Google พ่อ (AI) ทุกสถาบัน การปฏิวัติเงียบที่จะเปลี่ยนโลกของคุณตั้งแต่วันนี้

เมื่อก่อนเราอาจจะต้องต่อสู้กับการค้นหาข้อมูลใน Google ต้องเลื่อนหน้าจอเป็นชั่วโมง ถึงจะได้คำตอบที่ต้องการ แต่ต้องบอกว่าในทุกวันนี้ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนทุกสิ่งแล้ว

งาน Google I/O 2025 ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า AI ไม่ใช่แค่เรื่องราวในอนาคตอีกต่อไป แต่มันคือปัจจุบันที่กำลังหลอมรวมเข้ากับชีวิตประจำวันของเราอย่างชัดเจน

การประกาศแต่ละอย่างในงานนี้ล้วนมี AI เป็นหัวใจสำคัญ Google จัดเต็มแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องการให้ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิตประจำวันแบบไร้รอยต่อ

Gemini คือพระเอกตัวจริง

Gemini โมเดล AI หลักของ Google ได้รับการอัปเกรดใหม่จนเทพมาก ๆ Gemini 2.5 Pro และ Gemini 2.5 Flash คือมาพร้อมกับความฉลาดสุด ๆ

เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังเข้าใจและประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง หรือวิดีโอ ประสิทธิภาพโดยรวมก็พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ลองนึกภาพถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ AI ทั้งหมดของ Google ที่จะมีความเทพมากขึ้น ตั้งแต่การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนไปจนถึงการตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำ

Gemini Live กับ Agent Mode: ผู้ช่วยที่เจ๋งสุดๆ

Gemini Live สามารถ “เห็น” สิ่งที่เราเห็นผ่านกล้องและหน้าจอ โต้ตอบในการสนทนาที่เป็นธรรมชาติเหมือนคุยกับเพื่อนสนิท

Agent Mode อีกหนึ่งความเจ๋งที่ทำให้ Gemini เป็นผู้ช่วยส่วนตัวตัวจริง ช่วยค้นคว้าข้อมูลและจัดการงานให้แบบเสร็จสรรพ

สมาร์ทโฟนของเราจะกลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจความต้องการอย่างลึกซึ้ง ให้ความช่วยเหลือแบบเรียลไทม์โดยอิงจากสิ่งรอบตัว

เพราะฉะนั้นในอนาคตมนุษย์เราทุกคนต้องมีการปรับตัวและเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยี ซึ่ง Google เองให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI ที่เข้าใจความต้องการของมนุษย์

การค้นหารูปแบบใหม่

Google Search ที่เราใช้มากว่า 20 ปี กำลังได้รับการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ AI Mode ใน Google Search เปิดตัวให้ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาแล้ว

แทนที่จะเสียเวลาเลื่อนหน้าจอแบบเดิมๆ เราจะได้รับคำตอบโดยตรงที่สร้างโดย AI ระบบแยกแยะคำค้นหาที่ซับซ้อน ประมวลผลในหลากหลายแง่มุม และตรวจสอบความถูกต้องด้วยตัวเอง

ที่เจ๋งก็คือ AI Mode ยังใช้บริบทส่วนตัวจาก Gmail เพื่อให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง ค้นหาเชิงลึกโดยค้นหาหลายเว็บไซต์พร้อมกัน

ผลการค้นหาจะเข้ากับเรามากขึ้น คาดการณ์ความต้องการและหาข้อมูลเชิงลึกที่ก่อนหน้านี้เราต้องฝ่าฝันค้นคว้าด้วยเองนานเป็นชั่วโมง

Generative AI ที่ทำให้ทุกคนเป็นศิลปิน

Veo 3 สำหรับสร้างวิดีโอ และ Imagen 4 สำหรับสร้างภาพ คือการอัปเกรดที่โหดมาก ๆ เรียกได้ว่าใครได้เห็นในวีดีโอจะเห็นความสมจริงที่มันเป๊ะมาก ๆ ทั้งการควบคุมฟิสิกส์ในฉาก เอฟเฟกต์เสียงประกอบ และการจัดตัวอักษรที่เป็นธรรมชาติ

ไม่ว่าจะเป็นผู้สร้างหนังหน้าใหม่หรือธุรกิจขนาดเล็ก การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่มีความเหลื่อมล้ำทางเครื่องมือกันอีกต่อไป ใช้สมอง creative กันให้เต็มที่ได้เลย

Flow รวม Veo 3 และ Imagen 4 เข้าด้วยกัน สร้างความสอดคล้องของตัวละครและฉาก เพิ่มเพลงผ่าน Lyria 2 ชุดเครื่องมือเหล่านี้ทำให้กระบวนการสร้างสรรค์ง่ายขึ้นมาก

Project Astra: ผู้ช่วยที่เข้าใจโลกรอบตัว

วิสัยทัศน์ของ Google สำหรับผู้ช่วย AI ที่เข้าใจและมีปฏิสัมพันธ์กับโลกผ่านกล้องและเสียงแบบเรียลไทม์ ลองจินตนาการ AI ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับวัตถุในห้องได้

AI สามารถแนะนำการทำงานตามสภาพแวดล้อมต่าง ๆ หรือเป็นเครื่องมือช่วยเหลือสำหรับผู้พิการ เพิ่มความเป็นอิสระให้คนที่มีความต้องการพิเศษ

Google Beam: การประชุมที่สมจริง

เดิมชื่อ Project Starline ใช้ AI และกล้องหลายตัวสร้างเวอร์ชัน 3D ของเราสำหรับ Video Call การประชุมจะรู้สึกเป็นส่วนตัวและเหมือนอยู่ด้วยกันจริงๆ มากขึ้น การแปลภาษาแบบเรียลไทม์พร้อมการจับคู่เสียง ช่วยลดอุปสรรคในการสื่อสารได้อย่างน่าทึ่ง

Try on Mode: ลองชุดแบบเสมือนจริง

ใช้ AI เพื่อลองสวมเสื้อผ้าเสมือนจริง ด้วยโมเดลที่เข้าใจร่างกายมนุษย์และการทิ้งตัวของผ้า ปฏิวัติการช้อปปิ้งออนไลน์โดยลดความไม่แน่นอนและการคืนสินค้า ที่เป็นปัญหาใหญ่ของวงการช้อปปิ้งมานานแสนนาน

AI สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

Google AI Studio ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ประเมินโมเดลและสร้างแอปด้วย Gemini API ได้อย่างรวดเร็ว เร่งการพัฒนา AI ทำให้สร้างต้นแบบแอปได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดมากมายอีกต่อไป

ML Kit GenAI APIs (Gemini Nano) เป็น API ที่ทำงานบน Android โดยตรง ให้ความเป็นส่วนตัว มีความหน่วงต่ำ และประสิทธิภาพสำหรับการสรุป การตรวจจับภาษา และการแปล

AI ใน Chrome DevTools ผสาน Gemini เข้ากับเครื่องมือนักพัฒนา ช่วยแก้บั๊กและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บ ปรับกระบวนการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพขั้นเทพเลยก็ว่าได้

เป็นเวลานานที่ Google ถูกมองว่าเป็นผู้เล่นที่อยู่เบื้องหลังฉากในวงการ AI แต่งาน Google I/O 2025 พิสูจน์ว่าบทบาทของพวกเขาถูกประเมินค่าต่ำเกินจริงไปมาก

ในขณะที่บริษัทอื่นมุ่งเน้นแอปพลิเคชันเฉพาะทาง Google กลับฝัง AI เข้าในผลิตภัณฑ์ที่คนใช้จริงในชีวิตประจำวัน YouTube, Google Search, Chrome และ Gmail

สิ่งที่ทำให้ Google แตกต่างคือการให้ความสำคัญกับ AI ที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่หลายบริษัทสร้างผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะหรือราคาแพง

Google มุ่งทำให้ AI เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้ การพัฒนาทั้งหมดนี้จะเปลี่ยนวิธีที่เราทำงาน สื่อสาร และสร้างสรรค์ ไปอย่างสิ้นเชิง

สำหรับพวกเราในฐานะผู้ใช้งาน สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเข้าใจข้อจำกัดและความเสี่ยงของมันด้วย

การมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับ AI จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตในยุคใหม่นี้ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคที่ AI จะมีบทบาทสำคัญในการขีดชะตาอนาคตของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้นั่นเองครับผม

References: [blog .google, theverge, techcrunch, wired, androidauthority]

จุดจบของ Google? เมื่อ AI สั่นสะเทือนบัลลังก์บิ๊กเทค ราคาหุ้นร่วง 7% ใน 24 ชั่วโมง

ต้องบอกว่าภาพตลาดหุ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 ถึงกับทำให้วงการเทคโนโลยีสั่นสะเทือน หุ้น Google ดิ่งลงเหวไปกว่า 7% ภายในวันเดียว ทำให้เงินหายวับไปถึง 155,000 ล้านดอลลาร์!

เรื่องราวเริ่มจากคำให้การที่สั่นสะเทือนวงการของ Eddy Cue รองประธานอาวุโสฝ่ายบริการของ Apple ระหว่างการพิจารณาคดีต่อต้านการผูกขาดกับ Alphabet บริษัทแม่ของ Google

Cue เปิดเผยข้อมูลว่า การค้นหาผ่าน Google บนเบราว์เซอร์ Safari ของ Apple ลดลงเป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน 2025 เพราะผู้ใช้กำลังหันไปใช้เครื่องมือ AI แทน

แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุด เพราะ Cue ยังเผยอีกว่า Apple กำลังคิดที่จะรวมความสามารถในการค้นหาด้วย AI เข้ากับอุปกรณ์ของตัวเองโดยตรง

คำให้การนี้เหมือนการถีบส่ง Google เพราะที่ผ่านมา Apple ได้รับเงินมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีจาก Google เพื่อรักษาสถานะเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนอุปกรณ์ Apple

ถ้าคนเลิกค้นหาผ่าน Google จริงๆ ดีลมูลค่ามหาศาลนี้ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป นี่คือจุดพีคของความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น

ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย Google ไม่ได้อยู่เฉยๆ พวกเขาออกแถลงการณ์โต้กลับข้อกล่าวอ้างของ Cue ว่าบริษัทยังคงเติบโตในภาพรวม

Sundar Pichai ซีอีโอของ Google มองบวกเกี่ยวกับการริเริ่มด้าน AI ของบริษัทตัวเอง เขาเชื่อว่า AI Overviews ที่ใช้กันมาเกือบปีในสหรัฐฯ กำลังเข้าที่เข้าทาง ผู้คนเริ่มเห็นประโยชน์มากขึ้น

แต่คำให้การของ Cue กำลังท้าทายเรื่องราวนี้ โดยชี้ว่าความพยายามของ Google ไม่อาจปกป้องตลาดหลักได้ทั้งหมด AI กำลังเป็นภัยคุกคามของจริง

นักวิเคราะห์จาก Jefferies มองว่าตลาดกำลัง panic เกินไป พวกเขากล่าวว่าความก้าวหน้าด้าน AI ของ Google ถูกมองข้าม AI Overviews ที่มีผู้ใช้มากกว่า 1.5 พันล้านคนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ยิ่งไปกว่านั้น Safari เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในตลาดการค้นหา เทียบไม่ได้กับ Chrome ที่ครองส่วนแบ่งถึง 66% ขณะที่ Safari มีแค่ 17% แอป Google บน iOS ก็ยังเติบโต 15% เทียบกับปีที่แล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่อยู่ภายใต้เงาของคดีต่อต้านการผูกขาดที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฟ้อง Google ข้อตกลงระหว่าง Google และ Apple ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในคดีนี้

Google กำลังฝ่าฝันต่อสู้กับคู่แข่งใหม่อย่าง ChatGPT และแพลตฟอร์ม AI อื่นๆ พวกเขาปรับกลยุทธ์ผสมผสาน AI เข้ากับการค้นหา ทั้ง Gemini (เดิมคือ Bard) และ SGE (Search Generative Experience)

อุตสาหกรรมเทคโนโลยีรอดูว่า Google จะปรับตัวอย่างไร ความสามารถในการผสมผสาน AI เข้ากับการค้นหาอย่างลงตัวจะเป็นกุญแจสำคัญของการอยู่รอด

ไม่ใช่แค่ Google เท่านั้นที่ต้องปรับตัว แต่บริษัทอื่นๆ ก็ต้องปรับด้วย Apple เองก็เริ่มหันมามองโลกที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการค้นหา

Apple ลงทุนด้าน AI มากโข ทั้งปรับปรุง Siri และพัฒนา Apple Intelligence ที่ทำงานบนอุปกรณ์ ไม่แปลกเลยหากในอนาคต Apple จะพัฒนาเครื่องมือค้นหาของตัวเอง

สำหรับพวกเราทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงทางเลือกที่มากขึ้น แทนที่จะพิมพ์คำค้นหาและเลือกดูผลลัพธ์เยอะแยะวุ่นวาย เราจะได้คำตอบตรงๆ จาก AI เลย ซึ่งเป็นการประหยัดเวลาได้แบบสุดๆ

แต่คำถามเรื่องความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลก็ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ การค้นหาแบบเดิมให้ผลหลากหลายและอ้างอิงได้ ขณะที่ AI ให้ประสบการณ์ที่สะดวกและเป็นธรรมชาติกว่า

อนาคตของการค้นหาอาจไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างสองเทคโนโลยี แต่เป็นการหลอมรวมจุดแข็งของทั้งคู่เข้าด้วยกัน

สำหรับนักลงทุน เหตุการณ์นี้เตือนว่าแม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็เจอความท้าทายได้ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสามารถทำให้ธุรกิจที่มั่นคงสั่นคลอนได้ในชั่วข้ามคืน

Alphabet รู้ดีถึงความท้าทายนี้ พวกเขาเลยลงทุนหนักในเทคโนโลยี AI ทั้ง Gemini, SGE และโครงการอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาไม่อยากจบเห่เหมือนบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ในอดีต

การต่อสู้ระหว่าง Google และคู่แข่งด้าน AI ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเมามัน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือการตัดกันระหว่าง AI และการค้นหาแบบดั้งเดิมกำลังเกิดขึ้นแล้ว

เหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ Google และ Apple แต่ส่งคลื่นกระเพื่อมไปทั่ววงการเทคโนโลยี บริษัทที่พึ่งรายได้จากโฆษณาบนการค้นหาแบบเดิมต้องปรับกลยุทธ์

นักพัฒนาเว็บคงต้องคิดใหม่เกี่ยวกับการทำ SEO เมื่อ AI พุ่งทะยาน ผู้สร้างเนื้อหาก็ต้องปรับวิธีนำเสนอข้อมูลให้เข้าถึงได้ทั้งโดยมนุษย์และ AI

เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงในการตลาดดิจิทัลแล้ว การทำ SEO ไม่ใช่แค่ปรับแต่งเว็บให้ติดอันดับ Google แต่ขยายไปถึงการทำเนื้อหาให้เป็นมิตรกับ AI ด้วย

เทคโนโลยี AI เองก็ยังพัฒนาแบบก้าวกระโดด แพลตฟอร์ม AI รุ่นใหม่เจ๋งขึ้นเรื่อยๆ ในการเข้าใจบริบท ประมวลผลข้อมูลซับซ้อน และให้คำตอบที่ตรงใจผู้ใช้

นอกจาก OpenAI, Anthropic และ Perplexity ที่ Cue พูดถึง ยังมีอีกหลายบริษัทที่กำลังรังสรรค์เทคโนโลยี AI สำหรับการค้นหา เช่น Cohere, AI21 Labs แต่ละบริษัทมีความเจ๋งที่แตกต่างกันไป

ภาครัฐทั่วโลกก็กำลังจับตามองพัฒนาการเหล่านี้เช่นเดียวกัน การผูกขาดในตลาดการค้นหาเป็นประเด็นร้อน AI อาจนำมาซึ่งคำถามใหม่ๆ เกี่ยวกับการแข่งขันที่เป็นธรรม

สหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้ Digital Markets Act แล้ว มีเป้าหมายควบคุมอำนาจบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ รวมถึง Google กฎหมายนี้บังคับให้พวกเขาให้การเข้าถึงที่เป็นธรรมแก่คู่แข่ง

ย้อนกลับไปปี 2007 Nokia เป็นลูกพี่ใหญ่ในตลาดมือถือที่ดูเหมือนไม่มีใครสั่นคลอนได้ แต่หลัง iPhone เปิดตัวไม่กี่ปี บริษัทก็สูญเสียตำแหน่งและไม่กลับมาอีกเลย

บทเรียนจาก Nokia สอนว่าการยึดติดกับโมเดลธุรกิจเดิมและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงช้าอาจทำให้จบเห่ได้ Google จะเดินซ้ำรอยนี้หรือไม่?

ในท้ายที่สุด การตัดกันระหว่าง AI และการค้นหาแบบดั้งเดิมเป็นมากกว่าการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เป็นจุดเปลี่ยนในวิวัฒนาการของวิธีที่เราเข้าถึงข้อมูลในโลกดิจิทัล

เราอาจกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้นหาที่ AI มีบทบาทโครตเทพ และบริษัทอย่าง Google ต้องปรับตัวหรือเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เส้นทางข้างหน้ายังไม่ชัดเจน

โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เรื่องราวของ Google กับวิกฤตครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในวงการค้นหาอย่างไร เรายังต้องติดตามกันต่อไป

ระหว่างที่บริษัทต่างๆ ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือดต่อไป สิ่งที่แน่นอนคือผู้ใช้อย่างเราๆ จะได้เห็นประสบการณ์การค้นหาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะด้วย AI หรือการค้นหาแบบดั้งเดิม การแข่งขันนำมาซึ่งนวัตกรรม และในที่สุด ผู้ใช้ก็คือผู้ชนะที่แท้จริง

References: [techcrunch, cnbc, theverge, bloomberg, engadget]

เบื้องหลังภาษี 36.3% : ยุโรปจะรับมืออย่างไร? เมื่อรถไฟฟ้าจีนราคาถูกกำลังบุกทะลักเข้ามา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างความท้าทายใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป

จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023

แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ยุโรปโดยรวม แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและผู้กำหนดนโยบายเป็นอย่างมาก

ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีนและแบรนด์ที่จีนเป็นเจ้าของในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2019 เป็นประมาณ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย โดยต้องการให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น กับความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น

ในการตอบโต้ต่อสถานการณ์นี้ สหภาพยุโรปได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่เก็บอยู่แล้วสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด

มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยุโรปกับคู่แข่งจากจีน โดยคำนึงถึงความได้เปรียบด้านต้นทุนที่บริษัทจีนได้รับจากการสนับสนุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในยุโรป ประเทศสมาชิก EU มีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นนี้ โดยบางประเทศสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ในขณะที่บางประเทศคัดค้านหรืองดออกเสียง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความกังวลที่หลากหลายของแต่ละประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเองก็มีท่าทีที่แตกต่างกันต่อมาตรการภาษีนี้ บางบริษัทสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่บางบริษัทกังวลว่าภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของพวกเขาในจีน ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและจีนในปัจจุบัน

ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน ผู้ผลิตจากจีนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุน โดยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้ผลิตยุโรปที่ถูกที่สุดทำได้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ความแตกต่างนี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่สูงกว่า ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 80% ของโลก ทำให้แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากจีน สถานการณ์นี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก

การตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยจ้างงานหลายล้านคนและรับผิดชอบงานการผลิตเกือบหนึ่งในสิบของงานภาคการผลิตทั้งหมด การปกป้องอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป

การทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นอาจชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปภายในปี 2030

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ทางการค้าจากจีน ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าจีนมักจะตอบโต้เมื่อเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม

การตอบโต้อาจมาในรูปแบบของการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากยุโรป หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับบริษัทยุโรปที่ดำเนินธุรกิจในจีน

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับจีน

ประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีน การดำเนินมาตรการที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนานและซับซ้อนเหล่านี้

ในขณะเดียวกัน การไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรยานยนต์ยุโรปในระยะยาว ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนและความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดอาจทำให้ผู้ผลิตยุโรปสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาว์ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตยุโรปต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปโดยรวม

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว ระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม และระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การผลิตแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ ความสำเร็จของจีนในการครองตลาดเหล่านี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและการลงทุนอย่างมหาศาลของรัฐบาล

ในท้ายที่สุด การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนและการตอบสนองของยุโรปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระเบียบเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาส และวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับมันจะมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ผู้บริโภคไปจนถึงแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การจัดการกับผลกระทบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลและภาคธุรกิจในอนาคต

ถอดรหัสมหาวิบัติไซเบอร์ : จาก CrowdStrike สู่บทเรียนสำหรับทุกคนในโลกยุคดิจิทัล

ในยุคดิจิทัลที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ เทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกอย่างตั้งแต่การทำธุรกรรมทางการเงิน การเดินทาง ไปจนถึงการรับบริการทางการแพทย์ ล้วนพึ่งพาระบบดิจิทัลทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวันศุกร์ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน โรงพยาบาล สถานีโทรทัศน์ และสายการบินทั่วโลก ต่างประสบปัญหาการหยุดชะงักของระบบไอทีอย่างรุนแรง ส่งผลให้การให้บริการต่างๆ ต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว

สาเหตุของปัญหานี้มาจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ของบริษัท CrowdStrike ซึ่งเป็นบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นนำ การอัปเดตดังกล่าวส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows จำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาลูกโซ่ไปทั่วโลก

เหตุการณ์นี้ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความจริงที่ว่า แม้เราจะพยายามสร้างระบบที่กระจายอำนาจ (decentralized) มากเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนก็ยังคงเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นในโลกดิจิทัล

ลองนึกภาพว่าเราทุกคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังเดียวกัน แม้ว่าแต่ละคนจะมีห้องส่วนตัวของตัวเอง แต่เมื่อระบบไฟฟ้าในบ้านเกิดขัดข้อง ทุกคนก็ย่อมได้รับผลกระทบไปพร้อมๆ กัน

ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้แผ่ขยายไปในวงกว้าง:

  1. การเดินทางทางอากาศ: เที่ยวบินกว่า 2,000 เที่ยวต้องถูกยกเลิก และอีก 6,100 เที่ยวต้องล่าช้าออกไป องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ถึงกับต้องออกมาเตือนว่าอาจมีการหยุดชะงักต่อเนื่องไปจนถึงช่วงสุดสัปดาห์
  2. ระบบการเงิน: ลูกค้าของธนาคาร TD Bank และสถาบันการเงินอื่นๆ ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ตามปกติ
  3. ระบบสาธารณสุข: โรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่งต้องยกเลิกการนัดหมายที่ไม่เร่งด่วนและเลื่อนการผ่าตัดออกไป
  4. ระบบขนส่งและโลจิสติกส์: บริการจัดส่งพัสดุและหน่วยงานขนส่งต่างๆ ต้องหยุดชะงักลง
  5. ระบบยุติธรรม: ศาลทั่วประเทศได้รับผลกระทบ ทำให้กระบวนการทางกฎหมายต้องล่าช้าออกไป
  6. การสื่อสารฉุกเฉิน: ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 911 และศูนย์รับสายที่ไม่ใช่เหตุฉุกเฉินหลายแห่งต้องหยุดให้บริการชั่วคราว

เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงในโลกดิจิทัล แม้ว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เราต้องตระหนักและเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ

เปรียบเสมือนการเดินทางด้วยเครื่องบิน ที่แม้จะรวดเร็วและสะดวกสบาย แต่หากเกิดปัญหาขึ้นมา ผลกระทบก็อาจรุนแรงกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่น

บทเรียนสำคัญที่เราได้รับจากเหตุการณ์นี้ มีดังนี้:

  1. ความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง: องค์กรต่างๆ ควรพิจารณาการใช้ระบบหลายระบบควบคู่กันไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบใดระบบหนึ่งมากเกินไป
  2. แผนรับมือเหตุฉุกเฉิน: ทุกองค์กรควรมีแผนสำรองและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในกรณีที่ระบบหลักล่ม เพื่อให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้แม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  3. การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: ในช่วงวิกฤต การสื่อสารที่รวดเร็ว ชัดเจน และโปร่งใสมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้ง CrowdStrike และ Microsoft ได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบด้วยการออกมาชี้แจงสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา
  4. ความร่วมมือในอุตสาหกรรม: การทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อแก้ไขปัญหา จะช่วยให้สามารถรับมือกับวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  5. การลงทุนในความปลอดภัยทางไซเบอร์: องค์กรต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เสมือนการเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำในมหาสมุทรดิจิทัลที่กว้างใหญ่และไม่หยุดนิ่ง

ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ได้เปิดเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของแนวคิดการกระจายอำนาจ (decentralization) ที่หลายคนเชื่อว่าจะเป็นทางออกสำหรับปัญหาในโลกดิจิทัล แม้ว่าเราจะมีสกุลเงินดิจิทัลที่กระจายอำนาจ แต่เราก็ยังต้องพึ่งพาแพลตฟอร์ม Exchange ที่ต้องจดทะเบียนกับรัฐบาล หรือแม้แต่บริการแชร์ที่พักและรถยนต์อย่าง Airbnb และ Uber ก็ยังต้องเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการเพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้

เปรียบเสมือนการสร้างเมืองใหม่บนเกาะกลางทะเล แม้จะมีความเป็นอิสระในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเชื่อมโยงกับโลกภายนอกผ่านสะพานหรือเรือขนส่ง ไม่สามารถแยกตัวออกจากระบบนิเวศของโลกได้อย่างสมบูรณ์

ในท้ายที่สุด บทเรียนสำคัญที่สุดจากเหตุการณ์นี้คือ การตระหนักถึงความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งของโลกดิจิทัลที่เราอาศัยอยู่ แม้ว่าเราจะพยายามสร้างระบบที่กระจายอำนาจและมีความยืดหยุ่นมากเพียงใด แต่เราก็ยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงร่วมกัน การสร้างความสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย ระหว่างความเป็นส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกภาคส่วนในสังคมดิจิทัล

เราทุกคนกำลังนั่งเรือลำเดียวกันในมหาสมุทรดิจิทัล การร่วมมือกันเพื่อนำทางเรือลำนี้ให้ผ่านพ้นพายุและมรสุมไปได้ จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน

ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น AI, IoT, หรือ 5G เราต้องไม่ลืมที่จะเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต และเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสร้างโลกดิจิทัลที่ปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืนสำหรับทุกคน

References :
https://www.tekedia.com/the-crowdstrike-lesson-our-world-united-by-bits-and-bytes/
https://www.fastcompany.com/91159564/crowdstrike-outage-tech-infrastructure-lessons
https://www.prweek.com/article/1881433/about-serious-crisis-one-imagine-%E2%80%93-comms-lessons-global-outage
https://www.acecloudhosting.com/blog/what-is-crowdstrike/

เลเซอร์จากฟ้า เจาะลึกถึงแก่นโลก! เมื่อสหรัฐอเมริกา เตรียมเปิดความลับใจกลางดาวเคราะห์ของเรา

ในปี 2025 ที่จะถึงนี้ กองทัพอวกาศสหรัฐฯ มีแผนการยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการสำรวจโลกของเรา พวกเขากำลังจะส่งเทคโนโลยีล้ำสมัยขึ้นไปบนอวกาศ เพื่อค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ใจกลางโลก นั่นคือการระบุตำแหน่งศูนย์กลางที่แท้จริงของโลกด้วยความแม่นยำระดับเซนติเมตร!

เครื่องมือสำคัญในภารกิจนี้คือ อุปกรณ์อาร์เรย์สะท้อนแสงเลเซอร์ หรือ LRA ซึ่งจะถูกติดตั้งบนดาวเทียม GPS III สองดวงชื่อ SV9 และ SV10 โดยอุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่สะท้อนลำแสงเลเซอร์ที่ยิงขึ้นมาจากสถานีภาคพื้นดิน กลับลงมายังโลกอีกครั้ง

วิธีการนี้เรียกว่า Satellite Laser Ranging (SLR) ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณระยะห่างระหว่างดาวเทียมและพื้นโลกได้อย่างแม่นยำ รวมถึงหาตำแหน่งที่แน่นอนของแก่นโลกด้วย

ภารกิจนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งกองทัพอวกาศ หน่วยงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (NGA) และองค์การนาซา โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Space Geodesy ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการวัดระดับและระบุตำแหน่งบนโลกให้แม่นยำยิ่งขึ้น

ความสำเร็จของภารกิจนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล ทั้งในด้านการสำรวจที่มีความละเอียดสูง การแจ้งเตือนภัยธรรมชาติที่แม่นยำขึ้น และการใช้งานทางการทหาร นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างละเอียด แม้กระทั่งหลังเหตุการณ์รุนแรงอย่างสึนามิหรือแผ่นดินไหว

ด้วยเทคโนโลยีนี้ เราจะได้เห็นโลกของเราในมุมมองใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และอาจนำไปสู่การค้นพบที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่เราเรียกว่าบ้านในอนาคตอันใกล้นี้

References : https://www.space.com/space-force-lasers-pinpoint-earth-center