ความเทพของ Tim Cook ถูกที่ ถูกเวลา กับการพุ่งทะยานอย่างราชาของ Apple ในอินเดีย

ในเรื่องราวความสำเร็จทางธุรกิจ ความเป็นผู้นำของ Tim Cook ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ความจริงที่ว่า Apple ยังคงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และเติบโตต่อไปแม้ว่า Steve Jobs จะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว

มีหลายสิ่งที่ผู้นำแบบ Tim Cook ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และส่งผลกระทบต่อ Apple เป็นอย่างมาก การตัดสินใจในการสร้างชิปของตนเอง ที่ทำให้ Apple สามารถควบคุมชะตากรรมของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของตนเองได้ตั้งแต่ระดับ CPU/GPU

การขยายธุรกิจไปยังประเทศจีน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำของจีน ซึ่งต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ และแทบไม่มีผู้นำใน Silicon Valley คนใดทำได้แบบ Cook ที่ทำให้ยอดขายของ Apple เติบโตอย่างพุ่งกระฉูดในประเทศจีนสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับ Apple อีกหลายปีถัดมา

แต่เมื่อเริ่มมีปัญหาทั้งเรื่องสงครามการค้า รวมถึงตลาดที่เริ่มอิ่มตัว Cook ก็ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดซึ่งเป็นการตัดสินใจถูกที่ ถูกเวลา อีกครั้งในการหันเหธุรกิจไปยังแหล่งขุมทรัพย์ใหม่นั่นก็คืออินเดีย

ย่าน Bandra Kurla Complex (BKC) ศูนย์กลางความหรูหราของมุมไบ ร้านค้าแบรนด์เนมอย่าง Emporio Armani, Satya Paul และ Swarovski เรียงราย นักช้อปผู้มีอันจะกินเดินเข้าออกร้านกันอย่างคึกคัก

สำนักงานใหญ่ของยักษ์เทคโนโลยีอย่าง Amazon ตั้งตระหง่านอยู่เหนือร้านค้าหรูเหล่านี้ ลานกว้างใน BKC แห่งนี้ เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์กีฬา ล่าสุด บอยแบนด์ระดับโลก Backstreet Boys ก็เพิ่งมาโชว์ที่นี่

ในวันอังคารหนึ่งของเดือนเมษายน ผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่ลานนี้เพื่อหวังจะได้เห็น “ซุปเปอร์สตาร์” แต่ไม่ใช่เซเลป ดารา แต่คนคนนั้นคือ Tim Cook CEO ของ Apple ที่ได้มาเปิดร้านค้าปลีก 2 แห่งแรกของบริษัทในอินเดีย หลังจากนับถอยหลังอย่างรวดเร็ว Cook เปิดประตูร้าน Apple ขนาด 22,000 ตารางฟุต (ประมาณ 6,695 ตารางเมตร) ที่ BKC ท่ามกลางเสียงเชียร์และรอยยิ้มของพนักงาน Apple ในชุดสีเขียว พร้อมไฮไฟว์และเซลฟี่กับลูกค้ากลุ่มแรก ๆ ด้วย

หลายเดือนผ่านไป ร้าน Apple ที่ BKC ยังคงคึกคัก รูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายตึก Flatiron ในนิวยอร์ก ซิตี้ สองข้างเป็นผนังกระจกสูงแปดเมตร หินที่ใช้ตกแต่งผนังมาจากรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย เพดานตกแต่งด้วยแผ่นไม้โอ๊ก 1,000 ชิ้น จัดเรียงเป็นลวดลายคล้ายงานสานของช่างสานหวายในมุมไบ

Preeti Shah นักออกแบบเครื่องประดับจากอาห์เมดาบัด เจ้าของ iPhone มาสิบปีแล้ว ซึ่งถือว่าหายากในอินเดียที่นิยม Android มากกว่า “พอรู้ว่า Apple เปิดร้านที่นี่ ฉันต้องมาเลย” Shah วัย 69 บอก เธอเคยไปร้าน Apple สาขาใหญ่ในนิวยอร์กเมื่อปี 2018 และร้านในมุมไบก็เหมือนกันเป๊ะ ตอนนี้เธอรอคอยให้ Apple มาเปิดร้านที่บ้านเกิดเธออยู่

ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เหมือน Shah “พวกเขามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น” ร้านนี้มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ Apple ของแท้ให้ชาวอินเดียได้สัมผัส พวกเขาได้ลองเล่น iPhone รุ่นล่าสุด เดโม MacBooks หรือเข้าร่วมคอร์สฝึกอบรมแบบฟรี ๆ

ถ้าลูกค้าเดินเข้าร้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น ออกไปก็ต้องมีของติดมือ ยอดขาย Apple ในอินเดียพุ่งกระฉูด ร้าน BKC แห่งเดียวทำยอดขายได้ 1.2 ล้านเหรียญฯ ภายในวันเปิดตัวเพียงวันเดียว ในเดือนแรกทำได้ถึง 2.6 ล้านเหรียญฯ เท่า ๆ กับร้านที่สองในเดลลี

“เรามียอดขายสูงสุดตลอดกาลในอินเดีย และเติบโตแบบก้าวกระโดด” Cook กล่าวในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ต้นเดือนพฤศจิกายน แม้ Apple จะไม่เปิดเผยตัวเลขยอดขายเฉพาะในอินเดียก็ตาม บริษัทวิจัย IDC ได้เปิดเผยว่า Apple ขาย iPhone ได้ราว 6.7 ล้านเครื่องในปี 2022 คิดเป็นมูลค่าราว 5.6 พันล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 1.5% ของรายได้ 394 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2022 และจากเอกสารที่ยื่นกับหน่วยงานรัฐของอินเดีย Apple มีรายได้ 5.9 พันล้านเหรียญฯ ในอินเดียในปี 2022 เติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนหน้า

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Apple กำลังประสบความสำเร็จในการบุกตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยมีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน

ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จของAppleในอินเดีย ได้แก่

  • การเติบโตของชนชั้นกลางในอินเดีย ซึ่งมีกำลังซื้อมากขึ้น
  • นโยบายของรัฐบาลอินเดียที่สนับสนุนการนำเข้าและผลิตสินค้าเทคโนโลยีในประเทศ
  • การขยายฐานการผลิตของAppleในอินเดีย ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและลดภาษี

Apple มีแผนที่จะขยายร้านค้าปลีกในอินเดียให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะเปิดร้านให้ได้ 20 แห่งภายในปี 2025

นอกจากนี้ Apple ยังพยายามปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดีย เช่น การลดราคาสินค้าให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น การแปลภาษาผลิตภัณฑ์เป็นภาษาฮินดี และจัดอีเวนต์การตลาดที่ดึงดูดผู้บริโภคชาวอินเดีย

อย่างไรก็ตาม Apple ยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการในการขยายตลาดในอินเดีย เช่น

  • การแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์สมาร์ทโฟนจากจีน เช่น Xiaomi, Realme และ Oppo
  • กระแสนิยมสมาร์ทโฟน Android ที่ยังคงแข็งแกร่งในอินเดีย

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้ Apple ประสบความสำเร็จในอินเดีย คือ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง Apple เป็นที่รู้จักในผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและนวัตกรรมล้ำสมัย แต่แบรนด์ของ Apple ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างในอินเดีย จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้าง Brand Awareness และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของ Apple ในหมู่ผู้บริโภคชาวอินเดีย

รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดีย Apple จำเป็นต้องปรับแต่งผลิตภัณฑ์และบริการให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดีย เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการที่รองรับภาษาฮินดี และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นของอินเดีย

หาก Apple สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดสมาร์ทโฟนของอินเดีย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาว และเป็นบทพิสูจน์การตัดสินใจของ Tim Cook ที่มี impact ต่อ Aple เป็นอย่างมากได้อีกครั้งหนึ่ง

References :
https://www.forbes.com/sites/timbajarin/2021/12/15/what-is-tim-cooks-greatest-contribution-to-apple-since-he-became-ceo
https://fortune.com/asia/2023/12/14/apple-india-store-iphone-manufacturing-sales
https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-18/cook-opens-india-s-first-apple-store-to-accelerate-sales-push
https://www.republicworld.com/tech/gadgets/apple-ceo-tim-cook-meets-pm-modi-talks-about-tech-powered-transformations-in-india-articleshow/

ปลดแอก App Store เมื่อ Epic ได้รับชัยชนะทางกฎหมายครั้งสำคัญเหนือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

ต้องบอกว่าหนึ่งในเครื่องจักรทำเงินของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีที่สามารถควบคุม ecosystem โดยเฉพาะในระบบปฏิบัติการของมือถือสมาร์ทโฟนซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่ Play Store ของ Google และ App Store ของ Apple เพียงเท่านั้น นั่นก็คือค่าคอมมิชชั่นที่สูงถึง 30%

ตามที่ Sensor Tower บริษัทที่ได้ทำการวิจัยในเรื่องดังกล่าว ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกใช้จ่ายเงินประมาณ 160 พันล้านดอลลาร์สำหรับการซื้อแอปในปีนี้ ซึ่งค่าคอมมิชชั่นที่ Google และ Apple ได้รับนั้นมีมูลค่าสูงถึง 5% ของรายได้รวมจากทุกธุรกิจของทั้ง Google และ Apple เลยทีเดียว

ในวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมาศาลแขวงของซานฟรานซิสโก คณะลูกขุนทั้ง 9 คนได้ตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า Play Store ของ Google เป็นการผูกขาดและบริษัทได้มีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมต่อการแข่งขัน

ซึ่งต้องบอกว่าการถูกตัดสินความผิดครั้งนี้เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ครั้งสำคัญของยักษ์ใหญ่ด้าน Search Engine ซึ่งตอนนี้เรียกได้ว่าเจอมรสุมรุมเร้าที่กำลังพัวพันในการต่อสู้ทางกฎหมายอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน และผลการตัดสินครั้งนี้อาจเป็นการกำหนดนิยามใหม่สำหรับคำว่า “App Store”

สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ทั่วโลกทำงานบนระบบปฏิบัติการเพียงแค่ 2 ระบบ ไม่ iOS ของ Apple ก็เป็น Android ของ Google เพียงเท่านั้น

Store ของ Google อาจจะมีความแตกต่างจาก Apple อยู่บ้างเพราะมีการอนุญาตให้ App Store อื่นๆ นอกเหนือจาก Google Play Store เข้ามาใช้งานใน ecosystem ของพวกเขาได้ แต่ของ Apple นั้นผูกขาดแต่เพียงรายเดียว

ในปี 2020 Epic Games ซึ่งเป็นสตูดิโอเกมชื่อดัง ได้ขอให้ผู้เล่นใช้ระบบการชำระเงินของพวกเขาเองในการซื้อสินค้าในเกม “Fortnite” เกมยอดนิยมของพวกเขา

แนวคิดหลักคือการหลีกเลี่ยงการถูกตัดค่าธรรมเนียม 30% ที่ Apple และ Google มีการเรียกเก็บจากการซื้อแอปส่วนใหญ่ใน App Store ของพวกเขา นั่นทำให้ Fornite ถูกแบนเป็นระยะเวลาสั้นๆ ใน Store ทั้งสองแห่ง

Epic ได้ฟ้องร้องว่า Google กำลังกระทำการผูกขาดและไม่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันโดยมีการบรรลุข้อตกลงกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เช่น Samsung และ LG เพื่อให้ Play Store เป็น Store หลักของมือถือเหล่านี้

ซึ่งคณะลูกขุนไม่เชื่อว่าการป้องกันของ Google ที่ระบุว่ามีการแข่งขันอย่างดุเดือดกับทางฝั่ง Apple รวมถึงการปล่อยให้มี App Store อื่นๆ บนอุปกรณ์ของ Android ของตนเองเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้น

โดยทาง Epic หวังว่าผลการตัดสินในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองทศวรรษที่ศาลสหรัฐฯ ลงโทษบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ ว่ามีพฤติกรรมผูกขาด จะส่งผลดีต่อเหล่านักพัฒนาทั่วทุกมุมโลก

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมาก ๆ ในเคสนี้ก็คือคำตัดสินดังกล่าวกลับย้อนแย้งกับคำตัดสินในคดีที่คล้าย ๆ กันของ Epic กับ Apple ซึ่งคดีดังกล่าวสิ้นสุดลงในปี 2021 โดยฝั่ง Apple เอาชนะไปได้ 9 ใน 10 ประเด็น (มีเรื่องเดียวที่ Apple แพ้คือระบบการชำระเงินทางเลือก)

ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองคดีก็คือชะตากรรมของ Google นั้นถูกตัดสินโดยคณะลูกขุน ไม่ใช่ผู้พิพากษา ความคิดเห็นในสื่อสาธารณะหรือโลกโซเชียลมีเดียอาจมีผลกระทบต่อการตัดสิน ซึ่งสองในสามของชาวอเมริกันเองก็มองว่าบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้มีอำนาจมากเกินไป

ในขณะที่คณะลูกขุนเองก็อาจมีปัญหาในการทำความเข้าใจความแตกต่างของกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

ในขณะเดียวกันก็มีมุมมองอีกฝ่ายหนึ่งที่มองว่า Google นั้นพยายามทำให้ซอฟต์แวร์มือถือของตนเองเปิดกว้างจนเกินไป ทุกคนสามารถใช้ source code ของ Android เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการของตนเองได้ฟรี

ในทางตรงกันข้าม ลูกค้าและเหล่านักพัฒนาของ Apple ต่างรู้ว่า Apple ควบคุมทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งทำให้สิ่งที่ Apple ทำเป็นเรื่องที่อาจยอมรับได้ เพราะเหล่าผู้บริโภคมองว่า Apple มีความปลอดภัยกับพวกเขามากกว่า

คำตัดสินในครั้งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Google เพราะยังมีคดีค้างอยู่อีกสองคดีโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ทั้งเรื่องเครื่องมือค้นหาและ Browser ที่กลายเป็นค่าเริ่มต้นของอุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งใน iPhone เองก็ตามที

เทรนด์ของโลกไปในทิศทางเดียวกันที่ต้องการปลดแอกจากการผูกขาดเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้บังคับให้ Apple และ Google เปิดใช้งานรูปแบบการชำระเงินทางเลือกอื่น ๆ หรือกฎหมายดิจิทัลใหม่ของสหภาพยุโรปก็มีบทบัญญัติที่คล้ายคลึงกัน

นั่นทำให้ต่อจากนี้เป็นต้นไปรูปแบบธุรกิจ App Store จะมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับเกมซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีผลประโยชน์มหาศาล

Microsoft ซึ่งเพิ่งเข้าซื้อกิจการ Activision-Blizzard มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสตูดิโอพัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก กำลังวางแผนที่จะสร้าง App Store ของตัวเอง หรือเคสของ Epic ก็สร้างของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วน Riot Games ก็มีแนวโน้มที่จะเปิด Store ของตนเองเช่นเดียวกัน

บทสรุป

มันเป็นเคสที่น่าสนใจที่จะส่งผลต่อเหล่านักพัฒนาแอปทั่วโลกให้มีทางเลือกอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการชำระเงินที่ถูกผูกขาดจากเจ้าของระบบปฏิบัติการทั้ง Android ของ Google และ iOS ของ Apple มานานแสนนาน

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตอนนี้กำลังประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกัน นั่นก็คือ กฎหมายเริ่มรู้เท่าทันพวกเขา หลังจากที่โกยเงินจากการผูกขาดเหล่านี้มานานแสนนาน

มันเป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจนว่าการออกแบบธุรกิจโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีนั้น ที่มักจะพยายามหาช่องโหว่ของกฎหมาย หรือกฎหมายที่ตามไม่ทัน ซึ่งหลายๆ แพลตฟอร์มก็ทำแบบนี้ ทั้งเรื่อง อีคอมเมิร์ซ การจัดส่งอาหาร บริการเรียกรถต่าง ๆ

และสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลกในตอนนี้ ก็คือการเริ่มเข้ามาจัดการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในสหภาพยุโรปที่เรียกได้ว่ายกเครื่องกฎหมายทางด้านดิจิทัลใหม่ทั้งหมด

เพราะฉะนั้นในอนาคต การประเมินมูลค่าแบบเว่อร์ ๆ เกินจริงของเหล่าบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งคิดจะเติบโตแบบร้อยเท่าพันเท่าเหมือนในอดีตนั้น มันคงไม่เป็นเรื่องง่ายอีกต่อไปนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/12/14/what-googles-antitrust-defeat-means-for-the-app-economy
https://www.ft.com/content/a2ad4277-13a9-411e-ad59-230d5bea626c

ความเทพของพี่มาร์ค กับการปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างรวดเร็วเพื่อชดเชยสิ่งที่ผิดพลาดจาก Metaverse

หากเรามองผ่านหน้าสื่อ Mark Zuckerberg มักไม่ค่อยได้รับเครดิตในเรื่องการบริหารธุรกิจของเขาซักเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนว่าสื่อจะมองเขาไปในสิ่งอื่น ๆ รอบตัวเขามากกว่า

ไม่ว่าจะเป็นความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ล่าสุดของเขา การทะเลาะกับ Elon Musk เรื่องปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถม Facebook ในช่วงหลัง ทั้งการฟ้องร้องจากรัฐในอเมริกาหลายแห่งที่กล่าวหาว่า Meta มีเจตนาที่จะทำให้ผู้ใช้โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นติด Facebook และ Instagram อย่างงอมแงม

ถ้าไม่นับเรื่องราวที่ครีเอเตอร์หลาย ๆ คนอาจจะสาปส่งแพลตฟอร์มของ Mark Zuckerberg ทั้งการลด Reach การปรับเปลี่ยนอัลกอริธึมอยู่แทบจะตลอดเวลา หรือ การผลักดันให้ผู้คนเสียเงินในการโฆษณาเพิ่มมากขึ้น

ย้อนกลับไปในช่วงปีที่แล้ว Zuckerberg เองก็โดนถล่มอย่างหนักจากเหล่านักลงทุน โดยกล่าวหาว่าเขาทำลายธุรกิจหลักไปพร้อม ๆ กับใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยไปกับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเขาสำหรับโลก Metaversee

ซึ่งหากมองในแง่มุมของธุรกิจล้วน ๆ ความสามารถของ Zuckerberg จากผลงานที่ผ่านมานั้นแทบไม่ได้ต่างจาก Satya Nadella ทำกับ Microsoft หรือ Tim Cook สามารถทำได้กับ Apple เลยด้วยซ้ำ

แม้จะดูภาพลักษณ์เป็นเด็กเนิร์ด แต่การบริหารธุรกิจของ Mark นั้นเรียกได้ว่าระดับเทพอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนของช่วงปลายปีที่แล้ว เขาได้ตัดสินใจทางธุรกิจครั้งสำคัญ ซึ่งเมื่อเขาเองมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงโดยรวมของบริษัทสูงถึง 58% เขาจึงสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจโดยแทบไม่ต้องฟังเสียงของผู้ถือหุ้นเลย

Zuckerberg ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บริษัททางด้านเทคโนโลยี ภายในสองสัปดาห์ของไตรมาสที่สาม เขาได้ลดค่าใช้จ่ายของ Meta และปลดพนักงานออกจำนวนมาก

และเพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT ของ OpenAI ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแวดวงเทคโนโลยี เขาได้ปฏิวัติองค์กรใหม่โดยมุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยีเพื่อใช้ในการกระตุ้นธุรกิจหลักของบริษัท

Nick Clegg ที่เป็นที่ปรึกษาที่มีความใกล้ชิดกับ Zuckerberg ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า เจ้านายของเขาไม่ชอบให้คนรอบตัวมาตะโกนด่าเขา เช่นเดียวกับเหล่าวิศวกร เขาชอบที่จะแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นกับส่วนประกอบต่าง ๆ และตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางที่จะใช้ในการปฏิบัติจริง

จะเห็นได้ว่าปัญหาที่ผ่านมา Meta ได้ผลาญเงินไปมากมายกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse สิ่งนี้ Zuckerberg เข้าใจอย่างดีเพราะมันเป็นแผนระยะยาวของเขา แต่มันส่งผลต่อแผนการระยะสั้นของบริษัท เขาจึงต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งสำคัญ

การปรับแผนการลงทุนระยะยาวโดยเน้นที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นหลัก ไม่ใช่ Metaverse มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ถูกต้องมาก ๆ ของ Zuckerberg เมื่อ ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดในภายหลัง

ซึ่งผลจากการทำงานอย่างหนักของ Zuckerberg มันก็เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เมื่อรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมา ที่รายรับเพิ่มขึ้น 23% เป็น 34.15 พันล้านดอลลาร์ สร้างกำไร 11.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจาก 4.4 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

Meta ใช้เวลาหลายปีมาแล้วในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ซึ่งแทนที่จะสร้างแชทบอท Zuckerberg ได้มองหาวิธีการใช้ AI เเพื่อปรับปรุงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์ม และทำให้ธุรกิจโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภายในเดือนกรกฎาคม Meta ได้จัดทำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) อย่าง Llama 2 ให้นักพัฒนาใช้งานได้ฟรี และการทำให้ Llama เป็นโอเพ่นซอร์สช่วยเปลี่ยน Zuckerberg จากผู้ร้ายใน Silicon Valley ให้กลายเป็นฮีโร่ทันที

Leigh Marie Braswell จาก Kleiner Perkins ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกล่าวว่า บริษัทสตาร์ทอัพต่างชื่นชนการเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Meta เป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยให้หลาย ๆ คนพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ ซึ่งเผลอ ๆ เทคโนโลยีอย่าง Generative AI เองอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ Meta ได้มากกว่า Microsoft หรือ Google เสียอีก

อย่างแรกในเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์ม โดยขณะนี้ Meta กำลังสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วยอวาตาร์แชทบอทซึ่งหวังว่าจะเพิ่มระยะเวลาที่ผู้คนใช้ฟีดของตน และช่วยให้ธุรกิจโต้ตอบกับลูกค้าบนแอปส่งข้อความได้

สิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นในระยะสั้นคือศักยภาพของ AI ในเรื่องการโฆษณา เนื่องจาก Apple จำกัดความสามารถของ Meta ในการติดตามข้อมูลผู้ใช้ในแอปบน iPhone นั่นเป็นการเปลี่ยนกระบวนการทางความคิดของ Meta แบบยกเครื่องใหม่ทั้งหมด แทนที่จะติดตามหลอกหลอนพฤติกรรมของผู้ใช้งานเหมือนเดิม จะมีการใช้ AI ในการจำลองพฤติกรรมของผู้ใช้แทน

ปีที่แล้ว Meta ได้เปิดตัวเทคโนโลยีโฆษณาที่เรียกว่า Advantage+ ซึ่งใช้ AI เพื่อสร้างแคมเปญโฆษณาโดยอัตโนมัติ ซึ่ง Brent Thill แห่ง Jefferies ธนาคารเพื่อการลงทุนกล่าวว่าผู้ลงโฆษณารู้สึกประทับใจ ตัวอย่าง J.Crew Factory ผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าได้บอกกับ Meta ว่าฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณาเกือบเจ็ดเท่า

Generative AI สามารถยกระดับระบบอัตโนมัติใน ecosystem ของ Meta ได้อีกมากมาย ในเดือนที่ผ่านมา Meta ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาแบบ doodle ด้วยพื้นหลังและถ้อยคำที่แตกต่างกัน

แม้สิ่งเหล่านี้อาจจะยังเป็นก้าวเล็ก ๆ ของ Meta แต่ Andy Wu จาก Harvard Business School เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของการตื่นทอง เขากล่าวว่าการสร้างแคมเปญโฆษณาที่ใช้ Generative AI จะทำให้ Meta สามารถได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้มากเท่ากับ Nividia ซึ่งเป็นผู้ผลิต GPU ชั้นนำ

แม้ว่านักลงทุนบางคนยังคงสงสัยในเรื่อง Metaverse และอยากให้ Zuckerberg ลดค่าใช้จ่ายกับเรื่องของ Metaverse และระมัดระวังในเรื่องการลงทุนกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่ถนัดของ Meta เช่น VR Head Set ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างอัตรากำไรที่ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ทางด้านดิจิทัล

แต่ดูเหมือนว่า Zuckerberg เองยังไม่ยอมแพ้ในโลกของ Metaverse ซึ่งเขามองว่า AI จะเป็นผู้กอบกู้ Metaverse โดยช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยี hand-tracking และทำให้การสร้างโลกสามมิติมีราคาถูกลง

แว่นตาอัจฉริยะของ Meta ที่ผสานรวมเข้ากับแชทบอท Meta AI และสร้างโดย Ray-Ban นำเสนอสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันเป็นโลกใหม่ในจินตานาการของ Zuckerberg ที่จะเหล่าผู้ใช้งานสามารถบันทึกสิ่งที่พวกเขาเห็น สามารถสตรีมสดบนโซเชียลมีเดีย และมีแชทบอทคอยช่วยตอบคำถามต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญกับ Meta ในแผนการระยะยาวของบริษัทนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/10/26/ai-has-rescued-mark-zuckerberg-from-a-metaverse-size-hole
https://www.nytimes.com/2023/10/25/technology/meta-facebook-quarterly-earnings.html

Results about you เครื่องมือใหม่ของ Google ที่จะช่วยลบตราบาปบนโลกดิจิทัลของคุณ

ถือว่าเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวมานานแล้วนะครับ สำหรับเรื่องข้อมูลส่วนตัวที่เมื่อไหร่ที่มันติดอันดับบน Google แล้ว มันยากที่จะเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเรื่องราวใหม่มันจะเกิดขึ้นแล้ว แต่การลบล้างเรื่องที่ไม่ดีของเราบน Google นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง

ในปี 2022 Google ได้เปิดตัวเครื่องมือ “Results about you” เพื่อช่วยให้ผู้คน ลบข้อมูลส่วนบุคคลออกจากผลการค้นหาของ Google

แน่นอนว่าด้วยการค้นหาหลายพันล้านครั้งที่เกิดขึ้นทุกวันบน Google ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว หรือที่อยู่ที่บ้าน ฯลฯ มันมีหลายข้อมูลที่ค่อนข้าง sensitive และบางครั้งเราแทบไม่อยากเปิดเผยมัน

วิธีการก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะไปลบข้อมูลต่างๆ บน Google ต้องอาศัยเจ้าของโฮสต์ตัวจริง ต้องมีการยืนยันหลายขั้นตอนวุ่นวาย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่หากมีปัญหากับชื่อตัวเอง ก็เลยเลือกที่จะไปเปลี่ยนชื่อซะ ทำให้ผลการค้นหาชื่อใหม่ที่ถูกเปลี่ยนไปแล้วนั้นสามารถเริ่มต้นใหม่ได้กับ Google

ซึ่งบางครั้งมันก็เป็นข้อเสียเช่นเดียวกัน เช่น เหล่าอาชญากรออนไลน์ต่าง ๆ ที่ชอบโกงเงินกัน การมีชื่อติดอยู่นั้นทำให้สามารถลดจำนวนผู้เสียหายให้น้อยลงไปได้ หากมีการสืบค้นข้อมูลจาก Google เสียก่อน

แต่ด้วยเครื่องมือใหม่ของ Google ในตอนนี้นั้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสะดวกยิ่งขึ้น เราสามารถที่จะตั้งการแจ้งเตือนอีเมล ที่อยู่ของบ้าน หรือหมายเลขโทรศัพท์ หากมีการปรากฎขึ้นบนผลการค้นหาของ Google นั่นทำให้จะมีการแจ้งเตือนตลอดเวลาหากมีข้อมูลอะไรที่ผิดเพี้ยนหรือที่เราไม่ต้องการติดผลการค้นหาใน Google

แต่เริ่มต้นนั้นเครื่องมือนี้จะใช้งานได้ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และจะสแกนหาผลลัพธ์ที่เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น โดยเครื่องมือ “Results about you” สามารถตั้งค่าได้ทั้งใน browser หรือ ผ่านแอปบนมือถือ

เครื่องมือใหม่ของ Google ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้คนได้อย่างมาก (CR:Phoneareana)
เครื่องมือใหม่ของ Google ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้คนได้อย่างมาก (CR:Phoneareana)

ซึ่งการอัพเดทใหญ่ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมาก ๆ หลังจากที่ Google ถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งบางครั้งถูกเหล่ามิจฉาชีพสร้างมันขึ้นมาแต่ดันไปติดอันดับใน Google

หรือเคสที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ที่พ่อแม่ของพวกเขาพยายามสร้างตัวตนของลูกในโลกดิจิทัลตั้งแต่ยังเด็ก ๆ โดยที่พวกเขายังแทบจะไม่ยินยอม และมันก็ได้ติดตัวของพวกเขาไปอีกนานแสนนาน

ตัวอย่างเช่น TikToker ที่ใช้ชื่อว่า Annemarie (@annemari333) โพสต์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ

“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของฉันอัปโหลดรูปภาพของฉันบน Facebook” เธอเขียนผ่านวีดีโอของตัวเองในวัย 18 ปี ซึ่งบันทึกในวัยเด็กของเธอไม่สามารถที่จะลบล้างได้อีกต่อไป

“มันผ่านมา 18 ปีแล้ว และมันยังก็ยังเป็น 5 รูปแรกที่โผล่ขึ้นมาเมื่อคุณ google ชื่อของฉัน และฉันทำอะไรกับมันไม่ได้เลย” Annemarie เสริมว่า “สิ่งแรกที่นายจ้างในอนาคตของฉันจะเห็นเมื่อพวกเขามองหาฉันก็คือภาพของฉันตัวอ้วนจ้ำม่ำอยู่บนผ้าห่ม”

Google ได้สร้างเครื่องมือนี้เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปกป้องตนเองได้ มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญอย่างมาก ในโลกยุคดิจิทัล ที่ Digital Footprint บางอย่างมันสามารถกลายเป็นตราบาปติดตัวเราไปตลอดกาลนั่นเองครับผม

References :
https://www.wired.com/story/results-about-you-remove-personal-info-from-google
https://www.yourtango.com/news/kids-posted-social-media-not-happy-parents-now-theyre-older

TikTok x Propaganda เมื่อยักษ์ใหญ่โซเชียลจากจีนพยายามยัดเยียดโฆษณาชวนเชื่อไปยังยุโรป

ต้องบอกว่าเครือข่ายโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเคยตกเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อกันมาแทบจะทั้งหมดแล้ว กรณีใหญ่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016 หรือเคสที่เกิดขึ้นกับ Brexit ที่มีหลักฐานมากมายจากการสืบสวนสอบสวนในภายหลัง

แน่นอนว่า TikTok กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มที่มีจำนวนผู้ใช้งานหลักพันล้านคน การถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด

และ TikTok เองก็มีข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะในข้อมูลจากคลังโฆษณาที่เผยแพร่โดยบริษัทเองเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจคือจากการวิเคราะห์ที่จัดทำโดยสื่อใหญ่อย่าง Forbes (เอนเอียงไปทางโลกตะวันตก) แสดงให้เห็นว่าโฆษณามากกว่า 1,000 รายการจากสื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และ CGTN ได้ถูกแสดงบนแพลตฟอร์มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022

โฆษณาเหล่านี้ได้ถูกแสดงต่อผู้ใช้หลายล้านคนทั่ว ออสเตรีย เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ และสหราชอาณาจักร

โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่โฆษณาโดยสื่อทางการของจีนบน TikTok นั้นเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)
ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย China News International นำเสนอชายคนหนึ่งกำลังเต้นรำที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้คำบรรยายว่า “ซินเจียงเป็นสถานที่ที่ดี!”

วีดีโออีกรายการแสดงให้เห็นพิธีกร CGTN เยี่ยมชมโรงเรียนประถมในซินเจียง ซึ่งเป็นนสถานที่ที่สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียกำลังติดตามการก่อสร้างสถานที่กักกัน 6 แห่ง โฆษณายังโน้มน้าวการท่องเที่ยวในภูมิภาคและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมอุยกูร์ส่วนใหญ่

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในช่วงเดือนธันวาคม นำเสนอเนื้อหาทางวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์การต่อต้านของสหรัฐฯ และยุโรปต่อโครงการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนอย่าง Belt & Road Initiative

โฆษณาอีกชิ้นแสดงวีดีโอจากบล็อกเกอร์ที่กล่าวหาสื่อตะวันตกว่าโกหกเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน

เมื่อ TikTok ห้ามโฆษณาทางด้านการเมือง

เรื่องที่ตลกก็คือ TikTok นั้นมีนโยบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการห้ามโฆษณาในประเด็นทางสังคม การเลือกตั้ง และการเมือง แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้ว่า “หน่วยงานของรัฐอาจมีสิทธิ์โฆษณาหากทำงานร่วมกับตัวแทนการขายโฆษณาของ TikTok”

การที่ TikTok ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ดูจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาของประเทศไทย เมื่อเครื่องมือจากตะวันตกที่เข้าถึงผู้ใช้ระดับ mass อย่าง Facebook นั้นค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากเคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016

Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)
Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)

TikTok จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ เพราะเป็นโซเชียลมีเดียที่สามารถเข้าถึงผู้คนระดับ mass ไม่ต่างจาก Facebook แต่มีนโยบายการกลั่นกรองที่อาจจะไม่เข้มงวดเท่าแพลตฟอร์มจากตะวันตก

แต่อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มสร้างขึ้นมาเอง เพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองที่พวกเขารัก ซึ่งไม่ได้ใช้รูปแบบการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเหมือนเคสที่เกิดขึ้นในยุโรป

TikTok กำลังเผชิญกับการสอบถามจากรัฐบาลมากมายทั้งในยุโรปและต่างประเทศเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีน สำนักงานรัฐบาลในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ได้แบน TikTok จากอุปกรณ์ของรัฐบาลเนื่องจากกังวลว่าแอปดังกล่าวนี้ซึ่ง ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนเป็นเจ้าของ

ความกังวลอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับ TikTok คือความกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจใช้มันเพื่อบิดเบือนวาทกรรมของพลเมืองในประเทศประชาธิปไตย

สื่อของรัฐจีนเองก็มีประวัติในการใช้การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อผลักดันเรื่องเล่าที่สนับสนุนจีนในฝั่งตะวันตก ซึ่งคลังโฆษณาของทั้ง Meta และ Google ก็มีการโฆษณาทำนองนี้จากสื่อของจีนเช่นเดียวกัน

ในปี 2021 พนักงานของ Meta แสดงความกังวลเกี่ยวกับโฆษณาสื่อของรัฐจีนบน Facebook ที่แสดงถึงชาวมุสลิมที่มีความสุขในซินเจียง ซึ่ง Meta กลับมองว่าโฆษณาดังกล่าวไม่ได้ละเมิดนโยบายของบริษัท อย่างไรก็ตามความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่า Meta และ Google นั้นไม่ได้ห้ามในส่วนนี้ แต่ TikTok ประกาศชัดเจนว่าห้ามโฆษณาเกี่ยวกับการเมือง ปัญหาสังคม หรือการเลือกตั้งบนแพลตฟอร์มของตน

บทสรุป

เอาจริง ๆ บทความนี้เนื้อหาส่วนใหญ่เรียบเรียงมากจาก Forbes ซึ่งแน่นอนว่านำเสนอมุมมองที่เป็นบวกต่อโลกตะวันตก และพยายามยัดเยียดความผิดให้ฝั่งจีนเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครอ่านบทความจากสื่อตะวันตกบ่อย ๆ จะทราบดีว่าพวกเขาก็มี agenda แอบแฝงเช่นเดียวกัน

ผมว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ที่แพลตฟอร์มเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะแพลตฟอร์มโลกตะวันตกก็ทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน และอัลกอริธึมก็มีความ Bias อย่างชัดเจนมาก ๆ

ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ผมแทบจะ engagement กับสื่อจากรัสเซียอย่าง Russia Today แทบจะตลอดเวลา แต่ Facebook มีความชัดเจนในการลดการมองเห็นแบบสุด ๆ สำหรับเนื้อหาในฟีดจากสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกตะวันตกในแพลตฟอร์มของพวกเขา และแน่นอนว่าสื่อจากจีนก็โดนแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ในเมื่อ TikTok มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นของจีน ผมว่ามันไม่แปลกที่พวกเขาจะมีโอกาสชี้แจงข้อมูลอีกด้าน ไม่ใช่ถูกยัดเยียดจากความ Bias ของสื่อตะวันตกเพียงอย่างเดียว เพราะสุดท้ายทุกคนต้องได้รับข้อมูลที่รอบด้าน และควรมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วยตนเอง ว่าควรจะเชื่อฝั่งไหนมากกว่ากันนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/iainmartin/2023/07/26/tiktok-chinese-propaganda-ads-europe/?sh=2fdc2bcd203d
https://www.wsj.com/articles/facebook-staff-fret-over-chinas-ads-portraying-happy-muslims-in-xinjiang-11617366096
https://hacked.com/tiktok-propaganda-the-latest-danger-to-your-kids/