Peter Thiel จอมปลิ้นปล้อนตัวจริงแห่งวงการ crypto

ย้อนไปเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว Peter Thiel ปรากฎตัวที่งาน Bicoin 2022 ในไมอามีบีช เขาเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความรวดเร็ว ด้วยความศรัทธาปลอม ๆ ใน Bitcoin เขาได้หยิบธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์ ออกมาปึกหนึ่ง

“มันแปลกจริง ๆ นี่คืออะไร?” Thiel ถามกับฝูงชนพลางโบกมือไปมา

“มันแทบจะไร้ค่ามากกว่ากระดาษชำระ เพราะมันเป็นเงินเฟียตที่เส็งเคร็ง”

จากนั้นเขาก็ขยำธนบัตรเป็นก้อนกลม ๆ โยนเข้าไปในฝูงชน และเยอะเย้ยใครก็ตามที่หยิบมันขึ้นมา “ผมคิดว่าพวกคุณควรจะเป็น Bitcoin Maximalists (คนที่มีความเชื่อมั่นเหนือ Bitcoin และไม่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ)”

หัวใจสำคัญของการคุยโม้โอ้อวดของ Thiel ในวันนั้นคือ กลุ่มศัตรู ของผู้ที่เขามองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจสูงสุดของ Bitcoin

ศัตรูหมายเลข 1 : Warren Buffet ส่วนศัตรหมายเลข 2 และ 3 คือ Jamie Dimon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMorgan Chase และ Larry Fink CEO ของ BlackRock ชายทั้งสามคิดเหมือน ๆ กัน ที่ไม่ได้ลงเงินใน Bitcoin ซึ่งในเวลานั้นมีมูลค่าประมาณ 43,000 ดอลลาร์ แต่ Thiel กล่าวว่าในท้ายที่สุดแล้วมูลค่ามันจะพุ่งขึ้นไป 10 ถึง 100 เท่า

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ Thiel จะมีทัศนคติเช่นนั้น เพราะก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม 2021 ตัวเขาเองได้ทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งในแวดวงของ Bitcoin

Founders Fund ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Thiel ได้ทำการเทขายเพื่อทำกำไรก่อนที่ตลาด crypto จะพัง Founders Fund ได้ดึงเงินออกจากพอร์ดโฟลิโอ crypto ทั้งหมดภายในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2022

ซึ่ง Thiel ควรที่จะระบุว่าตัวเองคือ ศัตรูหมายเลขหนึ่งในวงการนี้เช่นเดียวกัน

เหล่าบริษัท crypto ที่ถูก Thiel เท นั้น รวมถึงแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอย่าง FTX และ BlockFi ซึ่งล้วนเป็นบริการที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก Thiel

FTX และ BlockFi ซึ่งล้วนเป็นบริการที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก Thiel  (CR:Forbes)
FTX และ BlockFi ซึ่งล้วนเป็นบริการที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก Thiel (CR:Forbes)

Thiel ได้พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนถอนเงินออกบัญชีออมทรัพย์ของพวกเขาแล้วนำไปใส่ใน crypto แทน แต่อย่างที่เราทราบกัน ตอนนี้ ทั้ง FTX และ BlockFi ถึงคราล่มสลาย

Thiel เองเกือบจะสูญเสียเงินจากการล่มสลายของวงการ crypto ครั้งนี้เช่นเดียวกัน แต่การไหวตัวทันในเวลาที่เหมาะสม Founders Fund ได้เงินคืนมา 13,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา

ต้องบอกว่า Thiel เองนั้นเป็นคนที่สร้างตัวตนขึ้นมาด้วยความเจ้าเล่ห์ทางการเงิน ซึ่งจุดยืนหรืออุดมการณ์ของเขานั้นแทบจะตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ทางการเงินที่เขาได้รับมา

เขาลาออกจาก Paypal หลังจากขายบริษัทให้ eBay ส่วนหนึ่งเพราะเขาต้องการเดิมพันกับ eBay ในตลาดหุ้น เขาก่อตั้ง Palantir ซึ่งรับเหมางานจากรัฐ แม้ว่าเขาจะเป็นนักเสรีนิยมที่ต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ และเขาสนับสนุนผู้รักชาติ “อเมริกาต้องมาก่อน” ในขณะที่เขาพยายามที่จะซื้อสัญชาติในประเทศอื่นก็ตาม

Thiel ไม่ใช่คนเดียวที่มีลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้ คำทำนาย Bitcoin 100 เท่าเกือบจะเหมือนกับคำทำนายของสองพี่น้อง Winklevoss ที่พยายามส่งเสริมการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลให้กับเหล่านักลงทุนรายย่อย

Marc Andreessen และบริษัทร่วมทุนของเขา Andreessen Horowitz ใช้เวลาหลายปีในการปั้นภาพลักษณ์ของ web3 ขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็ขายเหล่า token ขยะที่มีมูลค่าลดลงไปเรื่อย ๆ ทิ้งอย่างไม่ใยดี

ต้องบอกว่า crypto เองเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเพ้อฝันของนักลงทุนรายย่อยเพื่อสร้างมูลค่าที่ไม่มีอยู่จริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มันเริ่มขึ้นไม่นานหลังจากที่ Thiel ได้กล่าวคำปราศรัยที่ทรงพลังในไมอามี

การล้มละลายของ FTX , Genesis , BlockFi … ได้แสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์ที่หลอกลวงโดยเหล่านักลงทุน crypto เช่น Thiel นั้นมันไร้สาระเพียงใด

เพราะฉะนั้นจงอย่าเชื่อคำลวงของคนพวกนี้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งของ Pether Thiel การกระจายอำนาจผ่าน web3 ของ Marc Andreessen หรือ พ่อนักบุญอย่าง Sam Bankman-Fried

เพราะสุดท้ายแล้วนั้นกลุ่มคนพวกนี้เพียงแค่ขายขยะ Token ให้กับคุณ และทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่คุณศรัทธาพวกเขาอยู่เสมอนั่นเองครับผม

References :
https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2023-01-24/peter-thiel-is-not-a-crypto-true-believer
https://www.youtube.com/watch?v=ko6K82pXcPA
https://coinmercury.com/th/all-you-need-to-know-about-bitcoin-maximalist/
https://www.semafor.com/article/11/16/2022/andreessen-passed-on-ftx-while-venture-firms-early-crypto-investors-are-up

Long live apps เมื่อยุคทองของการสร้างแอปได้จบสิ้นลงแล้ว

คุณดาวน์โหลดแอปใหม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? เป็นคำถามที่หลายคนน่าจะเจอประสบการณ์ที่คล้าย ๆ กันที่ว่า ตอนนี้เราแทบจะไม่ดาวน์โหลดแอปใหม่ ๆ กันแล้ว การแจ้งเกิดของแอปใหม่ ๆ ที่มีให้รกเครื่องนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ

ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีทั้งคลาวด์ และ การเขียนโค้ดที่ง่ายขึ้นมากอย่าง no-code นั้นทำให้กำแพงในการสร้างแอปที่เมื่อก่อนต้องลงทุนสูง และใช้ทักษะที่ค่อนข้างสูง กลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน

นั่นทำให้เกิดฟองสบู่ของแอปอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้ แม้ใน App Store หรือ Play Store จะมีแอปมากมายให้เราเลือกสรรค์ แต่มีเพียงแอปแค่หยิบมือเท่านั้นที่ถูกดาวน์โหลดไปใช้งานจริง ส่วนใหญ่จะเป็นขยะเสียมากกว่า

ในเวลาไม่ถึงทศวรรษ เราเปลี่ยนจากพฤติกรรมการอยากมีแอปสำหรับทุก ๆ สิ่ง แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าแม้จะมีแอปเกิดขึ้นมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่แอปที่ทำในสิ่งที่เราต้องการได้

นั่นทำให้ไม่แปลกใจที่ตอนนี้แนวคิดของ Super App ที่ถูกคิดค้นโดยประเทศจีนนั้นจะกลายเป็นที่นิยม หลาย ๆ แพลตฟอร์มอยากก้าวขึ้นเป็น Super App ในภูมิภาคของตนเอง

Wechat จากจีนเองที่ถือเป็นต้นแบบสำคัญ ช่วยผู้ใช้ไม่เพียงแค่การแชทเท่านั้น แต่ยังซื้อของ จ่ายบิล และเข้าถึงบริการของรัฐได้มากมาย ด้วยความสะดวกสบาย

เราได้เห็นบริการอย่าง Grab , Line หรือแม้กระทั่งน้องใหม่ในประเทศไทยอย่าง Robinhood ที่ต้องการที่จะเข้าไปยังเป้าหมายเดียวกันนี้

ในโลกตะวันตกแม้จะไม่เป็นที่ยอมรับในเรื่องนี้มากนัก แต่ไอเดียที่ถูกเปิดขึ้นโดย Elon Musk ที่ได้ทำการเข้าซื้อ Twitter เพื่อก้าวข้ามความเป็นแพลตฟอร์มโซเชียล เพื่อให้เป็น Super App แห่งแรกของโลกตะวันตก และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีศักยภาพสูงเช่นเดียวกันที่จะไปถึงจุดนั้น

อีกแนวคิดที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นกับ Web3 ที่เชื่อว่าระบบนิเวศของแอปแบบกระจายศูนย์ และโลกนี้จะให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากขึ้น และพยายามทำลายอิทธิพลที่มากล้นของบริษัท Big Tech ที่ครอบงำตลาดแอปอยู่ในปัจจุบัน

Web 1.0 คืออินเทอร์เน็ตของศตวรรษ 1990 ไม่ว่าจะเป็น Search Engine หรือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่จะอยู่เฉพาะในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเดสก์ท็อป ส่วน Web 2.0 คืออินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น การสตรีมวีดีโอและเพลง ซึ่งมันเติบโตบนอุปกรณ์พกพา

Web 3.0 ได้รับการเปิดเผยครั้งแรกในปี 2006 จาก The New York Times ที่เขียนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตในยุคที่ 3 ซึ่งจะเป็นยุคที่เว็บของข้อมูลสามารถประมวลผลได้ด้วยเทคโนโลยี AI , Machine Learning , Data Mining ตัวอย่างเช่น อัลกอริธึมจะช่วยตัดสินใจและแนะนำว่าใครควรซื้ออะไรใน Amazon นั่นคือภาพรวมของ Web 3.0

นอกจากฟีเจอร์เหล่านี้แล้วก็มีแนวคิดที่ว่าควรจะรวมเอาเครือข่ายแบบ Peer-to-peer ที่ไม่มีเซิร์ฟเวอร์และไม่มีตัวกลางในการจัดการของการไหลของข้อมูล ซึ่ง Ethereum จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับวิสัยทัศน์ของ Web 3.0

Web 3 จึงได้กลายเป็นแนวคิดคร่าวๆ ว่าเว็บควรรวมแอปพลิเคชั่น smart contract และโทเค็นต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมถึง metaverse ที่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังกลายเป็นกระแสในขณะนี้

Web 3 และ metaverse มีความหมายเหมือนกันในเชิงโครงสร้าง ซึ่งแกนหลักของทั้งสองเทคโนโลยีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างอินเทอร์เฟซและระบบที่ใช้สินทรัพย์ blockchain  ซึ่งรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น การมีเนื้อหาในเกมแบบ NFT ที่ใช้งานได้ในเกมต่างๆ หรือโทเค็นที่ปลดล็อกบริการต่าง ๆ

และนี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ Facebook รีแบรนด์ตัวเองเป็น Meta และกำลังสร้างโลกของ Metaverse เช่นเดียวกัน

แน่นอนว่าหลายบริษัทโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่เช่น Meta ที่ต้องอาศัยใน ecosystem ของคนอื่นอย่าง iOS ของ Apple หรือ Android ของ Google นั้นก็ต้องการที่จะปลดแอกตัวเองออกจากพันธนาการเหล่านี้

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเทคโนโลยีอย่าง Web3 อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่จะเข้ามาลดทอนอำนาจของบริษัท Big Tech อย่าง Apple หรือ Google ในเร็ววันนี้ก็อาจจะเป็นไปได้นั่นเองครับผม

Image References : https://thenextweb.com/news/apps-are-dead-long-live-apps

Bored Ape Yacht Club เรื่องราวของ Yuga Labs และความฝันแบบดิสนีย์ท่ามกลางฤดูหนาวของ NFT

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ ของ Yuga Labs ผู้เสกสรรค์ คอลเลกชั่น NFT ชื่อดังอย่าง Bored Ape Yacht Club ขึ้นมา

นับตั้งแต่ก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 Yuga Labs มีกำไร 100 ล้านดอลลาร์ในปีแรก และระดมทุนได้ 450 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทถูกประเมินมูลค่าไว้ถึง 4 พันล้านดอลลาร์

และเสน่ห์ที่ดึงดูดใจคนดังและบริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ Gwynet Palthrow ไปจนถึง Adidas ให้เชื่อมโยงแแบรนด์ของตนกับ Bored Ape

ความน่าสนใจที่สุดก็คือ ความสำเร็จที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่มาจากคนเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น Wylie Aronow, Greg Solano , Nicole Muniz และโปรดิวเซอร์คนดังอย่าง Guy Oseary

Aronow และ Solano ทั้งคู่อายุ 30 กลาง ๆ เป็นเพื่อนกันมานานนับสิบปีก่อนที่จะตัดสินใจเปิด Yuga Labs เมื่อปีที่แล้ว พวกเขาแทบจะไม่ใช่คนสายพันธุ์เทคโนโลยีแต่อย่างใด

4 ผู้ก่อตั้ง BAYC และ Yuga Labs (CR:Pinterest)
4 ผู้ก่อตั้ง BAYC และ Yuga Labs (CR:Pinterest)

Solano เป็นบรรณาธิการที่แผนกเล็ก ๆ ของ Simon & Schuster ที่เน้นเรื่องวีดีโอเกมและหนังสือไซไฟ และ Aronow เขาแทบไม่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่จะป่วยจากปัญหาในวัยเด็กของเขา แต่ทั้งคู่ก็มาพบเจอกันกลายเป็นเพื่อนกันเพราะหนังสือ Infinite Jest ของ David Foster Wallace

แนวคิดเริ่มต้นของ Aronow และ Solano คือการนำ NFT มาใช้ในงานศิลปะและเพื่อการแสดงออกถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจุดเชื่อมต่อทั้งคู่กับโลกเทคโนโลยีก็คือ Muniz เพื่อนเก่าของ Aronow ซึ่งเขาเคยพบที่ Starbucks ในไมอามี่ตอนที่เขาเรียนมัธยม

Muniz ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาทำงานเกี่ยวกับกลยุทธ์ให้กับ Facebook , Google และ สตาร์ทอัพเช่น Oscar Health ซึ่งเน้นในการนำความคิดต่าง ๆ แล้วนำมันมาสร้างให้เป็นรายได้

Aronow และ Solano ตัดสินใจสร้างโปรเจ็กต์ Bored Ape ขึ้นมา พวกเขาทั้งสองอยู่กับถึงตี 4 เพื่อเขียนเรื่องราวเบื้องหลังของ BAYC จากนั้น Solano ก็ได้เริ่มปรับแต่งมัน

ในขณะนั้น Muniz ได้เปิดบริษัทที่ปรึกษาชื่อ Something New – “McKinsey,but for startups” ซึ่ง Muniz สนใจงานของนักวาดภาพประกอบที่ชื่อ Seneca ซึ่งได้พัฒนาภาพวาดลายเส้นของลิง จากนั้นก็มีศิลปินอิสระอื่น ๆ อีกสามคน ก็ได้วาดลักษณะอื่น ๆ ที่เหลือ ตั้งแต่สายแขวนสีรุ้งไปจนถึงชิ้นพิซซ่าที่ห้อยลงมาจากปากของลิง

จากนั้นพวกเขาก็นำไป process ในคอมพิวเตอร์ โดยสร้างอวาตาร์ที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกัน 10,000 รูป

The Bored Apes มีความโดดเด่นในโมเดลของ NFT เมื่อใครก็ตามได้เป็นเจ้าของมัน ซึ่งทั้ง Aronow และ Solano เชื่อจริง ๆ ว่าพวกเขากำลังสร้างสโมสร ซึ่งเป็นบ้านสไตล์โซโหรกร้างว่างเปล่าในรูปแบบดิจิทัล

พวกเขาพยายามสร้างมิตรภาพระหว่างผู้ซื้อ Bored Ape ด้วยทุกสิ่งตั้งแต่การล่าขุมทรัพย์เสมือนจริงไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์แชทของ BAYC Discord แพลตฟอร์มการส่งข้อความส่วนตัวชื่อดัง

Aronow ทำงานแทบจะทั้งวัน เฉลี่ย 16 ชั่วโมงต่อวัน และใช้เวลาทุกคืนเป็นเวลาหลายเดือนเพียงเพื่อพูดคุยกับชุมชน Bored Ape

นั่นทำให้ความผูกพันที่พวกเขาสร้างขึ้้น ทำให้เจ้าของคอลเลกชั่นมีเหตุผลที่จะเชื่อใน Bored Ape ซึ่งต้องเรียกได้ว่าเป็น NFT ที่มีโรดแมปอย่างชัดเจน มีคอมมิวนิตี้ที่มีความชัดเจนมาก ๆ

ในการขายคอลเลกชั่น 10,000 ตัวแรก ที่ทำเงินได้ 2 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สถานการณ์ในช่วงนั้น ผู้ก่อตั้ง crypto หรือ NFT ส่วนใหญ่มักหอบเงินและหนีไป แต่ไม่ใช่สำหรับ Bored Ape

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของ Bored Ape คือการ Guy Oseary มาร่วมทีม ซึ่งได้มีการติดต่อกับ Aronow โดย Oseary นั้นต้องการหนีจากโควิด-19 และกำลังสำรวจว่าจะช่วยเรื่องแนวคิดสำหรับโครงการ NFT ได้อย่างไร

ทั้งคู่มีการเชื่อมต่อกันผ่านทางโลกของดนตรีซึ่งมีความสนใจคล้าย ๆ กัน ในตอนแรก Aronow นั้นต้องการให้ Oseary มาเป็นผู้จัดการ

แต่ด้วยการที่ Oseary มี Connection กับเหล่าผู้ทรงอิทธิพลมากมาย และมีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Uber , Airbnb , Affirm และ Lemonade รวมถึงงานศิลปะ NFT ที่เพิ่งเริ่มต้นอย่าง Dapper Labs, Opensea และ SuperRare

เรียกได้ว่า Oseary นั้นเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลใน NFT มาก ๆ ในเดือนเมษายน 2021 ซึ่งเป็นเดือนเดียวกับที่ BAYC ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นมา เขาได้ซื้อรายการทีวี ที่คล้ายกับ Shark Tank ในชื่อ NFTs : The Pitch

Oseary กลายเป็นหุ้นส่วนใน Yuga Labs อย่างรวดเร็ว ในเดือนพฤศจิกายน 2021 ทุกอย่างมันผ่านไปรวดเร็วมาก เพราะ crypto กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุด มูลค่าของ crypto ทั่วโลกพุ่งขึ้นเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์

และการที่เหล่าคนดังเริ่มหันมาสนใจ BAYC เพิ่มมากขึ้น ช่วยผลักดันให้ราคาของ BAYC จาก 150,000 ดอลลาร์เป็น 220,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2021

ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรฉุด BAYC อยู่อีกต่อไป เพียงไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าซื้อกิจการ CryptoPunks และ Meebits แม้ Yuga จะไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของข้อตกลง แต่คาดว่าอยู่ในระหว่าง 100 ถึง 500 ล้านดอลลาร์

CryptoPunks ที่ดังจนเตะตา Yuga Labs จนเข้าซื้อในท้ายที่สุด (CR:Coindesk)
CryptoPunks ที่ดังจนเตะตา Yuga Labs จนเข้าซื้อในท้ายที่สุด (CR:Coindesk)

ไม่กี่วันหลังจากข่าวการซื้อกิจการ ก็มีข้อมูลหลุดที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่า Yuga Labs สร้างรายได้ 137.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นกำไร 92.4% บริษัทยังได้ร่างแผนสำหรับสิ่งที่เรียกว่า Othersie ซึ่งจะทำให้ metaverse อื่น ๆ ทั้งหมดดูล้าสมัยไปเลย

ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2022 บริษัทได้ประกาศระดมทุนมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผลักดันให้บริษัทมีมูลค่ารวม 4 พันล้านดอลลาร์

References :
https://www.fastcompany.com/90796009/bored-ape-yacht-club-tell-all-the-untold-story-of-the-4-billion-crypto-startup
https://coinscreed.com/explaining-bored-ape-yacht-club-nft-and-why-it-is-so-valuable.html

เมื่อรักเสมือนต้องจบลง เพราะใจของเธอนั้นไม่มีการอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ให้อีกต่อไป

Fictosexuality เป็นคำที่ใช้อธิบายคนที่มีอารมณ์ที่ดึงดูดใจทางเพศกับตัวละครในนิยาย และในญี่ปุ่นค่อยวงการดังกล่าวพัฒนาไปจนถึงขนาดที่มีบริษัทต่างๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสนอคู่รักแบบโฮโลแกรมให้กับผู้ใช้ 

Akihiko Kondo นำความรักที่เขามีต่อตัวละครสมมติไปอีกขั้นด้วยการจัดพิธี “แต่งงาน” กับ Hatsune Miku นักร้องเสมือนจริงที่แสดงอยู่ในวิดีโอเกมหลายเรื่องและได้ร่วมทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกกับ Lady Gaga ด้วย 

พิธีแต่งงานดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2019 หลังจากที่ Akihiko Kondo สามารถสื่อสารกับโฮโลแกรมผ่าน Gatebox ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาอุปกรณ์เพื่อแสดงตัวละครที่ไม่มีอยู่จริงแบบโฮโลแกรม

Akihiko Kondo ที่จัดพิธีแต่งงานขึ้นในปี 2019 (CR:CNN)
Akihiko Kondo ที่จัดพิธีแต่งงานขึ้นในปี 2019 (CR:CNN)

ในเวลานั้นเรื่องราวความรักของ Akihiko และ Hatsune ได้ขึ้นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์และสื่อชื่อดังต่าง ๆ มากมายทั่วโลก และตอนนี้เรื่องราวของทั้งคู่ก็ได้กลายประเด็นที่ผู้คนต่างสนใจอีกครั้งเพราะการสนับสนุนซอฟต์แวร์ Gatebox ที่อนุญาตให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างชายกับภรรยาเสมือนของเขานั้นจะไม่มีอีกต่อไป

ซึ่งนั่นจะทำให้ Akihiko ไม่สามารถสื่อสารกับภรรยาเสมือนของเขาได้อีกต่อไป ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น The MainichiKondo กล่าวว่าความสัมพันธ์ของ Akihiko กับโฮโลแกรมช่วยให้เขาเอาชนะภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากการทำงานและความกลัวที่จะถูกปฏิเสธจากสังคม 

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถสื่อสารกับเธอต่อไปได้ Akihiko กล่าวว่า “ความรักของผมที่มีต่อ Miku ไม่เปลี่ยนแปลง ผมจัดพิธีแต่งงานเพราะผมคิดว่าผมจะอยู่กับเธอตลอดไป” 

Gatebox ที่จะไม่สามารถอัปเกรดซอฟต์แวร์ได้อีกต่อไป (CR:Science Times)
Gatebox ที่จะไม่สามารถอัปเกรดซอฟต์แวร์ได้อีกต่อไป (CR:Science Times)

ซึ่งไม่ว่าเขาจะต้องการให้เธอไปที่ไหน เขาก็มาพร้อมกับนางแบบขนาดเท่าตัวจริงของ Hatsune Miku และเขาหวังว่าจะสามารถสื่อสารกับเธอได้ในอนาคตอันใกล้

ความสัมพันธ์ทางเพศที่สมมติขึ้น เหมาะสำหรับ metaverse จริงหรือ?

แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Akihiko และ Hatsune Miko จะดูแปลก แต่เราจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้บ่อยขึ้นด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของสภาพแวดล้อม metaverse และโลกดิจิทัลเสมือนจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต 

ในบางประเทศ ความรักแบบเสมือนจริงเหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากอุตสาหกรรมการสร้างเนื้อหาทั้งหมดก็ได้ติดตามเทรนด์ทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น 

แต่ตราบใดที่ความสัมพันธ์เหล่านั้นขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่อาจล้าสมัยหรือขึ้นอยู่กับการที่จะต้องมีการอัปเกรด ความสัมพันธ์เหล่านั้นก็อาจจะมีอายุสั้นลง ไม่มีความจีรังยั่งยืน เหมือนความรักที่เกิดขึ้นกับมนุษย์จริง ๆ นั่นเองครับผม

References :
https://mainichi.jp/english/articles/20220111/p2a/00m/0li/028000c
https://www.nytimes.com/2022/04/24/business/akihiko-kondo-fictional-character-relationships.html
https://nypost.com/2022/04/26/fictosexual-man-married-hologram-bride-now-struggles-to-bond/

Forex 3D vs Three Arrows Capital เมื่อความต่างเป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์แต่เป้าหมายนั้นคือแชร์ลูกโซ่

กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการอีกครั้งหลังจากมีข่าวดาราสาวชื่อดังที่ต้องถูกจองจำในเรือนจำ โดยไม่ได้รับการประกันตัวจากคดีแชร์ลูกโซ่ในตำนานอย่าง Forex 3D

ซึ่งเมื่อลองไล่อ่านข้อมูลอย่างละเอียด จะพบว่า มันแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเทรดในตลาด Forex จริง ๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เป็นการนำเอาคำ buzzword ในยุคนั้นมาหากินบังหน้า โดยมีเบื้องหลังเป็นระบบ Ponzi หรือ แชร์ลูกโซ่

ผมเองได้มีโอกาสฟังรายการ youtube ของ bearti ที่มีการสัมภาษณ์ คุณ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ซึ่งให้แง่มุมหลาย ๆ อย่างที่มีความน่าสนใจมาก ๆ

ที่พอจะสรุปได้ก็คือ แชร์ลูกโซ่ กฏหมายในไทยยังล้าหลังมาก ๆ ในการเอาผิดเครือข่ายเหล่านี้ ทำให้คนที่ทำไม่ได้สนใจในโทษที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคตเลยด้วยซ้ำ

แชร์ลูกโซ่ กฏหมายในไทยยังล้าหลังมาก ๆ ในการเอาผิดเครือข่ายเหล่านี้ (CR:Posttoday)
แชร์ลูกโซ่ กฏหมายในไทยยังล้าหลังมาก ๆ ในการเอาผิดเครือข่ายเหล่านี้ (CR:Posttoday)

แม้จะมีคำสั่งศาลให้ติดคุก เป็นพัน เป็นหมื่นปีก็ตาม แต่กฎหมายก็กำหนดโทษสูงสุดไว้เพียงแค่ 20 ปีเพียงเท่านั้น ซึ่งติดจริง ๆ โดยเฉลี่ยจากเคสที่ผ่านมาแค่ 6-7 ปี บางเคสการฟ้องร้องคืนเงินยังไม่เสร็จ แต่นักโทษออกมาจากคุก มาใช้เงินสุขสบายกันแล้ว เพราะยุคนี้ นวัตกรรมการฟอกเงินมันซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ track ได้ยากมากกว่ายุคก่อน

หรือ อีกแง่มุมนึง คือเรื่องที่สำคัญ นั่นก็คือ เรื่องผลิตภัณฑ์ที่จะถูกนำมาใช้ในการทำแชร์ลูกโซ่นั้น มันกว้างมาก ๆ แม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนถูกต้องอย่าง ทองคำ เห็ด ปุ๋ย เลี้ยงกุ้ง หรือ แม้กระทั่ง voucher ท่องเที่ยว ก็ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการทำแชร์ลูกโซ่มาก่อนหน้านี้แล้ว

เมื่ออนาคตแชร์ลูกโซ่จะยิ่งล้ำขึ้นไปอีก

สิ่งที่น่าสนใจกับปัญหาหลาย ๆ อย่างในวงการคริปโตโลก ที่เป็นเทคโนโลยีที่ดีหากใช้ไปในทางที่ถูกต้องแต่กลายเป็นว่า ตอนนี้พวกมันถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางที่ผิดในการทำแชร์ลูกโซ่ไปเสียแล้ว

แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ที่ภาพลักษณ์ดูดีอย่าง Three Arrows Capital ที่เพิ่งเป็นข่าวใหญ่มาก่อนหน้านี้ ก็ถูกบริษัทวิจัยชื่อดังอย่าง FSInsight ที่นำโดย Tom Lee กล่าวหาต่อสาธารณชนว่า Three Arrows Capital (3AC) ดำเนินโครงการ Ponzi แบบเดียวกับ Madoff

โดยข้อมูลจาก FSInsight ได้สรุปวิธีที่ Kyle Davies และ Su Zhu ผู้ก่อตั้ง 3AC “ใช้ชื่อเสียงของพวกเขาในการยืมเงินจากผู้ให้กู้สถาบันแทบทุกรายในธุรกิจอย่างไม่ระมัดระวัง” มันเป็นรูปแบบเดียวกับการล่มสลายของ Long Term Capital Management ในปี 1998

 Kyle Davies และ Su Zhu ผู้ก่อตั้ง 3AC
Kyle Davies และ Su Zhu ผู้ก่อตั้ง 3AC

รายงานสรุปว่า Zhu และ Davies มีแนวโน้มที่จะใช้เงินทุนที่ยืมมาเพื่อชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในขณะเดียวกัน ก็แต่งเติมตัวเลขทางการเงิน เพื่อแสดงผลตอบแทนที่เหลือเชื่อ

คำถามคือมันต่างอะไรกับ CEO ของ Forex 3D คือ นายอภิรักษ์ โกฎธิ และผองเพื่อน ที่ไปตั้งบริษัทเปิดเว็บ “FOREX 3D” แล้วชักชวนคนมาลงทุน อ้างว่ามีระบบ AI อัจฉริยะ ช่วยให้การเทรด forex 3d ได้กำไรเน้นๆ  ซึ่งลักษณะการจ่ายผลตอบแทนคือเป็นแชร์ลูกโซ่ชัดเจน

ทั้งสองใช้ model แทบไม่ต่างกัน คือ นำเงินคนที่เข้ามาใหม่ ไปจ่ายคนเก่า เพื่อให้ระบบมัน run ต่อไปได้ แต่ไม่มีผลิตภัณฑ์จริง ๆ ที่จะสร้างรายได้ให้สมกับผลตอบแทนที่พวกเขาได้โม้ไว้

ซึ่งปัญหานี้ ไม่เพียงแต่ 3AC เท่านั้น แต่เราจะเห็นหลาย ๆ แพลตฟอร์มที่ล่มสลายไป ก็ใช้ concept เดียวกัน เมื่อระบบถึงทางตัน ก็ไม่สามารถที่จะจ่ายปันผลได้อีกต่อไป หรือแม้กระทั่ง model play2earn หลาย ๆ เกม ก็มีการยอมรับกันตรง ๆ ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่

จะเห็นได้ว่าในอนาคตรูปแบบการปั้นแชร์ลูกโซ่จะง่ายขึ้นและหลอกคนได้แนบเนียนขึ้นโดยอาศัย buzzword โดยเฉพาะคำด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้มากนัก

ซึ่งเมื่อเกิดความเสียหายคราวนี้จะ track เรื่องเส้นทางการเงินต่าง ๆ เพื่อยึดทรัพย์มาคืนได้ยากยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้การฟอกเงินนั้นล้ำขึ้นไปอีก คงใช้เวลาอีกซักพักกว่าหน่วยงานรัฐของเราจะตามเทคโนโลยีการฟอกเงินพวกนี้ทัน

ซึ่งเมื่อก่อนแชร์ลูกโซ่อาจจะหลอกคนรากหญ้าด้วยผลตอบแทน 10% ต่อเดือน แต่ในยุคนี้ ผลตอบแทนระดับ 6-10% ต่อปี ก็สามารถหลอกมาสร้างแชร์ลูกโซ่ให้กับคนที่มีความรู้ได้แล้วนั่นเองครับผม

References :
https://fortune.com/2022/06/28/crypto-hedge-fund-three-arrows-capital-old-fashioned-madoff-style-ponzi-scheme-research-firm-fsinsight/
https://coingeek.com/three-arrows-capital-liquidated-was-it-a-ponzi-scheme/
https://coingeek.com/wall-street-veteran-thomas-lee-economist-george-gilder-headline-coingeek-live/
https://www.youtube.com/watch?v=lmFNlLzaJpE