ใน St. Louis เมื่ออายุ 35 ปี เขาตัดสินใจขอเป็นหุ้นส่วนธุรกิจให้เช่ารถกับเจ้านาย โดยยอมลดเงินเดือนลงครึ่งหนึ่งและกู้เงิน 25,000 ดอลลาร์

จุดเริ่มต้นของ Enterprise นั้นเริ่มจากรถเพียง 7 คัน ธุรกิจในช่วงแรกค่อนข้างเงียบเหงา จนบางครั้ง Jack ต้องปล่อยให้โทรศัพท์ดังหลายครั้งเพื่อให้ดูเหมือนว่ามีลูกค้าติดต่อเข้ามามาก ทั้งที่บางวันอาจมีเพียงสายเดียว

เมื่ออายุ 40 ปี Jack ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจให้เช่ารถอย่างจริงจังด้วยรถเพียง 17 คัน ท่ามกลางการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง Hertz, Avis และ National ที่มีรถในครอบครองนับแสนคัน

แม้ว่ารถของเขาจะไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งเพราะซื้อจากผู้ผลิตเดียวกัน และไม่มีสาขาในสนามบินเหมือนบริษัทใหญ่ แต่สิ่งที่เขามุ่งมั่นคือการมอบบริการที่เป็นมิตรและประทับใจลูกค้ามากกว่าที่เคยได้รับจากที่ไหน

หลักการทำธุรกิจของ Jack นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เขาเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งพนักงานและลูกค้า เขาเชื่อว่าถ้าพนักงานมีความสุขและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ พวกเขาจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

ปัจจุบัน Enterprise มีมูลค่ามากกว่า Hertz, Avis และบริษัทให้เช่ารถอื่นๆ รวมกัน โดยมี Andy Taylor ลูกชายของ Jack บริหารธุรกิจต่อ พร้อมด้วยหลานที่เข้ามาร่วมงาน และคาดว่าจะมีทายาทรุ่นที่ 4 สืบทอดกิจการต่อไป

บทเรียนสำคัญจากความสำเร็จของทั้ง Mrs. B และ Jack Taylor คือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่ได้กังวลกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่มุ่งเน้นที่การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการ

เช่นเดียวกับ Henry Ford ที่ล้มเหลวถึง 2 ครั้งก่อนจะประสบความสำเร็จกับ Ford Motor Company ในปี 1903 ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การคิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่อยู่ที่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องว่าจุดแข็งของคุณคืออะไร และคุณจะสร้างคุณค่าอะไรให้กับลูกค้าได้บ้าง

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้และความปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกวัน เพราะประสบการณ์ที่ดีจะอยู่ในความทรงจำของลูกค้าไปตลอด ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการเลือกคบหาสมาคมกับคนที่จะช่วยผลักดันให้คุณก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว การรายล้อมตัวเองด้วยคนที่ดีกว่าจะช่วยให้คุณเติบโตและพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้วัดจากเงินลงทุนเริ่มต้น แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่น การเรียนรู้ และการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก ดังจะเห็นได้จากทั้ง Rose Blumkin และ Jack Taylor ที่เริ่มต้นจากเงินทุนไม่มาก แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยหลักการง่ายๆ คือการทำให้ลูกค้าประทับใจในทุกการบริการ

การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้านั้นต้องทำผ่านพนักงานทุกคนในองค์กร ผู้นำธุรกิจจึงต้องใส่ใจในการดูแลพนักงาน ให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม และความคิดเห็นของพวกเขามีคุณค่า เพราะพนักงานที่มีความสุขและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

การเติบโตของธุรกิจที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการเพิ่มทุนหรือการกู้ยืม แต่เกิดจากการที่ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรและเติบโตได้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับ Nebraska Furniture Mart ของ Mrs. B และ Enterprise ของ Jack Taylor ที่แทบไม่ต้องเพิ่มทุนเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ สิ่งสำคัญไม่ใช่การคิดค้นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่หรือการมีเงินทุนมหาศาล แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนทักษะ และที่สำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกจุดสัมผัส

เมื่อคุณสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาจะกลับมาใช้บริการซ้ำและแนะนำธุรกิจของคุณต่อไป นี่คือรากฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืน และเป็นบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้นั่นเองครับผม

References Image : https://ccnull.de/index.php/foto/portrait-von-warren-buffett-in-nahaufnahme-und-elegantem-anzug/1094154

ทำไมถึงต้อง Blockdit : แพลตฟอร์มที่ยืนหยัดเพื่อคอนเทนต์คุณภาพ ท่ามกลางกระแส Short Video

ต้องเรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ส่วนตัวผมใช้ประจำมาตั้งแต่เริ่มต้นก็ว่าได้สำหรับ blockdit เครือข่ายโซเชียลมีเดียของคนไทยแท้ ๆ

ซึ่งก่อนที่ blockdit จะกลายมาเป็นแพลตฟอร์มอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ ต้องเรียกได้ว่ามีการพัฒนาปรับปรุงแพลตฟอร์มมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลาย ๆ ฟีเจอร์ผมมองว่าพัฒนาได้ดีกว่ายักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียจากต่างประเทศเสียด้วยซ้ำ

ส่วนตัวก็เป็นแฟนเพจลงทุนแมนเหมือนกับหลาย ๆ ท่าน และได้มาเห็นแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่ช่วงที่มีการโปรโมตช่วงแรก ๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงปลายปี 2018 ยังมีสมาชิกยังไม่มากนัก ในตอนนั้นยังมีผู้ใช้งานหลักหมื่นคน

แต่ผมได้เห็นถึงพลังอันเหลือล้นของผู้พัฒนาแพลตฟอร์มที่ต้องการนำสิ่งที่ดี่ที่สุดมาสำหรับผู้เสพคอนเทนต์เชิงลึกจริง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น

การเติบโตของ blockdit นั้นเริ่มต้นจากการได้รับความไว้วางใจจากนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ ท่าน อย่างเช่น ลงทุนแมน วิเคราะห์บอลจริงจัง ฯลฯ ที่เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสร้างเนื้อหาบนแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม การมีนักเขียนคุณภาพเข้ามาร่วมสร้างเนื้อหาทำให้ blockdit กลายเป็นแหล่งรวมความรู้และมุมมองที่หลากหลาย

ในยุคปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียต่างชาติกำลังผลักดันรูปแบบการนำเสนอแบบวิดีโอสั้น ที่เน้นความรวดเร็ว ฉาบฉวย และไวรัล blockdit ยังคงยืนหยัดในจุดยืนของการเป็นพื้นที่สำหรับเนื้อหาที่มีคุณภาพและความลึกของเนื้อหา

สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความผูกพันกับการอ่านมาตลอดหลายพันปี และจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปแม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แม้แพลตฟอร์มอื่น ๆ จะพยายามลดความสำคัญในเรื่องการอ่าน และไปโฟกัสกับสิ่งที่ฉาบฉวยอย่างรูปแบบของวีดีโอสั้นและสร้างรายได้ให้กับแพลตฟอร์มของพวกเขาให้ได้มากที่สุด

แต่เรายังมีแพลตฟอร์มอย่าง blockdit ที่ไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนในเรื่องนี้เลย เป็นแพลตฟอร์มที่ให้คุณค่ากับการเขียนและอ่าน ที่ส่วนตัวมองว่าดีที่สุดในตลาดในตอนนี้แล้ว

และที่สำคัญที่ทำให้แพลตฟอร์มเติบโตอย่างต่อเนื่องนั่นก็คือการไม่หยุดพัฒนา มีฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Topics , Tag , Podcast หรือ Community ที่สร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นวัตกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรับฟังความต้องการของผู้ใช้งานและการวิเคราะห์แนวโน้มการบริโภคเนื้อหาในอนาคต

ต้องบอกว่าถึงตอนนี้ blockdit ก็เติบโตขึ้นมาอีกขั้นนึงแล้ว นักเขียนหลาย ๆ ท่านก็อยู่กันมาตั้งแต่ในยุคที่สมาชิกยังไม่มากมายเหมือนในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ ท่านก็เป็นแรงผลักดันให้ blockdit ก้าวขึ้นมาได้ถึงวันนี้ และผมเองก็คิดว่า blockdit นั้นยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก

ส่วนตัวผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี ที่ผมมองว่าคนไทยเราก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก

ต้องบอกว่าปัจจุบันแพล็ตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียนั้น เราถูกบุกรุกจากต่างชาติ จนเข้ามากลืนกินพฤติกรรมของคนไทยในหลาย ๆ ด้าน จนแทบจะไม่เหลือที่ยืนให้ผู้ประกอบการชาวไทย

ในวันนี้พวกเราคนไทยยังมีพื้นที่อย่าง blockdit ซึ่งยังเป็นสถานที่ ๆ เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มาแสดงฝีมือในการเขียน หรือสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งบทความ , Podcast หรือ VDO ตามความชอบของแต่ละท่าน

blockdit ถือเป็นสังคมที่มีความแตกต่าง ที่ท่านจะไม่ได้เห็นในแพล็ตฟอร์มอื่น ๆ มี เนื้อหา สาระ หลากหลายรูปแบบ หรือ ข้อถกเถียงมากมายที่เกิดขึ้นที่แพล็ตฟอร์มนี้ ที่ส่วนใหญ่จะมีการยอมรับเหตุผลซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ในยุคปัจจุบัน

ในฐานะคนไทย เราควรภาคภูมิใจที่มีแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยคนไทย และมีศักยภาพไม่แพ้แพลตฟอร์มจากต่างประเทศ Blockdit ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับการแบ่งปันความรู้และความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยมีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก

และในอนาคต ส่วนตัวผมเองก็อยากเห็นภาพที่คนไทยหันมาสนับสนุนโซเชียลมีเดีย ของไทยอย่าง blockdit กันมากยิ่งขึ้น เหมือนกับที่เราสนับสนุนแพล็ตฟอร์มจากต่างชาติ เพราะอย่างน้อยทั้งในเรื่องของเงินทอง และข้อมูลต่างๆ  ของเรานั้นมันไม่ได้รั่วไหลไปไหน แต่ฝากไว้กับ blockdit ที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยแท้ ๆ นั่นเองครับผม

5 นิสัยเศรษฐี : อะไรที่ทำให้มหาเศรษฐีแตกต่างจากคนทั่วไปโดย Tony Robbins

ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เรื่องของโชค พรสวรรค์ หรือจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของนิสัยที่เหล่ามหาเศรษฐียึดถือปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน นิสัยเหล่านี้หล่อหลอมความคิด ผลักดันการกระทำ และเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง

หากคุณเคยสงสัยว่าอะไรทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ Tony Robbins ได้เปิดเผยว่าพวกเขาเหล่านี้มีนิสัยที่เหมือนกัน มันไม่ใช่ความลับ แต่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป แล้วนิสัยเหล่านั้นคืออะไร ทำไมมันถึงทรงพลังมาก และคุณจะใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้อย่างไร

สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับคนรวยที่สุดเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนที่พร้อมจะคิดใหญ่ ลงมือทำอย่างชาญฉลาด และควบคุมอนาคตของตัวเอง มาดูกันเลย

1. การมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง (Relentless Focus on Growth)

รากฐานที่ทำให้มหาเศรษฐีแตกต่างจากคนทั่วไปคือการมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องการสะสมความมั่งคั่งหรือการบรรลุเป้าหมาย แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้ และการขยายขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายและการคว้าโอกาส

แรงผลักดันสู่การเติบโตนี้มาจากความเข้าใจลึกๆ ว่าความสำเร็จไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตายตัว แต่เป็นการเดินทางแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มหาเศรษฐีมีกรอบความคิดที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขารู้ว่าจะเติบโตเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาก้าวข้ามขีดจำกัดปัจจุบัน

พวกเขาไม่กลัวที่จะถามคำถาม ทำผิดพลาด หรือก้าวเข้าสู่สิ่งที่ไม่รู้ เพราะประสบการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนก้าวย่างสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า

2. การจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ (Laser-like Prioritization)

หนึ่งในนิสัยที่โดดเด่นที่สุดของมหาเศรษฐีคือความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ และนี่คือกุญแจสู่ความสามารถในการบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม มหาเศรษฐีเข้าใจว่าเวลาคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขา และพวกเขาปฏิบัติกับมันเช่นนั้น

พวกเขาไม่เสียพลังงานไปกับสิ่งรบกวนหรือกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย แต่มุ่งเน้นอย่างแม่นยำในสิ่งที่สำคัญจริงๆ โดยทุ่มเทความพยายามไปที่งานที่สร้างผลกระทบสูงและให้ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุด

3. วิสัยทัศน์ระยะยาว (Long-term Vision)

ลักษณะเด่นที่แยกมหาเศรษฐีออกจากคนทั่วไปคือวิสัยทัศน์ระยะยาว พวกเขาไม่ติดอยู่กับสิ่งรบกวนระยะสั้นหรือความพึงพอใจทันทีที่คนส่วนใหญ่ไล่ตาม แต่คิดไกลเกินกว่าสัปดาห์ เดือน หรือปีถัดไป และมุ่งเน้นไปที่การสร้างอนาคตที่สอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา

การคิดไปข้างหน้าแบบนี้ช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยจุดประสงค์และความชัดเจน โดยมองภาพใหญ่เสมอ วิสัยทัศน์ของพวกเขาทำหน้าที่เป็นเข็มทิศนำทาง ช่วยในการตัดสินใจและดำเนินการในวันนี้ที่สอดคล้องกับอนาคตที่ต้องการสร้าง

4. วินัยและความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน (Daily Discipline and Consistency)

วินัยและความสม่ำเสมอคือกระดูกสันหลังของความสำเร็จของมหาเศรษฐีแทบจะทุกคน ในขณะที่หลายคนพึ่งพาแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจชั่วครู่ มหาเศรษฐีรู้ว่าความก้าวหน้าที่แท้จริงมาจากการลงมือทำทุกวัน ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม

วินัยคือความสามารถในการยึดมั่นกับแผน ทำตามข้อผูกมัด และทำสิ่งที่ต้องทำแม้จะไม่สะดวกหรือน่าตื่นเต้น การยึดมั่นกับเป้าหมายอย่างไม่สั่นคลอนนี้ช่วยให้พวกเขาสร้างนิสัยที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

5. พลังของการทวีคูณ (Power of Leverage)

หนึ่งในนิสัยที่สำคัญที่สุดที่มหาเศรษฐีใช้เพื่อทวีคูณผลกระทบและบรรลุความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมคือพลังของการทวีคูณ นี่คือความสามารถในการทำมากขึ้นด้วยความพยายามน้อยลง เพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดโดยใช้ทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงิน คน หรือเทคโนโลยี

มหาเศรษฐีเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดได้โดยพึ่งพาความพยายามของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขามุ่งเน้นการหาวิธีขยายผลงานผ่านการร่วมมือ นวัตกรรม และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด

บทสรุป

นิสัยของมหาเศรษฐีไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นทางเลือก กรอบความคิด และวินัยที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ ความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ระยะยาว วินัยและความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน หรือความเชี่ยวชาญในการใช้พลังของการทวีคูณ

นิสัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นและผลักดันไปสู่ความสูงที่ยอดเยี่ยม มหาเศรษฐีส่วนใหญ่ไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่โชคหรือพรสวรรค์เท่านั้น แต่พวกเขาสร้างความสำเร็จของตัวเองโดยการทำให้การกระทำสอดคล้องกับเป้าหมาย รักษาความสม่ำเสมอ และหาวิธีเพิ่มผลกระทบให้สูงสุด

ความงดงามของนิสัยเหล่านี้คือมันไม่ได้สงวนไว้สำหรับคนกลุ่มพิเศษ แต่มีไว้สำหรับทุกคนที่เต็มใจจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง มุ่งมั่นกับวิสัยทัศน์ และลงมือทำทุกวัน ความสำเร็จในแก่นแท้คือผลลัพธ์ของนิสัยที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา

Robbins แนะนำให้เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ สร้างแรงผลักดัน และจดจ่อกับภาพใหญ่ไว้ หากคุณนำนิสัยเหล่านี้ไปปฏิบัติแม้เพียงอย่างเดียวและทำอย่างสม่ำเสมอ คุณจะพบว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคยคิดว่าเป็นไปได้

Human-First x AI-First กับกลยุทธ์ Transformation ของ KBTG ในยุค Agentic AI

ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลก KBTG หรือกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป ได้วางรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต โดยมุ่งเน้นการผสานพลังระหว่างศักยภาพของมนุษย์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ภายใต้วิสัยทัศน์ “Human-First x AI-First Transformation” พร้อมตั้งเป้าสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มากกว่า 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในองค์กรที่น่าสนใจมาก ๆ ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีของประเทศไทยสำหรับ KBTG ซึ่งถือเป็นองค์กรทางด้านเทคโนโลยีระดับท็อปที่ดึงดูดเอาบุคลากรมากความสามารถไปรวมตัวกันอยู่ในองค์กรแห่งนี้

ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยเราก็มีคนศักยภาพด้านเทคโนโลยีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าสังเกตในภาพปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคนเก่ง ๆ มักจะไปกองรวมตัวกันที่อุตสาหกรรมทางด้านการเงินซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

นายเรืองโรจน์ พูนผล (คุณกระทิง) ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ได้เผยถึงความสำเร็จในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งองค์กรได้สร้างนวัตกรรม AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่ AINU ระบบตรวจสอบและยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า, THaLLE แบบจำลองภาษาที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับภาษาไทย, Future You แอปพลิเคชันวางแผนการเงินส่วนบุคคล, คู่คิด ผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับเยาวชน, AI-Enabled VDO Analytics ระบบวิเคราะห์วิดีโอ และ Document OCR ระบบแปลงเอกสารให้เป็นข้อมูลดิจิทัล

คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่

ความสำเร็จที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือการพัฒนา AthenaMind แพลตฟอร์มสร้าง AI Agent ที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาโมเดล AI เฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI Agent ตัวแรกที่เปิดให้พนักงานใช้งานคือ HR Chat Agent ที่ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน

จะเห็นได้ว่าหลากหลายเทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นผลงานระดับท็อปแทบจะทั้งสิ้น และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีการไปตีพิมพ์ในวารสารทางด้านวิชาการระดับนานาชาติ

ผลงานวิจัยของ KBTG ยังได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ The 62nd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics (ACL 2024) พร้อมทั้งมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติรวม 30 ฉบับ รวมถึงสื่อยักษ์ใหญ่มากมายทั่วโลกที่ให้การยอมรับผลงานของ KBTG

ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย
ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย

และ KBTG ยังเป็นองค์กรไทยเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัล The Innovators 2024 จาก Global Finance ในสาขา Compliance/Risk Innovation จากผลงาน Face Liveness Detection ที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน

การสร้างพันธมิตรทางวิชาการและนวัตกรรมทั้งในและต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ โดย KBTG ได้ร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำมากมาย เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย, AI Singapore, Google Research, MIT Media Lab และ AI Fund

สำหรับปี 2568 KBTG ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรผ่านสามแกนหลักที่น่าสนใจมาก ๆ ได้แก่ Agentic Platformization การพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและจัดการ AI Agent, Agentic Orchestration การออกแบบกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI และ Agentic Humanization การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้พร้อมทำงานร่วมกับ AI

ในด้านการพัฒนาบุคลากร KBTG ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ภายในองค์กร เช่น M.A.D. Guild และ K-DAI Council ที่ช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างพนักงาน และพนักงานภายใต้องค์กรของ KBTG 100% ได้มีการอัพเกรดความรู้ในด้านเทคโนโลยี AI ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าโหดมาก ๆ เมื่อเทียบกับองค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทยในขณะนี้

ผมมองว่าส่วนนี้ค่อนข้างน่าสนใจเพราะองค์กรใหญ่อย่าง KBTG ที่มีพนักงานระดับท็อปมากมายในสาขานี้ ได้ทำการทดลองแล้วว่าผลของการใช้ AI First เพียงอย่างเดียวนั้นมันไม่ work ในบริบทงานด้านอุตสาหกรรมการเงินของประเทศไทย ซึ่งสุดท้ายต้องมีการผสานระหว่าง AI และ Human ที่จะได้ผลลัพธ์จริงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

วิสัยทัศน์ “KBTG AI For Thailand” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาสังคมไทย ผ่านโครงการต่างๆ เช่น AI เพื่อการศึกษา AI เพื่อเป็นที่ปรึกษาสำหรับเยาวชน และ AI เพื่อการแพทย์ โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับภูมิภาค

การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ KBTG ไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ยังเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นๆ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน โดยคำนึงถึงการพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ไปพร้อมกันนั่นเองครับผม

#KBTG
#KBTGHumanFirstxAlFirst
#AgenticAl
#KBTGTheYearOfAgenticAl2025

องค์กรใหญ่ VS ไอเดียใหม่ : ความลับของ Intrapreneur กับบทเรียนการสร้างธุรกิจในองค์กรขนาดใหญ่

การก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการภายในองค์กรหรือ Intrapreneur นั้นมักเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด เช่นเดียวกับประสบการณ์ของ Dave Raggio ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks โดย Dave Raggio ที่ได้มาแบ่งปันบทเรียนสามประการเกี่ยวกับการสร้างนวัตกรรมภายในองค์กรที่เขาเรียนรู้มาอย่างยากลำบาก

เมื่อ Raggio เริ่มต้นการทำงานที่ Intuit ในปี 2020 ในฐานะผู้ดูแลด้านการตลาดและโฆษณาสำหรับผลิตภัณฑ์อย่าง QuickBooks ไม่มีใครคาดคิดว่าบทบาทนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อเขาได้มองเห็นโอกาสในการเชื่อมต่อธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นลูกค้าของ Intuit กับผลิตภัณฑ์และบริการเสริมที่จะช่วยผลักดันให้พวกเขาเติบโตและประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับองค์กรด้วย

ความคิดนี้ฝังอยู่ในใจ Raggio แม้ว่าในตอนแรกเขาพยายามจะโฟกัสกับงานประจำที่รับผิดชอบอยู่ แต่แรงบันดาลใจนี้กลับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจรวบรวมความคิดและข้อเสนอทั้งหมดนำเสนอต่อทีมผู้บริหาร

สิ่งที่ทำให้ Raggio ประหลาดใจคือการตอบรับอย่างเปิดกว้างจากพวกเขา (ทีมผู้บริหาร) ที่พูดว่า “ไปทำเลย” นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดและบทเรียนมากมาย ซึ่งสุดท้ายได้หล่อหลอมให้ Raggio เข้าใจถึงแก่นแท้ของการเป็น Intrapreneur ที่ประสบความสำเร็จ

บทเรียนแรกที่สำคัญคือเรื่องของการสื่อสาร โดยเฉพาะการสื่อสารวิสัยทัศน์ตั้งแต่เริ่มต้นและทำอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงแรก Raggio มีความฝันที่จะสร้างสตาร์ทอัพแบบลับๆ ภายใน Intuit ด้วยการรวมทีมเล็กๆ และทำงานอย่างเงียบๆ โดยจำกัดการรับรู้เฉพาะกลุ่มคนที่จำเป็นเท่านั้น

ด้วยความเชื่อที่ว่ายิ่งมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ก็จะยิ่งมีกระบวนการและระบบราชการที่ซับซ้อน รวมถึงความคิดเห็นที่หลากหลายที่อาจทำให้การทำงานช้าลง แม้ว่าวิธีนี้จะได้ผลในระยะสั้น แต่เมื่อโครงการเริ่มเติบโตและพัฒนาเป็นธุรกิจที่จริงจัง เขากลับพบว่าต้องการการสนับสนุนจากทีมอื่นๆ อีกมาก

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการขาดการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน การสนทนาที่ยากลำบากที่สุดคือการต้องเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคนที่มีภาระงานล้นมืออยู่แล้ว โดยที่พวกเขาไม่เคยรับรู้ถึงสิ่งที่ Raggio กำลังทำ แล้วต้องขอให้พวกเขาแบ่งเวลามาช่วยสนับสนุนโครงการ

ช่วงเวลานั้น Raggio รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ชื่นชอบนัก ความพยายามที่จะเร่งความเร็วในการทำงานกลับกลายเป็นการทำให้ทุกอย่างช้าลง เพราะทุกครั้งที่ต้องติดต่อกับทีมใหม่ เขาก็ต้องเริ่มต้นอธิบายและวาดภาพให้เห็นใหม่ทั้งหมด

จากประสบการณ์นี้ทำให้ Raggio ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการสร้างความสัมพันธ์ผ่านการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งดื่มกาแฟหรือการสังสรรค์เล็กๆ น้อยๆ เขาเริ่มเข้าใจว่าการสร้างความสัมพันธ์ในระดับมนุษย์สำคัญกว่าการติดต่อเชิงธุรกิจเพียงอย่างเดียว

การชวนเพื่อนร่วมงานไปดื่มเบียร์หรือกาแฟพูดคุยกันทำให้ Raggio ได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาระงาน ข้อจำกัดด้านทรัพยากร และสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการแบ่งปันวิสัยทัศน์และความตื่นเต้นของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถทำเพื่อลูกค้าและองค์กร

การพูดคุยแบบไม่เป็นทางการช่วยสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจระหว่างทีมได้ดีกว่าการประชุมทางการ เพราะทุกคนรู้สึกผ่อนคลายและกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น

บทเรียนที่สองที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือการรับฟังอย่างตั้งใจและสม่ำเสมอ ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีในวงการการตลาด ทั้งการทำโฆษณา Super Bowl และแคมเปญแบรนด์ระดับโลก ทำให้ต้วของ Raggio มั่นใจว่าตัวเองเข้าใจทุกแง่มุมของการตลาดและการโฆษณาเป็นอย่างดี

ความมั่นใจนี้ทำให้เขามีภาพที่ชัดเจนในหัวว่าต้องการให้ทุกส่วนของโครงการใหม่นี้ทำงานอย่างไร เมื่อมีคนแสดงความเห็นที่แตกต่างหรือบอกว่าบางอย่างเป็นไปไม่ได้ เขามักด่วนตัดสินว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ขัดขวางความก้าวหน้า

แต่ความจริงแล้ว มันกลับกลายเป็นว่าตัวอของ Raggio กำลังมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป ความรู้ของเขาเกี่ยวกับหลักการบัญชีขององค์กรและกฎหมายความเป็นส่วนตัวนั้นมีจำกัด และคนที่เขาเคยมองว่าเป็น “ผู้ขัดขวาง” แท้จริงแล้วคือผู้ที่ทุ่มเทเพื่อความสำเร็จและพยายามป้องกันไม่ให้เขาทำผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การยุติโครงการ

การรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความเคารพต่อประสบการณ์ของผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาความคิดของตัวเองให้รอบด้านมากขึ้น

ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา โครงการไม่เพียงแต่อยู่รอด แต่ยังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง การรับฟังกลายเป็นหัวใจสำคัญของโครงการจน Raggio ได้ริเริ่ม “การประชุมด้วยคำถามโง่ๆ” ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ไม่มีการตัดสิน ที่ทุกคนสามารถถามคำถามที่อาจจะกลัวที่จะถามในที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะคิดว่าตัวเองควรรู้คำตอบแล้ว หรือเพราะเป็นเรื่องที่ชัดเจนสำหรับคนอื่นในองค์กร แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้ไม่เคยได้สัมผัสกับเรื่องนั้นมาก่อน

การสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างต่อคำถามและการเรียนรู้ช่วยลดช่องว่างระหว่างทีมและสร้างความเข้าใจร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าบางครั้งคำถามอาจดูเหมือนเรื่องพื้นฐาน แต่การได้เข้าใจอย่างถ่องแท้จะช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้น

Raggio จำได้ดีถึงเหตุการณ์หนึ่งที่มีการใช้คำย่อในการประชุมมาหลายสัปดาห์ และเขาก็ไม่กล้าถามความหมายของมันตั้งแต่แรก เวลาผ่านไปจนเขารู้สึกว่าติดกับดัก ไม่กล้าที่จะถามในตอนนั้นและคิดว่าจะต้องอยู่กับความไม่รู้นี้ไปตลอด แต่ด้วยบรรยากาศของการประชุมคำถามโง่ๆ ที่ไม่มีการตัดสิน ทำให้ทุกคนกล้าที่จะถามและได้เติมเต็มความเข้าใจที่ขาดหายไป

การยอมรับในข้อจำกัดและความไม่รู้ของตัวเองเป็นก้าวแรกของการเรียนรู้และพัฒนา แม้ว่าบางครั้งอาจรู้สึกอึดอัดที่จะยอมรับ แต่การมีพื้นที่ปลอดภัยในการถามคำถามช่วยให้เราก้าวข้ามความกลัวนั้นได้

บทเรียนสุดท้ายที่ Raggio ได้เรียนรู้ และอาจเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของความเสี่ยง ซึ่งอาจขัดกับความเข้าใจทั่วไป ในการเป็น Intrapreneur นั้น ระดับความเสี่ยงส่วนตัวของเราอาจไม่ได้สำคัญเท่ากับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร

หากคุณออกไปเริ่มธุรกิจของตัวเองและล้มเหลว แม้จะไม่ใช่เรื่องดีและอาจสร้างความเครียดให้กับครอบครัวหรือมีผลกระทบทางการเงิน แต่บริษัทอย่าง Intuit ได้วางระบบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง

แต่หากการตัดสินใจของคุณส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์และแบรนด์ หรือสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้ QuickBooks ผลกระทบอาจลุกลามไปในวงกว้าง กระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมาก

ดังนั้นคุณไม่สามารถทำงานแบบลวกๆ ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำงานด้วยความกลัว เพียงแต่ต้องคิดให้รอบคอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจและการกระทำของคุณที่อาจส่งผลต่อองค์กรในภาพรวม

การตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้นในฐานะ Intrapreneur ไม่ควรเป็นตัวฉุดรั้งความคิดสร้างสรรค์ แต่ควรเป็นแรงผลักดันให้เราทำงานอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับผู้ที่มีไอเดียและความฝันที่อยากสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จากภายในองค์กร Raggio สนับสนุนให้คุณทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่ เพราะองค์กรขนาดใหญ่มีทรัพยากรและศักยภาพมหาศาลที่รอการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จงเรียนรู้และพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ แม้ว่าบางครั้งอาจต้องชะลอความเร็วลงบ้าง หรือต้องประนีประนอมในบางเรื่องที่เราไม่อยากทำ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะดีขึ้นอย่างแน่นอน และนั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงและปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ

เพราะการเป็น Intrapreneur ไม่ใช่เพียงการนำเสนอไอเดียใหม่ๆ แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการเข้าใจระบบขององค์กรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนนั่นเองครับผม

References :
Ask Dumb Questions, Embrace Mistakes — and Other Lessons on Innovation | Dave Raggio | TED
https://youtu.be/Nh1QvWm0BrQ?si=PZetQZGQ0B-P2K4F