ชาวยูเครนใช้แชทบอท Telegram เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของกองทหารรัสเซียและการโจมตีเป้าหมาย

บทบาทของเทคโนโลยีในสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียนั้น ต้องบอกว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก มันเป็นสงครามครั้งแรก ๆ ที่ เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เราใช้กันประจำวันเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และแน่นอนว่ามันจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการทำสงครามในอนาคต

ข่าวล่าสุด รัฐบาลยูเครนได้สร้างแชทบ็อตในแอพ Telegram เพื่อให้ผู้ใช้ใช้ไอโฟนรายงานการพบเห็นกองทัพรัสเซียที่บุกรุกเข้ามาไปยังกองกำลังป้องกันของประเทศ

การเริ่มต้นรุกรานยูเครนของรัสเซียนั้นถูกพบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจบน Google Maps และ Apple Maps แต่ตอนนี้เราได้เห็นการนำเทคโนโลยีส่วนบุคคลที่ใช้ประจำวันอย่างแอปแชท มาใช้ประโยชน์ในภาวะสงคราม

Chatbot ต่างๆ ที่รู้จักกันในชื่อ “eVororog” หรือ “eBopor” ซึ่งแปลว่า “e-Enemy” ได้รับการสร้างขึ้นโดยกระทรวงดิจิทัลของยูเครน และมันไม่ใช่แอปแยกต่างหาก ดังนั้นรัสเซียจึงไม่สามารถเรียกร้องให้ลบออกจาก App Store ได้ เช่นเดียวกับแอปที่มีความละเอียดอ่อนทางการเมืองก่อนหน้านี้

แชทบอท @everog_bot ใน Telegram ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี มิคาอิล เฟโดรอฟ ได้เขียนเกี่ยวกับช่องดังกล่าวในช่อง Telegram ของเขาเอง

“ทีมงานของกระทรวงการพัฒนาดิจิทัลได้สร้างแชทบอทใน Telegram” “ด้วยความช่วยเหลือซึ่งชาวยูเครนสามารถรายงานการเคลื่อนไหวของผู้รุกรานได้”

ทั้งนี้ยังมีความพยายามอื่น ๆ ในการรวบรวมข้อมูล แต่อาจมีความเสี่ยงต่อการรายงานข้อมูลที่เป็นเท็จ ดังนั้นจึงได้มีการใช้แอป “Diya” ซึ่งเป็นแอปฟรีจากกระทรวงเดียวกันที่ใช้เพื่อรับรองความถูกต้องของผู้ใช้ในฐานะพลเมืองยูเครนที่แท้จริง

“ความแตกต่างที่สำคัญจากบอทอื่นๆ คือการอนุญาตผ่านแอปพลิเคชัน ‘Diya'” เขากล่าวต่อ “นี่เป็นสิ่งจำเป็นในการรวบรวมข้อมูลที่ดีขึ้นและเพื่อให้ผู้รุกรานไม่สามารถทำการสแปมรูปถ่ายหรือสร้างวิดีโอปลอมได้”

เมื่อผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้โพสต์ในแชทบอท พวกเขาจะถูกขอให้ป้อนรายละเอียดที่แน่นอนของสิ่งที่พวกเขาเห็น ซึ่งรวมถึงสิ่งที่พวกเขาได้เห็นไม่ว่าจะเป็นกองทหารหรือยุทโธปกรณ์ เช่น รถถัง และใช้ iPhone เพื่อส่งตำแหน่งที่แน่นอน และใส่รูปถ่ายหรือวิดีโอด้วยหากเป็นไปได้

ข่าวยูเครนยังไม่รายงานรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแชทบอทตัวนี้ อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวบน Twitterได้อ้างสถิติที่ไม่ได้รับการยืนยันซึ่งอ้างว่ามีชาวยูเครนกว่า 200,000 คนใช้แอปนี้ และทำให้ทหารรัสเซียเสียชีวิตกว่า 16,000 คน

ยูเครนเป็นแหล่งของนักพัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนมาก รวมถึงแอปอย่าง MacPaw ซึ่งเพิ่งเปิดตัวโดยใช้เป็นแอปที่ตรวจสอบการแฮ็กของรัสเซีย

บทสรุป

ในภาวะวิกฤติหรือภาวะสงครามเช่นนี้ เราจะได้เห็นนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ถูกนำมาปรับใช้ในการต่อสู้อีกมากมาย แชทบอท ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญมาก ๆ ในภาวะสงครามเช่นนี้

สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยูเครนนั้น แน่นอนว่ามันจะเปลี่ยนฉากหน้าของสงคราม ไม่เหมือนกับที่เราได้เห็นกันในอดีตอีกต่อไป มันไม่ใช่เพียงแค่ยุทธศาสตร์ทางด้านทหารเท่านั้น ที่จะส่งผลต่อชัยชนะ การมีส่วนร่วมของประชาชน และเทคโนโลยี จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการสงครามในยุคหน้านั่นเองครับผม

References : https://twitter.com/mhmck/status/1508264579712835584
https://appleinsider.com/articles/22/02/25/google-maps-apple-maps-and-smartphones-are-at-the-forefront-of-modern-war
https://www.cultofmac.com/770989/ukrainians-turn-to-telegram-chatbot-to-track-and-target-russian-troops/
https://indianexpress.com/article/explained/russia-ukraine-war-telegram-app-7847165/
https://www.ft.com/content/9ea0dccf-8983-4740-8e8d-82c0213512d4

ราคาน้ำมันพุ่ง เมื่ออเมริกาโทษปูติน แต่เหตุผลหลักกลับอยู่ที่ตัวไบเดนเองจริงหรือไม่?

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเมื่อเร็วๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาสูงมาก แต่การตัดสินใจของไบเดนในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้น

จากสถิติของศูนย์ข้อมูลพลังงานสหรัฐ (EIA) ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินในสหรัฐในช่วงกลางเดือนมีนาคมอยู่ที่ 4.25 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เทียบเท่ากับ 1.12 ดอลลาร์ต่อลิตร ตัวเลขนี้ต่ำกว่าช่วงสงครามเวียดนาม แต่เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของสหรัฐฯ แซงหน้าจุดสูงสุดเดิมระหว่างปี 2008 ถึง 2011

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 7.9% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากตามราคาน้ำมันระหว่างประเทศ หลังจากที่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางทหารในยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม โฆษกทำเนียบขาว Jen Psaki กล่าวโทษประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน และยืนยันว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง:

“ราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพราะนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะประธานาธิบดีรัสเซียบุกยูเครน สงครามครั้งนี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างมากในตลาดโลก” Psaki กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว

ไบเดน ยังได้ออกแถลงการณ์ที่คล้ายกัน: “ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์/แกลลอน. เหตุผลหลักคือปูตินรวบรวมกำลังทหารของเขาตามแนวชายแดนของยูเครนแล้วบุกโจมตี ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในทุกวันนี้ สาเหตุหลักมาจากความผิดของวลาดิมีร์ ปูติน” 

ประธานาธิบดีสหรัฐยังพยายามที่จะหันเหความสนใจของสาธารณชนไปที่บริษัทพลังงาน ในช่วงประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงจาก 130 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และไบเดนกล่าวว่าธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องลดราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขียนบน Facebook ว่า “ราคาน้ำมันดิบกำลังตก ราคาน้ำมันเบนซินก็ควรเช่นกัน ก่อนหน้านี้เมื่อราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 96 ดอลลาร์/บาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 3.62 ดอลลาร์/แกลลอน ตอนนี้ก็เช่นเดียวกันสำหรับน้ำมันดิบราคาลดลง แต่ราคาน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 4.31 ดอลลาร์/แกลลอน”

แถลงการณ์เหล่านี้จากทำเนียบขาวเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่าราคาน้ำมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ความขัดแย้งในยูเครนจะส่งผลกระทบต่อตลาดเสียอีก

ความผิดพลาดของไบเดน

ตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ไบเดนได้เปิดนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ราคาเชื้อเพลิงมีราคาแพงขึ้น

หนึ่งในคำสั่งแรกของไบเดน หลังจากเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม 2020 คือการทำลายโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก ซึ่งท่อส่งนี้มีความยาวมากกว่า 3,300 กม. ซึ่งวิ่งจากแคนาดาไปยังรัฐเท็กซัส หากนำไปใช้งาน ท่อส่งน้ำมันมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ดังกล่าวนี้จะขนส่งน้ำมันได้ 800,000 บาร์เรลต่อวัน

โครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก (CR:Toronto Star)
โครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก (CR:Toronto Star)

ในเดือนมกราคม 2021 ไบเดนได้หยุดออกใบอนุญาตการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐอีกครั้งทั้งบนบกและในน้ำ การตัดสินใจของไบเดนตรงกันข้ามกับนโยบายของทรัมป์อย่างสิ้นเชิง และออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในช่วงปี 2016-2020 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันคลายมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการแสวงหาผลประโยชน์จากน้ำมันและก๊าซเพื่อเพิ่มความเป็นอิสระด้านพลังงาน

ไบเดนได้ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้ กำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ จึงลดลง วอชิงตันจึงต้องเรียกร้องให้กลุ่ม OPEC + เพิ่มการผลิต สมาชิกหลักสองประเท่ศของ OPEC + ไม่ใช่ใครอื่น เพราะนั่นคือรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2021 ทำเนียบขาวได้โพสต์คำแถลงจากที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เจค ซัลลิแวน ซึ่งกล่าวว่า: “แม้ว่ากลุ่ม OPEC + จะตกลงที่จะเพิ่มการผลิต แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยในช่วงการระบาดครั้งใหญ่ ในช่วงเวลาวิกฤติกับการฟื้นตัวของโลก การดำเนินการนี้ยังไม่เพียงพอ”

แทนที่จะพึ่งพาซัพพลายจากรัสเซียและกลุ่ม OPEC รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถพยายามเพิ่มการผลิตน้ำมันของสหรัฐ แต่ไบเดนไม่ได้ทำ ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกาในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 และเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ราคาพลังงานทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเมื่อต้นปีนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่อาจกล่าวโทษประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียได้ทั้งหมด เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากปี 2021 มาก่อนแล้ว

ในเดือนธันวาคม 2021 คริสโตเฟอร์ วูด ผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกของเจฟฟรีส์ คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นถึง 150 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเนื่องจากการกลับมาของเศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาดเริ่มลดลงอีกครั้งและขีดจำกัดของอุปทานที่ลดลง

ข้อเท็จจริงที่ว่าอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลได้รับผลกระทบจาก “การโจมตีทางการเมือง” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนครั้งใหม่มีแรงจูงใจน้อยลงที่จะนำเม็ดเงินจะอัดฉีดเข้าสู่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซ วูดกล่าว

ทำเนียบขาวต้องการให้คนอื่นๆ เชื่อว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเป็นเพราะประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แต่นโยบายของไบเดนได้ทำให้อุตสาหกรรมพลังงานอ่อนแอลงมานานแล้ว และทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้น

สหรัฐฯ ไม่ค่อยซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำไมราคาน้ำมันยังขึ้นอีก?

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่าสหรัฐฯ จะหยุดนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย “วันนี้ ผมขอประกาศว่าสหรัฐฯ จะโจมตีเส้นเลือดใหญ่ (น้ำมันและก๊าซ) ของเศรษฐกิจรัสเซีย เราจะห้ามการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียทั้งหมด” ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาว

เหตุผลที่ไบเดนสามารถพูดจาฉะฉานเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าน้ำมันดิบจากรัสเซียมีสัดส่วนเพียง 3% ของการนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งหมด ในขณะที่ยุโรปยังไม่กล้าเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากทวีปนี้พึ่งพาพลังงานของรัสเซียเป็นอย่างมาก

หากระดับการพึ่งพาอาศัยกันของสหรัฐฯ มีมากเท่ากับยุโรป ไบเดนคงไม่กล้าโจมตีเส้นเหลือดใหญ่ (น้ำมันและก๊าซ) ของเศรษฐกิจรัสเซียอย่างแน่นอน

แม้ว่าการค้าน้ำมันและก๊าซระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่หลังจากประกาศของไบเดน ราคาน้ำมันดิบยังคงพุ่งขึ้น 7% และราคาน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า

เหตุผลก็คือธรรมชาติของตลาดพลังงานทั่วโลก ความตื่นตระหนกในภูมิภาคหนึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาในอีกครึ่งหนึ่งของโลก เมื่อไม่ซื้อน้ำมันรัสเซีย สหรัฐฯ จะต้องหาแหล่งอื่น เช่น กลุ่มประเทศ OPEC

ความต้องการใช้น้ำมันของกลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้น ทำให้องค์กรของพวกเขาต้องมีการปรับขึ้นราคา

ในปี 2021 รัสเซียผลิตน้ำมันได้ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นอันดับ 2 ของโลก ส่วนสหรัฐฯ อยู่ที่ 10.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มอัตราและยังมีปัญหาในการเพิ่มกำลังการผลิต

บริษัทพลังงานของสหรัฐหลายแห่งล้มละลายเมื่อราคาน้ำมันดิ่งลงสู่ระดับติดลบในเดือนเมษายน 2020 และนโยบายของไบเดนเป็นปัจจัยสำคัญในการจำกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลให้ได้รับแรงจูงใจในการลงทุนใหม่

ปัญหาที่แท้จริง: บริษัทน้ำมันกำลังพยายามดึงกำไรของพวกเขาคืน

เหตุผลที่แท้จริงที่การผลิตน้ำมันของสหรัฐที่ไม่ได้กลับสู่ระดับการผลิตสูงสุดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายพลังงานของไบเดน มากไปกว่าความต้องการของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ต้องการหารายได้

เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันกลับมาฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในช่วงกลางปี ​​2020 ผู้ผลิตจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้ถือหุ้นให้ “ทำกำไรเหนือการเพิ่มการผลิต” และ “คืนเงินสดให้ผู้ถือหุ้นแทนที่จะดึงเงินกลับเพื่อไปลงทุนในการขุดเจาะ” ตามรายงานของ Financial Times and Wall สตรีทเจอร์นัล ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ขยายการผลิตได้ล่าช้า

“ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน 150 ดอลลาร์ น้ำมัน 200 ดอลลาร์ หรือน้ำมัน 100 ดอลลาร์ เราจะไม่เปลี่ยนแผนการเติบโตของเรา” ซีอีโอของไพโอเนียร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำเพอร์เมียน ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตน้ำมันที่สำคัญของภาคตะวันตกเฉียงใต้ กล่าวในงาน Bloomberg เมื่อเดือนที่แล้ว 

Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum กล่าวในทำนองเดียวกันว่า บริษัทของเธอมุ่งเน้นไปที่การจ่ายเงินคืนให้กับนักลงทุน: “ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องคืนเงินสดให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้”

Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum (CR:GettyImage)
Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum (CR:GettyImage)

แรงจูงใจในการทำกำไรได้ส่งผลต่อกำลังการผลิตน้ำมันนอกสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน ประเทศในกลุ่ม OPEC ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะถดถอยยังคงจำกัดกำลังการผลิตเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วแม้ว่าจะมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดียให้ผลิตมากขึ้นก็ตาม

เพื่อสร้างรายได้ของพวกเขา พวกเขาเพิ่งเริ่มผ่อนปรนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงเล็กน้อย  ซึ่งในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีกำลังการผลิตน้ำมันสำรองอยู่ในมือและไม่ต้องการให้ราคาสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อไปกดดันอุปสงค์ทั่วโลก

บริษัทพลังงานในตะวันออกกลางที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันไม่ใช่บริษัทเดียวที่ล่ำซำ รายงาน ของ LA Times ระบุว่าปั๊มน้ำมันในแคลิฟอร์เนียบางแห่งที่เรียกเก็บ 7 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นการตั้งราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของรัฐและระดับประเทศมาก เนื่องจากพบว่า คนขับยินดีจ่าย แม้ว่าพวกเขาจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม

References : https://thehill.com/opinion/white-house/595706-biden-not-putin-to-blame-for-higher-gas-prices
https://www.nytimes.com/2022/03/10/us/politics/biden-putin-inflation.html
https://www.nytimes.com/2022/03/09/us/politics/fact-check-republicans-biden-gas.html
https://slate.com/news-and-politics/2022/03/dont-blame-biden-for-gas-prices.html
https://www.express.co.uk/news/science/1542279/joe-biden-gas-prices-us-outmanoeuvres-vladimir-putin-eu-gas-crisis-nord-stream-2

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 13 : Russia’s Revenge

ต้องบอกว่าหลังจากขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีของ Donald Trump เหล่า KGB ต่างชื่มชมยินดีในชัยชนะของ Trump ซึ่งสำหรับหลายๆ คน มันดูเหมือนเป็นการแก้แค้นให้กับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเลยด้วยซ้ำ

Putin ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดี เหล่าผู้นำที่ใช้นโยบายประชานิยมก็เพิ่มจำนวนขึ้นทั่วทั้งยุโรป ไม่มีอะไรจะดีกว่านี้สำหรับ Putin ที่ชัยชนะของ Trump มาพร้อม ๆ กับการออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร

‘แนวคิดเสรีนิยมมันล้าสมัยไปแล้ว มันขัดแย้งกับประชากรส่วนใหญ่อย่างท่วมท้น’ Putin กล่าวกับ Financial Times ในเดือนมิถุนายน 2019

เขากล่าวว่า ‘พวกเสรีนิยม ถึงคราวต้องตกต่ำ สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่เหมือนกับที่พวกเขาพยายามทำมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา’

ในที่สุดมันก็กลายเป็นชัยชนะของรัสเซีย ที่ใช้ความสามารถในทางลับของตนเองเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนที่มีอยู่ในตะวันตก เพราะหน่วยข่าวกรองทั้งหมดของรัสเซียที่กำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกโต้กลับตะวันตก

มาตรการเชิงรุกดังกล่าว ได้นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ข้อกล่าวหาที่ว่ารัสเซียมีส่วนสนับสนุน Trump นั้นอยู่ภายใต้การสอบสวน

การเปิดเผยโดยไม่เจตนาโดยที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศของ Trump ซึ่งเขารู้ล่วงหน้าว่ารัสเซียเข้าถึงอีเมล์ของ Hillary clinton ทำให้ FBI เปิดการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว และกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ๆ ของแวดวงการเมืองอเมริกา

ซึ่งหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ มีข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าหน่วยข่าวกรองของกองทัพรัสเซียได้แฮ็กเซิร์ฟเวอร์ของคณะกรรมการประชาธิปไตยแห่งชาติ และพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนที่มีต่อ Trump ผ่านการรณรงค์ทางโซเชียลมีเดีย

ซึ่งแม้จะมีนโยบายคว่ำบาตรใหม่ที่กำหนดโดยฝ่ายบริหารของ Trump ก็ตาม แต่ Trump เองก็ยังเป็นประธานาธิบดีในฝันของกลุ่ม KGB และ Putin ซึ่ง Trump แสดงความเคารพต่อ Putin และคนในแวดวงของเขาอย่างรวดเร็ว

ในการประชุมสำนักงานรูปไข่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเริ่มต้นตำแหน่งประธานาธิบดี เขาบอกกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย Sergei Lavrov และ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐอเมริกา Sergei Kislyak ว่าเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการเรียกร้องของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เรื่องการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากอเมริกาเองก็ทำแบบเดียวกันในที่อื่น ๆ ของโลก

ในระหว่างการหาเสียง Trump ได้โต้แย้งว่า NATO นัั้นล้าสมัย ในขณะที่บอกว่าเขาอาจยอมรับการผนวกไครเมียของรัสเซีย

หลังการเลือกตั้งเขาสนับสนุนอย่างแข็งขันให้นายกรัฐมนตรี Theresa May ของอังกฤษและตามด้วย Boris Johnson ผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ ให้ขยายความแตกแยกของสหราชอาณาจักรเพื่อออกจากสหภาพยุโรป โดยขู่ว่าจะระงับข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ

เขาประณามประเทศสมาชิก NATO อย่างต่อเนื่องด้วยการร้องเรียนว่าพวกเขาไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมใด ๆ เลย ความสัมพันธ์ของเขากับนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Angela Merkel ก็ย่ำแย่

ในปี 2019 เขาจะถอนทหารสหรัฐออกจากซีเรีย การเคลื่อนไหวที่จะละทิ้งพันธมิตรชาวเคิร์ดของสหรัฐฯ และทิ้งรัสเซียและอิหร่านเพื่อสร้างสุญญากาศให้เป็นผล

เขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ คาดเดาไม่ได้ และทุกคำพูดของเขาดูเหมือนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของอเมริกาภายใต้การดูแลของเขา

สถาบันประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ถูกกัดเซาะ และสังคมของสหรัฐฯ ก็มีความแตกแยกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อ Trump พบกับ Putin ในการประชุมสุดยอดครั้งแรกของพวกเขาที่เฮลซิงกิ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ได้เห็นภาพของ Trump ที่แซว Putin และเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีกับวิธีที่เขาจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่เพิ่งจบลงไป

โดยยกย่องผู้นำรัสเซียว่าเป็นคู่แข่งที่ดี และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับความพยายามของรัสเซียที่จะโน้มน้าวการเลือกตั้งสหรัฐฯ เขายักไหล่ว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคล

โดยได้ชี้ไปที่คำฟ้องของอัยการสหรัฐฯ เกี่ยวกับพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเขา ซึ่งเป็นอดีตพนักงานเสิร์ฟอาหารที่มีฉายาว่า “Putin’s Chef” อย่าง Yevgeny Prigozhin

Putin's Chef
Putin’s Chef” Yevgeny Prigozhin (ขวา) (CR:Commond.wikimedia.com)

ซึ่ง บริษัท Concord Management ของ Prigozhin ถูกกล่าวหาว่าดำเนินกิจการสร้างโทรลล์ทางอินเทอร์เน็ตซึ่งอยู่เบื้องหลังความพยายามออนไลน์เพื่อโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันให้สนับสนุน Trump

“พวกเขาไม่ใช่ตัวแทนของรัสเซีย” Putin กล่าว “นี่เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่ของรัฐ เป็นสิ่งเดียวกับที่อเมริกาก็ทำ โดยอ้างว่าไม่ใช่เรื่องของรัฐ เช่นการกระทำของ จอร์จ โซรอส ที่ให้เงินสนับสนุนองค์กรที่ปั่นป่วนการเมืองไปทั่วโลก ทำไมคุณถึงทำได้ล่ะ? สิ่งที่โซรอสทำมันก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลเหมือนกัน”

Putin มีท่าทีเยาะเย้ย กับการใช้คำว่า ‘เรื่องส่วนบุคคล’ เพราะมันเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ทำมานานแล้ว และ Trump ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่อเมริกาทำกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมานานมากแล้ว

ซึ่งแน่นอนว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของกลวิธีทั่วไปที่ KGB ปฏิเสธสำหรับการมีส่วนร่วมของเครมลิน เหมือนที่อเมริกาปฏิเสธการมีส่วนร่วม เมื่อโซรอส ให้เงินทุนไปทำอะไรบางอย่างในทางการเมืองกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ภายใต้ระบบทุนนิยม KGB ของเขา นักธุรกิจที่รายล้อมตัว Putin ได้กลายเป็นตัวแทนของรัฐ นับตั้งแต่ Mikkhail Khodorkovsky ถูกจับกุมในปี 2003

วิกฤติทางการเงินในปี 2008 ได้ทำให้กระบวนการเหล่านี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเศรษฐีพันล้านหลายคนของประเทศต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐ

บรรดามหาเศรษฐีที่เคยรู้จักในนามผู้มีอำนาจของรัสเซีย บัดนี้ได้กลายเป็นข้าราชบริพารแห่งเครมลินของ Putin ทุกการเคลื่อนไหวถูกติดตามอย่างใกล้ชิด โทรศัพท์ส่วนใหญ่ของพวกเขาถูกดักฟัง

พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบศักดินาซึ่งบทบาทของ Putin ในฐานะผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายระหว่างคู่แข่งที่ต่อสู้ในธุรกิจ เกือบทุกข้อตกลงที่มีมูลค่าสูง บางคนกล่าวว่ามากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ จำเป็นต้องมีการอนุมัติจาก Putin

มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจินตนาการว่านักธุรกิจชาวรัสเซียอาสาที่จะปลูกฝังนักการเมืองต่างชาติในนามของเครมลิน เพื่อแลกกับการที่ Putin อนุมัติใบอนุญาติมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ หรือเพียงเพื่อให้เขาไม่ต้องติดคุก

เครือข่ายเงินสดสีดำ ของรัสเซียดูเหมือนจะแทรกซึมไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กิจกรรมของพวกเขารวมกับการเพิกเฉยต่อสถาบันและหลักจรรยาบรรณของสหรัฐฯ ที่ Trump แทบจะไม่ใส่ใจอีกต่อไป

เมื่อ Trump ถูกจับได้ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2019 เพื่อขอให้ประธานาธิบดีคนใหม่ของยูเครน Volodomyr Zelensky พบกับ Giuliani และดำเนินการสอบสวน Biden

การกระทำหลายอย่างของ Trump แสดงให้เห็นถึงการละเมิดตำแหน่ง Trump ได้ขอร้องโดยตรงจากต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือเขาในการเลือกตั้งปีประธานาธิบดีในปี 2020

Trump ดูเหมือนจะแนะนำว่าความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ สำหรับยูเครนนั้นขึ้นอยู่กับเขา

สำหรับหลายๆ คน การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความเสื่อมโทรมของระบอบประชาธิปไตย และการบ่อนทำลาย ทุกอย่างที่นักการทูตสหรัฐฯ พยายามจะยืนหยัดต่อสู้อยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต

รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามที่จะสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยในยูเครนมาเป็นเวลานานและปกป้องมันจากการครอบงำของรัสเซีย

แต่สำหรับรัสเซียแล้วนั้น ดูจะยินดีกับความโกลาหลที่เกิดขึ้น มันฉายให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเมืองของอเมริกาและการสึกกร่อนที่เกิดขึ้นจากภายใน

ตั้งแต่เริ่มแรก เครือข่ายเงินสดสีดำ ของรัสเซีย ได้ถูกฝังไว้เพื่อกัดเซาะระบบ และทำให้การทุจริตรุนแรงขึ้นในตะวันตก มันชี้ให้เห็นว่ารัสเซียของ Putin ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตกมากมายเพียงใด

Putin เข้าใจดีว่า รัสเซียสามารถใช้จ่ายเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ตามต้องการ ในการสร้างความโกลาหลในโลกตะวันตก เขาแทบไม่เคยแคร์กับการคว่ำบาตร เพราะเขาได้เตรียมรับมือสิ่งเหล่านี้มานานมากแล้ว และสิ่งที่เขาทำมันก็คือสิ่งเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาเคยทำมาในอดีตผ่านระบบทุนนิยมเสรี

แต่ดูเหมือนว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ ระบบอำนาจแบบรวมศูนย์อย่างที่รัสเซียทำ และรัฐที่ทำหน้าที่คอยจัดการทุกอย่างนั้น กำลังจะเอาชนะอุดมการณ์ด้านประชาธิปไตยในโลกเสรีไปเสียแล้วนั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Vladimir Putin จาก Blog Series ชุดนี้

แน่นอนว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง ระบบการปกครองในรูปแบบดังกล่าว การยึดอำนาจแบบรวมศูนย์ สิ่งที่รัสเซียทำมันก็คล้ายๆ กับที่ประเทศจีนทำอยู่ มันสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งอเมริกาที่ว่ากันว่าเสรีนิยมแบบสุดโต่งก็ตาม สุดท้ายก็กำลังจะโดนประเทศอย่างจีนแซงด้วยสปีดที่เร่งการพัฒนาได้รวดเร็วมาก ๆ ด้วยการเติบโตของ GDP แบบก้าวกระโดด

ต้องเรียกได้ว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ประชาธิปไตยแบบเสรีทุนนิยมแบบโลกตะวันตก ทุกคนมีเสรีภาพ แต่การจะผลักดันเรื่องต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศนั้นมันก็ช้ากว่าเมื่อเทียบกับการมีอำนาจแบบรวมศูนย์ เพราะต้องแบ่งผลประโยชน์ให้กลุ่มต่างๆ ที่เท่าเทียมกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

รวมถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ๆ ยิ่งหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจในปี 2008 ความเหลื่อมล้ำในโลกเสรีประชาธิปไตยมันยิ่งเกิดช่องว่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนรวยก็ยิ่งรวยขึ้นจากเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย นักลงทุนจาก Wallstreet ต้นตอของการเกิดวิกฤติก็ล้มลงบนกองเงินกองทอง แทบจะไม่มีใครรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างจากประชาชนคนรากหญ้าที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินอย่างมหาศาลจากวิกฤติครั้งนั้น

รวมถึงเรื่องการจัดการนักธุรกิจในแบบที่จีนหรือรัสเซียทำ มันก็คือการตัดแบ่งเค้กความรวยของพวกเขามาช่วยเหลือคนหมู่มาก ซึ่งมันเป็นแนวคิดแบบอุดมคติ ซึ่งผสมผสานระหว่างทุนนิยมแบบโลกตะวันตก กับการใช้อำนาจแบบรวมศูนย์แล้วจัดการขั้นเด็ดขาดให้เหล่านักธุรกิจมาอยู่ใต้อาณัติของรัฐ

สถานการณ์ในปัจจุบันจากสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศยูเครนที่ถูกรุกรานจากรัสเซีย มันก็ชี้ให้เห็นถึงภัยที่กำลังคุกคามเสรีนิยมตะวันตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าระบบทุนนิยม KGB ที่เกิดขึ้น มันอาจเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ระบบที่ควบคุมอย่างเข้มงวดและการคอร์รัปชั่นได้แทรกซึมไปทุก ๆ หนแห่งในสังคม

ทุกการตัดสินใจทางด้านการเมือง และทุกข้อตกลงทางธุรกิจ กลุ่มคนวงในที่รายรอบอยู่ใกล้ตัวผู้นำตัวอย่างเช่น Putin มีอำนาจเหนือนักธุรกิจเกือบทุกคน การใช้กฎหมายที่เป็นสองมาตรฐาน การต่อสู้เพื่อแย่งชิงความมั่งคั่งของประเทศโดยเฉพาะจากทรัพยากรหลักอย่างน้ำมัน ที่เปรียบเสมือนเครื่องจักรหล่อเลี้ยงให้ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้

เช่นเดียวกับในสมัยโซเวียต รัสเซียของ Putin กำลังมุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานที่มีอิทธิพลและฟื้นฟูอิทธิพลของรัสเซียในต่างประเทศ ในขณะที่เริ่มละเลยที่จะพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ รัฐบาลของ Putin ใช้จ่ายเงินอย่างเปิดเผยมากยิ่งขึ้นในการแสดงอำนาจทางทหารในตะวันออกกลาง และสนับสนุนทางการเมืองสำหรับประเทศที่เป็นมิตร

ความท้าทายที่สำคัญของรัสเซียก็คือ เมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจใหม่ ซึ่งรอบหน้าจะเกิดขึ้นในปี 2024 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดวาระที่สองติดต่อกันในฐานะประธานาธิบดีของ Putin ตั้งแต่ที่เขากลับมาในปี 2012 เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้เขาลงจากตำแหน่ง แม้จะมีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อต่ออำนาจของ Putin แต่สุดท้ายเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องจากไปและทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง

ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นว่าใครจะมาแทนที่เขา การต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อแย่งชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นสูง มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากตระกูล Yeltsin ที่ไม่ได้มีความราบรื่นนัก และประเทศที่ผูกระบอบไว้กับคนก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง

แต่ก็ต้องบอกว่าโลกของเราผ่านการพัฒนามามากมายผ่านระบอบการปกครองมาหลายรูปแบบ ไล่มาตั้งแต่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในระยะแรกของการตั้งรัฐชาติในยุโรป ที่แต่ละรัฐต้องเผชิญกับปัญหาภายในทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีความจำเป็นต้องแก้ไขโดยผู้มีอำนาจอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้จึงเปิดโอกาสให้กษัตริย์มีอำนาจโดยสมบูรณ์ โดยอ้างว่ากษัตริย์ปกครองประเทศในรูปแบบผู้แทนโดยชอบธรรมของพระเจ้า

การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รุ่งเรืองมากในคริสตศตวรรษที่ 17 และเริ่มเสื่อมลงในคริสตศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการขยายตัวทางการค้าทำให้ชนชั้นกลางที่มั่งคั่งทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศได้เรียกร้องสิทธิทางการเมือง การปกครอง ผลการเรียกร้องดังกล่าวทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย

หรือแม้กระทั่งระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวียตที่ได้ล่มสลายไป เพราะไม่อาจต้านทานกระแสของโลกทุนนิยมจากฝั่งตะวันตกได้ จนเป็นที่มาของระบอบกึ่งทุนนิยมแต่อำนาจรวมศูนย์เหมือนที่รัสเซียและจีนกำลังทำอยู่ในตอนนี้

ซึ่งในอนาคต มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน อะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้เมื่อระเบียบโลกต่าง ๆ ถึงเวลาเปลี่ยนไปตามกาลสมัย อาจจะเป็นโลกเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐอเมริกาและยุโรป หรือ อีกฝั่งอุดมการณ์อีกแบบหนึ่งที่นำโดยจีนและรัสเซีย ซึ่งสุดท้ายเวลาจะเป็นคำตอบของทุกสิ่งนั่นเองครับผม

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 12 : Russia’s Soft Power

การปฏิบัติการเริ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในยูเครน นานก่อนที่สายลับรัสเซียจะแทรกซึมการบริหารงานของภูมิภาคทางตะวันออกของประเทศ ช่วยให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนเครมลินสามารยึดครองภูมิภาคได้อย่างง่ายดาย

นักการเมืองชาวยูเครนได้เตือนมานานแล้วถึงอำนาจกัดกร่อนของเงินสดสีดำของรัสเซีย ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวรู้สึกได้ในโครงการซื้อขายก๊าซที่เชื่อกันว่าได้ทุจริตและบ่อนทำลายการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนของ Viktor Yushchenko

ก่อนที่ภูมิภาคนี้จะถูกยึดครองโดยกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนเครมลิน นักบวชนิกายออร์โธดอกซ์ชาวรัสเซียจะสวดภาวนาให้มอสโกเพื่อช่วย ‘Holy Rus’ ซึ่งเป็นชื่อของแหล่งกำเนิดของจักรวรรดิรัสเซียที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อนในเคียฟ

ในบรรดาผู้มีอำนาจออร์โธด็อกซ์เหล่านี้ ได้แก่ Vladimir Yakunin อดีตหัวหน้าการรถไฟของ KGB รัสเซีย และ Konstantin Malofeyev ผู้ร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินในเจนีวา บุตรบุญธรรมของ Serge de Pahlen และ Jean Goutchkov ซึ่งมีฐานที่มั่นในเจนีวาที่มีความใกล้ชิดกับ Putin และ Gennady Timchenko ซึ่งเป็นพันธมิตรผู้ค้าน้ำมันของ Putin

Malofeyev เป็นผู้ก่อตั้งกองทุนเพื่อการลงทุน Marshall Capital ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วสามารถถือครองทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในด้านโทรคมนาคม ผู้ผลิตอาหารสำหรับเด็ก โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์

เขาได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลของรัสเซียออร์โธดอกซ์ ชื่อมูลนิธิ St Vasily the Great สนับสนุนการเผยแพร่ค่านิยมออร์โธด็อกซ์ และอุดิมการณ์อนุรักษ์นิยมทั่วทั้งประเทศยูเครน รวมถึงในยุโรปและอเมริกา

มูลนิธิ St Vasily the Great ของ Malofeyev จะกลายเป็นส่วนสำคัญในโครงการทางการเมืองที่กำลังเติบโตของเครมลินเพื่อขยายอิทธิพลของรัสเซีย และ Malofeyev จะเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อจักรวรรดิ์รัสเซียกับอำนาจตะวันตก

เครมลินได้เริ่มสร้างเครือข่ายขององค์กรพัฒนาเอกชนของรัสเซียและกลุ่มตัวแทนของรัฐที่พยายามหาทางที่จะยึดครองยูเครนก่อน จากนั้นจึงขยายไปสู่ตะวันตก

ภารกิจของพวกเขาคือการต่อต้านองค์กรนอกภาครัฐที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ เช่น National Endowment for Democracy, Freedom House และ Open Society ของจอร์จ โซรอส

KGB ของ Putin เชื่อว่ากลุ่มเหล่านี้สมคบคิดกับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เพื่อลดอิทธิพลของรัสเซียในยูเครน ในสายตาของเครมลิน การมุ่งความสนใจไปที่สิทธิมนุษยชน เสรีภาพพลเมือง และการสนับสนุนประชาธิปไตยนั้นไม่ได้มากไปกว่าการเยาะเย้ยถากถางที่จะดึงอดีตรัฐโซเวียต ซึ่งมอสโกถือว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของตนเสมอ เข้าสู่วงโคจรของกลุ่มตะวันตก

แทนที่จะเปิดกว้างแบบเสรีนิยมของโซรอส อย่างที่ Open Society พยายามที่จะส่งเสริม กลุ่มของ Putin ต้องการที่จะเพิ่มก้าวหน้าในอุดมการณ์โดยยึดตามค่านิยมสลาฟที่ใช้ร่วมกันของออร์โธดอกซ์รัสเซียซึ่งเทศน์เกือบจะตรงกันข้ามกับแนวคิดเสรีนิยมแบบของตะวันตก 

Russian Orthodoxy มองว่าตัวเองเป็นความเชื่อที่แท้จริงเพียงอย่างเดียว โดยที่ทุกสิ่งทุกอย่างถือเป็นบาป สิทธิส่วนบุคคลที่เทศนาต้องอยู่ภายใต้ประเพณีของรัฐและการรักร่วมเพศถือเป็นบาป

KGB ของ Putin ได้เลือกเหตุผลเชิงอุดมคติสำหรับแรงผลักดันในการฟื้นฟูอาณาจักรรัสเซีย โดยจะเจาะไปที่กลุ่มผู้คนที่รู้สึกว่าถูกทิ้งไว้ข้างทางท่ามกลางความวุ่นวายของโลกยุคโลกาภิวัตน์

มีการเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวกับรัสเซียในฐานะอาณาจักรยูเรเซียนที่จะเข้ามาแทนที่โดยชอบธรรมเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงหนึ่งเดียวของโลก เช่นเดียวกับ กรุงโรม พวกเขายึดถืออุดมการณ์ที่จะรวมพันธมิตรของพวกเขากับเสรีนิยมตะวันตก

Malofeyev และ Yakunin ได้ระดมทุนผ่านองค์กรการกุศล Russian Orthodox ที่เขาก่อตั้ง Andrei the First-Called ซึ่งตั้งชื่อตามอัครสาวกเซนต์แอนดรูว์ โดยเงินถูกเทลงในเว็บของหน่วยงานของรัฐที่สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริม Soft Power ของรัสเซียในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึง Rossotrudnichestvo และ Russky Mir หรือ Russian World ที่สร้างขึ้นในปี 2008 และ 2007 ตามลำดับ

Konstantin Malofeyev กลุ่มคนวงในของ Putin ที่ทำหน้าที่ส่งเสริม Soft Power ของรัสเซ๊ย (CR:Alchetron.com)
Konstantin Malofeyev กลุ่มคนวงในของ Putin ที่ทำหน้าที่ส่งเสริม Soft Power ของรัสเซ๊ย (CR:Alchetron.com)

พวกเขาดำเนินโครงการด้านวัฒนธรรมและภาษาสำหรับผู้พลัดถิ่นชาวรัสเซียและที่อื่น ๆ ทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมของเครมลิน

องค์กรตัวแทนอื่น ๆ จำนวนมากก็เริ่มดำเนินการเช่นกัน กลุ่มคอซแซครัสเซียของเยาวชนทหาร แก๊งค์นักปั่นที่รู้จักในนาม Night Wolves ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นกลุ่มกึ่งทหารกึ่งพลเรือน ได้รับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วจาก Putin เช่นเดียวกัน

ปฏิบัติการในยูเครนทำอย่างเงียบ ๆ เมื่อกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ฝักใฝ่รัสเซียก่อตั้งขบวนการทางการเมือง ‘สาธารณรัฐโดเนตสค์’ ในยูเครนตะวันออกในปี 2005 ไม่นานหลังจากการปฏิวัติสีส้มสิ้นสุดลง

กลุ่มเหล่านี้จัดการชุมนุมที่เรียกร้องให้โดเนตสค์ได้รับสถานะพิเศษของรัฐบาลกลางที่ใกล้ชิดกับรัสเซียมากขึ้น พวกเขาแจกแแผ่นพับซึ่งมีเนื้อหาประณามชาติยูเครนว่าเป็นฟาสซิสต์

เมื่อถึงจุดหนึ่งหลังจากคอยแทรกซึมเข้าไปทีละน้อย สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ภายในปี 2012 ขบวนการสาธารณรัฐโดเนตสค์ก็เพิ่มจำนวนมากพอที่จะทำการเปิดสถานทูตของตนเองในสำนักงานใหญ่ของขบวนการเยาวชนยูเรเซียนในกรุงมอสโก

เมื่อ Yanukovich หนีไปไม่นานหลังจากการลอบสังหารที่ Maidan เป้าหมายทางการเมืองของกลุ่มชายขอบก็กลายเป็นความจริง พวกเขาเข้าร่วมการบุกโจมตีอาคารบริหารของโดเนตสค์ โดยได้มีการชักธงรัสเซียขึ้นมาชั่วขณะ

แม้ว่าความพยายามครั้งแรกของพวกเขาในการประกาศตัวเองเป็นสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์จะอยู่ได้เพียงไม่นานก่อนที่พวกเขาจะถูกจัดการโดยตำรวจปราบจราจลของยูเครน

แต่ขบวนการสาธารณรัฐโดเนสตค์ก็เติบโตอย่างรวดเร็วจากผู้คนไม่กี่ร้อยคนในช่วงแรก ๆ ของเดือนมีนาคม 2014 เป็นจำนวนหลายพันคน ในขณะที่กลุ่มชาตินิยมรัสเซียหลั่งไหลข้ามพรมแดนเพื่อมาเข้าร่วมกับพวกเขา

ภายในเดือนเมษายน การประท้วงกลายเป็นการจราจลของทหาร เนื่องจากกลุ่มติดอาวุธสวมหน้ากากหลายร้อยคนได้บุกเข้ายึดอาคารรัฐบาลทั่วยูเครน

แต่เมื่อเดือนพฤษภาคม กองทหารยูเครนต่อสู้เพื่อเอาคืน สิ่งที่เริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็ก ๆ สองสามโหล กลายเป็นกองทัพของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนโปรเครมลินที่มีการจัดการอย่างดีและติดอาวุธประสิทธิภาพสูงในทันที

มีกลุ่มทหารที่มาจากมอสโกได้เข้าร่วมควบคุมสาธารณรัฐแบ่งแยกดินแดนใหม่ รัฐบาลรัสเซียยืนยันว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นอาสาสมัคร แต่สายสัมพันธ์ของพวกเขาบางคนกับผู้มีอำนาจที่สนับสนุนเครมลินดำเนินไปอย่างยาวนานและลึกซึ้ง

สงครามในยูเครน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 13,000 คน และกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่สำหรับประเทศตะวันตก จะไม่มีวันเกิดขึ้นหากปราศจากเงินสดของรัสเซีย บางส่วนเป็นผลจากแผนการฟอกเงินที่ซับซ้อนบางส่วนก็มาจากเงินอัดฉีดโดยตรง

และเป็น Malofeyev นี่เองที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น สำนักงานในมอสโกของเขาไม่เพียงแต่เป็นที่ตั้งของไอคอนโบราณมากมายและแผนที่ซาร์ที่หายากเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ทำงานของผู้ชายที่กลายมาเป็นผู้นำของการรุกรานยูเครนที่แอบแฝงของรัสเซีย

Malofeyev ปฏิเสธว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น นอกเหนือจากการจัดหาเงินทุนสำหรับผู้ลี้ภัยที่หนีการสู้รบ และกล่าวว่าความสัมพันธ์ของเขากับกลุ่มผู้นำกบฎนั้นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น

ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้หยุดลงไปเลยเมื่อสหรัฐฯ และยุโรปกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียในเดือนมีนาคม 2014 ในทางกลับกัน รัสเซียกลับเร่งและเพิ่มความพยายามที่จะแบ่งแยกฝั่งตะวันตกมากยิ่งขึ้น

แทนที่จะพยายามหาวิธีในการยกเลิกการคว่ำบาตร ดูเหมือนว่ารัสเซียไม่เคยแคร์สิ่งเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ พวกเขาเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้มานานมากแล้ว และกระสุนน้ำมันของพวกเขาก็ยังมีอย่างไม่จำกัดอีกด้วย

ในสมัยโซเวียต กลวิธีดังกล่าวเรียกว่า ‘มาตรการเชิงรุก’ และภายในปี 2014 เมื่อรัสเซียได้เสร็จสิ้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบทุนนิยมแบบรัฐที่สมบูรณ์แล้ว เครมลินก็พร้อมที่จะบุกเข้าสู่ฝั่งตะวันตกอีกครั้ง กลวิธีบางอย่างในยูเครนได้รับการฝึกฝนอย่างรวดเร็วโดยขยายไปสู่ยุโรปตะวันออกก่อนแล้วจึงขยายต่อไปทางตะวันตก เครือข่ายเก่ากำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และแนวรบใหม่กำลังถูกนำไปใช้

เป้าหมายของรัสเซียนั้นลึกซึ้งกว่าที่หลายคนคิดมาก คนของ Putin กำลังพยายามสร้างกลุ่มของตัวเองภายในยุโรป และล้มล้างภูมิทัศน์ทางการเมืองของทั้งทวีป และนักการเมืองจากกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาจัดในชาติต่าง ๆ ของยุโรป ก็เต็มใจที่จะรับเงินและอิทธิพลจากเครมลินเสียด้วย

ด้วยการสนับสนุนกลุ่มการเมืองทั้งทางซ้ายสุดและทางขวาสุด เครมลินจึงเกาะติดและปลุกกระแสความไม่พอใจที่เพิ่มสูงขึ้นในยุโรปตะวันออก ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปมาเกือบทศวรรษแล้ว

ความรุ่งเรืองของตะวันตกและลัทธิเสรีนิยมก็เริ่มเสื่อมลงอย่างชัดเจน และยุโรปฝั่งตะวันออกก็เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าสุดหรูและไอโฟนรุ่นล่าสุดไม่ต่างจากที่ฝั่งตะวันตกมี  ในตอนนี้วิญญาณในอดีตของสหภาพโซเวียต เครือข่ายของตัวแทนที่เคยทำงานกับ KGB ได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งสังคมยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กิจกรรมปั่นหัว ที่มอสโกพยายามทำทั่วยุโรปมาเป็นเวลานาน ในเยอรมนี Putin มีพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับอดีตนายกรัฐมนตรี Gerhard Schröder ซึ่งได้รับรางวัลมากมายจากการทำงานของเขาในการปกป้องการกระทำของ Putin ในยูเครนและซีเรีย รวมถึงเรื่องการปราบปรามประชาธิปไตยที่รัสเซีย 

และได้ร่วมมือกับ Matthias Warnig พันธมิตรที่ใกล้ชิดของ Putin จาก Stasi, ตัว Schröder เองก็อยู่ในคณะกรรมการของกลุ่มท่อส่งก๊าซ Nord Stream ซึ่งเป็นโครงการมูลค่า 14.8 พันล้านยูโรที่นำโดยรัสเซียเพื่อส่งออกก๊าซโดยตรงจากรัสเซียใต้ทะเลบอลติกโดยไม่ผ่านยูเครน 

ในอิตาลี Putin เป็นเพื่อนกับ Silvio Berlusconi มานานแล้ว ชายสองคนไปเที่ยวพักผ่อนที่ซาร์ดิเนียด้วยกัน และ Berlusconi ก็เป็นแขกประจำที่บ้านโซซีของ Putin 

Putin ที่เป็นเพื่อนซี้กับ Berlusconi (CR:Tass)
Putin ที่เป็นเพื่อนซี้กับ Berlusconi (CR:Tass)

Berlusconi ยังเป็นสมาชิกของเครือข่ายการเงินและอิทธิพลที่มีมาตั้งแต่สมัยโซเวียต เขายังทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายธนาคาร อันโตนิโอ ฟัลลิโก ผู้ซึ่งรู้จักการดำเนินการด้านเงินทุนต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างใกล้ชิด และธนาคาร Intesa ซึ่งยังคงเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ให้กับกลุ่มทุนนิยม KGB ของ Putin 

เมื่อรัฐสภาอิตาลีเปิดเผยความพยายามที่ชัดเจนโดยคนกลางที่เชื่อมโยงกับ Gazprom ในการหาช่องทางทำเงิน นั่นทำให้วิธีของ Berlusconi ถูกเปิดเผยโดยรัฐสภาอิตาลี นักการเมืองทั้งในพรรคของ Berlusconi และฝ่ายค้านบอกกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงโรมว่าพวกเขาเชื่อว่ามันไม่ใช่โครงการเครมลินเพียงโครงการเดียวที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของ Berlusconi

ในออสเตรีย Heinz-Christian Strache หัวหน้าพรรคเสรีภาพถูกบังคับให้ลาออกหลังจากมีวีดีโอรั่วไหลจากการประชุมที่ดื่มเหล้าที่วิลล่าในอิบิซ่า ซึ่งเขาได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้หญิงที่บอกว่าเธอเป็นหลานสาวของผู้ประกอบการด้านธุรกิจก๊าซในรัสเซีย

ในอังกฤษมีกระแสเงินสดรัสเซียมากมายที่หลั่งไหลเข้าสู่การเมืองของอังกฤษ รวมทั้งจากชายที่มีชื่อเสียงสองคนที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ KGB ซึ่งเคยบริจาคเงินจำนวนมากให้กับพรรค Tory ด้วย (พรรคอนุรักษนิยมของอังกฤษ)

หนึ่งในนั้นคือ Alexander Temerko ผู้ถือหุ้นของ Yukos เขาได้รับสัญชาติอังกฤษในปี 2011 และทุ่มเงินกว่า 1 ล้านปอนด์ให้กับกองทุน Tory

อีกคนคือ Nikolai Patrushev หัวหน้าคณะมนตรีความมั่งคงที่ทรงอำนาจ เขาดื่มไวน์และทานอาหารมื้อค่ำเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ Boris Johnson ซึ่งเป็นหัวหอกในการรณรงค์ให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป

แต่ดูเหมือนว่ากิจกรรมของรัสเซียส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่นักธุรกิจชาวอังกฤษซึ่งไม่เคยปรากฎตัวที่ไหนเลยเพื่อนำเงินทุนสำหรับการรณรงค์ที่ผลักดันให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป

หนึ่งในนั้นคือ Arron Banks เศรษฐีเงินล้านที่เริ่มสร้างความมั่งคั่งในธุรกิจประกันภัยแล้วขยายไปสู่เหมืองเพชรในแอฟริกาใต้

Banks เป็นผู้ให้ทุนรายใหญ่ที่สุดของแคมเปญ Leave.EU โดยบริจาคเงิน 8.4 ล้านปอนด์ ซึ่งแหล่งที่มาของเงินก็ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เนื่องจากความอ่อนแอของกฎหมายของสหราชอาณาจักร ซึ่งเปิดทางให้ทุนจากต่างประเทศเข้าสู่การเมืองของสหราอาณาจักรได้แบบง่ายดาย

เงินเดิมพันเหล่านี้ถูกวางไว้สำหรับการแบ่งแยกพันธมิตรตะวันตก ในขณะที่ยุโรปกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดนับแต่แต่สิ้นสุดสงครามเย็น

ต้องบอกว่ากลวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ Yakunin และคนอื่น ๆ ในวงในของ Putin ได้ใช้มานานแล้ว ในอดีต Yakunin ได้เข้าร่วม KGB ในแผนกต่อสู้กับผู้เห็นต่าง ต่อต้านเกย์ หรือกับใครก็ตามที่คิดต่าง

บัดนี้พวกเขาได้ใช้กลอุบายเดียวกันเพื่อแทรกซึมการเมืองตะวันตก การเชื่อมโยงกับ World Congress of Families เป็นหนึ่งในความพยายามให้ประชาชนของ Putin ก้าวเข้าสู่แนวร่วมกลุ่มอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ

Yakunin ยังได้สร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ Dana Rohrabacher สมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับรีกัน ซึ่งเป็นที่รู้จักดีจากความคิดเห็นที่สนับสนุน Putin ของเขา

ขณะที่ Malofeyev และ Serge de Pahlen กำลังสร้างความสัมพันธ์กับ Rand Paul วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันซึ่ง Ron Paul ผู้พ่อเป็นเสรีนิยมที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่ม Tea Parry (กลุ่มอนุรักษนิยมเชิงเสรีนิยมของสหรัฐอเมริกา)

กลวิธีเหล่านี้ถูกดึงออกจากตำราอีกครั้งในสมัยโซเวียต เมื่อ KGB แทรกซึมขบวนการต่อต้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และการประท้วงต่อต้านสงครามเวียดนาม

แต่ตอนนี้พันธมิตรของ Putin กำลังดึงดูดฐานประชานิยม เพื่อสร้างอคติต่อผู้อพยพและชนกลุ่มน้อย มันเป็นการสื่อสารที่เย้ายวนใจสำหรับคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยกระแสโลกาภิวัฒน์และทุนนิยมสุดโต่งของตะวันตก

มันทำให้คนหลายกลุ่มเริ่มหวนคิดถึงสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นวันที่เรียบง่ายกว่าเดิม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ความผิดพลาดทางการเงินในปี 2008 ซึ่งได้เพิ่มความเหลื่อมล้ำและการแบ่งแยกระหว่างคนรวยและคนจนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อรองประธานาธิบดี Biden (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ส่งเสียงเตือนในปี 2015 โลกก็ค้นพบว่าในไม่ช้าภัยคุกคามต่อความสามัคคีของชาวตะวันตกมีความลึกซึ้งและถูกแทรกซีมเข้ามาไกลเกินที่จะแก้ไขได้ง่ายๆ เสียแล้ว

จุดอ่อนของระบบการเมืองตะวันตกได้ทิ้งรอยร้าวขึ้นในสังคมอย่างลึกซึ้ง ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นและการเมืองที่เข้มงวดซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากวิกฤติการเงินในปี 2008 ได้ทำให้ชาติตะวันตกเปิดกว้างต่อยุทธวิธีใหม่เชิงรุกของรัสเซียในการเติมเชื้อเพลงให้ฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายสุดในโลกตะวันตกมากยิ่งขึ้น

และเมื่อสหราชอาณาจักรตื่นขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2016 เนื่องด้วยผลการลงประชามติที่น่าตกใจที่เสียงข้างมากสนับสนุนให้ออกจากสหภาพยุโรป

การแทรกซึมหลังสงครามเย็นได้เข้าสู่ดินแดนที่ไม่อาจคาดคิดว่าจะเข้าถึงได้แม้กระทั่งใน สหราชอาณาจักร หรือ สหรัฐอเมริกา

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 จะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะได้รู้ว่าอำนาจของพวกเขามีมากมายเพียงใด ความรู้สึกที่แพร่หลายว่าชนชั้นปกครองได้ละทิ้งและลืมพื้นที่ใจกลางอเมริกาและชนชั้นแรงงาน ได้เปิดทางให้เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงกลายเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับรีกัน

“หาก Donald Trump ชนะ เขาจะฝัง EU” Alexander Temerko อดีตมหาเศรษฐีด้านอาวุธของรัสเซียซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสมาชิกชั้นนำของของ แคมเปญ Brexit ของสหราชอาณาจักรกล่าว

“และ Donald Trumb จะเป็นพันธมิตรใหม่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของรัสเซียนับจากนี้”

–> อ่านตอนที่ 13 : Russia’s Revenge (ตอนจบ)

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 11 : The Empire Strikes Back

สถานการณ์ที่โลกเราอยู่ในภาวะสงครามเย็นต้องบอกว่าไม่เคยสิ้นสุดจริง ๆ การฟื้นฟูอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซีย เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนผ่านรัสเซียไปสู่ระบบตลาดเสรี กลุ่มของ KGB มองว่าทุนนิยมเป็นเครื่องมือสำหรับวันหนึ่งที่รัสเซียจะปีนป่ายไปสู้กับตะวันตก

แต่การรุกล้ำทางตะวันตกผ่าน NATO เข้าใกล้พรมแดนรัสเซียมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นภัยคุกคามที่มีอยู่จริง ในขณะที่กระบวนการประชาธิปไตยที่ล้มล้างรัฐบาลที่สนับสนุนรัสเซียในยูเครนและจอร์เจียถูกมองว่าเป็นการปฏิวัติที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ ไม่ใช่การแสดงออก หรือ เป็นเจตจำนงที่เสรีของประชาชนอย่างแท้จริง

ความหวาดระแวงนี้เกิดขึ้นจาการล่มสลายของจักรวรรดิ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความพ่ายแพ้อันขมขื่นของระบอบคอมมิวนิสต์

Putin ได้ตำแหน่งที่ชัดเจนที่สุดเมื่อเขาพูดคุยกับผู้นำโลกเป็นครั้งแรกในการประชุมความมั่นคงที่มิวนิคเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2007

หลายคนต่างเชื่อว่านี่จะเป็นปีสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เพราะกำลังจะครบเทอมในวาระที่สอง และตามรัฐธรรมนูญเขาต้องก้าวลงจากตำแหน่ง

ในช่วงปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งในวาระที่สอง เขาได้โจมตีการขยายตัวของ NATO ไปยังประเทศต่าง ๆ ของสนธิสัญญาวอร์ซอในอดีต เขาประณามแผนการของอเมริกาในการสร้างเกราะป้องกันขีปนาวุธในโปแลนด์และสาธารณรัฐเช็ก

สหรัฐฯ อ้างอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่า สิ่งนี้จำเป็นในการปกป้องยุโรปจากขีปนาวุธจากอิหร่านและเกาหลีเหนือ แต่รัสเซียไม่ได้มองอย่างงั้น เกราะป้องกันนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อบ่อนทำลายขีดความสามารถของรัสเซียในการโจมตีด้วยนิวเคลียร์เพียงเท่านั้น

คำด่าของ Putin จบลงด้วยการเตือนตะวันตก ว่ามันเป็นระบบที่มีสองมาตรฐาน สหรัฐฯ ใหญ่มาจากไหนถึงครอบงำทุกอย่างได้แต่เพียงผู้เดียว “นี่มันไม่ใช่โลกของสหรัฐฯเพียงประเทศเดียว ที่ทำทุกอย่างแล้วถูกต้องไปหมด”

Putin ได้สังเกตเห็นโลกอย่างเงียบ ๆ ว่า กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศที่เรียกว่า BRIC ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ทั้งบราซิล รัสเซีย อินเดีย และ จีน กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังท้าทายเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว

ทว่าในสิ้นปีนั้น ชาติตะวันตกตั้งความหวังในชายที่ Putin หวังให้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาอย่าง Dmitry Medvedev

Medvedev อดีตทนายความร่างจิ๋วที่พูดจาแผ่วเบา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองจาก Putin ตั้งแต่สมัยอยู่ที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Medvedev เป็นพวกเสรีนิยมที่ประกาศตัวว่าเป็นพวกเสรีนิยมแบบสุดขั้ว เขาเติบโตมาในย่านชานเมืองของเลนินกราดในฐานะหนอนหนังสือ เขาสนใจทั้งงานวรรณกรรมคลาสสิกและเพลงร็อคตะวันตก

เขาได้ให้คำมั่นว่าจะลดบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจ ฝ่ายตะวันตกก็เริ่มมีความหวังว่ารัสเซียจะกลับไปสู่เส้นทางการเป็นเศรษฐกิจแบบตลาดปกติหลังจากมีการเปลี่ยนผ่านผู้นำเป็น Medvedev

ซึ่งไม่นานหลังจาก Barack Obama เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2008 สหรัฐฯ ได้ประกาศการรีเซ็ตความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่ แม้กระทั่งหลังความขัดแย้งทางการทหารของรัสเซียกับจอร์เจียอดีตเพื่อนบ้านโซเวียตที่เอนเอียงไปทางตะวันตกในเดือนสิงหาคม 2008

ต้นเดือนนั้น การสู้รบระหว่างกองทัพจอร์เจียและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในสาธารณรัฐเซาท์ออสซีเซียซึ่งใช้อาวุธหนักของรัสเซียได้ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นสงครามห้าวัน

รัสเซียและจอร์เจียต่างตำหนิกันและกัน ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างควบคุมไม่ได้ เครื่องบินรัสเซียทิ้งระเบิดใส่ตำแหน่งของกองทหารจอร์เจีย ในขณะที่รถถังของรัสเซียเคลื่อนเข้าสู่ดินแดนจอร์เจีย

ความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่ดินแดนขนาดใหญ่ที่ถูกแยกออกจากจอร์เจีย รัสเซียยอมรับเอกราชของเซาท์ออสซีเพียงฝ่ายเดียว

ในตอนนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นว่าการตอบสนองเชิงรุกของรัสเซียแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ในการจัดการกับปัญหา หากประเทศเพื่อนบ้านเรือนเคียงคิดจะเข้าร่วมกับ NATO

แม้จะมีการรุกราน รัฐบาลชุดใหม่ของ Barack Obama ก็ส่งสัญญาณว่าต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ การทะเลาะวิวาทต้องหยุดลง

Medvedev แสดงความปรารถนาของรัสเซียที่จะรวมเข้ากับระบบการเงินโลก และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในความพยายามอย่างเต็มที่กับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปแลพันธมิตรอื่น ๆ และต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างสถาปัตยกรรมการเงินโลกใหม่

ประเด็นสำคัญประการหนึ่งในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาคือการผลักดันให้มอสโกเป็น “ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ” แห่งใหม่

ในระหว่างการเยือนมอสโกครั้งแรกของ Obama ในปี 2009 เขาและ Medvedev ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี และเมื่อ Medvedev เดินทางไปสหรัฐฯ ในปีต่อไป ความสัมพันธ์ทางธุรกิจของทั้งสองประเทศก็มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

 Obama เยือนมอสโกในปี 2009 เขาและ Medvedev ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี (CR:The Guardian)
Obama เยือนมอสโกในปี 2009 เขาและ Medvedev ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี (CR:The Guardian)

Medvedev พยายามสร้างตัวตนให้เป็นคนที่ทันสมัย เป็นคนรุ่นใหม่ที่ใช้ iPad ใช้ทวิตเตอร์ เขาไปที่ซิลิคอนแวลลีย์โดยแสดงความหวังที่จะแสวงหาความร่วมมือในการช่วยพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของรัสเซีย

แต่หลังจากก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี Putin ก็เข้ามาแทนที่ Medvedev ในฐานะนายกรัฐมนตรี และเบื้องหลังการจัดการทั้งหมดเขาก็เป็นคนดำเนินการ Medvedev ตัดสินใจอย่างอิสระเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น

Putin เลือกให้ Medvedev สืบทอดตำแหน่งของเขาเพราะในบรรดาคนวงในทั้งหมดของเขานั้น Medvedev มีโอกาสน้อยสุดที่จะท้าทายอำนาจเขา มันเป็นแผนการตั้งแต่แรกเพื่อให้ Putin กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหลังจาก Medvedev ลงจากตำแหน่ง

และแทนที่จะเป็นการเปิดเสรีตามความหวังของ Medvedev สิ่งที่เกิดขึ้นจากการปกครองสี่ปีของเขากลับกลายเป็นระบบรัฐที่เข้ามายึดครองเศรษฐกิจยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

ภายใต้ตำแหน่งประธานาธิบดีของ Medvedev เงินหลายพันล้านดอลลาร์ของรัฐบาลถูกเทลงในโครงการเรือธงของรัฐที่จะทำให้เศรษฐกิจมีความทันสมัย

อย่างแรกคือโครงการที่มีชื่อว่า Rosnano ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์บ่มเพาะเพื่อพัฒนานาโนเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสาขาที่ Putin เชื่อว่ามีความสำคัญในการแข่งขันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการทหารและปัญญาประดิษฐ์ของตะวันตก

หรือโครงการที่มีชื่อว่า Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างขึ้นโดย Medvedev ในปี 2010 โดยวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการพัฒนาการเริ่มต้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งกิจการทั้งสองกลายเป็นหลุมดำขนาดมหึมาในการทุ่มใช้เงินของรัฐบาล

ทั้งสองโครงการยักษ์แทบจะไม่มีการกำกับดูแลหรือมีความโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีการใช้จ่าย เมื่อ Rosnano ลงทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ และ Skolkovo ได้กระชับความร่วมมือในซิลิคอนแวลลีย์ และกับสถานบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หรือ MIT

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ เริ่มกังวลว่ารัสเซียกำลังหวนคืนสู่วิถีดั้งเดิมของสงครามเย็น FBI ได้เตือนผู้นำด้านเทคโนโลยีในบอสตันว่าในความเป็นจริงโครงการของรัฐรัสเซียเป็นเหมือนหน่วยงานแนวหน้าที่ซับซ้อนซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเข้าถึงเทคโนโลยีการทหารของอเมริกา

หลังสี่ปีในตำแหน่งประธานาธิบดีของ Medvedev ในที่สุด Putin ก็กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง และในวาระที่สามของ Putin ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะทวีความดุเดือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ครั้งแรกที่เครมลินส่งสัญญาณว่ารัสเซียอาจกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งกับยูเครนได้เกิดขึ้นเร็วมาก

ในเดือนกันยายาน 2013 Viktor Yanukovych ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรจากการปฏิวัติสีส้ม รวมถึงอดีตประธานาธิบดี Yushchenko ถูกจัดการจากข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตภายหลังข้อตกลงเกี่ยวกับก๊าซในปี 2006

แม้ว่าตัว Yanukovych จะเอนเอียงไปทางฝั่งเครมลิน แต่เขาก็ยังมีการเจรจาเกี่ยวกับการลงนามในข้อตกลงการค้าและความร่วมมือกับสหภาพยุโรปที่จะกระชับความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของยูเครนกับตะวันตก

Yanukovych มีกำหนดจะลงนามในข้อตกลงขอสหภาพยุโรปในเดือนพฤศจิกายน และเมื่อถึงเวลาที่ใกล้ลงนาม ระบอบการปกครองของ Putin ก็เริ่มกดดันเขา

ในเดือนกันยายนปีนั้น Sergei Glazyev ทูตของเครมลินได้เตือนต่อสาธารณชนว่ายูเครนต้องเผชิญกับหายนะหากได้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าว

ความคาดหวังที่มีมาอย่างยาวนานว่าในที่สุดยูเครนจะเอนเอียงไปทางทิศตะวันตกได้ถูกทำลายอีกครั้ง ก่อให้เกิดการประท้วงที่สนับสนุนสหภาพยุโรปที่เพิ่มจำนวนขึ้น ผู้คนหลายแสนคนพากันออกมาชุมนุมตามท้องถนนอีกครั้ง

นักศึกษาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจในยูเครนเบื่อหน่ายกับการคอร์รัปชั่นของระบอบการปกครองของ Yanukovych ได้เริ่มตั้งเต็นท์อีกครั้งที่จตุรัส Maidan อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเคียฟ

เป็นเวลาสามเดือนที่กลุ่มประท้วงหลักยึดติดอยู่กับน้ำแข็งและหิมะ บางครั้งมีการปะทะกับตำรวจปราบจราจลในขณะที่ฝ่ายบริหารพยายามเคลียร์พื้นที่ ความรุนแรงทวีความรุนแรงมากขึ้น

Yanukovych ออกกฎหมายที่เข้มงวดห้ามการประท้วงและข่มขู่ผู้ประท้วงด้วยค่าปรับจำนวนมากรวมถึงโทษจำคุก

ผู้ประท้วงถูกกองกำลังฝ่ายขวาหัวรุนแรงแทรกซึมซึ่งมีการจัดระเบียบมากขึ้นเรื่อย ๆ นำโดยกลุ่มชาตินิยมที่ควบคุมเครื่องกีดขวางรอบจตุรัส แม้จะติดอาวุธด้วยเครื่องยิงหนังสติ๊ก พวกเขาอยู่ในแนวหน้าของการปะทะกับตำรวจปราบจราจล

ในช่วงเช้าของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2014 เกิดเหตุสไนเปอร์ขึ้น ภายในสองชั่วโมง ผู้ประท้วงสี่สิบหกคนเสียชีวิต จนถึงสิ้นวัน ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งถึงเจ็ดสิบราย

Yanukovych กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเรื่องวิกฤติเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของเขากับรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน และโปแลนด์ การเจรจาสิ้นสุดลงโดยผู้นำยูเครนตกลงที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนสิ้นปี

แต่ทางเครมลินดูเหมือนจะไม่พอใจ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียคนหนึ่งบอกกับ Financial Times ว่า หากยูเครนยังคงเอียงไปทางตะวันตก รัสเซียก็พร้อมที่จะทำสงครามกับแหลมไครเมียเพื่อปกป้องฐานทัพทหารที่นั่นรวมถึงประชากรที่มีชาติพันธุ์รัสเซีย

โลกตื่นขึ้นเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ Yanukovych ได้หลบหนีไปกลางดึก ละทิ้งการบริหารของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อว่าเขาไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

ผู้นำฝ่ายค้านที่หัวรุนแรงปฏิเสธที่จะยอมรับข้อตกลงประนีประนอมกับเขา โดยจะประท้วงต่อไปจนกว่าเขาจะออกไป และในช่วงสุญญากาศนั่นเองที่รัฐบาลชั่วคราวที่สนับสนุนโดยสหภาพยุโรปเข้ามามีอำนาจ

แต่ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ก่อนรุ่งสางวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ทหารสวมหน้ากากไม่สวมเครื่องราชอิสริยาภรณ์บุกรัฐสภาไครเมีย ชักธงรัสเซียขึ้นเหนืออาคารยุคโซเวียต

ทหารรัสเซียบุกเข้าไปในไครเมีย (CR:UNIAN)
ทหารรัสเซียบุกเข้าไปในไครเมีย (CR:UNIAN)

มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีใหม่ของภูมิภาค และเรียกร้องให้มีการลงประชามติร่วมกับรัสเซีย

ในขณะเดียวกัน กองทหารรัสเซีย 150,000 นายระดมกำลังใกล้ชายแดนยูเครน ชาติตะวันตกกำลังสั่นคลอนจากการกระทำที่กล้าหาญของระบอบ Putin รัสเซียให้เหตุผลกับพวกเขาโดยอ้างว่าถูกบังคับให้ตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเพื่อตอบโต้การรัฐประหารที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนในเคียฟ

สำหรับ Putin การผนวกไครเมียเป็นช่วงเวลาที่เหมือนเป็นการประกาศก้องให้โลกรู้ว่า เขากำลังประกาศระเบียบโลกใหม่หลังยุคสงครามเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัสเซียเริ่มท้าทายสหรัฐฯ อีกครั้ง

หลังจากที่ไครเมียลงคะแนนเสียงสนับสนุนให้เข้าร่วมกับรัสเซียอย่างท่วมท้น Putin ก็ได้รับการต้อนรับด้วยการปรบมืออย่างก้องเกียรติ

ตอนนี้เขากำลังดำเนินการเพื่อฟื้นฟูอาณาจักรรัสเซียเป็นครั้งแรก ความนิยมของ Putin ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 80

ฝ่ายตะวันตกต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับความแน่วแน่ของรัสเซียในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ระหว่างการทำสงครามชนะจอร์เจียช่วงสั้น ๆ ในปี 2008 ความกลัวก็คือสงครามตัวแทนของรัสเซียจะแพร่กระจายไปยังยุโรป ไม่มีใครเข้าใจว่า Putin กำลังคิดใหญ่แค่ไหน

สหภาพยุโรปร่วมมือกับอเมริกาคว่ำบาตรรัสเซียทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นรัสเซียก็ฟื้นตัวในไม่ช้า และกองทหารรัสเซียไม่ยอมแพ้ ยังมีกองกำลังอยู่ใกล้ชายแดนยูเครน

ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น นักสู้พร็อกซี่ ซึ่งรัสเซียยืนยันว่าเป็น อาสาสมัคร เริ่มมุ่งหน้าไปยังยูเครนตะวันออก เข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัสเซียในท้องถิ่นจำนวนมากที่ติดตั้งยุทโธปกรณ์ทางทหารของรัสเซีย

เมื่อถึงเดือนเมษายน พวกเขาก็เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารในภูมิภาคยูเครนตะวันออกของโดเนตสค์ ลูกันสค์ และสโลเวียนสค์ สำหรับรัฐบาลตะวันตกและฝ่ายบริหารของยูเครน สถานการณ์ดูคล้ายคลึงกันอย่างมากกับวิธีที่หน่วยรัสเซียที่ไม่ปรากฎชื่อเข้ายึดครองและผนวกไครเมีย

ผลจากการคว่ำบาตรแม้เงินรูเบิลจะลดลงในเดือนธันวาคม 2014 แต่ในที่สุดเศรษฐกิจของประเทศก็ฟื้นตัวขึ้นได้

รัฐบาลรัสเซียได้ขุดเอาส่วนหนึ่งของกองทุนรักษาเสถียรภาพซึ่งได้รวบรวมจากรายได้จากน้ำมันมาเกือบทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับรัฐที่้ต้องใช้เงินทุนมากที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดดูเหมือนว่าฝ่ายตะวันตกประเมินขอบเขตเศรษฐกิจนอกระบบของรัสเซียต่ำเกินไปเสียแล้ว

ต้องบอกว่าหากในยุคสหภาพโซเวียตได้มีการดำเนินกิจการที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในตะวันออกกลางและแอฟริกา ตอนนี้ทุนนิยม KGB ของ Putin ก็ได้แทรกซึมเข้าไปในยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับรัฐบาลยูเครน สิ่งที่เครมลินทำกับประเทศของพวกเขาคือการเตือนว่ารัสเซียสามารถขยายอาณาจักรต่อไปได้เรื่อย ๆ หากยูเครนยังคิดจะยอมก้มหัวให้กับตะวันตก และที่สำคัญมันได้แสดงให้เห็นว่าจักรวรรดิรัสเซียพร้อมที่จะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งนั่นเองครับผม

–> อ่านตอนที่ 12 : Russia’s Soft Power

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ