Results about you เครื่องมือใหม่ของ Google ที่จะช่วยลบตราบาปบนโลกดิจิทัลของคุณ

ถือว่าเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวมานานแล้วนะครับ สำหรับเรื่องข้อมูลส่วนตัวที่เมื่อไหร่ที่มันติดอันดับบน Google แล้ว มันยากที่จะเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเรื่องราวใหม่มันจะเกิดขึ้นแล้ว แต่การลบล้างเรื่องที่ไม่ดีของเราบน Google นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง

ในปี 2022 Google ได้เปิดตัวเครื่องมือ “Results about you” เพื่อช่วยให้ผู้คน ลบข้อมูลส่วนบุคคลออกจากผลการค้นหาของ Google

แน่นอนว่าด้วยการค้นหาหลายพันล้านครั้งที่เกิดขึ้นทุกวันบน Google ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว หรือที่อยู่ที่บ้าน ฯลฯ มันมีหลายข้อมูลที่ค่อนข้าง sensitive และบางครั้งเราแทบไม่อยากเปิดเผยมัน

วิธีการก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะไปลบข้อมูลต่างๆ บน Google ต้องอาศัยเจ้าของโฮสต์ตัวจริง ต้องมีการยืนยันหลายขั้นตอนวุ่นวาย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่หากมีปัญหากับชื่อตัวเอง ก็เลยเลือกที่จะไปเปลี่ยนชื่อซะ ทำให้ผลการค้นหาชื่อใหม่ที่ถูกเปลี่ยนไปแล้วนั้นสามารถเริ่มต้นใหม่ได้กับ Google

ซึ่งบางครั้งมันก็เป็นข้อเสียเช่นเดียวกัน เช่น เหล่าอาชญากรออนไลน์ต่าง ๆ ที่ชอบโกงเงินกัน การมีชื่อติดอยู่นั้นทำให้สามารถลดจำนวนผู้เสียหายให้น้อยลงไปได้ หากมีการสืบค้นข้อมูลจาก Google เสียก่อน

แต่ด้วยเครื่องมือใหม่ของ Google ในตอนนี้นั้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสะดวกยิ่งขึ้น เราสามารถที่จะตั้งการแจ้งเตือนอีเมล ที่อยู่ของบ้าน หรือหมายเลขโทรศัพท์ หากมีการปรากฎขึ้นบนผลการค้นหาของ Google นั่นทำให้จะมีการแจ้งเตือนตลอดเวลาหากมีข้อมูลอะไรที่ผิดเพี้ยนหรือที่เราไม่ต้องการติดผลการค้นหาใน Google

แต่เริ่มต้นนั้นเครื่องมือนี้จะใช้งานได้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และจะสแกนหาผลลัพธ์ที่เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น โดยเครื่องมือ “Results about you” สามารถตั้งค่าได้ทั้งใน browser หรือ ผ่านแอปบนมือถือ

เครื่องมือใหม่ของ Google ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้คนได้อย่างมาก (CR:Phoneareana)
เครื่องมือใหม่ของ Google ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้คนได้อย่างมาก (CR:Phoneareana)

ซึ่งการอัพเดทใหญ่ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมาก ๆ หลังจากที่ Google ถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งบางครั้งถูกเหล่ามิจฉาชีพสร้างมันขึ้นมาแต่ดันไปติดอันดับใน Google

หรือเคสที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ที่พ่อแม่ของพวกเขาพยายามสร้างตัวตนของลูกในโลกดิจิทัลตั้งแต่ยังเด็ก ๆ โดยที่พวกเขายังแทบจะไม่ยินยอม และมันก็ได้ติดตัวของพวกเขาไปอีกนานแสนนาน

ตัวอย่างเช่น TikToker ที่ใช้ชื่อว่า Annemarie (@annemari333) โพสต์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ

“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของฉันอัปโหลดรูปภาพของฉันบน Facebook” เธอเขียนผ่านวีดีโอของตัวเองในวัย 18 ปี ซึ่งบันทึกในวัยเด็กของเธอไม่สามารถที่จะลบล้างได้อีกต่อไป

“มันผ่านมา 18 ปีแล้ว และมันยังก็ยังเป็น 5 รูปแรกที่โผล่ขึ้นมาเมื่อคุณ google ชื่อของฉัน และฉันทำอะไรกับมันไม่ได้เลย” Annemarie เสริมว่า “สิ่งแรกที่นายจ้างในอนาคตของฉันจะเห็นเมื่อพวกเขามองหาฉันก็คือภาพของฉันตัวอ้วนจ้ำม่ำอยู่บนผ้าห่ม”

Google ได้สร้างเครื่องมือนี้เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปกป้องตนเองได้ มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญอย่างมาก ในโลกยุคดิจิทัล ที่ Digital Footprint บางอย่างมันสามารถกลายเป็นตราบาปติดตัวเราไปตลอดกาลนั่นเองครับผม

References :
https://www.wired.com/story/results-about-you-remove-personal-info-from-google
https://www.yourtango.com/news/kids-posted-social-media-not-happy-parents-now-theyre-older

TikTok x Propaganda เมื่อยักษ์ใหญ่โซเชียลจากจีนพยายามยัดเยียดโฆษณาชวนเชื่อไปยังยุโรป

ต้องบอกว่าเครือข่ายโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเคยตกเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อกันมาแทบจะทั้งหมดแล้ว กรณีใหญ่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016 หรือเคสที่เกิดขึ้นกับ Brexit ที่มีหลักฐานมากมายจากการสืบสวนสอบสวนในภายหลัง

แน่นอนว่า TikTok กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มที่มีจำนวนผู้ใช้งานหลักพันล้านคน การถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด

และ TikTok เองก็มีข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะในข้อมูลจากคลังโฆษณาที่เผยแพร่โดยบริษัทเองเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจคือจากการวิเคราะห์ที่จัดทำโดยสื่อใหญ่อย่าง Forbes (เอนเอียงไปทางโลกตะวันตก) แสดงให้เห็นว่าโฆษณามากกว่า 1,000 รายการจากสื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และ CGTN ได้ถูกแสดงบนแพลตฟอร์มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022

โฆษณาเหล่านี้ได้ถูกแสดงต่อผู้ใช้หลายล้านคนทั่ว ออสเตรีย เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ และสหราชอาณาจักร

โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่โฆษณาโดยสื่อทางการของจีนบน TikTok นั้นเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)
ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย China News International นำเสนอชายคนหนึ่งกำลังเต้นรำที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้คำบรรยายว่า “ซินเจียงเป็นสถานที่ที่ดี!”

วีดีโออีกรายการแสดงให้เห็นพิธีกร CGTN เยี่ยมชมโรงเรียนประถมในซินเจียง ซึ่งเป็นนสถานที่ที่สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียกำลังติดตามการก่อสร้างสถานที่กักกัน 6 แห่ง โฆษณายังโน้มน้าวการท่องเที่ยวในภูมิภาคและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมอุยกูร์ส่วนใหญ่

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในช่วงเดือนธันวาคม นำเสนอเนื้อหาทางวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์การต่อต้านของสหรัฐฯ และยุโรปต่อโครงการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนอย่าง Belt & Road Initiative

โฆษณาอีกชิ้นแสดงวีดีโอจากบล็อกเกอร์ที่กล่าวหาสื่อตะวันตกว่าโกหกเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน

เมื่อ TikTok ห้ามโฆษณาทางด้านการเมือง

เรื่องที่ตลกก็คือ TikTok นั้นมีนโยบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการห้ามโฆษณาในประเด็นทางสังคม การเลือกตั้ง และการเมือง แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้ว่า “หน่วยงานของรัฐอาจมีสิทธิ์โฆษณาหากทำงานร่วมกับตัวแทนการขายโฆษณาของ TikTok”

การที่ TikTok ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ดูจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาของประเทศไทย เมื่อเครื่องมือจากตะวันตกที่เข้าถึงผู้ใช้ระดับ mass อย่าง Facebook นั้นค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากเคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016

Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)
Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)

TikTok จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ เพราะเป็นโซเชียลมีเดียที่สามารถเข้าถึงผู้คนระดับ mass ไม่ต่างจาก Facebook แต่มีนโยบายการกลั่นกรองที่อาจจะไม่เข้มงวดเท่าแพลตฟอร์มจากตะวันตก

แต่อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มสร้างขึ้นมาเอง เพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองที่พวกเขารัก ซึ่งไม่ได้ใช้รูปแบบการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเหมือนเคสที่เกิดขึ้นในยุโรป

TikTok กำลังเผชิญกับการสอบถามจากรัฐบาลมากมายทั้งในยุโรปและต่างประเทศเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีน สำนักงานรัฐบาลในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ได้แบน TikTok จากอุปกรณ์ของรัฐบาลเนื่องจากกังวลว่าแอปดังกล่าวนี้ซึ่ง ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนเป็นเจ้าของ

ความกังวลอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับ TikTok คือความกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจใช้มันเพื่อบิดเบือนวาทกรรมของพลเมืองในประเทศประชาธิปไตย

สื่อของรัฐจีนเองก็มีประวัติในการใช้การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อผลักดันเรื่องเล่าที่สนับสนุนจีนในฝั่งตะวันตก ซึ่งคลังโฆษณาของทั้ง Meta และ Google ก็มีการโฆษณาทำนองนี้จากสื่อของจีนเช่นเดียวกัน

ในปี 2021 พนักงานของ Meta แสดงความกังวลเกี่ยวกับโฆษณาสื่อของรัฐจีนบน Facebook ที่แสดงถึงชาวมุสลิมที่มีความสุขในซินเจียง ซึ่ง Meta กลับมองว่าโฆษณาดังกล่าวไม่ได้ละเมิดนโยบายของบริษัท อย่างไรก็ตามความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่า Meta และ Google นั้นไม่ได้ห้ามในส่วนนี้ แต่ TikTok ประกาศชัดเจนว่าห้ามโฆษณาเกี่ยวกับการเมือง ปัญหาสังคม หรือการเลือกตั้งบนแพลตฟอร์มของตน

บทสรุป

เอาจริง ๆ บทความนี้เนื้อหาส่วนใหญ่เรียบเรียงมากจาก Forbes ซึ่งแน่นอนว่านำเสนอมุมมองที่เป็นบวกต่อโลกตะวันตก และพยายามยัดเยียดความผิดให้ฝั่งจีนเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครอ่านบทความจากสื่อตะวันตกบ่อย ๆ จะทราบดีว่าพวกเขาก็มี agenda แอบแฝงเช่นเดียวกัน

ผมว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ที่แพลตฟอร์มเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะแพลตฟอร์มโลกตะวันตกก็ทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน และอัลกอริธึมก็มีความ Bias อย่างชัดเจนมาก ๆ

ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ผมแทบจะ engagement กับสื่อจากรัสเซียอย่าง Russia Today แทบจะตลอดเวลา แต่ Facebook มีความชัดเจนในการลดการมองเห็นแบบสุด ๆ สำหรับเนื้อหาในฟีดจากสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกตะวันตกในแพลตฟอร์มของพวกเขา และแน่นอนว่าสื่อจากจีนก็โดนแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ในเมื่อ TikTok มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นของจีน ผมว่ามันไม่แปลกที่พวกเขาจะมีโอกาสชี้แจงข้อมูลอีกด้าน ไม่ใช่ถูกยัดเยียดจากความ Bias ของสื่อตะวันตกเพียงอย่างเดียว เพราะสุดท้ายทุกคนต้องได้รับข้อมูลที่รอบด้าน และควรมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วยตนเอง ว่าควรจะเชื่อฝั่งไหนมากกว่ากันนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/iainmartin/2023/07/26/tiktok-chinese-propaganda-ads-europe/?sh=2fdc2bcd203d
https://www.wsj.com/articles/facebook-staff-fret-over-chinas-ads-portraying-happy-muslims-in-xinjiang-11617366096
https://hacked.com/tiktok-propaganda-the-latest-danger-to-your-kids/

X, The Everything App กับแผนการครั้งใหม่ในการรีแบรนด์ Twitter ของ Elon Musk

ต้องบอกว่า X มันไม่ใช่ชื่อที่เพิ่งเกิดมาเพื่อเตรียมการรีแบรนด์ twitter เพียงเท่านั้น เพราะ X มันคือความฝันของ Elon Musk ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอินเทอร์เน็ตในช่วงแรก ๆ

ตลอดทศวรรษ 1990 Musk จินตนาการถึงการสร้างธนาคารออนไลน์ที่ให้บริการเต็มรูปแบบที่ให้บริการบัญชีเช็คและบัญชีออมทรัพย์ นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และประกันภัย

ในเดือนมกราคมปี 1999 Musk ได้เริ่มวางแผนการสร้างธนาคารออนไลน์อย่างเป็นทางการในขณะที่ขาย Zip2 บริษัทเทคโนโลยีแห่งแรกของเขาให้กับ Compaq มูลค่ากว่า 307 ล้านเหรียญ

X.com เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1999 โดยมี Bill Harris อดีต CEO ของ Intuit ดำรงตำแหน่ง CEO คนแรก โดยภายในสองเดือนน X.com สามารถดึงดูดสมาชิกให้เข้ามาใช้งานได้ถึง 200,000 ราย

โดยในเดือนมีนาคมปี 2000 X.com ได้ควบรวมกิจการกับ Confinity ซึ่งตอนนั้นเป็นคู่แข่งที่ดุเดือดที่สุดที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel โดยบริษัทใหม่มีชื่อว่า X.com Musk เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดและได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO

X.com ได้ควบรวมกิจการกับ Confinity ซึ่งตอนนั้นเป็นคู่แข่งที่ดุเดือดที่สุดที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel (CR:The Guardian)
X.com ได้ควบรวมกิจการกับ Confinity ซึ่งตอนนั้นเป็นคู่แข่งที่ดุเดือดที่สุดที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel (CR:The Guardian)

แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในเดือนกันยายนปี 2000 เมื่อ Musk เดินทางไปฮันนีมูนในออสเตรเลีย เกิดการกบฎขึ้นภายใน X.com คณะกรรมการ X.com ได้ลงมติให้เปลี่ยน CEO จาก Musk เป็น Peter Thiel และในเดือนมิถุนายนปี 2001 X.com ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Paypal ก่อนที่ท้ายที่สุดจะถูกซื้อโดย eBay ด้วยมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2002

โดย Musk เคยกล่าวไว้ว่า ชื่อ X มีคุณค่าทางจิตใจต่อเขาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีอวกาศ SpaceX หรือแม้การตั้งชื่อโมเดลของ Tesla ว่า “X”

คำถามที่ได้รับคำตอบเสียที

มันมีคำถามที่น่าสนใจว่า เขาจะซื้อ Twitter ไปทำอะไรกันแน่ แต่ก็ต้องบอกว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่อาศัย Twitter สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองได้มากที่สุดคนนึงในโลก

แสดงว่าเขาคงเห็นศักยภาพบางอย่างกับ Twitter และเขาก็เคย Tweet ออกมาว่า

“Buying Twitter is an accelarant to creating X, the everything app”

ตอนนั้นยังไม่มีใครคิดว่า Twitter จะถึงขั้นถูกรีแบรนด์ให้เป็น X เพราะว่าความแข็งแกร่งของ Twitter นั้นถือเป็นแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว

แต่การประกาศรีแบรนด์ ครั้งใหญ่ในวันนี้ เปลี่ยนทุกอย่างของ Twitter ให้กลายเป็น X รวมถึง X.com ก็ถูก redirect ให้มายัง Twitter และยังจะเปลี่ยนคำที่ใช้กันมาอย่างยาวนานอย่าง “Tweet” ให้กลายเป็นตัวอักษร “X” เพียงเท่านั้น

เรียกได้ว่า เป็นการเฉลยทุกอย่างในสิ่งที่ Elon Musk ต้องการให้ Twitter เป็น เขามองว่า Twitter นั้นมีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็น “Super Apps” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยเฉพาะในประเทศจีนและส่วนอื่น ๆ ของเอเชีย

แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกนั้น เราไม่ค่อยเห็นแพลตฟอร์มใดที่สามารถผลักดันตัวเองให้กลายเป็น Super Apps อย่างที่ในประเทศจีนทำได้

ในโลกตะวันตกเราจะเห็นถึงการแข่งขันในแต่ละธุรกิจกันอย่างดุเดือด Ecommerce ก็ต้องยกให้ Amazon , Social Media ต้องยกให้ Facebook หรือ TikTok ส่วน App บริการทางการเงินนั้น ก็มีหลากหลายบริการมาก ๆ โดยมี Paypal เป็นผู้นำ

มันยากที่จะเห็น Super Apps ที่ควบรวมทุกสิ่งไว้ใน App เดียวอย่างที่เกิดขึ้นกับ Wechat ของ Tencent ที่เรียกได้ว่า บริการตั้งแต่สากเบือยันเรือรบเลยทีเดียว

Super Apps ที่ควบรวมทุกสิ่งไว้ใน App เดียวอย่างที่เกิดขึ้นกับ Wechat ของ Tencent (CR:Business Insider)
Super Apps ที่ควบรวมทุกสิ่งไว้ใน App เดียวอย่างที่เกิดขึ้นกับ Wechat ของ Tencent (CR:Business Insider)

ใน App อย่าง Wechat นั้น ผู้ใช้สามารถส่งข้อความ ทำธุรกรรมด้านธนาคารบนมือถือ ชำระสินค้าออนไลน์ เล่นเกม ชอปปิ้งออนไลน์ เรียกรถ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ซึ่งก่อนหน้านี้ Elon Musk เองก็เคยแสดงความชื่นชม Wechat ว่าเป็น App ที่ยอดเยี่ยม และไม่มี App อย่าง Wechat ที่มีความสามารถเทียบเท่านอกประเทศจีนเลย

“ผมคิดว่ามีโอกาสที่เราจะทำสิ่งนั้น” Elon Musk ได้กล่าวกับพนักงาน Twitter

“โดยพื้นฐานแล้วทุกคนที่ใช้ Wechat ในประเทศจีนเพราะมันมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และผมคิดว่าถ้าเราทำแบบเดียวกันได้ หรือแม้แต่ใกล้เคียง Twitter จะกลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่”

แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า Super Apps อย่าง Wechat นั้น ไม่ประสบความสำเร็จนอกตลาดจีนเลย แม้กระทั่งในประเทศไทยเองที่พวกเขาทุ่มทุนมหาศาลตอนเปิดตัวนั้น ก็แป๊ก

ในขณะเดียวกัน Wechat นั้นถูกเซ็นเซอร์หนักจากรัฐบาลจีน ซึ่งแน่นอนว่า Musk คงไม่ทำแบบนั้นกับ Twitter อย่างแน่นอน

เอาจริง ๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ หาก Elon Musk จะผลักดัน Twitter ไปในแนวทางเดียวกับ Super Apps ของจีน

เรียกได้ว่ายังไม่มี App ไหนของฝั่งตะวันตกสามารถทำได้เทียบเคียงกับสิ่งที่ Wechat ทำได้เลย

หากแผนการของ Elon Musk สำเร็จ ก็น่าสนใจอย่างยิ่งว่าอาจจะทำให้ Twitter ที่จะกลายมาเป็นแบรนด์ X สามารถที่จะครองความยิ่งใหญ่ในฐานะ Super Apps อันดับหนึ่งของโลกเราได้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/brianbushard/2023/07/23/elon-musk-directs-xcom-to-twitter-plans-to-ditch-twitter-bird/?sh=6179978d4542
https://en.wikipedia.org/wiki/X.com
https://www.cnbc.com/2022/10/05/elon-musks-twitter-plans-may-take-inspiration-from-chinese-super-apps.html
https://fortune.com/2022/10/05/what-is-x-app-elon-musk-twitter-takeover-accelerant-for-wechat-rival/
https://www.reuters.com/technology/musk-says-twitter-deal-is-accelerant-creating-everything-app-2022-10-04/

Death of Wikipedia? เมื่อองค์ความรู้ของมนุษย์กำลังจะถูกกลืนกินด้วยเทคโนโลยี AI

“ในอนาคตแบบจำลองทางด้านคอมพิวเตอร์ผ่านเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง ChatGPT จะเข้ามาแทนที่เว็บไซต์ที่ผมรักและเหล่าบรรณาธิการที่เป็นมนุษย์” Barkeep49 หนึ่งในบรรณาธิการคนสำคัญของ Wikipedia กล่าว

Wikipedia คลังความรู้ที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ เพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 22 ปี ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในทุกวันนี้ในหลาย ๆ ส่วนของเว็บไซต์แห่งนี้ยังเป็นเทคโนโลยีเดียวกับยุคยูโทเปียในยุคแรก ๆ ของการก่อกำเนิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต

เป้าหมายของ Wikipedia ที่ผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Jimmy Wales อธิบายไว้ในปี 2004 คือการสร้างเว็บไซต์ที่ทุกคนบนโลกนี้สามารถเข้าถึงความรู้ทั้งหมดของมนุษย์ได้แบบฟรี ๆ

ปัจจุบัน Wikipedia มีเวอร์ชันใน 334 ภาษา และมีบทความทั้งหมดมากกว่า 61 ล้านบทความ ติดอันดับหนึ่งใน 10 เว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในโลกอย่างสม่ำเสมอ

Jimmy Wales ผู้ร่วมก่อตั้ง Wikipedia (CR:LADbible)
Jimmy Wales ผู้ร่วมก่อตั้ง Wikipedia (CR:LADbible)

Wikipedia ไม่ได้เป็นเว็บไซต์ที่มุ่งแสวงหาผลกำไรแบบเดียวกับ Google , Youtube หรือ Facebook เพราะพวกเขาแทบไม่มีโฆษณา ยกเว้นแต่การบริจาคเพียงเท่านั้น เหล่าบรรณาธิการที่เป็นมนุษย์ที่คอยช่วยเหลือในการแก้ไขบทความต่าง ๆ ในเว็บไซต์นั้นแทบไม่ได้รับค่าจ้างแต่อย่างใด

ต้องบอกว่าความสำเร็จของเว็บไซต์แห่งนี้นั้นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะพวกเขาปฏิเสธระบบทุนนิยม ซึ่งชาว Wikipedia บางคนตั้งข้อสังเกตว่าความพยายามของพวกเขาได้ผลในทางปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ในทางทฤษฎี

Wikipedia ไม่ใช่สารานุกรมอีกต่อไป เพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา Wikipedia ได้กลายเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงโลกดิจิทัลทั้งหมดเข้าด้วยกัน คำตอบที่เราได้รับจากการค้นหาใน Google และ Bing หรือจาก Siri และ Alexa ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลของ Wikipedia ที่ถูกดูดเข้าไปยังคลังข้อมูลของบริการเหล่านี้

เฉกเช่นเดียวกับเทคโนโลยี Chatbot ใหม่ก็ได้กลืนกินคลังข้อมูลของ Wikipedia เช่นเดียวกัน ซึ่งต้องบอกว่าข้อมูลใน Wikipedia ที่ฝังลึกอยู่ภายใต้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้นั้น คือองค์ความรู้ที่ได้รับการรวบรวมจากการทำงานอย่างอุตสาหะเป็นเวลาหลายสิบปีโดยบรรณาธิการที่เป็นมนุษย์

Wikipedia อาจจะเป็นแหล่งข้อมูลแหล่งเดียวที่มีความสำคัญที่สุดในการฝึกอบรมโมเดล AI

“หากไม่มี Wikipedia เทคโนโลยีอย่าง Generative AI ก็คงไม่มีทางแจ้งเกิดขึ้นมาได้” Nicholas Vincent ผู้ที่ศึกษาว่า Wikipedia ช่วยสนับสนุนการค้นหาโดย Google และเทคโนโลยี Chatbot อื่นได้อย่างไร กล่าว

ในขณะที่เทคโนโลยีอย่าง Chatgpt ได้รับความนิยมและมีความซับซ้อนขึ้น Vincent และเพื่อนร่วมงานของเขาบางคนสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเทคโนโลยี AI ที่ได้ดูดข้อมูลจาก Wikipedia ทำลายล้างพวกเขา และทำให้ผู้คนต่างทอดทิ้ง Wikipedia ไว้เบื้องหลัง

ซึ่งในอนาคต การล่มสลายของ Wikipedia คงไม่ไกลเกินเอื้อม เนื่องด้วยความฉลาดเป็นกรดของ AI แม้พวกมันจะไม่ดีเท่า Wikipedia แต่พวกมันได้เปรียบกว่ามาก เพราะสามารถสรุปแหล่งข้อมูลและบทความข่าวได้ทันที และดูเหมือนมนุษย์จะชอบรูปแบบการโต้ตอบแบบนี้มากกว่าเสียด้วย

เหล่ากองบรรณาธิการที่เป็นมนุษย์ของ Wikipedia เต็มไปด้วยความวิตกกังวล พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าในไม่ช้าเครื่องมือ AI ใหม่เหล่านี้จะช่วยขยายบทความของ Wikipedia และการเข้าถึงไปยังทั่วทุกมุมโลกได้อย่างง่ายดายผ่านบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Microsoft , Google หรือ Facebook

มันกลายเป็นว่า Wikipedia ที่มีอุดมการณ์เพื่อสร้างองค์ความรู้ฟรีให้กับผู้คนทั่วโลก และไม่ได้ดำเนินธุรกิจใด ๆ กำลังถูกกลืนกินโดยเหล่าบริษัทหน้าเงินที่มีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจอย่างชัดเจน เช่น การเรียกเก็บเงินค่าสมาชิกของ OpenAI

ซึ่งเมื่อเทียบกับ Google (Search Engine) ที่มีการเสนอลิงก์และการอ้างอิงแก่ผู้ใช้และให้มีการคลิกไปยังต้นทางที่เป็นเว็บไซต์ของ Wikipedia กลับกันเหล่าเทคโนโลยี AI ใหม่นั้นเป็นการนำข้อมูลมาเขย่า และไม่มีการอ้างอิงว่าข้อมูลนั้นมาจากที่ไหน และข้อมูลบางอย่างก็ค่อนข้างมั่วเอามาก ๆ

Google Search ที่มีการเสนอลิงก์และการอ้างอิงแก่ผู้ใช้ (CR:The Mather Group)
Google Search ที่มีการเสนอลิงก์และการอ้างอิงแก่ผู้ใช้ (CR:The Mather Group)

เทคโนโลยีที่เรียกว่า Large Language Models หรือ LLM ซึ่งเป็นโมเดลที่ขับเคลื่อน AI Chatbot อย่าง ChatGPT และ Bard ของ Google พวกมันเริ่มรับข้อมูลจำนวนมากขึ้น

พวกมันเรียนรู้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลไม่ใช่เพียงแค่ Wikipedia แต่ยังรวมถึงฐานข้อมูลสิทธิบัตรของ Google, เอกสารของรัฐบาล,Reddit’s Q&A, หนังสือจากห้องสมุดออนไลนน์ และบทความข่าวมากมายบนเว็บ

แต่เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ทำการประเมินเครื่องมือ 4 ตัวที่ขับเคลื่อนโดย AI ได้แก่ Bing Chat , NeevaAI , perplexity.ai และ Youchat กลับพบว่ามีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของประโยคที่สร้างโดยเครื่องมือเหล่านี้เท่านั้นที่มีการอ้างอิงข้อเท็จจริง

“เราเชื่อว่าผลลัพธ์เหล่านี้ไม่มีความแม่นยำสำหรับระบบที่อาจทำหน้าที่เป็นเครื่องมือหลักสำหรับผู้ใช้ในการค้นหาข้อมูล” ทีมนักวิจัยสรุป “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือ”

แต่แน่นอนว่าความได้เปรียบของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ที่มีเหนือ Wikipedia นั่นก็คือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และมีความแม่นยำสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยิ่งข้อมูล input มากขึ้นเท่าไหร่ ระบบก็จะยิ่งมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ท้ายที่สุด มีการศึกษาที่สรุปว่าข้อมูลที่ได้จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่แท้จริงอย่าง Wikipedia จะมีคุณค่ามากขึ้นสำหรับเทคโนโลยี LLM

มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญอย่างมากสำหรับ AI เนื่องจากระบบที่ไม่สอดคล้องกับมนุษย์อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงได้ หาก AI ทำลายระบบความรู้ฟรีที่เชื่อถือได้ส่วนใหญ่ของมนุษย์เรา

เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่พวกเราต่างเชื่อถือบรรณาธิการของ Wikipedia ที่เป็นมนุษย์ เพราะพวกเขามีแรงจูงใจหรือความกังวลในฐานะมนุษย์ และแรงจูงใจของพวกเขาคือการจัดหาองค์ความรู้ที่น่าเชื่อถือให้สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์ให้ได้มากที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.nytimes.com/2023/07/18/magazine/wikipedia-ai-chatgpt.html
https://www.nytimes.com/2022/12/05/technology/chatgpt-ai-twitter.html
https://www.nytimes.com/2013/06/30/magazine/jimmy-wales-is-not-an-internet-billionaire.html

Yevgeny Prigozhin ผู้ที่กล้าแอ่นอกยอมรับว่าเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ

กลายเป็นบุคคลที่มีคนกล่าวขานถึงไปทั่วทุกมุมโลกซะแล้วนะครับสำหรับ Yevgeny Prigozhin แม้ข่าวการบุกยึดเมือง Rostov-on-Don ทางใต้ของรัสเซีย ท้าทายอำนาจของ Putin แบบเต็มตัวจะดูเหมือนว่าเขาเป็นคนบ้าระห่ำ ไม่เกรงกลัวใด ๆ

แต่สิ่งที่ Prigozhin ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองโลกนั้น เขาอาศัยคีย์บอร์ดมากกว่าปืน

หลายปีที่ผ่านมาเขาได้ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เรียกว่า “troll farms” หรือ “โรงงาน bot” ซึ่งใช้บัญชีโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่มุมมองต่าง ๆ ที่สนับสนุนเครมลิน

ความพยายามดังกล่าวนำโดย Internet Research Agency (IRA) ที่ตั้งอยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในเรื่องการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016

เครมลินถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2016 เมื่อแฮ็กเกอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับรัสเซียประสบความสำเร็จในการแฮ็กอีเมลจากคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครตและ Hillary Clinton

ซึ่งเอกสารที่ถูกแฮ็กมาเหล่านั้นถูกนำมาเผยแพร่ในระหว่างการหาเสียง เพื่อทำให้ Clinton เสื่อมเสียชื่อเสียง

Clinton ที่โดนโจมตีจากข้อมูล fake news ในการเลือกกตั้ง 2016 (CR:BBC)
Clinton ที่โดนโจมตีจากข้อมูล fake news ในการเลือกกตั้ง 2016 (CR:BBC)

Prigozhin ได้ออกมาแอ่นอกยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นผ่าน VK บริการโซเชียลมีเดียของรัสเซีย

“เราได้แทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เรากำลังแทรกแซง และเราจะแทรกแซงต่อไปอย่างระมัดระวัง อย่างที่เรารู้วิธีที่จะทำมัน”

ซึ่งในภายหลัง Robert Muller อดีตผู้อำนวยการ FBI ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ตรวจสอบเรื่องราวการสมรู้ร่วมคิดระหว่างการหาเสียงของ Donald Trump และรัสเซีย ได้มีข้อสรุปได้ว่า IRA ดำเนินการรณรงค์ทางโซเชียลมีเดียที่ถูกออกแบบมาเพื่อยั่วยุและสร้างความบาดหมางทางการเมืองในสังคมสหรัฐอเมริกา จากนั้นได้พัฒนาเป็นปฏิบัติการเพื่อสนับสนุน Donald Trump และดูหมิ่น Hillary Clinton คู่แข่งในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016

Robert Muller อดีตผู้อำนวยการ FBI ที่ออกมาเปิดเผยผลการสอบสวน (CR:Foreign Policy)
Robert Muller อดีตผู้อำนวยการ FBI ที่ออกมาเปิดเผยผลการสอบสวน (CR:Foreign Policy)

ผลสรุปสุดท้ายทำให้ทางการสหรัฐฯ คว่ำบาตร IRA และ Prigozhin เป็นการส่วนตัวต่อการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 และยังมีความพยายามเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งกลางภาคในปี 2018

ทำไม Prigozhin ถึงมีประโยชน์กับ Putin

สาเหตุที่เครมลินต้องการให้คนอย่าง Prigozhin ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและสร้างกองกำลังทหารรับจ้างไปทั่วทุกมุมโลก ก็เพื่อให้รัฐบาลรัสเซียสามารถปฏิเสธการมีส่วนร่วมในปฏิบัติการที่มีความละเอียดอ่อนสูงได้

ซึ่งแน่นอนว่า Putin สามารถปฏิเสธได้อย่างเต็มปากว่าไม่เคยแทรกแซงการเมืองของสหรัฐอเมริกา

Prigozhin เป็นคนที่ไม่เคยปฏิเสธที่จะทำสิ่งสกปรก เพราะเขาไม่มีต้นทุนทางสังคม และไม่กลัวที่จะเสียชื่อเสียง

และที่สำคัญ Putin เองไม่ชอบพวกที่มีชื่อเสียง เตะต้องไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้ควบคุมได้ยาก ซึ่งแน่นอนว่า Prigozhin จึงเป็นบุคคลในอุดมคติของ Putin

ความพยายามครั้งต่อไปผ่านสงครามคีย์บอร์ด

กลุ่ม Wagner ของ Prigozhin ได้เปิดศูนย์เทคโนโลยีการป้องกันประเทศในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งถือเป็นก้าวต่อไปของ Prigozhin ในสงครามข้อมูล

Sam Greene ศาสตราจารย์ด้านการเมืองรัสเซียที่คิงส์คอลเลจในลอนดอนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความพยายามของ trolls และ bots รัสเซียในการโน้มน้าวการเลือกตั้ง โดยกล่าวว่า เขาคิดว่าเป้าหมายต่อไปคือการพยายามกำหนดวาระเกี่ยวกับยูเครนที่พรรครีพับรีกันจะดำเนินการหลังการเลือกตั้งกลางเทอม

“เป้าหมายคือเพื่อให้ฐานเสียงของพรรครีพับรีกัน แสดงความไม่พอใจต่อการลดการสนับสนุนยูเครนของสหรัฐฯ”

ไม่ใช่เพียงแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ถูกเล่นงานผ่านสงครามคีย์บอร์ด เพราะ Facebook เองได้ลบบัญชีที่เชื่อมโยงกับ Prigozhin ที่ส่งเสริมนโยบายของรัสเซียที่มุ่งเป้าไปที่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และในประเทศอย่าง มาดากัสการ์ แคเมอรูน กีนี โมซัมบิก และแอฟริกาใต้ อีกด้วย


อยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ติดตามต่อได้ที่

Blog Series : Cyberwar – How Russian Hackers Steal the 2016 Election

–> อ่านตอนที่ 1 : Prologue


References :
https://www.reuters.com/world/us/russias-prigozhin-admits-interfering-us-elections-2022-11-07
https://edition.cnn.com/2022/11/07/europe/yevgeny-prigozhin-russia-us-election-meddling-intl/index.html
https://www.bbc.com/news/world-europe-64976080
https://www.theguardian.com/world/2022/nov/07/yevgeny-prigozhin-russia-us-election-interference-analysis
https://apnews.com/article/russia-ukraine-putin-2cd23245b4bd5251db9c3677fcb49dad