ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างความท้าทายใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป
จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ยุโรปโดยรวม แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและผู้กำหนดนโยบายเป็นอย่างมาก
ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีนและแบรนด์ที่จีนเป็นเจ้าของในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2019 เป็นประมาณ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย โดยต้องการให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น กับความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น
ในการตอบโต้ต่อสถานการณ์นี้ สหภาพยุโรปได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่เก็บอยู่แล้วสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด
มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยุโรปกับคู่แข่งจากจีน โดยคำนึงถึงความได้เปรียบด้านต้นทุนที่บริษัทจีนได้รับจากการสนับสนุนของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในยุโรป ประเทศสมาชิก EU มีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นนี้ โดยบางประเทศสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ในขณะที่บางประเทศคัดค้านหรืองดออกเสียง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความกังวลที่หลากหลายของแต่ละประเทศ
ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเองก็มีท่าทีที่แตกต่างกันต่อมาตรการภาษีนี้ บางบริษัทสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่บางบริษัทกังวลว่าภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของพวกเขาในจีน ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและจีนในปัจจุบัน
ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน ผู้ผลิตจากจีนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุน โดยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้ผลิตยุโรปที่ถูกที่สุดทำได้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ความแตกต่างนี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่สูงกว่า ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 80% ของโลก ทำให้แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากจีน สถานการณ์นี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก
การตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยจ้างงานหลายล้านคนและรับผิดชอบงานการผลิตเกือบหนึ่งในสิบของงานภาคการผลิตทั้งหมด การปกป้องอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป
การทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นอาจชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปภายในปี 2030
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ทางการค้าจากจีน ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าจีนมักจะตอบโต้เมื่อเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม
การตอบโต้อาจมาในรูปแบบของการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากยุโรป หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับบริษัทยุโรปที่ดำเนินธุรกิจในจีน
ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับจีน
ประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีน การดำเนินมาตรการที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนานและซับซ้อนเหล่านี้
ในขณะเดียวกัน การไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรยานยนต์ยุโรปในระยะยาว ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนและความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดอาจทำให้ผู้ผลิตยุโรปสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาว์ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตยุโรปต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปโดยรวม
ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว ระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม และระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การผลิตแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ ความสำเร็จของจีนในการครองตลาดเหล่านี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและการลงทุนอย่างมหาศาลของรัฐบาล
ในท้ายที่สุด การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนและการตอบสนองของยุโรปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระเบียบเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาส และวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับมันจะมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ผู้บริโภคไปจนถึงแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การจัดการกับผลกระทบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลและภาคธุรกิจในอนาคต