รู้หรือไม่ว่า สงครามครั้งใหม่ที่เดิมพันสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
สงครามครั้งนี้ ไม่ได้สู้กันด้วยกำลังทหาร แต่เป็นการต่อสู้กันด้วยมันสมองและเม็ดเงินลงทุนมหาศาล ที่อาจมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของหลายประเทศรวมกันเสียอีก
เรื่องราวทั้งหมดนี้คือ “สงคราม AI”
สมรภูมินี้มีผู้เล่นหลักคือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น Meta, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), Amazon, Microsoft และ Apple
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สงครามครั้งนี้ร้อนระอุขึ้นมาอย่างชัดเจน เกิดขึ้นเมื่อ Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศจัดตั้งทีมพิเศษขึ้นมาในชื่อ “Superintelligence Team”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังนักลงทุนและคู่แข่งว่า Meta กำลังจะเดิมพันครั้งใหญ่ หรือ “All-in” กับเทคโนโลยี AI
พูดง่ายๆ ก็คือ บริษัทกำลังจะทุ่มทรัพยากรทั้งหมดที่มี เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้ให้ได้
แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์ผู้โชกโชนอย่าง David Nicholson จาก Futurum Group กลับมองว่า การลงทุนครั้งนี้อาจมีความเสี่ยงซ่อนอยู่
เขาให้ความเห็นว่า การทุ่มเงินมหาศาลไปกับการสร้างทีมที่ดูยิ่งใหญ่ อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ในการสร้างภาพลักษณ์ให้ ดูดีมากกว่าที่จะสร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้ในระยะสั้น
เรื่องนี้คล้ายกับหลายบริษัทในอดีต ที่ใช้เงินไปกับการตลาดที่ดูหวือหวา แต่สุดท้ายโมเดลธุรกิจกลับไม่แข็งแกร่งพอ และก็ต้องล้มเหลวไปในที่สุด
เมื่อพี่ใหญ่อย่าง Meta ขยับตัว คู่แข่งเบอร์ต้นๆ อย่าง Alphabet ก็อยู่เฉยไม่ได้
การที่ Alphabet ซึ่งมี AI ที่แข็งแกร่งของตัวเองอยู่แล้ว ตัดสินใจไปจับมือกับ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT ที่กำลังดัง ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
มันสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็ยังไม่มั่นใจ ว่าจะสามารถเอาชนะในสงครามครั้งนี้ได้โดยลำพัง การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจึงเป็นทางเลือกที่เข้าท่า
แต่เบื้องหลังผู้เล่นที่ออกตัวอย่างชัดเจน ยังมีผู้เล่นอีกกลุ่มที่ทรงพลังอย่างเงียบๆ นั่นคือกลุ่มธุรกิจที่เรียกว่า “Hyperscalers”
Hyperscalers คือบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ขนาดมหึมาของโลก เช่น Google Cloud, Amazon Web Services (AWS) และ Microsoft Azure
บริษัทเหล่านี้มีความได้เปรียบอย่างมหาศาล เพราะพวกเขาคือเจ้าของ “ที่ดิน” ที่ธุรกิจดิจิทัลทั้งหมดต้องมาเช่าใช้อยู่แล้ว
สำหรับพวกเขา AI จึงไม่ใช่ธุรกิจใหม่ที่ต้องไปสร้างตัว แต่เป็นเหมือน “บริการเสริม” ที่สามารถนำมาเสนอขายให้กับฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่แล้วนับล้านรายได้ทันที
และสุดท้าย คือผู้เล่นที่น่าจับตามองที่สุด เพราะยังคงนิ่งเงียบที่สุด นั่นก็คือ Apple ที่ผ่านมา Apple มักจะไม่ใช่ผู้เล่นคนแรกในตลาดใหม่ๆ แต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาลงมาเล่น เกมก็มักจะเปลี่ยนไปเสมอ
นี่คือภาพรวมของสมรภูมิ AI ที่มีผู้เล่นรายใหญ่ครบ และแต่ละรายก็มีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป
เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือการ “อัดฉีด” เงินลงทุนอย่างมหาศาล
ข้อมูลล่าสุดคาดการณ์ว่า เฉพาะในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อาจใช้เงินลงทุนในด้าน AI รวมกันสูงถึง 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 8.8 ล้านล้านบาท
Meta คือหนึ่งในบริษัทที่ใช้เงินลงทุนมากที่สุด โดยคาดว่าอาจสูงถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คำถามคือ เงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ถูกนำไปใช้กับอะไร?
คำตอบส่วนใหญ่ก็คือ “ฮาร์ดแวร์” โดยเฉพาะชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง หรือ GPU ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของ AI
และในตลาดชิป AI ตอนนี้ ก็มีผู้เล่นเพียงรายเดียวที่ครองตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จ นั่นก็คือบริษัท Nvidia
ชิปของ Nvidia โดยเฉพาะรุ่นล่าสุดอย่าง Blackwell B200 กลายเป็นสินค้าที่เนื้อหอมและเป็นที่ต้องการของทุกบริษัทในเวลานี้
สถานการณ์นี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ภาษี Nvidia” คือไม่ว่าบริษัทไหนอยากจะพัฒนา AI ก็ตาม ก็ต้องยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อชิปจาก Nvidia
ในทางธุรกิจแล้ว การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียว ถือเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงอย่างยิ่ง เพราะมันหมายถึงการไม่มีอำนาจต่อรอง และอาจทำให้ต้นทุนพุ่งกระฉูดจนฉุดไม่อยู่
เพื่อลดความเสี่ยงและต้นทุนตรงนี้เอง บริษัทอย่าง Google และ Amazon จึงเริ่มใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “Vertical Integration”
Vertical Integration คือการที่บริษัทเข้ามาควบคุมธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ในกรณีนี้คือการออกแบบและพัฒนาชิป AI ของตัวเองขึ้นมา
Google มีชิปที่ชื่อว่า TPU ส่วน Amazon ก็มีชิป Trainium กลยุทธ์นี้คล้ายกับที่ Apple ออกแบบชิปตระกูล A-series ของตัวเองเพื่อใช้ใน iPhone
การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการพึ่งพา Nvidia แต่ยังทำให้พวกเขาสามารถสร้างฮาร์ดแวร์ที่ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด
นอกจากเรื่องฮาร์ดแวร์แล้ว อีกหนึ่งสมรภูมิที่น่าสนใจก็คือ “โมเดลธุรกิจ” ที่แตกต่างกัน
Meta เลือกใช้โมเดลธุรกิจแบบ “Open Source” กับ AI ที่ชื่อว่า Llama ซึ่งคือการเปิดให้ใครก็ได้สามารถนำโค้ดไปพัฒนาต่อยอดได้ฟรี
ข้อดีของโมเดลนี้คือ มันช่วยสร้างการเติบโตให้กับระบบนิเวศ (Ecosystem) ได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีคนจากทั่วโลกมาช่วยกันพัฒนา แต่ข้อเสียคือ การจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นรายได้โดยตรงนั้นทำได้ยากกว่า
ในทางกลับกัน OpenAI เจ้าของ ChatGPT เลือกใช้โมเดลแบบ “Closed Source” ซึ่งคือการเก็บเทคโนโลยีไว้เป็นความลับ และขายเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยตรง
ข้อดีคือสามารถควบคุมคุณภาพและสร้างรายได้ได้ทันที แต่ก็อาจถูกคู่แข่งที่ใช้โมเดล Open Source พัฒนาตามทันและแซงไปได้ในที่สุด
ท่ามกลางกระแสที่กำลังบูมนี้ ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระวัง นั่นคืออาจมีบริษัทที่ดูดีแต่ข้างใน “กลวง” ซ่อนอยู่
กรณีศึกษาที่คลาสสิกที่สุดก็คือเรื่องราวของ “Theranos” สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการแพทย์ที่เคยถูกยกย่องว่าสุดยอด แต่สุดท้ายกลับถูกเปิดโปงว่าเป็นเรื่องหลอกลวงจนบริษัทต้องปิดตัวไป
เรื่องนี้สอนให้นักลงทุนรู้ว่า บางครั้งเรื่องราวที่หอมหวนและความฝันอันสวยหรู ก็อาจไม่ใช่ของจริงเสมอไป การลงทุนที่ขาดการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ อาจทำให้เงินทุนทั้งหมดต้องมลายหายไปหมดสิ้นได้
มาถึงคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ แล้วใครคือผู้ที่จะชนะในสงครามครั้งนี้?
หากเราวิเคราะห์จากมุมมองของความได้เปรียบเชิงแข่งขัน หรือ “ป้อมปราการของบริษัท” (Moat) ที่ Warren Buffett ชอบพูดถึง
เราจะพบว่า แม้ Meta จะเป็นผู้ที่ลงทุนหนักที่สุด แต่พวกเขากลับมีป้อมปราการที่อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าคู่แข่งรายอื่น
สาเหตุก็เพราะ Meta ไม่ได้เป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการบนมือถือเหมือนที่ Google มี Android และ Apple มี iOS และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เหมือน Amazon หรือ Microsoft
ดังนั้นแล้ว ผู้ชนะในเกมนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้เล่นที่คุม “แพลตฟอร์ม” ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว
นั่นก็คือ Alphabet (Google), Microsoft และ Amazon เพราะพวกเขาสามารถนำ AI มาต่อยอดกับธุรกิจเดิมที่มีกำไรมหาศาลอยู่แล้วได้ทันที
และอีกหนึ่งผู้ชนะที่แน่นอนก็คือ Nvidia ในฐานะผู้ผลิตชิป ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในยุค AI
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในสงครามเทคโนโลยี การมีผลิตภัณฑ์ที่เจ๋งเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
แต่การเป็นเจ้าของ “แพลตฟอร์ม” ที่ทุกคนต้องเข้ามาใช้งานต่างหาก คือความได้เปรียบทางธุรกิจที่ยั่งยืนและยากที่จะมีใครมาทำลายลงได้.
References : [artificialintelligence-news, cloud .google, ai .meta, britannica]