Geek Story EP16 : Linkedin กับบริการ Social Network สำหรับมืออาชีพ

Reid Hoffman ทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

โดยจุดประสงค์หลักของ Linkedin คือ อนุญาตให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนแล้ว สามารถสร้างรายการที่ติดต่อของผู้คนที่พวกเขารู้จักและเชื่อถือในการทำธุรกิจ ซึ่งผู้คนในรายการนี้เรียกว่า “Connections” โดยผู้ใช้สามารถเชิญใครก็ได้ (ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ลิงกต์อินหรือไม่ก็ตาม) เข้ามาเป็น connectionของพวกเขา ซึ่งประโยชน์ของ Connection เหล่านี้ ก็เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้รายการอันนี้ในการหางานหรือหาผู้ร่วมงานได้แบบง่าย ๆ นั่นเอง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3gR60Yi

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3kw1GzX

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NWiPTbLyYF4

Big Data Company ผู้ชนะที่แท้จริงในศึกมหาสงคราม COVID-19

COVID-19 อาจสร้างความหายนะให้กับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ก็มีผู้ชนะในเศรษฐกิจกับการระบาดใหญ่ครั้งนี้ นั่นก็คือ บริษัทด้าน Big Data โดยเฉพาะ Palantir บริษัท ที่ได้รับทุนจาก Peter Thiel

Palantir ของ Peter Thiel นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น“ ซอฟต์แวร์ชั้นนำของโลกสำหรับการตัดสินใจและการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” ได้รับสัญญาต่าง ๆ ของรัฐบาลนับตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 เป็นจำนวนมาก

เริ่มต้นด้วยการติดต่อจากศูนย์ควบคุมโรค (CDC) ในปลายเดือนพฤษภาคม ตามด้วย Coast Guard ในต้นเดือนเมษายน ที่มีมูลค่าสัญญา 8.1 ล้านเหรียญ ส่วนสัญญาสองฉบับล่าสุดที่ลงนามเมื่อวันที่ 11 และ 20 เมษายนกับ Health and Human Services (HHS) นั้นใหญ่ที่สุดโดยมีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ

สัญญาจะถูกแยกระหว่างสองหน่วยงานของ Palantir คือ Gotham และ Foundy และทั้งสองมีเป้าหมายที่จะใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตอบสนองของรัฐบาลต่อ coronavirus โดย Palantir Gotham ชนะสัญญากับ HHS เพื่อจัดหา “แพลตฟอร์ม ” ที่สามารถนำเข้าข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วน Palantir Foundry ได้รับสัญญาจาก CDC เพื่อช่วยในการทำนายรูปแบบการแพร่กระจายของไวรัส และช่วยรัฐบาลให้มั่นใจว่ามีความพร้อมในโรงพยาบาลเพียงพอ 

แม้ว่าก่อนหน้านี้ Palantir จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ ในเรื่องการทำสัญญาเกี่ยวกับการสอดแนมสำหรับเพนตากอนและศูนย์เฝ้าระวังของเอ็นเอสเอ  โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Palantir นั้นมาจากการลงทุนมูลค่ามหาศาลของ In-Q-Te l ซึ่งเป็นหน่วยงานลงทุนด้านธุรกิจของ CIA

Palantir ที่เติบโตรวดเร็วจากการลงทุนจาก CIA
Palantir ที่เติบโตรวดเร็วจากการลงทุนจาก CIA

แม้จะมีการวิจารณ์ความเป็นส่วนตัว Palantir ได้ทำสัญญาธุรกิจนอกเขตแดนสหรัฐโดย Palantir Foundry ได้รับสัญญาจาก National Health Service (NHS) ของสหราชอาณาจักรเพื่อช่วยในการตอบสนองต่อ coronavirus ด้วยเช่นเดียวกัน

แมทธิว กูลด์ โฆษกสาธารณสุขแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ได้ออกมากล่าว เพื่อลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของประชาชน โดยระบุว่า Palantir Foundry นั้นได้รับการพัฒนาขึ้นส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรทำให้ข้อมูลจะไม่รั่วไหลออกไปข้างนอกได้อย่างแน่นอน

Palantir ไม่ใช่ บริษัท เดียวที่ได้รับประโยชน์จากสัญญาของรัฐบาลท่ามกลางการระบาดใหญ่ หรือ เป็นเพียงบริษัทเดียวที่เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวกับงานที่เกี่ยวข้องกับการระบาดครั้งใหญ่ในครั้งนี้

รวมถึงข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวในประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากรัฐบาลออสเตรเลีย ได้ทำสัญญากับ บริษัท ในเครือของ Amazon, AmazonWebServices เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

Cellbrite บริษัทลูกของอินเทลซึ่งถูกใช้งานมานานโดยหน่วยงานด้านกฎหมายในการติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยของรัฐบาลในซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า “contact tracing” ซึ่งถูกนำมาใช้ติดตามคนที่ติดเชื้อ coronavirus รวมถึงผู้ที่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วย

ส่วน Apple และ Microsoft ได้พัฒนาแอปติดตามผู้ติดต่อที่จะเข้ามาใกล้และสัมผัสผู้ป่วยที่มีโอกาสติดเชื้อ โดยที่จะมีการสร้าง “ไทม์ไลน์ ” ของการเคลื่อนไหวของบุคคลที่ติดเชื้อและส่งคำเตือนไปยังทุกคนที่เข้ามาใกล้

และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา Microsoft ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่นของตนเองที่มีชื่อว่า CovidSafe

เมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการติดตาม COVID-19 เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย ก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักกับสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล ที่เป็นปัญหาในทุก ๆ รัฐบาลที่ต้องพบเจอในเรื่องดังกล่าว แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดมาถึงตอนนี้ เรื่องของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในสงคราม COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และตอนนี้ ดูเหมือนว่า บริษัทที่ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คือ เหล่าบริษัท ที่มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Big Data ตัวอย่างเช่น Palantir ของ Peter Thiel นั่นเองครับ

References : https://techcrunch.com/2020/05/20/palantir-covid-19-va-contract/
https://www.palantir.com/covid19/
https://www.forbes.com/sites/thomasbrewster/2020/04/11/palantir-the-peter-thiel-backed-20-billion-big-data-cruncher-scores-17-million-coronavirus-emergency-relief-deal/#5260690f5ed1
https://www.businessinsider.com/palantir-ice-explainer-data-startup-2019-7

Peter Thiel กับเรื่องราวดราม่าของเจ้าพ่อนักลงทุนแห่ง Silicon Valley

ต้องบอกว่า Peter Thiel เป็นผู้ที่มีอิทธิพล ลำดับต้น ๆ ใน silicon valley เลยก็ว่าได้ ถือว่าเป็นนักลงทุน อันดับต้น ๆ ผู้ขับเคลื่อนเหล่า Startup หน้าใหม่ของอเมริกา รวมถึงการเป็นผู้ลงทุนกลุ่มแรก ๆ ของ facebook  social network อันดับหนึ่งของโลก

ชีวิตของ Thiel นั้นผ่านงานมาอย่างโชกโชน ทั้งงานด้านเสมียนในศาลฏีกา งานด้านกฏหมายในสำนักงาน  Sullivan & Cromwell ในเมืองนิวยอร์ก และเริ่มหันมาสนใจเรื่องการเงิน โดยย้ายมาทำงานเป็นนักเทรดอนุพันธ์ทางการเงิน เครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ Credit Suisse แต่เหมือนกับเป็นการค้นหาชีวิตว่าเขาชอบทำอะไรกันแน่ ทั้งที่ผ่านงานมาหลายรูปแบบ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตอบโจทย์กับชีวิตเขาเลยด้วยซ้ำ

ในวัย 30 ปี เขาได้ตัดสินใจเดินทางกลับมายังแคลิฟอร์เนีย ในขณะนั้น อินเตอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เริ่มมีบริการต่าง ๆ ขึ้นไปออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ทำให้ Thiel เห็นถึง Trend ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับยุคของอินเตอร์เน็ต

Thiel จึงตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะตกขบวนเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตครั้งนี้ไม่ได้ สิ่งที่เขาตามหามานาน แสนนาน ก็คือเจ้าอินเตอร์เน็ตนี่เอง เขาจึงได้ระดมทุนจากเพื่อน ๆ และครวบครัวและญาติพี่น้อง ได้เงินมากว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการก่อตั้ง Thiel Capital Management บริษัทที่จะเน้นการลงทุนด้านบริการที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต

Thiel ได้ทดลองกับโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่จะทำประโยชน์หรือหารายได้ผ่านอินเตอร์เน็ต แต่ผ่านไป 2 ปีแทบจะไม่มีโครงการไหนสำเร็จเลยเสียด้วยซ้ำ ในปี 1999 เขากับเพื่อนจึงได้ตัดสินใจเปิดบริษัทซอฟต์แวร์ในชื่อ Confinity ขึ้น โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ทำการพัฒนาขึ้นมาชื่อว่า Fieldlink ซึ่งเป็นนวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm Pilot 

และในปีเดียวกันนั้นเองที่เขาเริ่มเห็นตลาดบางอย่างของการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งในยุคนั้นการชำระด้วย Credit Card นั้นแทบจะเป็นบริการหลักที่ใช้ในการชำระเงินแบบออนไลน์สำหรับชาวอเมริกัน Thiel อยากสร้างทางเลือกอื่นให้กับผู้บริโภค

เขามองไปที่ Digital Wallet ที่จะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ซึ่งต้องเป็นบริการที่มีความปลอดภัยมีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อไม่ให้โดนโจรกรรมได้ง่าย และเขาก็ได้สร้างบริการ paypal ขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด 

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้เกิดคู่แข่งที่สำคัญ สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ ที่นำโดย Elon Musk ที่ได้เปิดบริการอย่าง X.com เข้ามาแข่งกับ paypal โดยตรง มันเป็นสงครามที่ดุเดือด ใครที่เป็นฝ่ายชนะ จะได้เขียนประวัติศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งภายหลังทั้งคู่ก็ได้จับมือกันในที่สุด

เคยขับเขี่ยวกับ Elon Musk ใน Paypal
เคยขับเขี่ยวกับ Elon Musk ใน Paypal

และสุดท้ายก็เป็น Peter Thiel ที่นำพา paypal เข้าสู่ตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 2002 และถูกซื้อกิจการโดย ebay ในมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านเหรียญ

ความสำเร็จของ Peter Thiel ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดคงเป็นเรื่องการเป็น Angel Investor ให้กับ facebook บริการ Social Network หน้าใหม่ในปี 2004 โดยเขาลงทุนก้อนแรกให้ facebook ไปกว่า 500,000 เหรียญ เพื่อแลกกับหุ้น 10.2% ในบริษัท และกลายมาเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทในที่สุด

ภาพของ Peter Thiel ในเหล่า Startup ทั้งหลาย เปรียบดั่งเหมือนพระเจ้า บริษัท Startup ใหม่ๆ  ต่างมุ่งเข้าหา Peter Thiel เพื่อเสนอ idea ธุรกิจ รวมถึง model ธุรกิจใหม่ๆ  เพื่อชักจูง Peter Thiel เข้ามาลงทุนให้ได้  ซึ่งก็ต้องบอกว่า Peter Thiel นั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผู้ให้เงินลงทุน กับ Startup ชื่อดังหลาย ๆ ราย เช่น LinkedIn  , Yelp  หรือ Yammer  ซึ่งล้วนแต่เป็นกิจการที่กำลังทะยานมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งสิ้น

ซึ่ง Peter Thiel นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่ม Paypal มาเฟีย ที่มามีอิทธิพล ต่อโลกของ Startup ยุคใหม่ เฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมก่อตั้งของเขา ที่โด่งดังในตอนนี้อย่าง Elon Musk กลุ่ม Paypal มาเฟีย หลังจากขายกิจการ Paypal ให้กับ Ebay เป็นที่เรียบร้อย ก็หันมาเปิด Venture Capital เพื่อลงทุนต่อกับกลุ่ม Startup ใหม่ และพร้อมผลักดันให้ธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้น เฉกเช่นเดียวกับ ที่ facebook เคยทำได้

Thiel เป็นหนึ่งในบุคคลที่อิทธิพลสูงมากต่อเหล่า Startup ในอเมริกา
Thiel เป็นหนึ่งในบุคคลที่อิทธิพลสูงมากต่อเหล่า Startup ในอเมริกา

เราอาจจะได้เห็นตามข่าว ล้วนมีแต่ด้านดี ๆ มอง Peter Thiel เป็นนักคิด นักพัฒนา หัวก้าวหน้า เพียงด้านเดียว แต่เค้าเป็นคนหนึ่งที่มารู้ภายหลัง ในเรื่องการสนับสนุนเงินทุนด้านการฟ้องร้องสื่อชื่อดังอย่าง Gawker.com เว๊บข่าวที่ตีแผ่ความจริงเรื่องต่าง ๆ ในสังคม ที่สื่อในกระแสไม่สามารถเผยแพร่ได้ จากการฟ้องร้องของ Hulk Hogan ที่ทำการฟ้องร้อง Gawker.com ที่ได้นำ clip หลุดการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของเพื่อนเขา

Hulk Hogan ที่ยื่นฟ้อง Gawker.com หวังให้ล้มละลาย
Hulk Hogan ที่ยื่นฟ้อง Gawker.com หวังให้ล้มละลาย

เรื่องนี้ น่าสนใจอย่างยิ่ง ทำไม นักธุรกิจระดับหมื่นล้าน อย่าง Peter Thiel นั้นต้องมาสนับสนุนให้ฟ้อง Gawker.com ให้ถึงขั้นล้มละลายได้  ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะ Gawker.com นั้นเล่น ในหลายประเด็นที่สื่อหลักไม่สามารถนำเสนอได้ เช่น เรื่องประเด็นเรื่องรสนิยมทาง เพศของ Peter Thiel ซึ่งคิดว่า Peter Thiel นั้นถึงขั้นเกลียด Gawker.com ที่มาเล่นประเด็นเรื่องนี้กับเขา รวมถึงแนวคิดต่าง ๆ ของ  Peter Thiel ที่ต้องบอกว่าแปลกประหลาดมาก ๆ ที่สื่อเทคโนโลยี ไม่ได้นำเสนอมุมมองด้านนี้ของ Peter Thiel ซักเท่าไหร่

คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่น่าสนใจในวงการสื่อของอเมริกา เนื่องจากการมาเปิดเผยภายหลังของ Peter Thiel ว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักในการฟ้องร้อง Gawker.com และประกาศจุดยืนชัดเจนว่าต้องการให้ Gawker.com ล้มละลาย เนื่องจากความเกลียดส่วนตัว ซึ่งทำให้วงการสื่อสนใจเป็นอย่างมาก

เนื่องจากมีผลต่อเรื่องอิสระในการนำเสนอของสื่อชัดเจน และ ที่สำคัญ ต่อไปหากมีนายทุนคนไหนไม่พอใจ ก็จะหาวิธีในการทำลายสื่อด้วยวิธีการนี้ได้อีกนั่นเอง แต่ในที่สุดแล้วคดีนี้ นั้น Hulk Hogan ก็สามารถเอาชนะคดีได้ จนสุดท้ายต้องทำให้ Gawker.com ต้องยื่นขอล้มละลาย เพราะไม่สามารถนำเงินมาจ่ายชดเชยตามค่าปรับได้ ตามที่ศาลสั่ง เป็นตัวจุดชนวนที่น่าสนใจในวงการสื่อสารมวลชนอเมริกา ที่นายทุนรายใหญ่ สามารถ เอาชนะสื่อรายเล็ก ๆ อย่าง Gawker.com ได้สำเร็จนั่งเองครับ

References : wikipedia.org
https://www.forbes.com/sites/mattdrange/2016/06/21/peter-thiels-war-on-gawker-a-timeline/
https://www.vanityfair.com/news/2018/02/the-thiel-gawker-saga-takes-an-even-darker-turn
https://www.nytimes.com/2018/01/12/business/media/thiel-gawker-bid.html

PayPal Wars ตอนที่ 11 : Sell Out

JULY–OCTOBER 2002

ข่าวลือต่าง ๆ ได้หลุดออกไปอย่างรวดเร็วในเรื่องการควบรวมกิจการระหว่าง ebay และ PayPal มันเป็นการเจรจาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ๆ ระหว่างบริษัททั้งสองที่ไม่คิดจะสู้กันอีกต่อไป การควบรวมกิจการนั้นดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่าย

‘ebay ทุ่มซื้อ PayPal มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญ’ กลายเป็นข่าวใหญ่ของสื่อในช่วงเวลานั้น โดยเนื้อหานั้นกล่าวถึงการที่ ebay จะเปิดบริการ Billpoint ลง และให้ PayPal กลายเป็นบริการหลักของ ebay แทน

และเป็น Thiel ที่แอบไปเจรจา จน Deal นี้สำเร็จเสียที เป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน เป็นการแข่งขันในเกมธุรกิจที่เรียกได้ว่าสนุกที่สุดครั้งในประวัติศาสตร์ของบริษัทในอเมริกา แต่ถึงบัดนี้ ทั้งสองก็ได้จูบปากกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Thiel ได้ทำการนัดพนักงานเข้ามาเพื่อชี้แจ้งเรื่องดังกล่าว โดยกล่าวในรายละเอียดที่เกิดขึ้น ที่ได้สรุปข้อตกลงขายบริษัท PayPal ให้กับ ebay โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนหุ้นทั้งหมด ในสัดส่วน 0.39 หุ้นของ ebay สำหรับ PayPal ในทุก ๆ หุ้น

ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะต้องใช้เวลาหกเดือน กว่าที่รายละเอียดของ Deal ทั้งหมดจะเสร็จสิ้น และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทั้งสองบริษัทจะแยกทำงานกัน โดยหลังจากทำการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ PayPal จะยังคงเป็นหน่วยงานอิสระ ภายใน ebay และทีมผู้บริหารปัจจุบันก็จะยังคงอยู่ทำงานต่อไป

เหล่าพนักงาน PayPal ฉลองชัย ที่สงครามสิ้นสุด เสียที
เหล่าพนักงาน PayPal ฉลองชัย ที่สงครามสิ้นสุด เสียที

และคำพูดสุดท้าย ที่ทำให้เหล่าพนักงานต่างส่งเสียงปรบมือกันเกรียวกราว ก็คือ “เมื่อการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ Billpoint จะถูกปิดตัวลง และ PayPal จะถูกรวมเข้ากับเว๊บไซต์ ebay” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการยุติสงครามที่มีความยืดเยื้อมาอย่างยาวนานนั่นเอง

และสิ่งสำคัญในการควบรวมครั้งนี้ก็คือ Thiel ต้องการประกาศให้เหล่าพนักงานของเขาได้รับรู้ว่า PayPal จะกลายเป็นสกุลเงินสำหรับอินเทอร์เน็ต ตามความฝันที่เค้าได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มสร้าง PayPal ใหม่ ๆ และด้วยจำนวนผู้ใช้งานในระบบ ebay ในขณะนั้นกว่า 46 ล้านคน มันกลายเป็นพื้นที่ ที่เหลือเฟือสำหรับการเติบโตในอนาคตของ PayPal

และที่สำคัญการต่อสู้ในครั้งนี้ของ PayPal มันยังได้แสดงให้เห็นอีกอย่างนึงว่า PayPal บริษัท startup เล็ก ๆ ที่แจ้งเกิดได้เพียงไม่เกิน 3 ปีนั้น แต่พวกเขาสามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่าง ebay และกลายเป็นผู้ชนะตัวจริงในศึกปฏิวัติวงการชำระเงินออนไลน์ของโลกในครั้งนี้นั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ PayPal Wars จาก Blog Series ชุดนี้

ก็ต้องบอกว่าการเกิดขึ้นของ PayPal นั้นเป็นอีกหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด ของวงการเทคโนโลยีโดยเฉพาะเหล่า Startup ใน อเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะผลผลิตจากกลุ่ม PayPal ที่ถูกกล่าวขานกันว่า PayPal Mafia นั้นได้กลายเป็นกลุ่มบุคคลที่คอยขับเคลื่อน Silicon Valley ในยุคต่อมาอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

บริการอย่าง Facebook ก็ได้รับเงินทุนตั้งต้นครั้งแรกจาก Peter Thiel ที่เป็นอดีต CEO ผู้พา PayPal เอาชนะ Billpoint ของ ebay ได้สำเร็จนั่นเอง และหลาย ๆ คนของเหล่าพนักงานหัวกะทิของ PayPal ก็ได้กลายมาเป็นนักลงทุนทางด้านเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งการสร้างบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่น Linkedin ของ Reid Hoffman หรือ Youtube , Yelp หรือ นวัตกรรมสุดล้ำต่าง ๆ ที่ Elon Musk กำลังสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

มันได้ส่งผลทำให้เกิด Startup ในยุคหลัง ๆ ของ Silicon Valley หลาย ๆ บริการที่กลายมาเป็นบริการโด่งดังในปัจจุบัน ซึ่งก็ล้วนแต่ผ่านมือพวกเขาเหล่านี้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งมาแล้วแทบจะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Uber , Instragram , Youtube , Kiva.org , AirBnb หรืออีกหลายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

บริษัทชื่อดังมากมายที่ล้วนเป็นผลผลิตมาจากเหล่าพนักงาน PayPal
บริษัทชื่อดังมากมายที่ล้วนเป็นผลผลิตมาจากเหล่าพนักงาน PayPal

ต้องบอกว่า จากเนื้อเรื่องใน Blog Series ชุดนี้ มันคือการหล่อหลอมให้เหล่าพนักงานของ PayPal ยุคบุกเบิกนั้น ได้กลายมาเป็นนักลงทุนทางเทคโนโลยีที่มีวิสัยทัศน์อย่างที่เราเห็น มันเกิดจากการสู้ของพวกเขาแทบจะทั้งสิ้น พวกเขาได้เจอประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายในการนำพา บริษัทเล็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่ อย่าง PayPal ให้ต่อกรกับ ebay ที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีในขณะนั้นได้ถือว่าเป็น case study ที่น่าสนใจครั้งนึงในการต่อสู้ทางธุรกิจของประเทศอเมริกา

จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ได้ให้แนวคิดอย่างนึงก็คือ ด้วยทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำกัด และด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง ebay แบบเห็นได้ชัด แต่พวกเขากลุ่มนี้ เหล่าพนักงานหัวกะทิของ PayPal ได้รีดศักยภาพของตัวเองให้ออกมาได้มากที่สุด สร้างไอเดียที่สร้างสรรค์ คิดค้นกลยุทธ์ใหม่ ๆ พวกเขาต้องคอยคิดอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญมันต้องทำงานแข่งกับเวลาที่เงินทุนของพวกเขากำลังร่อยหรอลงเรื่อย ๆ เพื่อที่จะให้สามารถต่อสู้กับ ebay ได้ แม้จะเป็นรองแค่ไหน พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้สำเร็จ และได้กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ในวงการชำระเงินออนไลน์ อย่างที่เราได้เห็นใน Blog Series ชุดนี้นั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

PayPal Wars ตอนที่ 9 : Earth vs Palo Alto

SEPTEMBER 2001 — FEBRUARY 2002

เจ็ดสิบวัน หลังจากการโจมตีครั้งร้ายแรงที่สุดในนิวยอร์ก และ วอชิงตัน PayPal ได้ประกาศแผนที่ทำให้ทั้ง Wall Street และ Silicon Valley ตกใจ เมื่อ PayPal ได้ยื่นแสดงรายการข้อมูล กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก หรือ IPO นั่นเอง

และแน่นอนว่าหลังการประกาศตัวครั้งนี้ของ PayPal ออกไปนั้น สื่อก็รุมถล่มแนวคิดนี้ของพวกเขาทันที และในบทความนึงที่ชื่อว่า “Earth to Palo Alto” ซึ่งได้ปรากฏในสื่อชื่อดังอย่าง “The Recorder” ที่เป็นสื่อด้านกฏหมาย ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ซึ่งถูกเขียนโดย George Kraw ซึ่งเป็นนักกฏหมาย ชื่อดังในซิลิกอน วัลเลย์ โดยมีการแสดงความเห็นโจมตีความน่าเชื่อถือของรูปแบบธุรกิจ รวมถึงเหล่าทีมผู้บริหารของ PayPal:

“คุณจะทำอะไรกับบริษัทอายุเพียง 3 ปี ที่ยังไม่เคยสร้างกำไรได้เลยด้วยซ้ำ และบริการเหล่านี้อาจจะนำไปสู่การฟอกเงิน เหล่าผู้จัดการ และผู้ร่วมลงทุนที่อยู่เบื้องหลัง PayPal ต้องเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ที่พวกเขาคิดจะทดสอบเหล่านักลงทุนในวอลล์สตรีท และความไม่แน่นอนของตลาดการเงิน”

ซึ่งแน่นอนว่า Kraw และ สื่อในขณะนั้น ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจรูปแบบธุรกิจของ PayPal ด้วยตัวเลขทางการเงินที่ดีขึ้นแสดงให้เห็นแนวโน้มชัดเจนว่าบริษัทกำลังจะทำกำไรได้ในไม่ช้า แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นเพิ่งผ่านฟองสบู่ดอทคอมแตกมาไม่นาน PayPal จึงยากที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ได้

และที่สำคัญเมื่อทางฝั่ง ebay ได้รับรู้ข่าวดังกล่าว ก็เป็นเดือดเป็นร้อนไม่แพ้กัน ซึ่งอาจจะปิดโอกาสที่จะทำให้ Billpoint เป็นผู้นำในตลาดชำระเงินออนไลน์ พวกเขาจึงต้องเริ่งทำอะไรซักอย่างโดยด่วน

เมื่อ PayPal กำลังจะเข้า IPO
เมื่อ PayPal กำลังจะเข้า IPO

ebay จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ คือ “Checkout” ที่มีการ Link ไปยังฟอร์มการชำระเงินของ Billpoint ทันที ซึ่งหากผู้ขายไม่มีบัญชี Billpoint ก็จะมีหน้าจอที่กระตุ้นให้ผู้ซื้อติดต่อผู้ขายเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกผู้ซื้อว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข เป็นการบีบบังคับกลาย ๆ ให้ผู้ขายต้องไปใช้งาน Billpoint

ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อ PayPal โดยตรง ebay ได้กำหนดให้ checkout เป็นข้อบังคับสำหรับผู้ขายในอเมริกาทั้งหมด โดยกล่าวว่าจำเป็นต้องให้ประสบการณ์ผู้ซื้อที่ดีขึ้น และสอดคล้องกัน โดยเป็นการแทนที่ระบบเดิมที่สิทธิ์จะเป็นของผู้ขายในการควบคุมการประมูลและการชำระเงิน

Checkout เป็นการพยายามบังคับให้ผู้ซื้อกลับไปที่เว๊บไซต์ของ ebay และเป็นการเตะ PayPal ออกจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าวนี้ ซึ่งจากตรงนั้น ebay สามารถใช้เว๊บไซต์ของตัวเองเพื่อชัดจูงให้ผู้ซื้อไปยัง Billpoint โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ PayPal อีกต่อไปนั่นเอง

และเหมือนเคย ที่ Reid Hoffman พยายามเรียกร้องความยุติธรรมกับ ebay ที่ควรให้เป็นตลาดที่แข่งขันได้แบบสมบูรณ์ แต่ครั้งนี้ ebay จะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกต่อไป และพยายามผลักดันนโยบายนี้แบบเต็มที่ โดยไม่สนใจ PayPal

และปัญหามันก็เกิด เพราะในคอมมิวนิตี้ของ ebay ในกระดานสนทนา ต่างเต็มไปด้วยความโกรธ เนื่องจากการบังคับใช้ของ ebay เหล่าพ่อค้าทั้งหลายไม่โอเค กับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ รวมถึงการปิดกั้น PayPal

มันเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือนที่ ebay พยายามบังคับลูกค้าของพวกเขา ซึ่งการกระทำทุก ๆ ครั้งของ ebay นั้นผลก็คือเป็นการสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ระหว่าง PayPal และเหล่าผู้ใช้งานผู้จงรักภักดีของพวกเขา และครั้งนี้ก็เช่นกัน ในที่สุด ebay ก็ต้องยอมถอน checkout ออกไปจากแพลตฟอร์มของพวกเขา

หลังจากนั้นไม่นาน สิ่งที่รอคอยของ PayPal ก็มาถึง เมื่อ PayPal สามารถทำกำไรได้ในที่สุด โดยเริ่มมีกำไรจากการดำเนินงาน 2.8 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งรายรับของ PayPal นั้นเพิ่มขึ้นจาก 30.2 ล้านเหรียญ ในไตรมาส 3 เป็น 40.1 ล้านเหรียญในไตรมาส 4 รวมถึงจำนวนผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างน่าถึงไปสู่ 12.8 ล้านคน หลังจากดำเนินงานบริษัทมาได้เพียง 26 เดือนเท่านั้น

PayPal กลายเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรได้จริง ๆ ลดการพึ่งพา ebay ลง เนื่องจากมีส่วนเสริมในธุรกิจอื่น ๆ อย่างเกมออนไลน์ เป็นบริษัทที่เรียกได้ว่ามีอัตราเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจเลยก็ว่าได้

ซึ่งสถานการณ์เมื่อถึงตอนนั้น เป็นที่ชัดเจนต่อ Meg Whitman CEO ของ ebay แล้วว่า ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มของ ebay เลือก PayPal มากกว่า Billpoint รวมถึงความเสี่ยงในการต่อสู้กับ PayPal อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโอกาสที่จะดัน Billpoint นั้นไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้อีกต่อไป

ในช่วงสิ้นปี 2001 Whitman ได้เขาไปพบกับ Thiel อย่างเงียบ ๆ พร้อมกับข้อเสนอเพื่อซื้อ PayPal โดยแสดงความจริงใจว่าจะทำการปิดบริการ Billpoint และให้ PayPal เป็นเพียงบริการหลักบริการเดียวใน ebay

Meg Whitman ตัดสินใจเจรจาขอซื้อ PayPal
Meg Whitman ตัดสินใจเจรจาขอซื้อ PayPal

Thiel ต้องใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์ พิจารณาข้อเสนอดังกล่าวกับคณะกรรมการรวมถึง elon musk อย่างถี่ด้วน และเมื่อพิจารณาจากคาวมเสี่ยงหลาย ๆ ทางแล้วนั้น คณะกรรมการตัดสินใจยกเลิกข้อเสนอของ ebay เพื่อคงความเป็นอิสระของ PayPal ไว้ดังเดิม

ในกระบวนการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะชนนั้น เริ่มเกิดปัญหา เมื่อ CertCo บริษัทที่ปรึกษาด้านการชำระเงิน ได้ยื่นฟ้อง PayPal โดยกล่าวหาว่า โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินหลักของ PayPal นั้น มีการละเมิดสิทธิบัตรของพวกเขา หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทที่ชื่อ Tumbleweed Communications ได้อ้างเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรของ PayPal เช่นเดียวกัน

แต่สุดท้ายทีมกฏหมายของ PayPal ก็ได้พยายามทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการปัญหาดังกล่าวได้สำเร็จ และในที่สุด PayPal ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการทำ IPO ได้สำเร็จ โดยมีราคา IPO ที่ 13 เหรียญ และถูกกำหนดให้เริ่มซื้อขายในตลาด NASDAQ ภายใต้สัญลักษณ์ PYPL

และในวันแรกของการเปิดตัวต่อสาธารณชน ราคาหุ้นของ PayPal ก็พุ่งขึ้นไปสู่ราคา 18 เหรียญ ทุกฝ่ายต่างฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อความสำเร็จที่ร่วมฝ่าฟันกันมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาว การเปลี่ยน CEO ถึง 3 คน และต่อสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง ebay ได้อย่างไม่เกรงกลัว จนในที่สุดสามารถที่จะพา PayPal เข้าสู่บริษัทมหาชนได้สำเร็จ ถือเป็นเรื่องราวที่สุดยอดมาก ๆ ของธุรกิจเล็ก ๆ อย่าง PayPal ที่ใช้เวลาไม่ถึง 3 ปีก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นี้นะครับ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากพวกเขาสามารถนำพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 10 : To The Brink

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***