เบื้องหลัง Superintelligence Team ของ Mark Zuckerberg แค่วางท่า หรือจะเปลี่ยนโลก?

รู้หรือไม่ว่า สงครามครั้งใหม่ที่เดิมพันสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

สงครามครั้งนี้ ไม่ได้สู้กันด้วยกำลังทหาร แต่เป็นการต่อสู้กันด้วยมันสมองและเม็ดเงินลงทุนมหาศาล ที่อาจมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของหลายประเทศรวมกันเสียอีก

เรื่องราวทั้งหมดนี้คือ “สงคราม AI”

สมรภูมินี้มีผู้เล่นหลักคือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น Meta, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), Amazon, Microsoft และ Apple

จุดเริ่มต้นที่ทำให้สงครามครั้งนี้ร้อนระอุขึ้นมาอย่างชัดเจน เกิดขึ้นเมื่อ Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศจัดตั้งทีมพิเศษขึ้นมาในชื่อ “Superintelligence Team”

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังนักลงทุนและคู่แข่งว่า Meta กำลังจะเดิมพันครั้งใหญ่ หรือ “All-in” กับเทคโนโลยี AI

พูดง่ายๆ ก็คือ บริษัทกำลังจะทุ่มทรัพยากรทั้งหมดที่มี เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้ให้ได้

แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์ผู้โชกโชนอย่าง David Nicholson จาก Futurum Group กลับมองว่า การลงทุนครั้งนี้อาจมีความเสี่ยงซ่อนอยู่

เขาให้ความเห็นว่า การทุ่มเงินมหาศาลไปกับการสร้างทีมที่ดูยิ่งใหญ่ อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ในการสร้างภาพลักษณ์ให้ ดูดีมากกว่าที่จะสร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้ในระยะสั้น

เรื่องนี้คล้ายกับหลายบริษัทในอดีต ที่ใช้เงินไปกับการตลาดที่ดูหวือหวา แต่สุดท้ายโมเดลธุรกิจกลับไม่แข็งแกร่งพอ และก็ต้องล้มเหลวไปในที่สุด

เมื่อพี่ใหญ่อย่าง Meta ขยับตัว คู่แข่งเบอร์ต้นๆ อย่าง Alphabet ก็อยู่เฉยไม่ได้

การที่ Alphabet ซึ่งมี AI ที่แข็งแกร่งของตัวเองอยู่แล้ว ตัดสินใจไปจับมือกับ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT ที่กำลังดัง ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

มันสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็ยังไม่มั่นใจ ว่าจะสามารถเอาชนะในสงครามครั้งนี้ได้โดยลำพัง การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจึงเป็นทางเลือกที่เข้าท่า

แต่เบื้องหลังผู้เล่นที่ออกตัวอย่างชัดเจน ยังมีผู้เล่นอีกกลุ่มที่ทรงพลังอย่างเงียบๆ นั่นคือกลุ่มธุรกิจที่เรียกว่า “Hyperscalers”

Hyperscalers คือบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ขนาดมหึมาของโลก เช่น Google Cloud, Amazon Web Services (AWS) และ Microsoft Azure

บริษัทเหล่านี้มีความได้เปรียบอย่างมหาศาล เพราะพวกเขาคือเจ้าของ “ที่ดิน” ที่ธุรกิจดิจิทัลทั้งหมดต้องมาเช่าใช้อยู่แล้ว

สำหรับพวกเขา AI จึงไม่ใช่ธุรกิจใหม่ที่ต้องไปสร้างตัว แต่เป็นเหมือน “บริการเสริม” ที่สามารถนำมาเสนอขายให้กับฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่แล้วนับล้านรายได้ทันที

และสุดท้าย คือผู้เล่นที่น่าจับตามองที่สุด เพราะยังคงนิ่งเงียบที่สุด นั่นก็คือ Apple ที่ผ่านมา Apple มักจะไม่ใช่ผู้เล่นคนแรกในตลาดใหม่ๆ แต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาลงมาเล่น เกมก็มักจะเปลี่ยนไปเสมอ

นี่คือภาพรวมของสมรภูมิ AI ที่มีผู้เล่นรายใหญ่ครบ และแต่ละรายก็มีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป

เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือการ “อัดฉีด” เงินลงทุนอย่างมหาศาล

ข้อมูลล่าสุดคาดการณ์ว่า เฉพาะในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อาจใช้เงินลงทุนในด้าน AI รวมกันสูงถึง 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 8.8 ล้านล้านบาท

Meta คือหนึ่งในบริษัทที่ใช้เงินลงทุนมากที่สุด โดยคาดว่าอาจสูงถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คำถามคือ เงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ถูกนำไปใช้กับอะไร?

คำตอบส่วนใหญ่ก็คือ “ฮาร์ดแวร์” โดยเฉพาะชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง หรือ GPU ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของ AI

และในตลาดชิป AI ตอนนี้ ก็มีผู้เล่นเพียงรายเดียวที่ครองตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จ นั่นก็คือบริษัท Nvidia

ชิปของ Nvidia โดยเฉพาะรุ่นล่าสุดอย่าง Blackwell B200 กลายเป็นสินค้าที่เนื้อหอมและเป็นที่ต้องการของทุกบริษัทในเวลานี้

สถานการณ์นี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ภาษี Nvidia” คือไม่ว่าบริษัทไหนอยากจะพัฒนา AI ก็ตาม ก็ต้องยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อชิปจาก Nvidia

ในทางธุรกิจแล้ว การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียว ถือเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงอย่างยิ่ง เพราะมันหมายถึงการไม่มีอำนาจต่อรอง และอาจทำให้ต้นทุนพุ่งกระฉูดจนฉุดไม่อยู่

เพื่อลดความเสี่ยงและต้นทุนตรงนี้เอง บริษัทอย่าง Google และ Amazon จึงเริ่มใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “Vertical Integration”

Vertical Integration คือการที่บริษัทเข้ามาควบคุมธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ในกรณีนี้คือการออกแบบและพัฒนาชิป AI ของตัวเองขึ้นมา

Google มีชิปที่ชื่อว่า TPU ส่วน Amazon ก็มีชิป Trainium กลยุทธ์นี้คล้ายกับที่ Apple ออกแบบชิปตระกูล A-series ของตัวเองเพื่อใช้ใน iPhone

การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการพึ่งพา Nvidia แต่ยังทำให้พวกเขาสามารถสร้างฮาร์ดแวร์ที่ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด

นอกจากเรื่องฮาร์ดแวร์แล้ว อีกหนึ่งสมรภูมิที่น่าสนใจก็คือ “โมเดลธุรกิจ” ที่แตกต่างกัน

Meta เลือกใช้โมเดลธุรกิจแบบ “Open Source” กับ AI ที่ชื่อว่า Llama ซึ่งคือการเปิดให้ใครก็ได้สามารถนำโค้ดไปพัฒนาต่อยอดได้ฟรี

ข้อดีของโมเดลนี้คือ มันช่วยสร้างการเติบโตให้กับระบบนิเวศ (Ecosystem) ได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีคนจากทั่วโลกมาช่วยกันพัฒนา แต่ข้อเสียคือ การจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นรายได้โดยตรงนั้นทำได้ยากกว่า

ในทางกลับกัน OpenAI เจ้าของ ChatGPT เลือกใช้โมเดลแบบ “Closed Source” ซึ่งคือการเก็บเทคโนโลยีไว้เป็นความลับ และขายเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยตรง

ข้อดีคือสามารถควบคุมคุณภาพและสร้างรายได้ได้ทันที แต่ก็อาจถูกคู่แข่งที่ใช้โมเดล Open Source พัฒนาตามทันและแซงไปได้ในที่สุด

ท่ามกลางกระแสที่กำลังบูมนี้ ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระวัง นั่นคืออาจมีบริษัทที่ดูดีแต่ข้างใน “กลวง” ซ่อนอยู่

กรณีศึกษาที่คลาสสิกที่สุดก็คือเรื่องราวของ “Theranos” สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการแพทย์ที่เคยถูกยกย่องว่าสุดยอด แต่สุดท้ายกลับถูกเปิดโปงว่าเป็นเรื่องหลอกลวงจนบริษัทต้องปิดตัวไป

เรื่องนี้สอนให้นักลงทุนรู้ว่า บางครั้งเรื่องราวที่หอมหวนและความฝันอันสวยหรู ก็อาจไม่ใช่ของจริงเสมอไป การลงทุนที่ขาดการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ อาจทำให้เงินทุนทั้งหมดต้องมลายหายไปหมดสิ้นได้

มาถึงคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ แล้วใครคือผู้ที่จะชนะในสงครามครั้งนี้?

หากเราวิเคราะห์จากมุมมองของความได้เปรียบเชิงแข่งขัน หรือ “ป้อมปราการของบริษัท” (Moat) ที่ Warren Buffett ชอบพูดถึง

เราจะพบว่า แม้ Meta จะเป็นผู้ที่ลงทุนหนักที่สุด แต่พวกเขากลับมีป้อมปราการที่อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าคู่แข่งรายอื่น

สาเหตุก็เพราะ Meta ไม่ได้เป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการบนมือถือเหมือนที่ Google มี Android และ Apple มี iOS และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เหมือน Amazon หรือ Microsoft

ดังนั้นแล้ว ผู้ชนะในเกมนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้เล่นที่คุม “แพลตฟอร์ม” ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว

นั่นก็คือ Alphabet (Google), Microsoft และ Amazon เพราะพวกเขาสามารถนำ AI มาต่อยอดกับธุรกิจเดิมที่มีกำไรมหาศาลอยู่แล้วได้ทันที

และอีกหนึ่งผู้ชนะที่แน่นอนก็คือ Nvidia ในฐานะผู้ผลิตชิป ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในยุค AI

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในสงครามเทคโนโลยี การมีผลิตภัณฑ์ที่เจ๋งเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ

แต่การเป็นเจ้าของ “แพลตฟอร์ม” ที่ทุกคนต้องเข้ามาใช้งานต่างหาก คือความได้เปรียบทางธุรกิจที่ยั่งยืนและยากที่จะมีใครมาทำลายลงได้.

References : [artificialintelligence-news, cloud .google, ai .meta, britannica]

Geek Daily EP301 : ถอดรหัสกลยุทธ์ Meta เดินเกม 2 ทางพร้อมกัน ระหว่าง “คนคุม AI” กับ “AI คุมตัวเอง”

ถ้าพูดถึงสงคราม เราอาจจะนึกถึงการรบราฆ่าฟัน แต่สงครามที่ผมจะเล่าให้ฟังวันนี้ มันเป็นสงครามที่ต่อสู้กันด้วยข้อมูล ด้วยเงินทุนมหาศาล และด้วยมันสมองของคนที่เก่งที่สุดในโลก

เหล่าบรรดายักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Meta, Google, Amazon หรือแม้แต่ Apple ต่างก็กระโจนเข้าสู่สมรภูมินี้กันอย่างเต็มตัว เดิมพันกันด้วยอนาคตของบริษัทเลยทีเดียว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yc3daejh

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4upaj8j7

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/y5gOfAGHkVM

Geek Daily EP243 :  Dojo ความหวังสุดท้ายของ Elon Musk กับอาวุธลับของ Tesla ในการพิชิตตลาดรถยนต์ไร้คนขับ

Elon Musk ได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัท Tesla โดยเขากล่าวว่าบริษัทจะทุ่มงบประมาณมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี 2024 เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า “Project Dojo” ซึ่งเป็นโครงการที่มีความทะเยอทะยานสูง และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการเทคโนโลยี

Musk มีเป้าหมายที่จะใช้พลังการประมวลผลอันมหาศาลของ Dojo เพื่อพัฒนาความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติของรถยนต์ Tesla ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการสร้างระบบขับขี่อัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4eburyf5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/pua5w86d

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yc6aznf5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/V_vJPAQuw2E

Big Tech x EU กับศึกช่วงชิงข้อมูลส่วนบุคคลของชาติมหาอำนาจโลก

คำเตือนที่ชัดเจนของ Meta บริษัทแม่ของ Facebook เกี่ยวกับการที่จะนำบริการของพวกเขาออกจากยุโรปอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เนื่องจากหนึ่งในผู้กำกับดูแลความเป็นส่วนตัวของภูมิภาคยุโรปเตรียมการตัดสินใจที่อาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้จำนวนมหาศาลที่ไหลผ่านข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในทุก ๆ วันกลายเป็นอัมพาต และมีความเสี่ยงต่อรายได้หลายพันล้านสำหรับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของ ไอร์แลนด์ซึ่งควบคุมดูแลบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์ที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ กำลังพิจารณาถึงความถูกต้องตามกฎหมายของข้อสัญญามาตรฐาน (Standard Contractual Clauses หรือ SCC) ที่ Meta, Google ของ Alphabet และบริษัทอื่น ๆ ใช้ในการโอนข้อมูลผู้ใช้จำนวนมากไปยังสหรัฐอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย

ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวกล่าวว่าการตัดสินใจดังกล่าวสามารถกำจัดหนึ่งในตัวเลือกที่เหลืออยู่สำหรับ Meta และอาจมีบริษัทเทคโนโลยีอื่นอีกหลายพันแห่งที่ต้องพึ่งพาการจัดส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลทั่วมหาสมุทรแอตแลนติก

ผู้มีอำนาจของไอร์แลนด์ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของ SCC โดยกล่าวว่า มันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปกป้องพลเมืองยุโรปจากการสอดรู้สอดเห็นของหน่วยงานต่างๆ ของสหรัฐฯ

ซึ่งนั่นคือความตึงเครียดในการพิจารณาคดีที่ Meta เตือนในรายงานประจำปีล่าสุดว่า บริษัทจะปิดการให้บริการทั้ง Facebook และ Instagram ในสหภาพยุโรปหากไม่สามารถใช้ SCC ได้

Facebook สร้างรายได้ 8.2 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 25% ของรายรับทั่วโลกในยุโรปในช่วงไตรมาสเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งภูมิภาคนี้เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญสำหรับ Meta ซึ่งเป็นรองเพียงแค่ตลาดในบ้านเกิดที่สหรัฐฯและแคนาดาเท่านั้น

ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนั่นจะทำให้การจัดเก็บข้อมูลในยุโรปไม่สามารถทำได้สำหรับบริการใด ๆ ไล่ตั้งแต่วิดีโอเกมไปจนถึงการสตรีมวิดีโอเนื่องจากกฎข้อมูลของยุโรปจะปฏิบัติตามข้อมูลของบุคคลไม่ว่าจะอยู่ที่ใด

โมเดลธุรกิจของ Meta เช่นเดียวกับ Google ของ Alphabet อาศัยการรวบรวมข้อมูลให้เพียงพอที่จะแยกแยะว่าผู้ใช้สนใจหรือต้องการซื้ออะไร และเพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบริษัทกำลังถูกเล่นงานโดยกฎความเป็นส่วนตัวของยุโรป และการห้ามใช้ SCC อาจทำให้รูปแบบธุรกิจของบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยลงโดยเฉพาะในการลงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

Johannes Caspar นักวิชาการจากหนึ่งในหน่วยงานกำกับดูแลด้านการปกป้องข้อมูลชั้นนำของเยอรมนี กล่าวว่า “สิ่งที่มีความเสี่ยงคือการถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ และเหล่าบริการที่พึ่งพาพวกเขา”

อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานฝ่ายกิจการและการสื่อสารระดับโลกของ Meta ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว

อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ที่กลายมาเป็นผู้บริหารของ Facebook ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ (CR:The Verge)
อดีตรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Nick Clegg ที่กลายมาเป็นผู้บริหารของ Facebook ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ (CR:The Verge)

Google กล่าวในบล็อกโพสต์เมื่อเดือนมกราคมโดย Kent Walker หัวหน้าฝ่ายกิจการระดับโลกซึ่งเรียกร้องให้ยุติปัญหาอย่างรวดเร็ว

“มันเป็นเดิมพันที่สูงเกินไป การค้าระหว่างประเทศระหว่างยุโรปและสหรัฐอเมริกามีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของผู้คนนับล้านมากเกินกว่าที่จะล้มเหลวในการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ใกล้เข้ามาแบบทันทีทันใด” Walker กล่าว

การโต้เถียงเรื่องการถ่ายโอนข้อมูลเริ่มตั้งแต่ปี 2013 เมื่อ Edward Snowden เปิดเผยขอบเขตการสอดแนมโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ

การพิจารณาคดีในปี 2020 โดยศาลสูงสุดของสหภาพยุโรปได้ประกาศให้ยกเลิก Privacy Shield ซึ่งเป็นข้อตกลงการโอนถ่ายข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเฝ้าระวังของอเมริกา

Tom De Cordier นักกฎหมายด้านเทคโนโลยีและการปกป้องข้อมูลที่ CMS DeBacker ในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวว่า “สำหรับหลายๆ บริษัท แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลสหภาพยุโรปในปี 2020 “ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของการลดความเสี่ยงในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของข้อมูล แทนที่จะพยายามปฏิบัติตามข้อกำหนด 100 เปอร์เซ็นต์”

หากผู้มีอำนาจในไอร์แลนด์มีแนวคิดในเรื่องข้อมูลที่มีความซีเรียสมากกว่านี้ สถานการณ์วันโลกาวินาศสำหรับ Meta และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว

การตัดสินใจของผู้มีอำนาจของไอร์แลนด์ “ตอนนี้อาจเป็นแบบอย่างซึ่งจะทำให้สถานการณ์ทั้งหมดคลี่คลาย” Caspar อดีตผู้กำกับดูแลชาวเยอรมันกล่าว “มันขึ้นอยู่กับนักการเมืองในสหรัฐอเมริกาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงหรือไม่”

บทสรุป

มันเป็นเรื่องน่าสนใจนะครับ ทำไมยุโรปถึงเริ่มมาจัดการการโอนถ่ายข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนในทุก ๆ ภูมิภาคก็โดนในรูปแบบเดียวกันแม่งกระทั่งประเทศไทยที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เช่นเดียวกัน

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เหล่านี้ รู้ข้อมูลเชิงลึกของประชาชนแทบจะทั่วทั้งโลก แม้จะเป็นบริษัทเอกชนก็ตามที แต่ข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้เราก็ได้เห็นว่าพวกเขามีความแน่นแฟ้นกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกามากมายขนาดไหน

ข้อมูลส่วนบุคคล หรือ แม้กระทั่งข้อมูลทางธุรกิจเหล่านี้ มันได้กลายเป็นอาวุธที่สำคัญให้สหรัฐอเมริกา มีความได้เปรียบกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เราไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจีนถึงแบนแอปเหล่านี้ไม่ให้เข้ามาในประเทศ ซึ่งสิ่งที่ยุโรปกำลังทำก็คงไม่ต่างจากที่จีนทำ เพราะพวกเขาเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนแล้ว ตอนนี้ข้อมูลต่าง ๆ ของประชาชนที่สูญเสียไปนั้น มันไม่ได้ใช้เพียงแค่เชิงธุรกิจอย่างที่หลายๆ คนคิด แต่มันนำมาซึ่งอำนาจทางอธิปไตยที่อเมริกากำลังรุกล้ำไปทั่วโลกนั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2021/03/25/big-tech-how-europe-became-the-worlds-top-regulator.html
https://www.scmp.com/tech/policy/article/3167568/meta-google-other-american-tech-giants-face-eu-data-blackout-ruling
https://www.ft.com/content/045346cf-c28a-4f6f-9dce-4f8426129bf9
https://daystech.org/eu-lawmakers-back-rules-to-curb-big-tech-tech-news-news-top-stories/

Geek Daily EP108 : Google x Privacy Sandbox กับความเป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้เหมือน Apple (จริงหรือ?)

แม้ว่าการเปรียบเทียบกับการบล็อก iOS ของ Apple นั้นชัดเจน แต่กลยุทธ์ของ Google ก็แตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากรายได้หลักพวกเขามาจากการโฆษณา โดยจัดรูปแบบตามลำดับความสำคัญที่กำหนดทั้งโดยรูปแบบธุรกิจและด้วยความกลัวว่าจะมีการฟ้องร้องการต่อต้านการผูกขาด

มาตรการความเป็นส่วนตัวที่นำมาใช้ใน iOS 14.5 ชื่อ App Tracking Transparency บังคับให้แอปต้องขออนุญาตจากผู้ใช้อย่างชัดแจ้งเพื่อติดตามกิจกรรมในแอปและเว็บไซต์ของบริษัทอื่น โดยมีกล่องโต้ตอบที่แจ้งให้ผู้ใช้ “อนุญาต” หรือ “ขอให้แอปไม่ติดตาม” ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Apple ได้เปิดตัวระบบกำหนดเป้าหมายโฆษณาของตัวเองหลังจากการเปลี่ยนแปลงไม่นาน แต่ Privacy Sandbox ของ Google นั้นยังไม่มีความชัดเจนมากนัก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3Brr9mI

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3oYdX3I

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/36nxKDp

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3LHcB7b

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/NVG0vaw0EE0

References Image : https://www.elespanol.com/omicrono/software/20200827/apple-buscador-google-privacidad/516199497_0.html