เบื้องหลังหุ้นพุ่งทะยานของ Palantir ผู้ชนะที่แท้จริงในสงคราม เมื่อความขัดแย้งทั่วโลกคือเงินทองของพวกเขา

ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มักจะคุยโวโอ้อ้วยว่าพวกเขา “กำลังเชื่อมโยงโลก” แต่จริงๆ แล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่? หลายคนมองว่าพวกเขาแค่สร้างแพลตฟอร์มอย่าง Facebook , Instagram หรือ TikTok ที่ทำให้ผู้คนเสพติด

ท่ามกลางบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย มี Palantir ที่เป็นยูนิคอร์นจาก Silicon Valley ซึ่งมีผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สุดในปีที่ผ่านมา หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาทำบริการสตรีมมิ่ง แอปเช่าบ้าน หรือหูฟังไร้สาย

แต่ Palantir แตกต่างจากบริษัทเทคอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง พวกเขาพูดอย่างเปิดเผยว่า “เราสร้างห่วงโซ่การสังหารดิจิทัล” และ “ผลิตภัณฑ์ของเราถูกใช้เพื่อฆ่าผู้คน”

เว็บไซต์ของ Palantir อธิบายว่าพวกเขาทำงานเกี่ยวกับการใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์และส่งมอบผลลัพธ์ให้กับสถาบันที่ทรงพลังที่สุดของโลกตะวันตก ถึงจะฟังดูซับซ้อน แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือพวกเขาทำเงินมหาศาล

หุ้นของ Palantir พุ่งทะยานอย่างไม่น่าเชื่อ พุ่งกระฉูดถึง 340% ในปี 2024 ทำให้บริษัทมีมูลค่ากว่า 250 พันล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่อย่าง AT&T, IBM และ Cisco เลยทีเดียว

Sharon Weinberger บรรณาธิการด้านความมั่นคงแห่งชาติของ Wall Street Journal ผู้มีประสบการณ์โชกโชนกับอุตสาหกรรมการป้องกันของสหรัฐฯ กว่า 20 ปี เล่าว่า Palantir เริ่มต้นในปี 2003 ระหว่างสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

ช่วงนั้นกองทัพอเมริกากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ในอัฟกานิสถานและอิรัก นั่นคือระเบิด IEDs ที่กำลังฆ่าทหารในอัตราที่น่าสะพรึงกลัว Palantir จึงเสนอตัวเข้ามาช่วย

พวกเขารังสรรค์แนวคิดในการรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่กระทรวงกลาโหมเก็บรวบรวมจากสนามรบ นำมาวิเคราะห์ในฐานข้อมูล เพื่อระบุผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นแนวทางที่สุดยอดมากในยุคนั้น

ปัจจุบัน Palantir ได้พัฒนาตัวเองเป็น “ผู้แก้ปัญหา” ให้กับกระทรวงกลาโหม พวกเขาบอกว่า “คุณมีปัญหา เราจะแก้ไขมัน” เป็นการวางตำแหน่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้ Palantir เจ๋งมาก ๆ คือความกล้าที่จะประกาศตัวว่าทำงานกับกองทัพ พวกเขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เราให้บริการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงกลาโหมทำสงคราม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในปี 2003

Mark O’Mara นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์ผู้ศึกษาการเมืองและธุรกิจอเมริกัน บอกว่า Palantir กำลังช่วยทำลายล้างระบบการทำสัญญาแบบดั้งเดิมของกระทรวงกลาโหม

ปกติแล้ว มีผู้รับเหมารายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่ผูกขาดสัญญาขนาดใหญ่และมักมีค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ ทำให้งบกลาโหมบวมโต การมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันจึงเป็นเรื่องดี

Palantir ประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับรัฐบาลอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาจ้างพนักงานระดับสูงจากหน่วยงานรัฐบาลจำนวนมาก

ผู้บริหารระดับสูงของ Palantir หลายคนได้รับการแต่งตั้งโดย Trump ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาล ทำให้ได้ข้อมูลจากคนวงในที่ทำงานในภารกิจสำคัญของกองทัพ

ตั้งแต่ปี 2009 Palantir ได้ทำสัญญากับกระทรวงกลาโหมมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการสุดล้ำต่างๆ มากมาย

พวกเขาพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล Vantage ของกองทัพ, กระเป๋าคอมพิวเตอร์ดาวเทียม AI แบบ James Bond และระบบโดรนที่ควบคุมด้วย AI ชื่อ Project Maven

ที่เจ๋งสุดๆ คือ Titan ยานพาหนะที่ควบคุมด้วย AI ตัวแรกของกองทัพ ซึ่งลดเวลาจากการตรวจจับเป้าหมายถึงการยิง ลดภาระทหาร และช่วยให้ยิงแม่นยำในระยะไกล

แต่ความร่วมมือของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านทหาร ในช่วงโควิด-19 สหรัฐฯ ได้ทำสัญญากับ Palantir เพื่อติดตามข้อมูลการระบาดและพัฒนาระบบแจกจ่ายวัคซีน

มีรายงานว่า Palantir ยังช่วยหน่วยงาน Immigration and Customs Enforcement (ICE) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและวางแผนปฏิบัติการด้วยสัญญาเริ่มต้นมูลค่าสูงถึง 127 ล้านดอลลาร์

ในช่วงทศวรรษ 2010 ตำรวจนิวออร์ลีนส์ร่วมมือกับ Palantir อย่างลับๆ เพื่อทดสอบเทคโนโลยีทำนายอาชญากรรม คล้ายๆ กับในหนัง Minority Report เลยทีเดียว

ทั่วโลก เทคโนโลยีของ Palantir ถูกใช้โดยกองทัพยูเครน กองทัพอิสราเอลสำหรับภารกิจสงคราม และโดยรัฐบาลอังกฤษเพื่อปรับปรุงระบบสุขภาพ NHS England

แต่ความร่วมมือเหล่านี้ก็สร้างความขัดแย้งไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นความเป็นส่วนตัว กลุ่มเสรีภาพพลเมืองแสดงความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล

Palantir ไม่ได้หยุดอยู่แค่งานด้านความมั่นคง พวกเขาขยายธุรกิจสู่ภาคเอกชนได้อย่างน่าทึ่ง ขายผลิตภัณฑ์ให้ธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อต่อต้านการฟอกเงิน

บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง BP เป็นพันธมิตรระยะยาวที่ใช้ซอฟต์แวร์ของ Palantir สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และยังมีลูกค้าอื่นๆ อีกมากมาย

ลูกค้า AI ของ Palantir รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง United Airlines, Lowe’s, General Mills และ Tampa General Hospital ทำให้รายได้เชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 54% ในปีที่ผ่านมา

การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนโฟกัสของบริษัทจากการเฝ้าระวังข้อมูลในช่วงแรก มาเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI สุดล้ำในปัจจุบัน

เบื้องหลังความสำเร็จของ Palantir คือผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์อย่าง Peter Thiel และ Alex Karp โดย Thiel มักอยู่ในมุมมืด ส่วน Karp เป็นผู้นำที่พูดจาตรงไปตรงมา

Karp มีแฟนคลับมากมายในหมู่นักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะชุมชน Reddit ที่มีคนติดตามราว 100,000 คน บางคนถึงกับเรียกเขาว่า “Daddy Karp”

Karp ตอบสนองด้วยคำพูดที่ทะลึ่งและน่าตกใจ เช่น “ผมไม่คิดในแง่ชนะแพ้ ผมคิดในแง่การครอบงำ แทบไม่มีอะไรทำให้มนุษย์มีความสุขมากไปกว่าการเอาโคเคนไปจากพวกขายชอร์ต”

Alex Karp เป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อน ในด้านหนึ่ง เขาร่วมมือกับ Peter Thiel นักสนับสนุนฝ่ายขวาและผู้ให้ทุน Trump ในปี 2016 เพื่อสร้างบริษัทเฝ้าระวังข้อมูลต่อต้านการก่อการร้าย

แต่อีกด้าน Karp กลับสนับสนุน Kamala Harris ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีล่าสุด บริจาคให้พรรคเดโมแครตบ่อยครั้ง และใช้ชีวิตแบบที่ไม่เหมือนกับผู้บริหารเทคโนโลยีทั่วไป

Karp มาจากพื้นฐานฝ่ายซ้าย ขณะที่ Thiel เป็นที่รู้จักในฐานะนักอนุรักษ์นิยมที่พูดตรงๆ แม้จะมีแนวคิดทางการเมืองต่างกัน แต่ทั้งคู่มีความเชื่อร่วมกันคล้ายยุคสงครามเย็น

พวกเขาเชื่อในความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมเอกชนกับสถาบันป้องกันประเทศ เพื่อให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ

ความสัมพันธ์ที่ Karp และ Palantir กำลังผลักดันทั้งเทคโนโลยีและกระทรวงกลาโหมไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการหวนกลับไปสู่โมเดลแบบเก่า

Karp เปิดเผยว่าเขาชื่นชอบอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ที่มี Lockheed เป็นนายจ้างรายใหญ่ใน Silicon Valley จนถึงทศวรรษ 1980 ยุคที่กระทรวงกลาโหมสร้างอินเทอร์เน็ต

เขายังยกตัวอย่างโครงการแมนฮัตตันที่ Oppenheimer รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเทพที่สุดในสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือกับรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม

ในหนังสือล่าสุด Karp โต้แย้งว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลงทางในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นแค่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ได้พัฒนาสังคมอย่างแท้จริง

เขาเสนอว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ควรกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ เพื่อปกป้องตะวันตก แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกไม่ดีกับแนวคิดนี้ก็ตาม

Karp แยกตัวเองจากผู้นำเทคโนโลยีร่วมสมัยด้วยความเปิดเผยเรื่องความรักชาติและการยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร

แนวคิดนี้กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์กับวอชิงตัน ดี.ซี. แทนที่จะแกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

แม้ว่า Palantir จะมีความทะเยอทะยานสูงส่ง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าพวกเขาจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการป้องกันและล้มล้างยักษ์ใหญ่อย่าง Lockheed Martin, Boeing หรือ Raytheon ได้หรือไม่

พวกเขายังไม่ได้พิสูจน์ว่าสามารถสร้างระบบอาวุธหลักได้เจ๋งกว่าบริษัทเหล่านี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า Palantir อาจเป็นตัวแทนของอนาคตในอุตสาหกรรมนี้

ความแตกต่างชัดเจนระหว่าง Palantir กับบริษัทป้องกันแบบดั้งเดิมคือการสื่อสารต่อสาธารณะ ผู้บริหารของ Lockheed Martin หรือ Raytheon แทบไม่เคยแสดงความเห็นเรื่องการเมืองโลก

Palantir กำลังทำสิ่งที่แตกต่างโดยพยายามขายตัวเองให้กับสังคมโดยรวม พวกเขาสร้างวัฒนธรรมที่บอกว่า “การทำงานกับเพนตากอนไม่ใช่ธุรกิจที่สกปรก แต่เป็นการช่วยปกป้องประเทศ”

ความสำเร็จในระยะยาวของแนวทางนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ Palantir กำลังท้าทายรูปแบบการทำธุรกิจเดิมในอุตสาหกรรมการป้องกันและความมั่นคง

ในอนาคต บทบาทของบริษัทอย่าง Palantir และความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับความมั่นคงจะยิ่งสำคัญ เมื่อเราเข้าสู่ยุค AI และเทคโนโลยีขั้นสูงนั่นเองครับผม

Geek Story EP336 : เบื้องหลังหุ้นพุ่งทะยานของ Palantir เมื่อความขัดแย้งทั่วโลกคือเงินทองของพวกเขา

เมื่อกล่าวถึงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน เรามักได้ยินถ้อยคำอุดมคติที่ว่าพวกเขากำลัง “เชื่อมโยงโลก” แต่เบื้องหลังวาทกรรมอันสวยหรูนั้น หลายคนมองว่าสิ่งที่บริษัทเหล่านี้กำลังทำจริงๆ คือสร้างแพลตฟอร์มที่เสพติดได้และมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ดังเช่นกรณีของ Facebook ที่ถูกเปรียบเทียบว่ามีลักษณะเสพติดเหมือนยาเสพติด

ท่ามกลางภูมิทัศน์ของบริษัทเทคโนโลยีที่หลายคนคุ้นเคย มีหนึ่งบริษัทที่โดดเด่นและมีความแตกต่างอย่างชัดเจน นั่นคือ Palantir ยูนิคอร์นจาก Silicon Valley ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่นที่สุดในปีที่ผ่านมา เมื่อได้ยินชื่อบริษัทนี้ หลายคนอาจคาดเดาว่าเป็นอีกหนึ่งบริการสตรีมมิ่ง แอปพลิเคชันอสังหาริมทรัพย์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แฟชั่นใหม่ แต่ความจริงแล้ว Palantir แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/4zn5c4n5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3usens66

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/s8kOjdMCffo

Geek Story EP16 : Linkedin กับบริการ Social Network สำหรับมืออาชีพ

Reid Hoffman ทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

โดยจุดประสงค์หลักของ Linkedin คือ อนุญาตให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนแล้ว สามารถสร้างรายการที่ติดต่อของผู้คนที่พวกเขารู้จักและเชื่อถือในการทำธุรกิจ ซึ่งผู้คนในรายการนี้เรียกว่า “Connections” โดยผู้ใช้สามารถเชิญใครก็ได้ (ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ลิงกต์อินหรือไม่ก็ตาม) เข้ามาเป็น connectionของพวกเขา ซึ่งประโยชน์ของ Connection เหล่านี้ ก็เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้รายการอันนี้ในการหางานหรือหาผู้ร่วมงานได้แบบง่าย ๆ นั่นเอง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3gR60Yi

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3kw1GzX

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NWiPTbLyYF4

Big Data Company ผู้ชนะที่แท้จริงในศึกมหาสงคราม COVID-19

COVID-19 อาจสร้างความหายนะให้กับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ก็มีผู้ชนะในเศรษฐกิจกับการระบาดใหญ่ครั้งนี้ นั่นก็คือ บริษัทด้าน Big Data โดยเฉพาะ Palantir บริษัท ที่ได้รับทุนจาก Peter Thiel

Palantir ของ Peter Thiel นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น“ ซอฟต์แวร์ชั้นนำของโลกสำหรับการตัดสินใจและการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” ได้รับสัญญาต่าง ๆ ของรัฐบาลนับตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 เป็นจำนวนมาก

เริ่มต้นด้วยการติดต่อจากศูนย์ควบคุมโรค (CDC) ในปลายเดือนพฤษภาคม ตามด้วย Coast Guard ในต้นเดือนเมษายน ที่มีมูลค่าสัญญา 8.1 ล้านเหรียญ ส่วนสัญญาสองฉบับล่าสุดที่ลงนามเมื่อวันที่ 11 และ 20 เมษายนกับ Health and Human Services (HHS) นั้นใหญ่ที่สุดโดยมีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ

สัญญาจะถูกแยกระหว่างสองหน่วยงานของ Palantir คือ Gotham และ Foundy และทั้งสองมีเป้าหมายที่จะใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตอบสนองของรัฐบาลต่อ coronavirus โดย Palantir Gotham ชนะสัญญากับ HHS เพื่อจัดหา “แพลตฟอร์ม ” ที่สามารถนำเข้าข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วน Palantir Foundry ได้รับสัญญาจาก CDC เพื่อช่วยในการทำนายรูปแบบการแพร่กระจายของไวรัส และช่วยรัฐบาลให้มั่นใจว่ามีความพร้อมในโรงพยาบาลเพียงพอ 

แม้ว่าก่อนหน้านี้ Palantir จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ ในเรื่องการทำสัญญาเกี่ยวกับการสอดแนมสำหรับเพนตากอนและศูนย์เฝ้าระวังของเอ็นเอสเอ  โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Palantir นั้นมาจากการลงทุนมูลค่ามหาศาลของ In-Q-Te l ซึ่งเป็นหน่วยงานลงทุนด้านธุรกิจของ CIA

Palantir ที่เติบโตรวดเร็วจากการลงทุนจาก CIA
Palantir ที่เติบโตรวดเร็วจากการลงทุนจาก CIA

แม้จะมีการวิจารณ์ความเป็นส่วนตัว Palantir ได้ทำสัญญาธุรกิจนอกเขตแดนสหรัฐโดย Palantir Foundry ได้รับสัญญาจาก National Health Service (NHS) ของสหราชอาณาจักรเพื่อช่วยในการตอบสนองต่อ coronavirus ด้วยเช่นเดียวกัน

แมทธิว กูลด์ โฆษกสาธารณสุขแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ได้ออกมากล่าว เพื่อลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของประชาชน โดยระบุว่า Palantir Foundry นั้นได้รับการพัฒนาขึ้นส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรทำให้ข้อมูลจะไม่รั่วไหลออกไปข้างนอกได้อย่างแน่นอน

Palantir ไม่ใช่ บริษัท เดียวที่ได้รับประโยชน์จากสัญญาของรัฐบาลท่ามกลางการระบาดใหญ่ หรือ เป็นเพียงบริษัทเดียวที่เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวกับงานที่เกี่ยวข้องกับการระบาดครั้งใหญ่ในครั้งนี้

รวมถึงข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวในประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากรัฐบาลออสเตรเลีย ได้ทำสัญญากับ บริษัท ในเครือของ Amazon, AmazonWebServices เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

Cellbrite บริษัทลูกของอินเทลซึ่งถูกใช้งานมานานโดยหน่วยงานด้านกฎหมายในการติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยของรัฐบาลในซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า “contact tracing” ซึ่งถูกนำมาใช้ติดตามคนที่ติดเชื้อ coronavirus รวมถึงผู้ที่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วย

ส่วน Apple และ Microsoft ได้พัฒนาแอปติดตามผู้ติดต่อที่จะเข้ามาใกล้และสัมผัสผู้ป่วยที่มีโอกาสติดเชื้อ โดยที่จะมีการสร้าง “ไทม์ไลน์ ” ของการเคลื่อนไหวของบุคคลที่ติดเชื้อและส่งคำเตือนไปยังทุกคนที่เข้ามาใกล้

และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา Microsoft ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่นของตนเองที่มีชื่อว่า CovidSafe

เมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการติดตาม COVID-19 เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย ก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักกับสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล ที่เป็นปัญหาในทุก ๆ รัฐบาลที่ต้องพบเจอในเรื่องดังกล่าว แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดมาถึงตอนนี้ เรื่องของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในสงคราม COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และตอนนี้ ดูเหมือนว่า บริษัทที่ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คือ เหล่าบริษัท ที่มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Big Data ตัวอย่างเช่น Palantir ของ Peter Thiel นั่นเองครับ

References : https://techcrunch.com/2020/05/20/palantir-covid-19-va-contract/
https://www.palantir.com/covid19/
https://www.forbes.com/sites/thomasbrewster/2020/04/11/palantir-the-peter-thiel-backed-20-billion-big-data-cruncher-scores-17-million-coronavirus-emergency-relief-deal/#5260690f5ed1
https://www.businessinsider.com/palantir-ice-explainer-data-startup-2019-7

Peter Thiel กับเรื่องราวดราม่าของเจ้าพ่อนักลงทุนแห่ง Silicon Valley

ต้องบอกว่า Peter Thiel เป็นผู้ที่มีอิทธิพล ลำดับต้น ๆ ใน silicon valley เลยก็ว่าได้ ถือว่าเป็นนักลงทุน อันดับต้น ๆ ผู้ขับเคลื่อนเหล่า Startup หน้าใหม่ของอเมริกา รวมถึงการเป็นผู้ลงทุนกลุ่มแรก ๆ ของ facebook  social network อันดับหนึ่งของโลก

ชีวิตของ Thiel นั้นผ่านงานมาอย่างโชกโชน ทั้งงานด้านเสมียนในศาลฏีกา งานด้านกฏหมายในสำนักงาน  Sullivan & Cromwell ในเมืองนิวยอร์ก และเริ่มหันมาสนใจเรื่องการเงิน โดยย้ายมาทำงานเป็นนักเทรดอนุพันธ์ทางการเงิน เครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ Credit Suisse แต่เหมือนกับเป็นการค้นหาชีวิตว่าเขาชอบทำอะไรกันแน่ ทั้งที่ผ่านงานมาหลายรูปแบบ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตอบโจทย์กับชีวิตเขาเลยด้วยซ้ำ

ในวัย 30 ปี เขาได้ตัดสินใจเดินทางกลับมายังแคลิฟอร์เนีย ในขณะนั้น อินเตอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เริ่มมีบริการต่าง ๆ ขึ้นไปออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ทำให้ Thiel เห็นถึง Trend ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับยุคของอินเตอร์เน็ต

Thiel จึงตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะตกขบวนเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตครั้งนี้ไม่ได้ สิ่งที่เขาตามหามานาน แสนนาน ก็คือเจ้าอินเตอร์เน็ตนี่เอง เขาจึงได้ระดมทุนจากเพื่อน ๆ และครวบครัวและญาติพี่น้อง ได้เงินมากว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการก่อตั้ง Thiel Capital Management บริษัทที่จะเน้นการลงทุนด้านบริการที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต

Thiel ได้ทดลองกับโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่จะทำประโยชน์หรือหารายได้ผ่านอินเตอร์เน็ต แต่ผ่านไป 2 ปีแทบจะไม่มีโครงการไหนสำเร็จเลยเสียด้วยซ้ำ ในปี 1999 เขากับเพื่อนจึงได้ตัดสินใจเปิดบริษัทซอฟต์แวร์ในชื่อ Confinity ขึ้น โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ทำการพัฒนาขึ้นมาชื่อว่า Fieldlink ซึ่งเป็นนวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm Pilot 

และในปีเดียวกันนั้นเองที่เขาเริ่มเห็นตลาดบางอย่างของการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งในยุคนั้นการชำระด้วย Credit Card นั้นแทบจะเป็นบริการหลักที่ใช้ในการชำระเงินแบบออนไลน์สำหรับชาวอเมริกัน Thiel อยากสร้างทางเลือกอื่นให้กับผู้บริโภค

เขามองไปที่ Digital Wallet ที่จะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ซึ่งต้องเป็นบริการที่มีความปลอดภัยมีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อไม่ให้โดนโจรกรรมได้ง่าย และเขาก็ได้สร้างบริการ paypal ขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด 

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้เกิดคู่แข่งที่สำคัญ สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ ที่นำโดย Elon Musk ที่ได้เปิดบริการอย่าง X.com เข้ามาแข่งกับ paypal โดยตรง มันเป็นสงครามที่ดุเดือด ใครที่เป็นฝ่ายชนะ จะได้เขียนประวัติศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งภายหลังทั้งคู่ก็ได้จับมือกันในที่สุด

เคยขับเขี่ยวกับ Elon Musk ใน Paypal
เคยขับเขี่ยวกับ Elon Musk ใน Paypal

และสุดท้ายก็เป็น Peter Thiel ที่นำพา paypal เข้าสู่ตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 2002 และถูกซื้อกิจการโดย ebay ในมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านเหรียญ

ความสำเร็จของ Peter Thiel ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดคงเป็นเรื่องการเป็น Angel Investor ให้กับ facebook บริการ Social Network หน้าใหม่ในปี 2004 โดยเขาลงทุนก้อนแรกให้ facebook ไปกว่า 500,000 เหรียญ เพื่อแลกกับหุ้น 10.2% ในบริษัท และกลายมาเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทในที่สุด

ภาพของ Peter Thiel ในเหล่า Startup ทั้งหลาย เปรียบดั่งเหมือนพระเจ้า บริษัท Startup ใหม่ๆ  ต่างมุ่งเข้าหา Peter Thiel เพื่อเสนอ idea ธุรกิจ รวมถึง model ธุรกิจใหม่ๆ  เพื่อชักจูง Peter Thiel เข้ามาลงทุนให้ได้  ซึ่งก็ต้องบอกว่า Peter Thiel นั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผู้ให้เงินลงทุน กับ Startup ชื่อดังหลาย ๆ ราย เช่น LinkedIn  , Yelp  หรือ Yammer  ซึ่งล้วนแต่เป็นกิจการที่กำลังทะยานมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งสิ้น

ซึ่ง Peter Thiel นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่ม Paypal มาเฟีย ที่มามีอิทธิพล ต่อโลกของ Startup ยุคใหม่ เฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมก่อตั้งของเขา ที่โด่งดังในตอนนี้อย่าง Elon Musk กลุ่ม Paypal มาเฟีย หลังจากขายกิจการ Paypal ให้กับ Ebay เป็นที่เรียบร้อย ก็หันมาเปิด Venture Capital เพื่อลงทุนต่อกับกลุ่ม Startup ใหม่ และพร้อมผลักดันให้ธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้น เฉกเช่นเดียวกับ ที่ facebook เคยทำได้

Thiel เป็นหนึ่งในบุคคลที่อิทธิพลสูงมากต่อเหล่า Startup ในอเมริกา
Thiel เป็นหนึ่งในบุคคลที่อิทธิพลสูงมากต่อเหล่า Startup ในอเมริกา

เราอาจจะได้เห็นตามข่าว ล้วนมีแต่ด้านดี ๆ มอง Peter Thiel เป็นนักคิด นักพัฒนา หัวก้าวหน้า เพียงด้านเดียว แต่เค้าเป็นคนหนึ่งที่มารู้ภายหลัง ในเรื่องการสนับสนุนเงินทุนด้านการฟ้องร้องสื่อชื่อดังอย่าง Gawker.com เว๊บข่าวที่ตีแผ่ความจริงเรื่องต่าง ๆ ในสังคม ที่สื่อในกระแสไม่สามารถเผยแพร่ได้ จากการฟ้องร้องของ Hulk Hogan ที่ทำการฟ้องร้อง Gawker.com ที่ได้นำ clip หลุดการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของเพื่อนเขา

Hulk Hogan ที่ยื่นฟ้อง Gawker.com หวังให้ล้มละลาย
Hulk Hogan ที่ยื่นฟ้อง Gawker.com หวังให้ล้มละลาย

เรื่องนี้ น่าสนใจอย่างยิ่ง ทำไม นักธุรกิจระดับหมื่นล้าน อย่าง Peter Thiel นั้นต้องมาสนับสนุนให้ฟ้อง Gawker.com ให้ถึงขั้นล้มละลายได้  ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะ Gawker.com นั้นเล่น ในหลายประเด็นที่สื่อหลักไม่สามารถนำเสนอได้ เช่น เรื่องประเด็นเรื่องรสนิยมทาง เพศของ Peter Thiel ซึ่งคิดว่า Peter Thiel นั้นถึงขั้นเกลียด Gawker.com ที่มาเล่นประเด็นเรื่องนี้กับเขา รวมถึงแนวคิดต่าง ๆ ของ  Peter Thiel ที่ต้องบอกว่าแปลกประหลาดมาก ๆ ที่สื่อเทคโนโลยี ไม่ได้นำเสนอมุมมองด้านนี้ของ Peter Thiel ซักเท่าไหร่

คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่น่าสนใจในวงการสื่อของอเมริกา เนื่องจากการมาเปิดเผยภายหลังของ Peter Thiel ว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักในการฟ้องร้อง Gawker.com และประกาศจุดยืนชัดเจนว่าต้องการให้ Gawker.com ล้มละลาย เนื่องจากความเกลียดส่วนตัว ซึ่งทำให้วงการสื่อสนใจเป็นอย่างมาก

เนื่องจากมีผลต่อเรื่องอิสระในการนำเสนอของสื่อชัดเจน และ ที่สำคัญ ต่อไปหากมีนายทุนคนไหนไม่พอใจ ก็จะหาวิธีในการทำลายสื่อด้วยวิธีการนี้ได้อีกนั่นเอง แต่ในที่สุดแล้วคดีนี้ นั้น Hulk Hogan ก็สามารถเอาชนะคดีได้ จนสุดท้ายต้องทำให้ Gawker.com ต้องยื่นขอล้มละลาย เพราะไม่สามารถนำเงินมาจ่ายชดเชยตามค่าปรับได้ ตามที่ศาลสั่ง เป็นตัวจุดชนวนที่น่าสนใจในวงการสื่อสารมวลชนอเมริกา ที่นายทุนรายใหญ่ สามารถ เอาชนะสื่อรายเล็ก ๆ อย่าง Gawker.com ได้สำเร็จนั่งเองครับ

References : wikipedia.org
https://www.forbes.com/sites/mattdrange/2016/06/21/peter-thiels-war-on-gawker-a-timeline/
https://www.vanityfair.com/news/2018/02/the-thiel-gawker-saga-takes-an-even-darker-turn
https://www.nytimes.com/2018/01/12/business/media/thiel-gawker-bid.html