คาวบอยและนักฆ่า กับวิธีการรุกฆาตตลาด Ecommerce ในประเทศอินเดียโดย Jeff Bezos

ความน่าสนใจในตลาดอินเดียของ Amazon ก็คือ Jeff Bezos พลาดโอกาสครั้งสำคัญก่อนหน้านี้ในการเข้าไปลงทุนในอินเดียซึ่ง Amazon ได้เปิดศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ในต่างประเทศแห่งแรกในเมืองบังกาลอร์ของอินเดียเสียด้วยซ้ำ

แต่เมื่อ Amazon ฟื้นตัวจาการล่มสลายของฟองสบู่ดอทคอม พวกเขามุ่งความสนใจไปยังประเทศจีน และแทบไม่ชายมองตาอินเดียเลยในตอนนั้น

นั่นทำให้พนักงานกลุ่มแรก ๆ ของ Amazon ในอินเดียบางส่วนลาออกเพื่อก่อตั้งบริษัทของตนเอง

ในปี 2007 วิศวกรสองคน Sachin Bansal และ Binny Bansal ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันที่ Indian Institute of Technology (IIT) ในนิวเดลี ได้ออกจาก Amazon เพื่อก่อตั้งบริษัทของตนเองที่ชื่อ Flipkart

พวกเขาได้เลียนแบบความมหัศจรรย์ของ Jeff Bezos ที่เสก Amazon ขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นในการขายหนังสืออนไลน์ ก่อนกระจายไปขายสินค้าแทบทุกสิ่งที่อย่างเราได้เห็นกันในปัจจุบัน

Sachin Bansal และ Binny Bansal ผู้ร่วมก่อตั้ง Flipkart (CR:Times of India)
Sachin Bansal และ Binny Bansal ผู้ร่วมก่อตั้ง Flipkart (CR:Times of India)

ผู้บริหารที่เคยช่วยก่อตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ในต่างประเทศอย่าง Armit Agarwal ซึ่งสำเร็จการศึกษาจาก IIT เช่นกัน ได้ถูกส่งตัวกลับมาช่วยงานที่สำนักงานใหญ่ของ Amazon ในซีแอตเทิลเพื่อเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคให้กับ Bezos

Agarwal นี่เองที่เป็นคนช่วยผลักดันและเขียนแผนธุรกิจเพื่อแนะนำให้ Amazon บุกประเทศบ้านเกิดของเขา ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดในโลก

ในช่วงเวลานั้นยักษ์ใหญ่อย่าง IBM และ Microsoft ได้บุกเข้าไปลุยในตลาดอินเดียแล้วและสามารถกอบโกยรายได้อย่างมหาศาลกับตลาดที่น่าทึ่งแห่งนี้

แต่ก็ต้องบอกว่าปัญหาใหญ่ที่ทำให้ Bezos ลังเลก็คือ อินเดียเป็นประเทศที่มีกฎหมายที่ซับซ้อนและมีการปกป้องภาคส่วนร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมเต็มที่ ซึ่งมีการห้ามมิให้บริษัทในต่างประเทศเป็นเจ้าของหรือดำเนินธุรกิจค้าปลีกโดยตรงในประเทศอินเดีย

บทเรียนจากความล้มเหลวในการบุกจีน

บทเรียนที่สำคัญที่ Amazon เรียนรู้ในประเทศจีนนั้น ทำให้พวกเขาได้รู้ซึ้งถึงตลาดเอเชียที่มันไม่ง่ายเหมือนการเสกการเติบโตในตลาดบ้านเกิด

Amazon รุกเข้าจีนอย่างมั่นใจในปี 2004 โดยซื้อบริษัทสตาร์ทอัพร้านขายหนังสือ Joyo .com ในราคาประมาณ 75 ล้านดอลลาร์ โดยเชื่อว่าแนวทางเดียวกับที่เคยใช้ที่อื่นก็สามารถประสบความสำเร็จในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอย่างจีนได้เช่นเดียวกัน

แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขาประเมินผิดไปอย่างมาก คู่แข่งที่น่าเกรงขามจากจีนอย่าง Alibaba ที่มีการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหา ecommerce ในจีนได้ดีกว่า

Aliababa มีทั้งรูปแบบของ Mall มี Taobao หรือแม้กระทั่งระบบการชำระเงินอย่าง Alipay ในขณะที่ยุคนั้น Amazon ยังคงรับเงินสดจากผู้ซื้อเมื่อทำการจัดส่งสินค้าสำเร็จ

Alibaba และคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่าง Jingdong หรือ JD .com ที่รองรับรสนิยมการออกแบบโดยรวมของผู้ใช้ชาวจีน

ส่วน Amazon .cn ดูเหมือนเป็นการโคลนแพลตฟอร์มมาจากบ้านเกิดที่เป็นรูปแบบที่เหมือนกันไปทั่วโลก พนักงาน Amazon ในจีนก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้พวกเขาแทบไม่มีอำนาจใด ๆ ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากสำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิล ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้รวดเร็วเพียงพอ

Amazon ล้มเหลวในการปรับตัวให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของอินเทอร์เน็ตในจีน ผู้ขายชาวจีนคุ้นเคยกับการจ่ายค่าคอมมิชชั่นประมาณ 2-5 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายให้กับ Alibaba

หรือแม้กระทั่งการอัดเงินเพื่อโฆษณาสินค้าของตน ผู้บริหารของ Amazon ก็ไม่เชื่อต่อรูปแบบโฆษณาดังกล่าว จึงใช้การเรียกเก็บเงิน 10-15 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายแทน ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับตลาดจีน

และที่สำคัญเรื่องความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน Amazon ก็ไม่ได้สนใจที่จะสานสัมพันธ์ แม้กระทั่งตัวผู้นำอย่าง Jeff Bezos ก็ไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจกับกลไกภายในของรัฐบาลจีน การปลูกฝังความสัมพันธ์กับผู้นำจีน เหมือนกับที่ Elon Musk ทำในอีกหลายปีให้หลังเพื่อก่อตั้งโรงงาน Tesla Gigafactory ในเซี่ยงไฮ้

Elon Musk ที่สานสัมพันธ์กับผู้นำจีนได้ดีกว่า Bezos (CR:SCMP)
Elon Musk ที่สานสัมพันธ์กับผู้นำจีนได้ดีกว่า Bezos (CR:SCMP)

ระหว่างปี 2011 – 2016 ส่วนแบ่งการตลาดของ Amazon ในจีนลดลงจาก 15 เปอร์เซ็นต์ เหลือน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ มีการประเมินว่า Amazon ได้สูญเสียเงินหนึ่งพันล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษนับตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการ Joyo

บทเรียนที่สำคัญที่สุดของ Amazon ในจีนก็คือ พวกเขาไม่กล้าพอที่จะเผชิญกับการแข่งขันที่สุดเขี้ยว และมักจะทำตัวเป็นผู้ตามที่ขี้อายเสียมากกว่า

อินเดียจะไม่ผิดพลาดเหมือนจีน

ความเคลื่อนไหวที่สำคัญครั้งแรกของ Amazon ในการรุกตลาดอินเดียก็คือ พยายามดึงศิษย์เก่าสองคนกลับมา

เป็นเวลาสี่ปีหลังจากสร้างผลงานกระฉ่อนในตลาดอินเดีย Binny Bansal และ Sachin Bansal ได้สร้าง Flipkart ให้กลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จำหน่ายหนังสือเพียงเท่านั้น แต่ยังจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ซีดี และดีวีดีอีกด้วย

Amit Agarwal ได้ไปพบกับอดีตพนักงานของเขาที่โรงแรม ITC Maurya อันหรูหราใจกลางกรุงเดลี เพื่อหารือเกี่ยวกับการซื้อกิจการ โดยทาง Bansal ได้ขอเงินหนึ่งพันล้านดอลลาร์ แต่ Agarwal มองว่าตัวเลขมันเว่อร์เกินไป และการเจรจาก็ล้มเหลว

ทางเลือกเดียวของ Amazon ที่เหลืออยู่ก็คือลุยด้วยตัวเอง โดยภายในปี 2012 ทีมวิศวกรของ Amazon India เพียงไม่กี่สิบคนได้ทำงานอยู่บนชั้น 8 ของตึกสูงระฟ้าที่มีชื่อว่า “World Trade Center” ซึ่งเป็นอาคารกระจกทรงโค้งทางตอนเหนือของบังกาลอร์

ในตอนแรกพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร กฎการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอินเดียดูเหมือนจะเป็นกำแพงไม่ให้พวกเขาเปิดเว็บสโตร์มาตรฐานตามแบบฉบับของ Amazon

ดังนั้นพวกเขาจึงเลี่ยงบาลีด้วยการเปิดเว็บไซต์ชอปปิ้งแบบเปรียบเทียบราคาสินค้าในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 ในชื่อ Junglee .com ด้วยการลงรายการสินค้าและเปรียบเทียบราคาจากนั้นก็ลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ

Amazon สามารถรวบรวมข้อมูลและคิดค่าธรรมเนียม โดยไม่ต้องทำอะไรที่ผิดกฎหมายของอินเดีย

หลังจากประสบความสำเร็จกับเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา Agarwal ก็ได้สั่งลุยต่อทันที โดยดำเนินการ Amazon India โดยให้เป็นตลาดกลางที่ให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาขายของกัน โดยไม่มีสินค้าคงคลังของตนเองเหมือนในสหรัฐอเมริกา

Amazon .in ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มิถุนายน 2013 โดยภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ Amazon India ขยายจากผลิตภัณฑ์สื่อเช่นหนังสือและดีวีดีไปยังสินค้ามือถือสมาร์ทโฟนและกล้องดิจิทัล ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม อุปกรณ์ในครัวเรือน และแท็ปเล็ต Kindle Fire ของ Amazon

Amit Agarwal ผู้นำแห่ง Amazon India (CR:The Economic Times)
Amit Agarwal ผู้นำแห่ง Amazon India (CR:The Economic Times)

ไม่กี่เดือนหลังจากการเปิดตัว ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2013 Agarwal และทีมงานอินเดียของเขากลับมาที่สำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิลเพื่อสำเสนอโรดแมปประจำปีแก่ Bezos และทีมบริหารระดับสูง

ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่การเดิมพันของ Amazon ในตลาดจีนกำลังล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ดังนั้น Bezos จึงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นในอินเดีย ในเซสชันถามตอบเขาได้พูดเป็นคนสุดท้าย โดยกล่าวว่า

“พวกคุณกำลังจะล้มเหลว” เขาบอกกับทีมงานในอินเดียอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่ต้องการนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในอินเดีย ฉันต้องการคาวบอย”

และยังได้ให้นโยบายแบบสุดโต่งด้วยว่า

“อย่ามาหาฉันพร้อมกับแผนที่คิดว่าฉันจะลงทุนในระดับหนึ่งเพียงเท่านั้น”

“บอกฉันว่าเราจะชนะได้อย่างไร แล้วมาบอกฉันว่าต้องจ่ายเท่าไหร่”

นั่นทำให้ Agarwal อึ่งไปชั่วขณะ และเมื่อเขากลับมายังอินเดีย ก็พร้อมให้ลูกทีมสั่งลุยตามคำบัญชาของลูกพี่อย่าง Bezos ทันที

มีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ใน Amazon India แทบจะทันที ในบางครั้งเหล่าผู้บริหารจะแต่งตัวด้วยชุดคาวบอยในการประชุม และผลักดัน Amazon India อย่างเข้มข้นขึ้น

Amazon ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ลงโฆษณารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยโปรโมต Amazon .in บนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์อย่าง Times of India และสร้างแคมเปญโฆษณาที่ติดหูระหว่างเกมคริกเก็ต Indian Premier League เป้าหมายใหม่ของทีมอินเดียก็คือการเติบโตอย่างรวดเร็วจนทำให้ Bezos ต้องมาที่อินเดีย

Amazon ได้ดำเนินการที่แตกต่างออกไปในอินเดีย หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ถนนทางหลวงและเครือข่ายบัตรเครดิต เหล่าผู้บริหารจึงคิดค้นกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์และการชำระเงินที่โดดเด่นสำหรับอินเดียโดยเฉพาะ เช่น การจ้างคนส่งจักรยานและรับชำระเงินที่ปลายทาง

โดยปรกติบริษัทจะใช้โค้ดแพลตฟอร์ม Amazon เดียวกันทั่วโลก และส่วนใหญ่จะแก้ไขที่สำนักงานใหญ่ที่ซีแอตเทิล แต่ในอินเดียวิศวกรสามารถที่จะแก้โค้ดใหม่และสร้างแอปบนสมาร์ทโฟนที่ใช้หน่วยความจำน้อยกว่า เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ในอินเดียเข้าถึงไซต์บนโทรศัพท์ของตนและผ่านเครือข่ายไร้สายที่ห่วยแตกเอามาก ๆ

เพื่อให้ดำเนินการได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ทุกแผนกจึงรายงานไปยัง Agarwal แทนที่จะรายงานไปยังเพื่อนร่วมงานในซีแอตเทิล และทุกอย่างต้องทำเพื่อตลาดอินเดียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อเข้าสู่ปี 2015 Amazon และ Flipkart ต่อสู้กันอย่างดุเดือด พวกเขาทำการดีลข้อตกลงพิเศษกับเหล่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เสนอส่วนลดมากมายในช่วงวันหยุด และสร้างโกดังไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

ทั้ง Amazon และ Flipkart ได้สร้างเครือข่ายบริการจัดส่งโดยใช้ทั้งรถตู้ รถจักรยานยนตร์ จักรยาน หรือแม้กระทั่งเรือของตัวเองเพื่อเข้าถึงพื้นทีห่างไกลที่สุดของประเทศ

ภายในฤดูร้อนปี 2016 Amazon ได้เปิดตัวการรับประกันการจัดส่งแบบ Prime การันตีสองวันภายในประเทศ และได้พลิกขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด มียอดขายแซงหน้า Flipkart ได้สำเร็จ ทำให้ Flipkart ต้องเลิกจ้างพนักงานไปเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เหล่านักลงทุนยังคงสนใจในธุรกิจ ecommerce ในตลาดที่มีขนาดใหญ่อย่างอินเดีย เพราะในปีต่อมา Flipkart สามารถระดมทุนเพิ่มเติมได้อีก 1.4 พันล้านดอลลาร์ จาก Tencent , eBay และ Microsoft

มือที่สามอย่าง Walmart

ภายในปี 2017 ทั้ง Amazon และ Flipkart เองต่างสูญเสียอย่างหนัก โดยสูญเสียเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ต่อปีในศึกแดงเดือดในวงการ ecommerce ของอินเดียครั้งนี้

Walmart ยักษ์ใหญ่ด้านการค้าปลีก ภายใต้การนำของ CEO Doug McMillion กำลังมองหาการลงทุนในธุรกิจ ecommerce ระดับโลกอีกครั้ง และพยายามที่จะหยุดยั้งความก้าวหน้าของ Amazon ทั่วโลก

Doug McMillion CEO ของ Walmart ต้องการเบรคความร้อนแรงของ Amazon (CR:WWD)
Doug McMillion CEO ของ Walmart ต้องการเบรคความร้อนแรงของ Amazon (CR:WWD)

ในตอนนั้นนักลงทุนและสมาชิกคณะกรรมการของ Flipkart ได้แบ่งกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน 3 แบบ คือ ขายให้กับ Amazon , ขายให้กับ Walmart หรืออยู่อย่างอิสระเหมือนเดิมต่อไป

แต่ก็มีข้อกังวลจากเหล่านักลงทุนเช่นเดียวกันว่า หากขายกิจการให้กับ Amazon จะโดนการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐบาลของอินเดีย โดยเฉพาะในเรื่องของการผูกขาด ส่วนการเจรจากับ Walmart นั้นดูเหมือนพวกเขาต้องการให้ Flipkart เป็นอิสระต่อไปได้

หลังจากกระบวนการที่ยืดเยื้อยาวนานถึงหกเดือน ในที่สุดคณะกรรมการ Flipkart ก็ตกลงที่จะขายหุ้นให้กับ Walmart นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มเบื่อหน่ายกับ Flipkart ต้องการขายหุ้นและถอนทุนคืนให้ได้โดยเร็วที่สุด

ในเดือนพฤษภาคม 2018 สื่อได้เริ่มทยอยลงข่าวว่า Walmart จะจ่ายเงิน 16 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้น 77 เปอร์เซ็นต์ใน Flipkart โดย Doug McMillion CEO ของ Walmart ได้ไปเยือนอินเดียหลังจากมีการประกาศข้อตกลง และได้บอกกับเหล่าพนักงาน Flipkart ว่า

“เราตั้งใจที่จะมอบอำนาจให้พวคุณและปล่อยให้พวกคุณดำเนินการต่อไปอย่างอิสระ ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ และความเด็ดขาดมีความสำคัญอย่างยิ่ง”

Sachin และ Binny Bansal ต่างกลายเป็นมหาเศรษฐีและได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย

ภายใน Amazon India ซึ่งแม้จะต้องเจอกับคู่ต่อกรที่สำคัญอย่าง Walmart แต่พวกเขามั่นใจมากว่า Walmart จะพบว่าเส้นทางข้างหน้านั้นมันไม่ง่ายซึ่งมันไม่ต่างจากถนนทางหลวงอินเดียที่รกร้าง

“หากมีสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนรู้ก็คือ Walmart ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังซื้ออะไรอยู่” ผู้บริหาร Amazon India กล่าว

“จริง ๆ มันต้องใช้เวลาเจ็ดหรือแปดปีในการใช้ชีวิตที่นี่และทำงานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ก่อนที่คุณจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าความวุ่นวายในการดำเนินธุรกิจในประเทศแห่งนี้มันมีความซับซ้อนมากเพียงใด”

References :
หนังสือ Amazon Unbound: Jeff Bezos and the Invention of a Global Empire โดย Brad Stone
https://www.reuters.com/markets/deals/walmart-pays-14-billion-boost-flipkart-stake-wsj-2023-07-30/
https://en.wikipedia.org/wiki/Flipkart

ไม่ใช่ TikTok กับ Musical.ly แอปจากจีนที่ลุยตลาดโลกได้สำเร็จเป็นเจ้าแรกตัวจริง

ในฤดูร้อนปี 2013 ในห้องใต้ดินเล็ก ๆ ใกล้ สถานีรถไฟ Gare de Lyon ใจกลางกรุงปารีส ชายหนุ่มสี่คนกำลังหมกมุ่นอยู่กับ Macbook Pro ของพวกเขา

กลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่ประกอบด้วย Gregoire, Clément, Simon และ Stanislas พวกเขาเรียนด้วยกันที่ National School of Fine Art กำลังมองหาแรงบันดาลใจในการสร้างแอปใหม่ ๆ ของ iPhone

ทางทีมงานจึงดาวน์โหลดและวิเคราะห์แอปที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนั้น Vine ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแชร์วีดีโอความยาว 6 วินาที ที่เพิ่งเปิดตัวและกลายเป็นที่นิยมในชั่วข้ามคืน

Vine ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดย Dom Hofman , Rus Yusupov และ Colin Kroll ถูกซื้อโดย Twitter ในปีเดียวกันด้วยเงิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แอปเปิดตัวบน Android , iOS และ Windows ในปี 2013 ต้องบอกว่าในช่วงแรก Vine แทบจะไม่มีใครมาแข่งขันด้วยเลย พวกเขาเป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับผู้คนที่ต้องการสร้างและดูเนื้อหาวีดีโอแบบสั้น ๆ

Vine ที่เป็นแพลตฟอร์มวีดีโอสั้นแรก ๆ ของโลก (CR:PCMag)
Vine ที่เป็นแพลตฟอร์มวีดีโอสั้นแรก ๆ ของโลก (CR:PCMag)

เนื่องจากแทบไม่มีการแข่งขัน Vine จึงได้รับความนิยมอย่างมาก มี creator บน Vine ชื่อดังไม่ว่าจะเป็น King Bach , Nash Grier , Amanda Cerny และ Rudo Mancuso ที่กลายเป็น creator ลำดับต้น ๆ บนแพลตฟอร์มที่มีผู้ติดตามนับล้าน ๆ

แต่เมื่อลองไล่ละเอียดฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Vine แล้วนั้น ทีมงานที่นำโดย Stanislas พบว่ายังมีพื้นที่อีกมากสำหรับแอปแบบ Vine เมื่อพิจารณาจากมิติในแนวตั้งของจอ iPhone ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากทั้งหน้าจอได้

พวกเขาสร้างเวอร์ชันทดสอบเพื่อทดลองแนวคิดดังกล่าว ด้วยวีดีโอที่กินพื้นที่ทั้งหน้าจอ ทีมงานตัดสินใจที่จะปรับปรุง UI ของการเลื่อนฟีดวีดีโอใหม่ด้วยการเลื่อนนิ้วขึ้น และพบว่ามันทำงานได้ดี การเปลี่ยนจากวีดีโอหนึ่งไปยังอีกวีดีโอ ทำให้เกิดความน่าตื่นเต้นเพราะผู้คนจะไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรแสดงหลังจากการปัดขึ้นอีกครั้ง

ในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่ากำลังสร้างนวัตกรรมใหม่ล่าสุดบนโลก ที่ไม่เคยมีคนพบเจอมาก่อน ประสบการณ์การเลื่อนฟีดรูปแบบใหม่ ที่จะพลิกวงการโซเชียลมีเดียในอนาคต

พวกเขาตั้งชื่อแอปดังกล่าวว่า “Mindie” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “mainstream และ indie” ตอนแรกกำหนดความยาวของวีดีโอไว้ 7 วินาที ซึ่งมากกว่ามาตรฐานของ Vine

เมื่อ Mindie เปิดตัวอย่างเงียบ ๆ บน App Store ในเดือนตุลาคม มันได้รับความสนใจจากสื่อเพียงไม่กี่แห่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ได้รับการวิจารณ์ในแง่บวก การต้อนรับจากผู้ใช้ในช่วงแรกนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเส้นทางของพวกเขาถูกกำหนดให้เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการเล็ก ๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกในประเทศจีน

ทีม Mindie ใช้เวลาไม่นานในการสังเกตเห็นคู่แข่งรายใหม่ เมื่อค้นหา “Mindie” บน App Store จะมีการแสดงผล Musical.ly ปรากฎขึ้นข้าง ๆ พวกเขา ทั้งสองใช้แอปคีย์เวิร์ดเดียวกันแทบจะทุกอย่าง

ทีมงาน Mindie แทบช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเริ่มคิดขึ้นมาได้ว่าพวกเขาพลาดครั้งใหญ่ โดยทิ้งโค้ดบางส่วนไว้บน Github ซึ่ง Musical.ly เข้ามาใช้และพัฒนาเพิ่มเติมต่อจาก Mindie เมื่อค้นหาโปรไฟล์จากผู้ใช้ พวกเขาพบบัญชีของ Alex Zhu

Alex Zhu ดูเหมือนศิลปินมากกว่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพทั่วไป เกิดในมณฑลอานฮุย ซึ่งอยู่ห่างจากเซี่ยงไฮ้ไปทางตะวันตกไม่กี่ร้อยไมล์

Alex Zhu ดูเหมือนศิลปินมากกว่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพทั่วไป (CR:chinaplaybook.substack.com)
Alex Zhu ดูเหมือนศิลปินมากกว่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพทั่วไป (CR:chinaplaybook.substack.com)

Alex ได้อพยพไปที่อเมริกาเพื่อทำงานให้กับ SAP ยักษ์ใหญ่ทางด้านซอฟต์แวร์ของเยอรมนีในซิลิกอนวัลเลย์ ตำแหน่งของเขาคือ “Futurist of Education”

เมื่อเขาเริ่มเบื่อกับการทำงานกับองค์กรใหญ่ ๆ ที่แสนน่าเบื่ออย่าง SAP เขาก็ชักชวน Louis Yang เพื่อนของเขาก่อตั้งบริษัท Cicada Education เพื่อสร้างแอปเกี่ยวกับการเรียนออนไลน์

แต่เมื่อลองทำตัวต้นแบบออกมาจริง ๆ พบว่ามันเป็นแอปที่น่าเบื่อ ไม่มีความน่าสนใจ พวกเขาต้องการเปลี่ยนทิศทางของบริษัทใหม่

วันหนึ่งในขณะที่ Alex อยู่บน Caltrain จากซานฟรานซิสโกเพื่อไปยัง Mountain View และในรถไฟเต็มไปด้วยวัยรุ่น

เมื่อ Alex สังเกตพฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่น พบว่ากว่าครึ่งกำลังฟังเพลง และอีกเกือบครึ่งกำลังถ่ายภาพและวีดีโอโดยมักจะมีการเพิ่มเพลงเข้าไปในวีดีโอ

วันรุ่นมีความหลงใหลในโซเชียลมีเดีย รูปภาพ วีดีโอ และเพลง เขาคิดว่าถ้าสามารถรวมองค์ประกอบที่ทรงพลังทั้งสามอย่างนี้ให้กลายเป็นแอปเดียวและสร้างเครือข่ายโซเชียลสำหรับมิวสิควีดีโอได้หรือไม่?

จากจุดนั้น ทีมงานของ Alex ก็ได้เปลี่ยนทิศทาง โดยพัฒนาต้นแบบแอปใหม่ขึ้นมาภายใน 30 วัน พวกเขาได้สร้างประสบการณ์ใหม่ทั้งหมดโดยอาศัยการรวมเพลงและวีดีโอสั้นเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเป็นเครือข่ายโซเชียลสำหรับคนหนุ่มสาว ด้วยเวลาในการพัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ Musical.ly 1.0 จึงเปิดตัวในเดือนเมษายน 2014

กลายเป็นว่า Musical.ly นั้นเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยกระแสปากต่อปาก ทีมงานได้เพิ่มคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ไว้ข้าง ๆ ชื่อแอป เพื่อเพิ่มอันดับการค้นหา มีผู้ใช้มาคอมเม้นท์ให้แอปปรับปรุงฟีเจอร์บางอย่าง Alex ก็ลุยมันแทบจะทันทีตัวอย่างเช่น การขยายขีดจำกัดความยาวของวีดีโอเป็น 15 วินาที เพื่อให้ตรงกับ Instagram ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่วัยรุ่นต้องการแชร์วีดีโอมากที่สุด

ทีมงานได้ค้นพบว่าวิธีที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมความรู้สึกเป็นชุมชนที่เพิ่มมากขึ้นใน Musical.ly ก็คือวิธีการสร้าง “Challenges” อย่างสม่ำเสมอ

Challenges คือวีดีโอที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมและสร้างวีดีโอเวอร์ชันของตนเองได้ พวกเขาสามารถเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่ท่าเต้นธรรมดา ๆ ไปจนถึงการแกล้งกัน

ตัวอย่างมีมที่โดดเด่นคือ “Harlem Shake” ซึ่งจะเห็นกลุ่มคนเต้นกันอย่างบ้าคลั่ง หรือ “ice bucket challenge” โดยเหล่าคนดังจะท้ากันให้เทน้ำเย็นจัดใส่ตัวเองเพื่อส่งเสริมการรับรู้ของโรค ALS

ice bucket challenge ที่เหล่าคนดังจะท้ากันให้เทน้ำเย็นจัดใส่ตัวเองเพื่อส่งเสริมการรับรู้ของโรค ALS (CR:Complex)
ice bucket challenge ที่เหล่าคนดังจะท้ากันให้เทน้ำเย็นจัดใส่ตัวเองเพื่อส่งเสริมการรับรู้ของโรค ALS (CR:Complex)

ความแตกต่างที่สำคัญที่ทำให้ Musical.ly ได้รับความนิยมแบบพุ่งกระฉูดเหนือ Vine ก็คือ มีการลดอุปสรรคในการสร้างคอนเทนต์ ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้ทั้งหมดจึงล้วนเป็น creator ด้วยนั่นเองแตกต่างจาก Vine ที่มี creator ดัง ๆ เพียงไม่กี่คน ในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้เสพคอนเทนต์

ต้นเดือนเมษายน 2015 ทีมงาน Musical.ly ในเซี่ยงไฮ้สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติในจำนวนการดาวน์โหลดทุกคืนวันพฤหัสบดี ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างผิดปรกติ

ทีมงานพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยดำเนินการวิจัยอย่างละเอียดบนโลกออนไลน์ และผ่านกลุ่มความคิดเห็นของผู้ใช้ ในที่สุดทีมงานก็ได้คำตอบ – Lip Sync Battle

Lip Sync Battle เป็นการแข่งขันรายการโทรทัศน์ทางช่อง Spike TV ของอเมริกา ในการฉายครั้งแรกมีเรทติ้งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของช่อง ซึ่งระหว่างและหลังโชว์ ผู้ชมบางส่วนจะค้นหาแอปที่ช่วยให้บันทึกวีดีโอเลียนแบบได้ หลายคนสะดุดกับ Musical.ly ซึ่งนำไปสู่การดาวน์โหลดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

มีมีมที่น่าสนใจหลายอย่างที่ทำให้แอปได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น เช่น แฮชแท็ก #DontJudgeChallenge ที่ได้ทำให้ถูกแชร์ไปยัง Facebook , Instagram , Twitter และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ในหนึ่งสัปดาห์มีการสร้างมีมรูปแบบต่าง ๆ 400,000 รูปแบบ โดยมีจำนวนการดูรวมกันกว่าหนึ่งพันล้านครั้ง

ด้วยความสำเร็จและการติดอันดับชาร์ต App Store ของอเมริกา การระดมทุนจึงง่ายขึ้น Cheetah Mobile บริษัทผู้พัฒนาแอปมือถือของจีนเข้ามาลงทุน 5 ล้านหยวน ( 7 แสนเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเติบขึ้นไปอีกขั้น

มีการเปิดสำนักงานแห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด การพัฒนาธุรกิจ ด้วยเงินทุนที่ได้มา การขยายทีมจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

Musical.ly ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากเหล่า creator รุ่นเยาว์ เนื่องจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Youtube หรือ Instagram ได้เติบโตจนเริ่มอิ่มตัว ซึ่งการสร้างผู้ติดตามใหม่ ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก

Musical.ly ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นอย่างรวดเร็ว (CR:Variety)
Musical.ly ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นอย่างรวดเร็ว (CR:Variety)

วัยรุ่นถือเป็นกลุ่มสำคัญสำหรับวงการเพลงและความบันเทิง นักร้อง Jason Derulo กลายเป็นศิลปินหลักคนแรกที่ใช้ Musical.ly เพื่อแชร์วีดีโอของตัวเองที่กำลังเต้นจากสตูดิโอของเขา

เมื่อเห็นความสำเร็จของเขาในการดึงดูดความสนใจของวัยรุ่น คนดังคนอื่น ๆ ก็เข้าใจพลังทางการตลาดของ Musical.ly อย่างรวดเร็ว ศิลปินเช่น Selena Gomez , Lady Gaga และ Katy Perry ก็โดดเข้ามาร่วมวงเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มคนอายุน้อย

ภายในปี 2016 พนักงานของ Musical.ly เติบโตขึ้นเป็นมากกว่า 50 คน ด้วยทีมปฏิบัติการและทีมพัฒนาขนาดใหญ่ที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้

ในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น Musical.ly ได้รับเงินทุนอีกมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมูลค่าบริษัทพุ่งทะลุเป็น 500 ล้านดอลลาร์

อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนยกย่อง Musical.ly ในฐานะ ราชาแห่งตลาดต่างประเทศ มันเป็นปรากฎการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่แอปโซเชียลของจีนจะประสบความสำเร็จอย่างมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดอเมริกา

ภายในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นมีผู้ใช้ลงทะเบียน 130 ล้านราย โดยมีฐานผู้ใช้งานรายเดือนอยู่ที่ 40 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในอเมริกาเหนือและยุโรป

Musical.ly ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในการเชื่อมต่อและสร้างชุมชนในหมู่วัยรุ่น แต่ภายในปี 2017 บริษัทก็พบกับปัญหากับเรื่องคอขวดในการเติบโต พวกเขาไม่สามารถสลัดภาพของการรับรู้ว่าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับวัยรุ่นเท่านั้น

ทีมงานได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการสร้างเอฟเฟกต์กล้อง เครื่องมือสำหรับการสตรีมสด และฟีเจอร์โซเชียลที่ส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเหล่า Influencer ที่พวกเขาชื่นชอบ

ทั้งหมดนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นที่นิยม วัยรุ่นและวัยเด็กชอบการแชร์สิ่งเหล่านี้ การมีส่วนร่วมใน “Challenges” และมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน นั่นทำให้ทิศทางของ Musical.ly ค่อนข้างคล้ายกับ Kuaishou ซึ่งเป็นแอปวีดีโอสั้นชั้นนำในประเทศจีนในขณะนั้น

Musical.ly ค่อนข้างคล้ายกับ Kuaishou ซึ่งเป็นแอปวีดีโอสั้นชั้นนำในประเทศจีนในขณะนั้น (CR:TechNode)
Musical.ly ค่อนข้างคล้ายกับ Kuaishou ซึ่งเป็นแอปวีดีโอสั้นชั้นนำในประเทศจีนในขณะนั้น (CR:TechNode)

ทีมงานของ Musical.ly พยายามที่จะปลดแอกออกจากกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะในตลาดจีน เทคโนโลยีการแนะนำที่ดีขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการปรับเปลี่ยนของแพลตฟอร์ม ทำให้แพลตฟอร์มสามารถดึงดูดผู้ชมที่นอกเหนือไปจากวัยรุ่นได้

แต่ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้ที่มากขึ้นไม่ได้นำไปสู่คำแนะนำที่ดีขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีของ Musical.ly เพราะคอนเทนต์ขาดความหลากหลาย ผู้ที่ชื่นชอบวีดีโอการเต้นมีคอนเทนต์ที่น่าสนใจมากกว่าที่พวกเขาเคยดู แต่การเพียงแค่เพิ่มวีดีโอการเต้นไม่ได้ปรับปรุงประสบการณ์จากผู้ใช้โดยรวมเท่าที่ควร

ผู้ใช้ที่มีอายุมากขึ้นก็ไม่เจอกับเนื้อหาที่พวกเขาต้องการ เมื่อพวกเขาเข้ามาลองใช้ Muscial.ly ก็หนีออกจากแพลตฟอร์มไปอย่างรวดเร็ว

ในตลาดสหรัฐอเมริกานั้น การตลาดแบบปากต่อปากเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะรูปแบบการแข่งขันนั้นแตกต่างจากที่จีน หากมีคนที่พยายามสร้างนวัตกรรม คู่แข่งก็จะพยายามสร้างความแตกต่าง ส่วนใหญ่จึงเป็นการแข่งขันกันด้วยฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Mindie เมื่อ Musical.ly เริ่มประสบความสำเร็จโดยใช้วีดีโอ “Challenges” เพื่อขับเคลื่อนการสร้างเนื้อหา ทีม Mindie ก็ไม่อยากคัดลอกฟีเจอร์ดังกล่าว นั่นทำให้แอปทั้งสองมีเส้นทางเดินที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

Musical.ly ในที่สุดก็เน้นไปที่เรื่องของการ Lip Sync หรือ Challenges ส่วน Mindie เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่การเล่าเรื่องทางสังคม

แต่ที่จีนมันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง หากมีใครทำสิ่งที่คิดว่ามัน work สำหรับตลาด คู่แข่งจะกระโจนเข้ามาทำตามในรูปแบบเดียวกันแทบจะทันที

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดอย่างรวดเร็วเสมอ ด้วยทั้งอำนาจ เงินตรา พวกเขาสามารถบดขยี้คู่แข่งรายเล็ก ๆ ให้ตายจากตลาดได้อย่างง่ายดาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ ส่วนใหญ่จึงมีความอดทนไม่เพียงพอ

Alex และ Louis กำลังได้พบเจอกับการแข่งขันใหม่ที่มีความโหดร้ายทารุณยิ่งขึ้น สงครามวีดีโอสั้นมันเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่มีผู้ชนะในตลาดอย่างชัดเจน และ Musical.ly ได้พบว่าตัวเองอยู่ในการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่ใหญ่กว่าและน่ากลัวกว่าที่เขาเคยเจอในโลกตะวันตกเป็นอย่างมาก

และยักษ์ใหญ่ที่น่าเกรงขามตนนั้นก็คือ “ByteDance” ที่สุดท้ายสามารถเข้ามากลืนกิน Musical.ly ได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Attention Factory : The Story of TikTok & China’s ByteDance โดย Brennan Matthew
หนังสือ TikTok Boom : China’s Dynamite App and the Superpower Race for Social Media โดย Chris Stokel-Walker
https://techcrunch.com/2014/01/16/from-a-failing-product-to-a-successful-video-sharing-app-mindie-raises-1-2-million
https://en.wikipedia.org/wiki/Musical.ly#:~:text=Founding-,Musical.ly%20Inc.,3%E2%80%935%20minutes%20long).
https://www.failory.com/cemetery/musical-ly
https://www.businessinsider.com/what-is-musically-2016-5
https://www.billboard.com/music/features/musically-app-lip-sync-billboard-cover-7549094/

Compaq Computer ผู้ปฏิวัติวงการ PC ตัวจริงที่ถูกลืม

ถ้ากล่าวถึงแบรนด์อย่าง Compaq คิดว่าหลายคนคงจะลืมกันไปแล้วว่ามีแบรนด์ นี้อยู่ในโลกด้วยหรือ แต่ถ้าย้อนไปในยุคเริ่มต้นของการกำหนดของ PC หรือ ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น ต้องถือว่า Compaq เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่กล้ามาต่อกรกับยักใหญ่อย่าง IBM ในสมัยนั้นได้

ต้องบอกว่า Compaq นั้นมีประวัติที่น่าสนใจ ที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงกันนัก ซึ่ง Campaq นั้นเกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 1982 ซึ่งเป็นยุคตั้งไข่ของ PC พอดิบพอดี ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตพนักงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้นอย่าง Texus Intrument ซึ่งเหล่าผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย Rod Canion , Jim Harris และ Bill Murto

ต้องบอกว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มธุรกิจ ซึ่ง Rod Canion นั้นถนัดทางด้านบริหารธุรกิจ Murto ถนัดทางด้านการตลาด ส่วน Harris นั้น จะถนัดทางด้าน Engineer แต่ต้องบอกว่า การที่ทั้งสามออกจากบริษัทยักษ์ และมั่นคงอย่าง Texus Intrument แล้วมาเริ่มธุรกิจนั้น มีแต่คนหาว่าพวกเขาบ้าแม้กระทั่งครอบครัวของพวกเขาเองก็ตาม

เริ่มต้นจากงานอดิเรก และความคิดบ้า ๆ

มันเป็นการเริ่มต้นจากงานอดิเรกพร้อมกับความคิดบ้า ๆ ของทั้งสามคน ที่ต้องการจะก่อตั้งบริษัท ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่าทั้งสามไม่ได้มีเงินมากมายรวมถึงไม่ได้มีแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่ายอย่าง Startup ในปัจจุบัน ทั้งสามต้องจำนองบ้าน รวมถึงขายรถเพื่อมาเป็นทุนในการเริ่มต้นเปิดบริษัท

ในยุคนั้นต้องบอกว่า IBM นั้นถือเป็นยักษ์ใหญ่มาก ๆ ของวงการธุรกิจของอเมริกาควบคุมทุกอย่างอย่างเบ็ดเสร็จในโลกเทคโนโลยี ทำทุกอย่างตั้งแต่ computer mainframe สำหรับองค์กร ไปจนถึง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การที่จะมาสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM นั้นถือว่าไม่ใ่ช่เรื่องที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง

แต่อย่างไรก็ดีเหล่า 3 ผู้ก่อตั้งแห่ง Compaq นั้นได้เห็นช่องว่างทางการตลาดบางอย่าง ที่ IBM ยังครอบครองแบบไม่เบ็ดเสร็จนั่นก็คือตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้ หรือ ตลาด notebook ในปัจจุบันนั่นเอง

ถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น ต้องบอกว่าแม้จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถพกพาได้ แต่ขนาดเครื่องก็มีขนาดใหญ่เทอะทะ และมีรูปร่างไม่สวยรวมถึงไม่ได้มีแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานแบบไม่ต้องเสียบปลั๊กเหมือนในยุคปัจจุบัน

การเริ่มหาทุนในการตั้งบริษัทนั้น ในขณะที่ทั้งสามมีแต่ไอเดียและร่างแบบคร่าว ๆ ของคอมพิวเตอร์แบบพกพา ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาทุนเริ่มต้นในสมัยนั้น

ทาง Rod Canion จึงได้เขียนแผนธุรกิจคร่าว ๆ ขึ้นมา และได้มีโอกาสไปพบกับ Ben Rosen โดยเริ่มลงทุนให้ 750,000 เหรียญเป็นทุนตั้งต้นในการเริ่มธุรกิจ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น Silicon Valley ยังคงเป็นเพียงแค่ทุ่งและ สวนผลไม้

ทั้งสามคนก็ได้เริ่มว่าจ้างทีมงานจากเงินลงทุนเริ่มต้น และเริ่มทำการผลิตตัว Compaq Portable ตัวแรกออกมา โดยใช้วิธีการ Reverse Engineer หรือ วิศวกรรมย้อนกลับจาก IBM PC  เนื่องจาก IBM ขณะนั้นประสบความสำเร็จ และขายได้ติดตลาดไปแล้ว ต้องทำทุกอย่างให้สามารถ Run Software ของ IBM ได้ทั้งหมด ก็จะเข้าถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ IBM ได้เริ่มเปิดตลาดไว้แล้ว

การเริ่มต้นคือต้องทำการลอก Code ของ IBM ที่เป็นตัว Chip หลักที่ใช้ Control PC เพราะส่วนประกอบอื่น ๆ ของ PC นั้นสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป สิ่งที่เป็นจุดต่างคือ Chip ที่มีรหัสพิเศษของ IBM เท่านั้น เครื่องก็จะสามารถทำงานกับ Software และ Hardware ต่าง ๆ ของ IBM ได้

ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC
ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC

ในทีุ่สดพวกเขาก็ทำสำเร็จ และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่าง Compaq Portable PC ออกมาได้ และสามารถใช้งานได้กับ Software ของ IBM ได้ทุกอย่าง โดยมีขนาดเบากว่าและราคาที่ถูกกว่า บริษัทได้เชิญสื่อมามากมายในวันเปิดตัวปี 1982 ใน นิวยอร์ก

จากการเปิดตัวทำให้บริษัทเริ่มมีชื่อเสียงผู้คนเริ่มชอบในผลิตภัณฑ์ของ Compaq ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาได้สร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกมาได้อย่างดีมาก พนักงานที่ขายผลิตภัณฑ์ของ IBM อยู่แล้วก็ไม่ยากเลยที่จะขายผลิตภัณฑ์ของ Compaq เพราะมันสามารถทำงานได้เหมือนกัน ต้องบอกว่าสินค้าขายดีมากและผลิตแทบจะไม่ทันกันเลยทีเดียวในปีแรกที่ออกวางจำหน่าย

แค่ปีแรกเพียงปีเดียว Compaq สามารถขาย Portable PC ของตัวเองไปได้ถึง 53,000 เครื่อง สื่อถึงกับยกให้บริษัท Compaq นั้นเป็นบริษัทที่เติบโตได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

สู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM

หลังจากนั้น IBM ก็ได้ออก Portable PC เพื่อมาตอบโต้กลับในปี 1984  โดยออกมาเพื่อจะฆ่า Compaq โดยเฉพาะ แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดไปและมั่นใจเกินไปนั่นคือ Portable PC ของ IBM นั้นไม่สามารถรัน Software บางส่วนของ IBM PC เดิมได้

และนั่นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรม PC เลยก็ว่าได้  Compaq แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะ Portable PC นั้นสามารถ run ทุกอย่างของ IBM PC ได้ ทำให้ยอดขายยิ่งกระฉูดขึ้นไปอีก มีการขยายโรงงานการผลิต รวมถึงรับพนักงานมากจนถึงกว่า 1000 คนภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับ Silicon Valley

ถ้าถามว่าวัฒนธรรมการแจกอาหารฟรี รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ให้กับพนักงานได้อย่างเต็มที่ของบริษัท Startup ในปัจจุบันนั้นใครเป็นคนริเริ่ม ก็ต้องบอกว่า Compaq นี่แหละเป็นผู้ที่สร้างวัฒนธรรมนี้ให้กับ Silicon Valley

เพราะ Compaq เป็นบริษัทแรกที่มีการแจกอาหารและเครื่องดื่ม ให้พนักงานได้รับประทานกันแบบฟรี ๆ ในยุคนั้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่แปลกใหม่พอสมควร ทำให้คนสนใจที่จะมาทำงานกับ Compaq มากยิ่งขึ้น และสามารถ Focus กับงานที่ทำได้อย่างเต็มที่

แล้วบริษัทอย่าง Apple หายไปไหนในช่วงนั้น

ช่วงปีต้น ๆ ของ Compaq นั้น Apple ก็ได้ออกวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ขนาดตลาดของ Apple เมื่อเทียบกับขนาดตลาดของ PC ที่ IBM เป็นคนเปิดตลาดมีความแตกต่างกันอย่างมาก ถ้าเทียบตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งหมดนั้น Apple สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพียงแค่ 4-5% เท่านั้น


และการที่ Apple เป็บระบบปิดไม่สามารถเชื่อมต่อกับใครได้ software ก็รันของตัวเอง ก็ทำให้ครองส่วนแบ่งการตลาดได้น้อยมาก ๆ แม้จะวางจำหน่ายแมคอินทอชพร้อมระบบ Inteface ใหม่ พร้อม mouse ที่เป็นการปฏิวัติวงการในขณะนั้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าสุดท้ายแล้ว Apple เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับตลาด PC ที่ IBM ครองตลาดอยู่ในตอนนั้น ซึ่ง Compaq มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของ IBM ซึ่งใหญ่มาก ๆ ทำให้ Compaq แทบจะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัทของประเทศอเมริกา

การเติบโตแบบก้าวกระโดด

ด้วยความผิดพลาดของ IBM รวมถึง Apple ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้กับแมคอินทอชรวมถึงลิซ่า ทำให้ Steve Jobs ก็ต้องถูกบีบให้ออกจาก apple ไปในที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครจะมาขัดขวางการเติบโตของ compaq ได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของเทคโนโลยีรวมถึงการตลาด ที่เริ่มนำเอาผู้มีเชื่อเสียงมาช่วยในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำให้ยอดขายของ Compaq เติบโตขึ้นเกินกว่าปีละ 100% ตลอดในช่วงแรกเริ่มและพุ่งไปถึงกว่า 500 ล้านเหรียญในปี 1985

จุดเปลี่ยนที่สำคัญกับการเข้ามาของ Intel Chipset 386

IBM นั้นมักจะได้สิทธิ์ Exclusive กับ Chip ของบริษัทชื่อดังอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ IBM ถูกปฏิเสธโดย Intel ซึ่ง Chipset 386 นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของ Chip ที่ทำให้การทำงานของ PC ก้าวกระโดดไปอีกขั้น

เมื่อ Intel ไม่ได้ Exclusive ตัว Chip 386 กับ IBM แล้ว  Compaq ก็เร่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ใช้ Chipset 386 เพื่อออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด

ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ
ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ

ไม่เพียงแค่ Chipset Intel 386 เท่านั้น เมื่อ Compaq ออกผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ก็ได้มีการร่วมมือกับ Microsoft ของ Bill Gate ที่ยอมให้ระบบปฏิบัติการของ Windows สามารถรันได้บน Compaq ได้แบบที่ว่าไม่ต้องไปทำการ Copy Chip Code ใด ๆ จาก IBM อีกต่อไป  เป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างสิ้นเชิงและปลดแอกจาก IBM ในที่สุด

ความสุดยอดของ Chipset 386 ทำให้ Compaq เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเริ่มฉีกหนี IBM ออกไป และสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจาก IBM ไปได้อย่างมาก

แม้ตลาดองค์กร IBM จะเป็นเจ้าตลาดอยู่ก็ตามแต่ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นต้องบอกว่า Compaq ได้ทำยอดขายแซง IBM ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Compaq ใช้เวลาเพียง 3 ปีก็เข้าสู่ทำเนียบ Fortune 500 ได้สำเร็จ

สามผู้ก่อตั้งต่างร่ำรวยจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่พนักงานกลุ่มแรก ๆ ที่ได้หุ้น ก็ทยอยกลายเป็นเศรษฐีกันไปด้วย ต้องบอกว่า Compaq เป็นบริษัทที่ใช้เวลาสร้างกิจการได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และสามารถทำยอดขายแตะ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้เร็วที่สุดอีกด้วย

ความผิดพลาดซ้ำสองของ IBM

การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ IBM ถือเป็นครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับบริษัทที่เพิงเกิดใหม่เพียงไม่กี่ปีอย่าง Compaq

IBM ต้องเริ่มใช้การฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิบัตรของ Compaq โดยใช้การ Reverse Engineer ที่ Compaq ทำมาตั้งแต่ต้น ซึ่งก็ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงเหมือนกันที่ Compaq จะถูกฟ้องร้องจนอาจต้องถูกปิดบริษัทไปเลย แต่สุดท้าย Rod Canion ก็ใช้วิธีการเจรจาและชดใช้ค่าเสียหายจนตกลงกันได้ที่ประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ

IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM
IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM

ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของ IBM คือการต้องการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ Compaq สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยออกระบบปฏิบัติการใหม่คือ PS/2 ที่ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ ซึ่งต้องบอกว่า IBM ต้องการฆ่าทุกคนในธุรกิจนี้เลยก็ว่าได้

แต่หารู้ไม่การสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ที่ไม่สามารถเข้ากับผลิตภัณฑ์ตัวเดิมของ IBM ได้เลยนั้นถือเป็นการฆ่าตัวตายของ IBM เอง เพราะองค์กรใหญ่หลาย ๆ องค์กรในสหรัฐได้สั่งซื้อเครื่อง computer ของ IBM ไปเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนต้องมีการเปลี่ยนแบบยกองค์กรและต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ต้องการซื้อ PS/2 ของ IBM เพราะต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมดซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ๆ

เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองเลยก็ว่าได้สำหรับ IBM ชัดเจนว่าต่อจากนี้ ตลาด PC นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว IBM ไม่ได้เป็นผู้กำหนดตลาดอีกต่อไป มีการรวมตัวของผู้ผลิต PC ขนาดใหญ่จำนวน 9 ราย รวมถึงมีการเจรจากับ Bill Gate จาก Microsoft และพัฒนามาตรฐานของพวกเค้าเองในชื่อ EISA (Extended Industry Standard Architecture) โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใด  ๆ กับ IBM อีกต่อไปเป็นการถีบ IBM ออกจากตลาด PC แบบถาวรเลยก็ว่าได้

เมื่อ Compaq เข้าสู่ยุคตกต่ำ

แม้การรวมตัวจะเป็นผลดีและทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นและที่สำคัญสามารถกำจัด IBM ออกจากตลาดได้สำเร็จ แต่ขนาดองค์กรของ Compaq ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มยากที่จะบริหารให้ได้เหมือนตอนเริ่มต้นกิจการ

Compaq เริ่มมีการขยายตลาดไปยังยุโรป ทำให้ได้เจอกับ Eckhard Pfeiffer ที่ถนัดในเรื่องการผลิตในปริมาณมาก ๆ แต่ตัว Rod Canion เองนั้นอยากให้ผลิตภัณฑ์ยังมีคุณภาพเหมือนเดิมต่อไป รวมถึงผู้ผลิตจากญี่ปุ่นอย่างโตชิบ้าก็สามารถผลิตในราคาที่ถูกกว่าซึ่งเป็นการเข้ามากำจัดจุดเด่นของ Compaq ในยุคแรก ๆ ไปเลยก็ว่าได้

ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุมเร้าตัว Rod Canion เองและไม่สามารถแก้ปัญหาได้เริ่มมีการตีตลาดจากแบรนด์นอก รวมถึงดาวรุ่งที่พุ่งแรงขึ้นมาอย่าง Dell ที่สามารถผลิตสินค้าในราคาถูกกว่า Compaq

ทำให้ยอดขายของ Compaq เริ่มตก บริษัทเริ่มปลดพนักงานออกไป Rod Canion เริ่มถูกกดดันจากกรรมการบริษัทคล้าย ๆ กรณีของ Steve Jobs ที่ถูกกดดันให้ออกจาก Apple

Rod Canion เริ่มทนกระแสกดดันไม่ไหวจนต้องยอมถอนตัวออกไป เป็นการสิ้นสุด Compaq ของยุคผู้ก่อตั้งทั้งสามและให้ Eckhard Pfeiffer เข้ามาเป็น CEO แทน

ซึ่งสุดท้ายก็มีการควบรวมกิจการกับ HP เพื่อกลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2002 เป็นการสิ้นสุดแบรนด์ Compaq ไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.wikipedia.org
https://history-computer.com/the-real-reason-compaq-failed-spectacularly/
https://www.pcmag.com/news/the-golden-age-of-compaq-computers
https://www.wnyc.org/story/unlikely-pioneers-who-founded-compaq-and-transformed-tech/

Cheeky Chunk กับการทิ้งปริญญา MBA สู่เส้นทางมหาเศรษฐีค้าร่มออนไลน์

ร่ม อย่างที่เราได้รู้จักกันดีว่ามันถูกใช้เพื่อปกป้องเราจากฝน หรือ แสงแดด หลายคนมองร่มเป็นสินค้าที่มีคู่แข่งมากมาย และเป็นธุรกิจที่ไม่น่าสนใจ แต่ชายที่มีนามว่า Pratik Doshi มองเห็นโอกาสที่ต่างออกไป

Pratik เติบโตขึ้นในเมือง Wadala ทางมุมไบตอนใต้ ประเทศอินเดีย พ่อของ Pratik เป็นนักธุรกิจธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยแต่อย่างใด แต่เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ภายใต้เงาพ่อเขาเขา ต้องการสร้างความสำเร็จด้วยตัวของเขาเอง

Pratik ได้เริ่มต้นธุรกิจ Cheeky Chunk ในปี 2014 ในตอนแรกนั้นเขาได้วางจำหน่ายร่มสุดแหวกแนวของเขาไม่กี่แห่งในตลาดเล็ก ๆ ของประเทศอินเดีย แต่เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดี เขาจึงได้เริ่มมาเอาจริงเอาจัง และเริ่มต้นสร้างบริษัทขายร่มที่มีดีไซน์และเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

แล้วคำถามว่าทำไมต้องเป็นร่ม? คำตอบของ Pratik คือ “ทุกคนใช้ร่ม และผมก็คิดว่าทำไมไม่ออกแบบมันในลักษณะที่ผู้คนจะรู้สึกผูกพันกับมัน แล้วจึงต้องพกมันไปเพราะความรักสิ่ง ๆ นี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น และนั่นคือวิธีที่ Cheeky Chunk ถูกสร้างขึ้น”

Pratik ที่เรียนจบ MBA จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอินเดีย ต้องทนให้เพื่อนหัวเราะเยาะเขาอยู่ตลอดเวลาในช่วงแรก ๆ ของการตั้งบริษัทค้าร่มของเขา ซึ่งในขณะที่เพื่อน ๆ MBA ได้รับเงินเดือนมหาศาล และนั่งโต๊ะทำงานสบาย ๆ ในห้องแอร์ แต่ชีวิตของ Pratik นั้นแตกต่างออกไป

Pratik คิดอย่างเดียวว่า ต้องสร้างตัวให้ทัดเทียมเพื่อน ๆ ให้ได้เร็วที่สุด เขาก็พยายามขยายตลาดร่มของเขาไปทั่วเมือง โดยการเริ่มต้นจาก 0 เพราะเขาเองก็แทบจะไม่มีเงินทุนในการขยายกิจการมากนัก

Pratik เริ่มต้นจากการทำงานร่วมกับนักเรียนศิลปะที่ดูมีแวว เขาได้นำร่ม 500 คันที่ทำการผลิตและจำหน่ายผ่านทางเพื่อน ๆ และครอบครัวของเขา โดยใช้เงินทุนตั้งต้นราว ๆ 135,000 รูปี หรือราว ๆ ห้าหมื่นบาทไทย เพื่อนำมาเป็นทุนในการออกแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนาเว็บไซต์ โดยเป็นเงินที่เขาได้รับจากการสอนพิเศษในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

ร่มที่ดีไซต์เป็นเอกลักษณ์ของ Cheeky Chunk
ร่มที่ดีไซต์เป็นเอกลักษณ์ของ Cheeky Chunk (CR:yourstory)

แต่ครึ่งปีแรกผ่านไปอย่างทุลักทะเล เพราะแทบจะไม่มีลูกค้านอกจากจากเพื่อนและครอบครัวของเขา ซึ่งแทบจะไม่สร้างกำไรจากธุรกิจขายร่มของเขาได้เลย ตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองต้องไปหางานที่เหมาะสมจริง ๆ ที่ดีกว่าการมาขายร่ม และทำตัวให้เหมือนกับเพื่อน ๆ ที่นั่งตากแอร์ทำงานสบาย ๆ

มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก ๆ และเต็มไปด้วยความเครียดและความผิดหวัง ที่เมื่อเขามองเพื่อน ๆ ที่ได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า เขาจึงต้องเลือกทางเดินของชีวิต โดยตัดสินใจที่จะลองพยายามอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายหากไม่ work ก็จะกลับไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่น

เขาจึงต้องทำร่มที่สมบูรณ์แบบที่ดีที่สุดในตลาด โดยปรับกระบวนการผลิต Pratik ได้ทำการจัดหาเฟรมร่มคุณภาพสูงจากซัพพลายเออร์ในประเทศ และจ้างผู้รับเหมามืออาชีพในเรื่องการพิมพ์และเย็บร่ม

เขาต้องทำหลาย ๆ อย่างด้วยตัวคนเดียวไม่ว่าจะเป็นการซ่อมเครื่องพิมพ์ลายเพื่อให้มันกลับมาทำงานได้อีกครั้ง หรือ การแบกผ้า 10 กก. ไว้บนบ่าเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร เพื่อให้แน่ใจว่าร่มของเขาจะได้รับการผลิตที่ตรงตามเวลา

หลังจากมาโฟกัสเรื่องคุณภาพ คำสั่งซื้อก็เพิ่มเข้ามามากขึ้น ซึ่งสูงถึง 400 คันต่อวัน จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสามารถแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการแพ็คสินค้า ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ การออกใบแจ้งหนี้ หรือ ดูแลงานอื่น ๆ

เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น Pratik ก็ต้องการทีมงานเพื่อขยายกิจการ
เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น Pratik ก็ต้องการทีมงานเพื่อขยายกิจการ (CR:yourstory.com)

ในปี 2015 เขาจึงได้เพิ่มทีมงานระดับท็อป 6 คน ซึ่งประกอบไปด้วยนักศึกษาฝึกงาน MBA 2 คน นักบัญชี และ เจ้าหน้าที่บรรจุร่มอีกตำแหน่งละ 2 คน เพื่อมาขยายกิจการร่มของเขา

เมื่อฝนตกหนัก

แน่นอนว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของกิจการร่มของเขาก็คือ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนที่ฝนในอินเดียตกหนักมาก ๆ และร่มของ Pratik ก็เริ่มขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

และการที่ Pratik ได้นำร่มเข้าสู่ตลาด Ecommerce เขาใช้เทคนิควิธีในการอัปโหลดรายชื่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมด และใส่คำค้นหามากกว่า 100 คำ เพื่อให้ผู้คนสามารถค้นพบผลิตภัณฑ์ของเขาได้

ซึ่งเป็นการทำตลาดแบบ SEO (Search Engine Optimization) เมื่อเขาวางขายร่มคันแรกในเว๊บไซต์อย่าง amzon ตอนแรกคำค้นหาของเขาอยู่หน้า 20 แต่เพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์มันก็ได้พุ่งขึ้นไปอยู่หน้าแรก และกลายเป็นร่มที่ขายดีที่สุดใน amazon.in ทันที

ปัจจุบัน Cheek Chunk ขายผ่านเว๊บไซต์ของพวกเขาเอง รวมถึงในแพล็ตฟอร์ม Ecommerce ต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป้น Flipkart , Amazon , Snapdeal และร้านค้าปลีกอีก 2-3 แห่งในเมืองมุมไบ

ยอดขายส่วนใหญ่มาจาก Ecommerce แทบจะทั้งสิ้น ทำให้บริษัทร่มของเขากลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดใน แพล็ตฟอร์ม Ecommerce ของอินเดีย

Pratik ยังตัดสินใจที่เพิ่มสีสันให้กับร่มของเขาด้วย เขาตัดสินใจผลิตร่มที่มีสีต่าง ๆ กัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขากลายเป็นที่นิยมเพื่อจุดประสงค์อื่นนอกเหนือจากการเป็นเพียงแค่ร่มกันฝนเพียงเท่านั้น

เป้าหมายของ Cheeky Chunk ไม่ใช่เรื่องความเชี่ยวชาญในการผลิตร่ม เพราะคงมีคนทำได้จำนวนมากในอินเดีย แต่ Pratik เลือกที่จะผลิตร่มที่มีธีมและการออกแบบที่สร้างสรรค์เพื่อเชื่อมโยงความทรงจำของสายฝนกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้ร่ม

แนวคิดที่น่าสนใจจาก Pratik กับธุรกิจขายร่มอย่าง Cheek Chunk เขาได้กล่าวว่า การถ่ายภาพที่สวยงามนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจของเขา เขาเชื่อว่า 50 % ของการตลาดของผลิตภัณฑ์ของเขา มันได้ถูกสร้างการบอกต่อโดยตัวผลิตภัณฑ์และลูกค้าของเขาเอง

เขาแนะนำสิ่งที่สำคัญว่า อย่าจ่ายเงินให้ใครเด็ดขาด เพื่อมาอวยผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ปล่อยให้การรีวิวแบบธรรมชาติจากลูกค้าเป็นการบอกต่อสร้างคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของตัวคุณเองจะดีกว่า

มีคำพูดที่น่าสนใจจาก Pratik ที่กล่าวว่า “คุณจะไม่มีทางเห็นพวกเราขาย แก้วกาแฟธรรมดา ๆ หรือ เสื้อยืดธรรมดา ๆ ที่มีหลายคนทำมัน และเราไม่อยากเสียเวลาในการทำแบบเดียวกันกับคนอื่น คุณจะเห็นเราแก้ปัญหาที่แท้จริงด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเราเท่านั้น”

“คุณอาจจะเห็นคนสิบคนที่ถือร่มสีดำที่ดูซ้ำซากจำเจน่าเบื่อ แต่คุณต้องยิ้มเมื่อเห็นคนที่สิบเอ็ดถือร่ม Cheeky Chunk สีเหลืองที่ออกแบบมาโดยความคิดสร้างสรรค์ของเรา นั่นคือสิ่งที่เราตั้งใจจะทำเพื่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา”

References : https://yourstory.com/2015/07/cheeky-chunk-pratik-doshi
https://medium.com/the-innovation/the-man-whose-startup-made-millions-just-by-selling-umbrellas-2ab1d802a7
https://www.theweekendleader.com/Success/2693/happy-rainy-days.html
https://www.hfumbrella.com/umbrella-manufacturer-story

Zip2 กับการเริ่มต้นอันสวยหรู สู่การสานฝันที่จะเปลี่ยนโลกของ Elon Musk

ผมว่านักธุรกิจหลายรายที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องเจออุปสรรคกับชีวิตมากมาย กว่าจะเจอธุรกิจที่ปังจริง ๆ และพลิกชีวิตได้นั้นคงต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย ซึ่งการเริ่มต้นธุรกิจแรกอย่างสวยหรูนั้นคงเป็นฝันของใครหลายๆ คนที่อยากจะคว้ามัน

แม้ว่าในตอนแรกนั้น อีลอน มัสก์ ยังไม่มั่นใจนักว่าจะได้ทำงานในเรื่องที่สนใจ อย่าง อินเทอร์เน็ต , พลังงานที่ยั่งยืน หรือ เรื่องการสำรวจอวกาศ ซึ่งล้วนจะมีอิทธิพลอย่างสูงต่ออนาคตของมนุษยชาติ ซึ่งตัวเขาเชื่อว่าทั้งสามสิ่งเหล่านี้ จะทำให้โลกมีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น หากเขาได้ทำงาน หรือ สร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งสามหัวข้อดังกล่าว

ในช่วงที่เขากำลังศึกษาในระดับ มหาลัยนั้น มัสก์ เริ่มที่จะสนใจ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยไฟฟ้า ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาพลังงานที่กำลังจะหมดโลกอย่างน้ำมัน ความสนใจของเขามุ่งไปที่การที่จะสร้างแบตเตอรี่ เพื่อใช้ขับเคลื่อนยานพาหนะเหล่านี้

ในปี 1995 มัสก์ได้ทุนการศึกษาเข้าเรียนระดับ PhD ในสาขา materials science & applied physics ที่ Stanford University งานธีสิส ของเขานั้นเป็นไอเดียเกี่ยวกับการสร้างแหล่งพลังงานแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ให้กับเหล่ายานพาหนะที่ถูกขับเคลื่อนโดยไฟฟ้านั่นเอง

สำหรับดีกรี PhD ที่จะได้มาหลังเรียนจบนั้นมัสก์ไม่ได้สนใจมันนัก แต่เขาสนใจผลจากงานวิจัยชิ้นนี้มากกว่า เป้าหมายของเขาต้องการที่จะทดแทนแบตเตอรี่รูปแบบเดิมๆ  ด้วยแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่เขาได้วิจัยขึ้น ซึ่งจะทำให้มันสามารถที่จะชาร์จได้อย่างรวดเร็วที่สุดแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ อินเทอร์เน็ต กำลังเติบโตแบบสุดขีด มันทำให้มัสก์ ต้องเลือกทางเดินของชีวิตอีกครั้ง ว่าจะอยู่เรียนระดับ PhD เพื่อทำงานวิจัยให้สำเร็จ และเฝ้ามองอินเทอร์เน็ตที่กำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้อยู่เฉย ๆ หรือ ออกมาทำความฝันอีกอย่างหนึ่งของเขาในโลกอินเทอร์เน็ตแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อที่ Stanford

และเมื่อเขาได้วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วนั้น เขาก็เลือกอินเทอร์เน็ตก่อน เขาลาออกจากการเรียน PhD ที่ Stanford เพราะดูเหมือนว่าการทำความฝันทางด้านอินเทอร์เน็ตนั้นน่าจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่าต้องเรียน PhD ที่อีกหลายปีกว่าจะเรียนจบ

ซึ่งตอนนั้นหลาย ๆ คนมองว่าความคิดของเขาเป็นความคิดที่บ้าน่าดู เพราะเขาได้รับทุนที่ Stanford และมีเส้นทางที่สดใสสำหรับการเรียนที่ทุกคนต่างอิจฉา 

เขาต้องเริ่มหางานที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตทันที แต่ปัญหาใหญ่ คือ เขาแทบจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ที่เป็นรูปธรรมมาก่อนเลย แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์คนหนึ่ง ที่เคยสร้างเกมส์ที่ประสบความสำเร็จมามากมายแล้วก็ตามที

ในขณะนั้น Web Browser ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่คือ NetScape ซึ่งครองส่วนแบ่งได้ถึง 90% แต่เพียงแค่ปีให้หลัง ก็ถูก Microsoft แย่งชิงตลาดไปจนเกือบหมด ด้วยกลยุทธ์ขายพ่วง Windows และแจก Internet Explorer ให้ใช้กันฟรี ๆ 

มัสก์นั้นเคยสมัครไปทำงานกับ NetScape แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาต้องการทำงานกับบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก และ เมื่อเขาไม่สามารถเข้าไปทำงานกับบริษัทอินเทอร์เน็ตเหล่านี้ได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือเขาต้องสร้างบริษัทขึ้นมาเอง

มัสก์ นั้นฉุกคิดถึงเรื่องธุรกิจอินเทอร์เน็ตได้จาก ในวันหนึ่งเขาได้พบกับพนักงานขายของเยลโลว์เพจเจส ซึ่งพนักงานขายคนนั้นได้นำเสนอเรื่องการทำบัญชีรายชื่อออนไลน์ที่ปรกติก็คือสมุดหน้าเหลือเล่มหนาเต๊อะ ให้มาอยู่ในอินเทอร์เน็ต

และ ไอเดียนี้ นี่เองที่ทำให้มัสก์นั้นได้ไปคุยกับ คิมบัล น้องชายของเขา และได้พูดถึงไอเดียแนวคิดที่จะช่วยธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถก้าวสู่โลกออนไลน์ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งในปี 1995 สองพี่น้องก็ได้เริ่มก่อตั้ง Global Link Information Network บริษัทสตาร์ทอัพ ที่สุดท้ายได้กลายร่างมาเป็นบริษัท Zip2 

อีลอน มัสก์ และ คิมบัล น้องชายของเขา (CR:Sutori)
อีลอน มัสก์ และ คิมบัล น้องชายของเขา (CR:Sutori)

ในตอนนั้น มีธุรกิจขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่เข้าใจอิทธิพลของอินเทอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจพวกเขาเหล่านี้ ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร มัสก์ กับน้องชาย มีแนวคิดที่จะโน้มน้าว ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านทำผม และร้านที่เป็นธุรกิจขนาดย่อมอื่น ๆ และพาพวกเขาเหล่านี้ขึ้นสู่ระบบอินเทอร์เน็ต

สองพี่น้องมัสก์ และ คิมบัล ได้ให้กำเนิด Zip2 ขึ้นใน พาโล อัลโต พวกเขาได้เช่าสำนักงานขนาดเล็กเท่าอพาร์ตเมนต์แบบสตูดิโอ ขนาด กว้าง 20 ฟุต คูณ 30 ฟุต มันเป็น ออฟฟิศขนาดเล็ก ๆ เพื่อให้พวกเขาได้เริ่มธุรกิจกันได้เท่านั้น

ช่วงแรกนั้น มัสก์ ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาจากการเขียนเกมมาก่อน เป็นคนเขียนโค้ดหลักทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง เขาได้ซื้อฐานข้อมูลธุรกิจในเขตเบย์แอเรียมาได้ ในราคาไม่แพงนัก ซึ่งจะมีการรวบรวมรายชื่อที่อยู่และธุรกิจต่าง ๆ เพื่อมาเป็นฐานข้อมูลตั้งต้นของ Zip2

ส่วนเรื่องของแผนที่นั้น มัสก์ ได้ไปเจรจากับ บริษัท Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ มัสก์ได้ใช้เทคนิคเจรจาจนได้เทคโนโลยีมาใช้แบบฟรี ๆ ซึ่งเหล่าวิศวกรของ Zip2 ก็ได้เพิ่มข้อมูลฐานข้อมูลและเชื่อมกับแผนที่ที่ได้จาก Navteq ให้กลายเป็นระบบพื้นฐานและเปิดใช้งานให้ได้อย่างเร็วที่สุด

Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ (CR:Omelette Inn)
Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ (CR:Omelette Inn)

แม้ Zip2 นั้นจะเป็นกิจการอินเทอร์เน็ตที่น่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในยุคบูมสุดขีดของ อินเทอร์เน็ต แต่การที่จะจูงใจให้เหล่าธุรกิจต่าง ๆ มาเข้าร่วมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยทีเดียว มัสก์ ต้องทำการจ้างทีมเซลล์ เพื่อไปเคาะประตูขายไอเดียดังกล่าวให้ธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นลูกค้าเป้าหมายของเขาถึงหน้าบ้าน

มัสก์ ทำงานอย่างหนักจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ  เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิส นอน กิน ทำงาน ทุกอย่างอยู่ภายในออฟฟิส มันทำให้ Zip2 พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเปลี่ยนจากแค่การพิสูจน์แนวคิด มาเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ  ที่ใช้และสาธิตให้ลูกค้าเห็นภาพได้

นั่นทำให้เหล่านักลงทุนต่างเชื่อในความทุ่มเทถวายชีวิตให้บริษัทของมัสก์ ตอนนี้มัสก์ได้แขวนชีวิตไว้กับการสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา เขาจะพลาดไม่ได้ เขาทุ่มสุดตัวกับโปรเจกต์นี้เป็นอย่างมาก 

หนึ่งในนักลงทุนคนสำคัญ คนแรก ๆ คือ เกรก โครี นักธุรกิจชาวแคนาดา ซึ่งเจอพี่น้องมัสก์ ในเมืองโตรอนโต และร่วมสนับสนุนการระดมความคิดของ Zip2 ยุคแรก ๆ เขาได้ลงทุนกว่า 6,000 เหรียญ จนในปี 1996 เขาย้ายไปยังแคลิฟอร์เนียและร่วมเป็นผู้ก่อตั้ง Zip2

ซึ่งเกรก นี่เองเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ อีลอน มัสก์ ฟัง และมีวิธีอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้มัสก์เข้าใจได้ ซึ่งการที่มัสก์เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ ทำให้บางทีหลาย ๆ คนไม่เข้าใจว่ามัสก์กำลังคิดอะไรอยู่ และจะสื่อสารกับเขาได้อย่างไร

ในตอนต้นปี 1996 Zip2 ก็ได้รับการลงทุนจาก  Mohr Davidow Ventures โดยได้รับเงินทุนกว่า 3 ล้านเหรียญ และได้เริ่มว่าจ้างวิศวกรเพิ่มมากขึ้น รวมถึงปรับโมเดลธุรกิจใหม่ให้กลายเป็นระบบบอกทางที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์  และได้เริ่มขยายธุรกิจไปทั่วประเทศ

แม้ภายหลังมัสก์ นั้นจะถูกบีบให้ขึ้นไปเป็นประธานฝ่ายเทคโนโลยี และ ให้ ริช ซอร์คิน มาเป็น CEO ของบริษัทแทนก็ตาม เพื่อให้บริษัทเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมัสก์ ก็ยอมแต่โดยดี แม้จะขมขื่นกับการที่ต้องวางมือจากบริษัทที่เขาสร้างมาเองก็ตาม แต่มันก็แลกกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลที่เขาได้รับ

ริช ซอร์คิน ที่ผลักดันให้ Zip2 กลายเป็นบริษัทมืออาชีพมากขึ้น (CR:Global Supply Chain Excellence Summit)
ริช ซอร์คิน ที่ผลักดันให้ Zip2 กลายเป็นบริษัทมืออาชีพมากขึ้น (CR:Global Supply Chain Excellence Summit)

ซึ่งการสร้าง Zip2 ของมัสก์นั้น มันได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก เขาควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น และเริ่มรู้ตัวและจัดการกับนิสัยเสีย ๆ บางอย่างของตัวเองเช่น การชอบไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบแรง ๆ 

มัสก์นั้นก็ยังเป็นขุมกำลังหลักในบริษัทเหมือนเดิม เขาเป็นผู้นำปลุกใจเหล่าพนักงานของเขาได้อย่างดี ตอนนี้ภาวะผู้นำของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และ Zip2 ก็เริ่มที่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากบริษัทสื่อใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ไนท์รีดเดอร์ หรือ เฮิร์สท์คอร์เปอเรชั่น และสื่อใหญ่ ๆ อื่น ๆ อีกมากมายต่างลงทะเบียนมาใช้บริการ

บางแห่งก็ได้ทำการลงทุนเพิ่มใน Zip2 เลยด้วยซ้ำ บางรายให้สูงถึง 50 ล้านเหรียญ ตอนนั้นบริการอย่าง Craigslist นั้นเพิ่งเริ่มจะก่อตั้งขึ้นยังไม่ได้เป็นคู่แข่งกับ Zip2 เสียทีเดียว 

Zip2 ก็เป็นที่กล่าวขวัญในวงกว้างเนื่องจากสื่อยักษ์ใหญ่เหล่านี้อยากได้โฆษณาย่อย และรายชื่อสำหรับหน้าอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ และข่าวบันเทิง และมันทำให้เงินไหลเทมาที่ Zip2 อย่างต่อเนื่อง และทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว 

เพียงแค่ 2 ปีหลังจากนั้น Zip2 ได้รับข้อเสนอในการรวมกิจการกับคู่แข่งอย่าง CitySearch ซึ่งข้อตกลงมีมูลค่ากว่า 300 ล้านเหรียญ ทำให้ทั้งสองแข็งแกร่งยิ่งขึ้นทั้งทางด้านการตลาดจาก CitySearch และเหล่าวิศวกรอัจฉริยะจาก Zip2

แต่การรวมกันของสององค์กรที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งสองมีการทำงานที่ซับซ้อนกันอยู่หลายส่วน ต้องมีการตัดบางส่วนออกไปหรือผู้บริหารบางคนของ Zip2 ก็ถูกลดความสำคัญลงไป มัสก์นั้นแม้ตอนแรกจะสนับสนุนการควบรวม ก็ได้เปลี่ยนเป็นมาต่อต้านแทนในท้ายที่สุด

แต่ข้อตกลงต่าง ๆ มันได้คุยกันไปไกลมากแล้ว สถานการณ์ของ Zip2 เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก แถมยังมีคู่แข่งรายใหญ่อย่าง ไมโครซอฟต์ กำลังเข้ามาสู่ตลาดนี้ รวมถึงสตาร์ทอัพรายอื่น ๆ ก็กำลังสนใจตลาดนี้เช่นกัน มันทำให้คู่แข่งเริ่มเข้ามาเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

แต่แล้ว ในปี 1999 เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อบริษัทคอมแพคที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ของโลกในขณะนั้น ได้เสนอขอซื้อ Zip2 ด้วยเงินสดถึง 307 ล้านเหรียญ มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์มาโปรดสำหรับผู้ลงทุนใน Zip2 ที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่ และพวกเขาแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลยในการตกลงรับข้อเสนอดังกล่าว

ข้อเสนอของคอมแพคดังกล่าวนี่เองที่ทำให้ มัสก์ และ คิมบัล สองพี่น้อง กลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ มัสก์ ได้ส่วนแบ่งถึง 22 ล้านเหรียญ ส่วน คิมบัล นั้นได้ไป 15 ล้านเหรียญ มันเป็นเงินมากมายที่พวกเขาแทบไม่เคยได้จับมาก่อน มันเป็นความสำเร็จครั้งแรกของมัสก์เลยก็ว่าได้ในเรื่องของการทำธุรกิจ และที่สำคัญมันเพิ่งจะเป็นธุรกิจแรกของเขาเท่านั้น

และแน่นอนว่าเงินจำนวนนี้ที่มัสก์ได้มานั้นเขาต้องการลงมือในโปรเจคต่อไปทันที มัสก์ยอมรับว่าการสร้างบริษัทแรกอย่าง Zip2 นั้น มันมีข้อผิดพลาดหลายอย่างซึ่งเขาแทบจะไม่เคยบริหารบริษัทมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

การดูและลูกน้องก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะมัสก์มักจะไปแก้งานของพวกเขาโดยไม่คุยกันก่อน เขามองว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ ที่พวกลูกน้องต้องทำตามให้ได้ สไตล์การเผชิญหน้ากับลูกน้องของมัสก์ ก็ไม่ใช่แนวทางของผู้บริหารบริษัทที่ดีเลย มักจะมีแต่เสียกับเสียเสมอ เวลามัสก์ต้องเผชิญหน้ากับลูกน้องพร้อมกับปัญหา

มัสก์ ผู้ซึ่งดิ้นรนต่อสู้ในยุคดอทคอม ต้องเรียกได้ว่า มีทั้งความสามารถและมีดวงผสมอยู่ด้วย เขามีไอเดียเหมาะเจาะที่มาทำ Zip2 ได้ถูกที่ถูกเวลา และทำให้มันกลายเป็นบริการได้จริง ๆ แถมสามารถก้าวออกมาพร้อมเงินทุนที่จะนำไปสร้างธุรกิจใหม่ที่เขาใฝ่ฝันไว้ ฝันที่จะทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม