เบื้องหลังภาษี 36.3% : ยุโรปจะรับมืออย่างไร? เมื่อรถไฟฟ้าจีนราคาถูกกำลังบุกทะลักเข้ามา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างความท้าทายใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป

จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023

แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ยุโรปโดยรวม แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและผู้กำหนดนโยบายเป็นอย่างมาก

ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีนและแบรนด์ที่จีนเป็นเจ้าของในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2019 เป็นประมาณ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย โดยต้องการให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น กับความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น

ในการตอบโต้ต่อสถานการณ์นี้ สหภาพยุโรปได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่เก็บอยู่แล้วสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด

มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยุโรปกับคู่แข่งจากจีน โดยคำนึงถึงความได้เปรียบด้านต้นทุนที่บริษัทจีนได้รับจากการสนับสนุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในยุโรป ประเทศสมาชิก EU มีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นนี้ โดยบางประเทศสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ในขณะที่บางประเทศคัดค้านหรืองดออกเสียง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความกังวลที่หลากหลายของแต่ละประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเองก็มีท่าทีที่แตกต่างกันต่อมาตรการภาษีนี้ บางบริษัทสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่บางบริษัทกังวลว่าภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของพวกเขาในจีน ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและจีนในปัจจุบัน

ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน ผู้ผลิตจากจีนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุน โดยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้ผลิตยุโรปที่ถูกที่สุดทำได้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ความแตกต่างนี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่สูงกว่า ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 80% ของโลก ทำให้แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากจีน สถานการณ์นี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก

การตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยจ้างงานหลายล้านคนและรับผิดชอบงานการผลิตเกือบหนึ่งในสิบของงานภาคการผลิตทั้งหมด การปกป้องอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป

การทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นอาจชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปภายในปี 2030

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ทางการค้าจากจีน ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าจีนมักจะตอบโต้เมื่อเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม

การตอบโต้อาจมาในรูปแบบของการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากยุโรป หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับบริษัทยุโรปที่ดำเนินธุรกิจในจีน

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับจีน

ประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีน การดำเนินมาตรการที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนานและซับซ้อนเหล่านี้

ในขณะเดียวกัน การไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรยานยนต์ยุโรปในระยะยาว ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนและความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดอาจทำให้ผู้ผลิตยุโรปสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาว์ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตยุโรปต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปโดยรวม

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว ระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม และระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การผลิตแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ ความสำเร็จของจีนในการครองตลาดเหล่านี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและการลงทุนอย่างมหาศาลของรัฐบาล

ในท้ายที่สุด การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนและการตอบสนองของยุโรปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระเบียบเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาส และวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับมันจะมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ผู้บริโภคไปจนถึงแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การจัดการกับผลกระทบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลและภาคธุรกิจในอนาคต

ถอดรหัสมหาวิบัติไซเบอร์ : จาก CrowdStrike สู่บทเรียนสำหรับทุกคนในโลกยุคดิจิทัล

ในยุคดิจิทัลที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ เทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกอย่างตั้งแต่การทำธุรกรรมทางการเงิน การเดินทาง ไปจนถึงการรับบริการทางการแพทย์ ล้วนพึ่งพาระบบดิจิทัลทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวันศุกร์ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน โรงพยาบาล สถานีโทรทัศน์ และสายการบินทั่วโลก ต่างประสบปัญหาการหยุดชะงักของระบบไอทีอย่างรุนแรง ส่งผลให้การให้บริการต่างๆ ต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว

สาเหตุของปัญหานี้มาจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ของบริษัท CrowdStrike ซึ่งเป็นบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นนำ การอัปเดตดังกล่าวส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows จำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาลูกโซ่ไปทั่วโลก

เหตุการณ์นี้ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความจริงที่ว่า แม้เราจะพยายามสร้างระบบที่กระจายอำนาจ (decentralized) มากเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนก็ยังคงเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นในโลกดิจิทัล

ลองนึกภาพว่าเราทุกคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังเดียวกัน แม้ว่าแต่ละคนจะมีห้องส่วนตัวของตัวเอง แต่เมื่อระบบไฟฟ้าในบ้านเกิดขัดข้อง ทุกคนก็ย่อมได้รับผลกระทบไปพร้อมๆ กัน

ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้แผ่ขยายไปในวงกว้าง:

  1. การเดินทางทางอากาศ: เที่ยวบินกว่า 2,000 เที่ยวต้องถูกยกเลิก และอีก 6,100 เที่ยวต้องล่าช้าออกไป องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ถึงกับต้องออกมาเตือนว่าอาจมีการหยุดชะงักต่อเนื่องไปจนถึงช่วงสุดสัปดาห์
  2. ระบบการเงิน: ลูกค้าของธนาคาร TD Bank และสถาบันการเงินอื่นๆ ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ตามปกติ
  3. ระบบสาธารณสุข: โรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่งต้องยกเลิกการนัดหมายที่ไม่เร่งด่วนและเลื่อนการผ่าตัดออกไป
  4. ระบบขนส่งและโลจิสติกส์: บริการจัดส่งพัสดุและหน่วยงานขนส่งต่างๆ ต้องหยุดชะงักลง
  5. ระบบยุติธรรม: ศาลทั่วประเทศได้รับผลกระทบ ทำให้กระบวนการทางกฎหมายต้องล่าช้าออกไป
  6. การสื่อสารฉุกเฉิน: ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 911 และศูนย์รับสายที่ไม่ใช่เหตุฉุกเฉินหลายแห่งต้องหยุดให้บริการชั่วคราว

เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงในโลกดิจิทัล แม้ว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เราต้องตระหนักและเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ

เปรียบเสมือนการเดินทางด้วยเครื่องบิน ที่แม้จะรวดเร็วและสะดวกสบาย แต่หากเกิดปัญหาขึ้นมา ผลกระทบก็อาจรุนแรงกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่น

บทเรียนสำคัญที่เราได้รับจากเหตุการณ์นี้ มีดังนี้:

  1. ความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง: องค์กรต่างๆ ควรพิจารณาการใช้ระบบหลายระบบควบคู่กันไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบใดระบบหนึ่งมากเกินไป
  2. แผนรับมือเหตุฉุกเฉิน: ทุกองค์กรควรมีแผนสำรองและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในกรณีที่ระบบหลักล่ม เพื่อให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้แม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  3. การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: ในช่วงวิกฤต การสื่อสารที่รวดเร็ว ชัดเจน และโปร่งใสมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้ง CrowdStrike และ Microsoft ได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบด้วยการออกมาชี้แจงสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา
  4. ความร่วมมือในอุตสาหกรรม: การทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อแก้ไขปัญหา จะช่วยให้สามารถรับมือกับวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  5. การลงทุนในความปลอดภัยทางไซเบอร์: องค์กรต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เสมือนการเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำในมหาสมุทรดิจิทัลที่กว้างใหญ่และไม่หยุดนิ่ง

ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ได้เปิดเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของแนวคิดการกระจายอำนาจ (decentralization) ที่หลายคนเชื่อว่าจะเป็นทางออกสำหรับปัญหาในโลกดิจิทัล แม้ว่าเราจะมีสกุลเงินดิจิทัลที่กระจายอำนาจ แต่เราก็ยังต้องพึ่งพาแพลตฟอร์ม Exchange ที่ต้องจดทะเบียนกับรัฐบาล หรือแม้แต่บริการแชร์ที่พักและรถยนต์อย่าง Airbnb และ Uber ก็ยังต้องเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการเพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้

เปรียบเสมือนการสร้างเมืองใหม่บนเกาะกลางทะเล แม้จะมีความเป็นอิสระในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเชื่อมโยงกับโลกภายนอกผ่านสะพานหรือเรือขนส่ง ไม่สามารถแยกตัวออกจากระบบนิเวศของโลกได้อย่างสมบูรณ์

ในท้ายที่สุด บทเรียนสำคัญที่สุดจากเหตุการณ์นี้คือ การตระหนักถึงความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งของโลกดิจิทัลที่เราอาศัยอยู่ แม้ว่าเราจะพยายามสร้างระบบที่กระจายอำนาจและมีความยืดหยุ่นมากเพียงใด แต่เราก็ยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงร่วมกัน การสร้างความสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย ระหว่างความเป็นส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกภาคส่วนในสังคมดิจิทัล

เราทุกคนกำลังนั่งเรือลำเดียวกันในมหาสมุทรดิจิทัล การร่วมมือกันเพื่อนำทางเรือลำนี้ให้ผ่านพ้นพายุและมรสุมไปได้ จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน

ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น AI, IoT, หรือ 5G เราต้องไม่ลืมที่จะเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต และเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสร้างโลกดิจิทัลที่ปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืนสำหรับทุกคน

References :
https://www.tekedia.com/the-crowdstrike-lesson-our-world-united-by-bits-and-bytes/
https://www.fastcompany.com/91159564/crowdstrike-outage-tech-infrastructure-lessons
https://www.prweek.com/article/1881433/about-serious-crisis-one-imagine-%E2%80%93-comms-lessons-global-outage
https://www.acecloudhosting.com/blog/what-is-crowdstrike/

เลเซอร์จากฟ้า เจาะลึกถึงแก่นโลก! เมื่อสหรัฐอเมริกา เตรียมเปิดความลับใจกลางดาวเคราะห์ของเรา

ในปี 2025 ที่จะถึงนี้ กองทัพอวกาศสหรัฐฯ มีแผนการยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการสำรวจโลกของเรา พวกเขากำลังจะส่งเทคโนโลยีล้ำสมัยขึ้นไปบนอวกาศ เพื่อค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ใจกลางโลก นั่นคือการระบุตำแหน่งศูนย์กลางที่แท้จริงของโลกด้วยความแม่นยำระดับเซนติเมตร!

เครื่องมือสำคัญในภารกิจนี้คือ อุปกรณ์อาร์เรย์สะท้อนแสงเลเซอร์ หรือ LRA ซึ่งจะถูกติดตั้งบนดาวเทียม GPS III สองดวงชื่อ SV9 และ SV10 โดยอุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่สะท้อนลำแสงเลเซอร์ที่ยิงขึ้นมาจากสถานีภาคพื้นดิน กลับลงมายังโลกอีกครั้ง

วิธีการนี้เรียกว่า Satellite Laser Ranging (SLR) ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณระยะห่างระหว่างดาวเทียมและพื้นโลกได้อย่างแม่นยำ รวมถึงหาตำแหน่งที่แน่นอนของแก่นโลกด้วย

ภารกิจนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งกองทัพอวกาศ หน่วยงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (NGA) และองค์การนาซา โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Space Geodesy ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการวัดระดับและระบุตำแหน่งบนโลกให้แม่นยำยิ่งขึ้น

ความสำเร็จของภารกิจนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล ทั้งในด้านการสำรวจที่มีความละเอียดสูง การแจ้งเตือนภัยธรรมชาติที่แม่นยำขึ้น และการใช้งานทางการทหาร นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างละเอียด แม้กระทั่งหลังเหตุการณ์รุนแรงอย่างสึนามิหรือแผ่นดินไหว

ด้วยเทคโนโลยีนี้ เราจะได้เห็นโลกของเราในมุมมองใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และอาจนำไปสู่การค้นพบที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่เราเรียกว่าบ้านในอนาคตอันใกล้นี้

References : https://www.space.com/space-force-lasers-pinpoint-earth-center

ความเทพของ Tim Cook ถูกที่ ถูกเวลา กับการพุ่งทะยานอย่างราชาของ Apple ในอินเดีย

ในเรื่องราวความสำเร็จทางธุรกิจ ความเป็นผู้นำของ Tim Cook ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ความจริงที่ว่า Apple ยังคงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และเติบโตต่อไปแม้ว่า Steve Jobs จะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว

มีหลายสิ่งที่ผู้นำแบบ Tim Cook ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และส่งผลกระทบต่อ Apple เป็นอย่างมาก การตัดสินใจในการสร้างชิปของตนเอง ที่ทำให้ Apple สามารถควบคุมชะตากรรมของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของตนเองได้ตั้งแต่ระดับ CPU/GPU

การขยายธุรกิจไปยังประเทศจีน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำของจีน ซึ่งต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ และแทบไม่มีผู้นำใน Silicon Valley คนใดทำได้แบบ Cook ที่ทำให้ยอดขายของ Apple เติบโตอย่างพุ่งกระฉูดในประเทศจีนสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับ Apple อีกหลายปีถัดมา

แต่เมื่อเริ่มมีปัญหาทั้งเรื่องสงครามการค้า รวมถึงตลาดที่เริ่มอิ่มตัว Cook ก็ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดซึ่งเป็นการตัดสินใจถูกที่ ถูกเวลา อีกครั้งในการหันเหธุรกิจไปยังแหล่งขุมทรัพย์ใหม่นั่นก็คืออินเดีย

ย่าน Bandra Kurla Complex (BKC) ศูนย์กลางความหรูหราของมุมไบ ร้านค้าแบรนด์เนมอย่าง Emporio Armani, Satya Paul และ Swarovski เรียงราย นักช้อปผู้มีอันจะกินเดินเข้าออกร้านกันอย่างคึกคัก

สำนักงานใหญ่ของยักษ์เทคโนโลยีอย่าง Amazon ตั้งตระหง่านอยู่เหนือร้านค้าหรูเหล่านี้ ลานกว้างใน BKC แห่งนี้ เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์กีฬา ล่าสุด บอยแบนด์ระดับโลก Backstreet Boys ก็เพิ่งมาโชว์ที่นี่

ในวันอังคารหนึ่งของเดือนเมษายน ผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่ลานนี้เพื่อหวังจะได้เห็น “ซุปเปอร์สตาร์” แต่ไม่ใช่เซเลป ดารา แต่คนคนนั้นคือ Tim Cook CEO ของ Apple ที่ได้มาเปิดร้านค้าปลีก 2 แห่งแรกของบริษัทในอินเดีย หลังจากนับถอยหลังอย่างรวดเร็ว Cook เปิดประตูร้าน Apple ขนาด 22,000 ตารางฟุต (ประมาณ 6,695 ตารางเมตร) ที่ BKC ท่ามกลางเสียงเชียร์และรอยยิ้มของพนักงาน Apple ในชุดสีเขียว พร้อมไฮไฟว์และเซลฟี่กับลูกค้ากลุ่มแรก ๆ ด้วย

หลายเดือนผ่านไป ร้าน Apple ที่ BKC ยังคงคึกคัก รูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายตึก Flatiron ในนิวยอร์ก ซิตี้ สองข้างเป็นผนังกระจกสูงแปดเมตร หินที่ใช้ตกแต่งผนังมาจากรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย เพดานตกแต่งด้วยแผ่นไม้โอ๊ก 1,000 ชิ้น จัดเรียงเป็นลวดลายคล้ายงานสานของช่างสานหวายในมุมไบ

Preeti Shah นักออกแบบเครื่องประดับจากอาห์เมดาบัด เจ้าของ iPhone มาสิบปีแล้ว ซึ่งถือว่าหายากในอินเดียที่นิยม Android มากกว่า “พอรู้ว่า Apple เปิดร้านที่นี่ ฉันต้องมาเลย” Shah วัย 69 บอก เธอเคยไปร้าน Apple สาขาใหญ่ในนิวยอร์กเมื่อปี 2018 และร้านในมุมไบก็เหมือนกันเป๊ะ ตอนนี้เธอรอคอยให้ Apple มาเปิดร้านที่บ้านเกิดเธออยู่

ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เหมือน Shah “พวกเขามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น” ร้านนี้มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ Apple ของแท้ให้ชาวอินเดียได้สัมผัส พวกเขาได้ลองเล่น iPhone รุ่นล่าสุด เดโม MacBooks หรือเข้าร่วมคอร์สฝึกอบรมแบบฟรี ๆ

ถ้าลูกค้าเดินเข้าร้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น ออกไปก็ต้องมีของติดมือ ยอดขาย Apple ในอินเดียพุ่งกระฉูด ร้าน BKC แห่งเดียวทำยอดขายได้ 1.2 ล้านเหรียญฯ ภายในวันเปิดตัวเพียงวันเดียว ในเดือนแรกทำได้ถึง 2.6 ล้านเหรียญฯ เท่า ๆ กับร้านที่สองในเดลลี

“เรามียอดขายสูงสุดตลอดกาลในอินเดีย และเติบโตแบบก้าวกระโดด” Cook กล่าวในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ต้นเดือนพฤศจิกายน แม้ Apple จะไม่เปิดเผยตัวเลขยอดขายเฉพาะในอินเดียก็ตาม บริษัทวิจัย IDC ได้เปิดเผยว่า Apple ขาย iPhone ได้ราว 6.7 ล้านเครื่องในปี 2022 คิดเป็นมูลค่าราว 5.6 พันล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 1.5% ของรายได้ 394 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2022 และจากเอกสารที่ยื่นกับหน่วยงานรัฐของอินเดีย Apple มีรายได้ 5.9 พันล้านเหรียญฯ ในอินเดียในปี 2022 เติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนหน้า

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Apple กำลังประสบความสำเร็จในการบุกตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยมีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน

ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของAppleในอินเดีย ได้แก่

  • การเติบโตของชนชั้นกลางในอินเดีย ซึ่งมีกำลังซื้อมากขึ้น
  • นโยบายของรัฐบาลอินเดียที่สนับสนุนการนำเข้าและผลิตสินค้าเทคโนโลยีในประเทศ
  • การขยายฐานการผลิตของAppleในอินเดีย ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและลดภาษี

Apple มีแผนที่จะขยายร้านค้าปลีกในอินเดียให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะเปิดร้านให้ได้ 20 แห่งภายในปี 2025

นอกจากนี้ Apple ยังพยายามปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดีย เช่น การลดราคาสินค้าให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น การแปลภาษาผลิตภัณฑ์เป็นภาษาฮินดี และจัดอีเวนต์การตลาดที่ดึงดูดผู้บริโภคชาวอินเดีย

อย่างไรก็ตาม Apple ยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการในการขยายตลาดในอินเดีย เช่น

  • การแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์สมาร์ทโฟนจากจีน เช่น Xiaomi, Realme และ Oppo
  • กระแสนิยมสมาร์ทโฟน Android ที่ยังคงแข็งแกร่งในอินเดีย

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้ Apple ประสบความสำเร็จในอินเดีย คือ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง Apple เป็นที่รู้จักในผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและนวัตกรรมล้ำสมัย แต่แบรนด์ของ Apple ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างในอินเดีย จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้าง Brand Awareness และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของ Apple ในหมู่ผู้บริโภคชาวอินเดีย

รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดีย Apple จำเป็นต้องปรับแต่งผลิตภัณฑ์และบริการให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดีย เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการที่รองรับภาษาฮินดี และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นของอินเดีย

หาก Apple สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดสมาร์ทโฟนของอินเดีย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาว และเป็นบทพิสูจน์การตัดสินใจของ Tim Cook ที่มี impact ต่อ Aple เป็นอย่างมากได้อีกครั้งหนึ่ง

References :
https://www.forbes.com/sites/timbajarin/2021/12/15/what-is-tim-cooks-greatest-contribution-to-apple-since-he-became-ceo
https://fortune.com/asia/2023/12/14/apple-india-store-iphone-manufacturing-sales
https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-18/cook-opens-india-s-first-apple-store-to-accelerate-sales-push
https://www.republicworld.com/tech/gadgets/apple-ceo-tim-cook-meets-pm-modi-talks-about-tech-powered-transformations-in-india-articleshow/

ปลดแอก App Store เมื่อ Epic ได้รับชัยชนะทางกฎหมายครั้งสำคัญเหนือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

ต้องบอกว่าหนึ่งในเครื่องจักรทำเงินของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีที่สามารถควบคุม ecosystem โดยเฉพาะในระบบปฏิบัติการของมือถือสมาร์ทโฟนซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่ Play Store ของ Google และ App Store ของ Apple เพียงเท่านั้น นั่นก็คือค่าคอมมิชชั่นที่สูงถึง 30%

ตามที่ Sensor Tower บริษัทที่ได้ทำการวิจัยในเรื่องดังกล่าว ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกใช้จ่ายเงินประมาณ 160 พันล้านดอลลาร์สำหรับการซื้อแอปในปีนี้ ซึ่งค่าคอมมิชชั่นที่ Google และ Apple ได้รับนั้นมีมูลค่าสูงถึง 5% ของรายได้รวมจากทุกธุรกิจของทั้ง Google และ Apple เลยทีเดียว

ในวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมาศาลแขวงของซานฟรานซิสโก คณะลูกขุนทั้ง 9 คนได้ตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า Play Store ของ Google เป็นการผูกขาดและบริษัทได้มีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมต่อการแข่งขัน

ซึ่งต้องบอกว่าการถูกตัดสินความผิดครั้งนี้เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ครั้งสำคัญของยักษ์ใหญ่ด้าน Search Engine ซึ่งตอนนี้เรียกได้ว่าเจอมรสุมรุมเร้าที่กำลังพัวพันในการต่อสู้ทางกฎหมายอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน และผลการตัดสินครั้งนี้อาจเป็นการกำหนดนิยามใหม่สำหรับคำว่า “App Store”

สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ทั่วโลกทำงานบนระบบปฏิบัติการเพียงแค่ 2 ระบบ ไม่ iOS ของ Apple ก็เป็น Android ของ Google เพียงเท่านั้น

Store ของ Google อาจจะมีความแตกต่างจาก Apple อยู่บ้างเพราะมีการอนุญาตให้ App Store อื่นๆ นอกเหนือจาก Google Play Store เข้ามาใช้งานใน ecosystem ของพวกเขาได้ แต่ของ Apple นั้นผูกขาดแต่เพียงรายเดียว

ในปี 2020 Epic Games ซึ่งเป็นสตูดิโอเกมชื่อดัง ได้ขอให้ผู้เล่นใช้ระบบการชำระเงินของพวกเขาเองในการซื้อสินค้าในเกม “Fortnite” เกมยอดนิยมของพวกเขา

แนวคิดหลักคือการหลีกเลี่ยงการถูกตัดค่าธรรมเนียม 30% ที่ Apple และ Google มีการเรียกเก็บจากการซื้อแอปส่วนใหญ่ใน App Store ของพวกเขา นั่นทำให้ Fornite ถูกแบนเป็นระยะเวลาสั้นๆ ใน Store ทั้งสองแห่ง

Epic ได้ฟ้องร้องว่า Google กำลังกระทำการผูกขาดและไม่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันโดยมีการบรรลุข้อตกลงกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เช่น Samsung และ LG เพื่อให้ Play Store เป็น Store หลักของมือถือเหล่านี้

ซึ่งคณะลูกขุนไม่เชื่อว่าการป้องกันของ Google ที่ระบุว่ามีการแข่งขันอย่างดุเดือดกับทางฝั่ง Apple รวมถึงการปล่อยให้มี App Store อื่นๆ บนอุปกรณ์ของ Android ของตนเองเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้น

โดยทาง Epic หวังว่าผลการตัดสินในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองทศวรรษที่ศาลสหรัฐฯ ลงโทษบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ ว่ามีพฤติกรรมผูกขาด จะส่งผลดีต่อเหล่านักพัฒนาทั่วทุกมุมโลก

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมาก ๆ ในเคสนี้ก็คือคำตัดสินดังกล่าวกลับย้อนแย้งกับคำตัดสินในคดีที่คล้าย ๆ กันของ Epic กับ Apple ซึ่งคดีดังกล่าวสิ้นสุดลงในปี 2021 โดยฝั่ง Apple เอาชนะไปได้ 9 ใน 10 ประเด็น (มีเรื่องเดียวที่ Apple แพ้คือระบบการชำระเงินทางเลือก)

ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองคดีก็คือชะตากรรมของ Google นั้นถูกตัดสินโดยคณะลูกขุน ไม่ใช่ผู้พิพากษา ความคิดเห็นในสื่อสาธารณะหรือโลกโซเชียลมีเดียอาจมีผลกระทบต่อการตัดสิน ซึ่งสองในสามของชาวอเมริกันเองก็มองว่าบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้มีอำนาจมากเกินไป

ในขณะที่คณะลูกขุนเองก็อาจมีปัญหาในการทำความเข้าใจความแตกต่างของกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

ในขณะเดียวกันก็มีมุมมองอีกฝ่ายหนึ่งที่มองว่า Google นั้นพยายามทำให้ซอฟต์แวร์มือถือของตนเองเปิดกว้างจนเกินไป ทุกคนสามารถใช้ source code ของ Android เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการของตนเองได้ฟรี

ในทางตรงกันข้าม ลูกค้าและเหล่านักพัฒนาของ Apple ต่างรู้ว่า Apple ควบคุมทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งทำให้สิ่งที่ Apple ทำเป็นเรื่องที่อาจยอมรับได้ เพราะเหล่าผู้บริโภคมองว่า Apple มีความปลอดภัยกับพวกเขามากกว่า

คำตัดสินในครั้งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Google เพราะยังมีคดีค้างอยู่อีกสองคดีโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ทั้งเรื่องเครื่องมือค้นหาและ Browser ที่กลายเป็นค่าเริ่มต้นของอุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งใน iPhone เองก็ตามที

เทรนด์ของโลกไปในทิศทางเดียวกันที่ต้องการปลดแอกจากการผูกขาดเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้บังคับให้ Apple และ Google เปิดใช้งานรูปแบบการชำระเงินทางเลือกอื่น ๆ หรือกฎหมายดิจิทัลใหม่ของสหภาพยุโรปก็มีบทบัญญัติที่คล้ายคลึงกัน

นั่นทำให้ต่อจากนี้เป็นต้นไปรูปแบบธุรกิจ App Store จะมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับเกมซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีผลประโยชน์มหาศาล

Microsoft ซึ่งเพิ่งเข้าซื้อกิจการ Activision-Blizzard มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสตูดิโอพัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก กำลังวางแผนที่จะสร้าง App Store ของตัวเอง หรือเคสของ Epic ก็สร้างของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วน Riot Games ก็มีแนวโน้มที่จะเปิด Store ของตนเองเช่นเดียวกัน

บทสรุป

มันเป็นเคสที่น่าสนใจที่จะส่งผลต่อเหล่านักพัฒนาแอปทั่วโลกให้มีทางเลือกอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการชำระเงินที่ถูกผูกขาดจากเจ้าของระบบปฏิบัติการทั้ง Android ของ Google และ iOS ของ Apple มานานแสนนาน

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตอนนี้กำลังประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกัน นั่นก็คือ กฎหมายเริ่มรู้เท่าทันพวกเขา หลังจากที่โกยเงินจากการผูกขาดเหล่านี้มานานแสนนาน

มันเป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจนว่าการออกแบบธุรกิจโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีนั้น ที่มักจะพยายามหาช่องโหว่ของกฎหมาย หรือกฎหมายที่ตามไม่ทัน ซึ่งหลายๆ แพลตฟอร์มก็ทำแบบนี้ ทั้งเรื่อง อีคอมเมิร์ซ การจัดส่งอาหาร บริการเรียกรถต่าง ๆ

และสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลกในตอนนี้ ก็คือการเริ่มเข้ามาจัดการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในสหภาพยุโรปที่เรียกได้ว่ายกเครื่องกฎหมายทางด้านดิจิทัลใหม่ทั้งหมด

เพราะฉะนั้นในอนาคต การประเมินมูลค่าแบบเว่อร์ ๆ เกินจริงของเหล่าบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งคิดจะเติบโตแบบร้อยเท่าพันเท่าเหมือนในอดีตนั้น มันคงไม่เป็นเรื่องง่ายอีกต่อไปนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/12/14/what-googles-antitrust-defeat-means-for-the-app-economy
https://www.ft.com/content/a2ad4277-13a9-411e-ad59-230d5bea626c