ยุค AI แล้วไง? เมื่อโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคทองของคนทำงาน

ต้องบอกว่าแม้ยุค AI กำลังจะบูมถึงจุดสูงสุด เทคโนโลยีอย่าง Generative AI กำลังเข้ามาแย่งงานจากผู้คนจำนวนมากในหลากหลายอาชีพ แต่ยุคทองของการทำงานจริง ๆ กำลังจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานทางกายภาพซึ่งยากต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี

รายงานจาก World Economic Forum แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเครื่องจักร AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงาน 85 ล้านตำแหน่งในปี 2025 แต่ก็จะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นมา 97 ล้านตำแหน่งในปีเดียวกัน

ย้อนกลับไปในยุคพีคที่สุดของการย้ายฐานการผลิตในปี 2015 ในช่วงที่ประชากรวัยทำงานจากประเทศจีนอยู่ในระดับจุดสูงสุดถึง 998 ล้านคน

บริษัทจากโลกตะวันตกส่วนใหญ่ต่างข่มขู่แรงงาน ขูดรีดเงินเดือน ค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยขู่ว่าจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน เพื่อบีบค่าแรงให้ต่ำลง

แต่ตัดภาพมาถึงวันนี้ ประชากรวัยทำงานของจีนกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ก็ประสบปัญหาในการสร้างขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรม

ความไม่แน่นอนโดยเฉพาะปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทำให้การจ้างงานในต่างประเทศลดน้อยลง โลกตะวันตกเองกำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยเฉพาะจำนวนประชาการที่มีอายุระหว่าง 20-54 กำลังสูญหายไป

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ใน 41 ประเทศโดย ManPowerGroup พบว่า 77% ของบริษัทส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2015

สองในสามของโรงงานอุตสาหกรรมในโปแลนด์มีการรายงานว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักต่อการผลิต

ในเยอรมนี บริการขนส่งสาธารณะถูกลดจำนวนลงไปเพราะขาดพนักงานขับรถและพนักงานรถไฟ ในเกาหลีใต้ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงทำงานต่อเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนแรงงาน โดย 59% ของประชากรอายุ 55 ถึง 79 ปี ยังคงทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 53% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

การสำรวจบริษัทขนาดเล็กในอเมริกาพบว่า มากกว่า 90% พยายามรักษาพนักงานไว้หากเป็นไปได้ ในเยอรมนีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมีการโฆษณารับสมัครงานที่ศูนย์จัดหางานกว่า 730,000 ตำแหน่ง ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุด

ส่วนใหญ่ของประเทศกลุ่ม OECD รวมถึงอเมริกาและฝรั่งเศส ต้องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสีเขียว ลดการพึ่งพาจีน และสร้างงานใหม่ ๆ

ด้วยยุคทองของตลาดแรงงานกระตุ้นให้สหภาพแรงงานเรียกร้องวันหยุดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนายจ้างต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก ในขณะที่พวกเขากำลังประสบสภาวะขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว

คนงานเหล็กในเยอรมนีเรียกร้องให้ลดเวลาทำงานลงเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในสเปนรัฐบาลใหม่ต้องตัดเวลาทำงานมาตรฐานที่ราว ๆ 40 ชั่วโมงลง 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งแม้แต่ชาวอเมริกันก็ต้องการทำงานน้อยลง

เทคโนโลยีกับตลาดแรงงาน

นายจ้างหลายรายหวังว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเขา เทคโนโลยี AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เมื่อก่อนอาจจะเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีเหล่านี้

Dean Alderucci จากมหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลอน และเพื่อนร่วมงานได้ใช้ข้อมูลจากสิทธิบัตรอเมริการะหว่างปี 1990 ถึง 2018 พบว่าบริษัทที่นำ AI ขั้นพื้นฐานมาใช้มีอัตราการเติบโตของการจ้างงานสูงขึ้น 25% และรายได้เพิ่มขึ้น 40%

หากเทคโนโลยีช่วยเหลือพนักงานบริการ เช่น ในศูนย์ Call Center ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นทำให้ประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้นด้วย

งานวิจัยใหม่โดย Erik Brynjolfsson จาก MIT พบว่าเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากบอท AI พนักงานเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาได้มากขึ้นถึง 14% ต่อชั่วโมง โดยพนักงานที่มีผลงานต่ำ ๆ จะได้รับประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้มากที่สุด

พนักงานบางกลุ่มจะได้รับประโยชน์จาก AI มากกว่า เช่น แพทย์หรือทนายความ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจระดับสูงที่มีความเสี่ยงในสถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งมันอาจไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป การตัดสินใจเหล่านี้จึงต้องการการฝึกฝนอย่างหนักและประสบการณ์ ซึ่ง AI อาจช่วยคนเหล่านี้ไปถึงระดับความเชี่ยวชาญที่จำเป็น

ซึ่ง AI จะนำพาผู้คนจำนวนมากเข้าสู่งานที่ต้องการความเชี่ยวชาญที่ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น จินตนาการว่าพยาบาลสามารถที่จะช่วยเหลือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้มากยิ่งขึ้น หรือ โปรแกรมเมอร์มือใหม่ที่สามารถรับงานโหด ๆ ได้มากขึ้นพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

ค่าตอบแทนน้อยลงแต่ได้รับผลผลิตที่สูงขึ้น

ต้องบอกว่าคนงานในงานที่ได้รับผลกระทบจาก AI อาจะได้รับประโยชน์จากผลผลิตที่สูงขึ้นของพวกเขา เพราะสามารถรับจำนวนลูกค้าได้มากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนจากงานแต่ละงานน้อยลงไปก็ตาม

ผลผลิตที่สูงขึ้นนำไปสู่อุปสงค์ที่มากขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากมีหุ่นยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในการผลิตโทรศัพท์มือถือ การใช้หุ่นยนต์ก็จะนำไปสู่โทรศัพท์ที่มีราคาถูกลง

อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และการผลิตที่มากขึ้นส่งผลต่อจำนวนงานของเหล่านักออกแบบโทรศัพท์และนักเขียนแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย

การศึกษาล่าสุดโดย Daron Acemoglu จาก MIT โดยใช้ข้อมูลระหว่างปี 2009 ถึง 2020 พบว่าการใช้หุ่นยนต์หมายความว่าค่าจ้างจะเพิ่มสูงขึ้นสำหรับเหล่าคนงานที่ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และประโยชน์เหล่านี้ยังแพร่กระจายไปยังบริษัทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

บทสรุป

เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้มีกิจกรรมที่ไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ระหว่างปี 1980 ถึง 2010 ประมาณครึ่งหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากการเติบโตของการจ้างงาน หรือสร้างงานใหม่ ๆ แม้ว่า AI จะแย่งงานบางอย่างไป งานใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ AI และในส่วนอื่นๆ ของระบบเศรษฐกิจ

ซึ่งทักษะที่จำเป็นในการทำงานใหม่ๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นทักษะทางด้านเทคโนโลยีเสมอไป แต่เป็นทักษะที่ใช้ในการตอบโต้กับ AI ได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลอาจมองหาพยาบาลยุคใหม่ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องมือ AI

และการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร โดยเฉพาะประชากรสูงอายุที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง จะทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพ

ตราบใดที่นโยบายการคลังยังขยายตัว ความกดดันให้เพิ่มค่าจ้างจะดำเนินต่อไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ AI มากขึ้น ที่อาจเป็นการผลักดันค่าจ้างให้สูงขึ้นด้วย และสุดท้ายทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์จาก AI มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/11/28/welcome-to-a-golden-age-for-workers
https://www.makeuseof.com/reasons-artificial-intelligence-cant-replace-humans/
https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2020/in-full/executive-summary/

ดราม่าของ Sam Altman กับความแตกแยกที่ลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี

แม้ว่าโลกของเทคโนโลยีจะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแค่ไหน แต่ต้องบอกว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับแวดวงนี้

มันได้กลายเป็นเรื่องดราม่าซ้ำซ้อนของ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ที่ถูกกรรมการของบริษัทถีบตกเก้าอี้อย่างกะทันหัน และอีกวันถัดมาเหล่านักลงทุนและพนักงานของบริษัทบางส่วนพยายามที่จะดึงตัว Sam Altman กลับมา ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเมื่อเช้านี้ที่ Satya Nadell ซีอีโอของ Microsoft กระชากตัว Sam มาร่วมชายคาพร้อมตำแหน่งผู้นำทีมวิจัย AI ขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นภารกิจที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของ Microsoft ในตอนนี้

ทุกอย่างเหมือนบทละครดราม่าที่เกิดขึ้นบนทางแยกที่สำคัญของวงการเทคโนโลยีโลก และมีความสำคัญมาก ๆ ต่ออนาคตของมนุษยชาติเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ OpenAI ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดของความแตกแยกใน Silicon Valley ด้านหนึ่งเรียกว่ากลุ่ม Doomers ซึ่งเชื่อว่าหากปล่อยให้ AI ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้จึงสนับสนุนให้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

อีกฟากฝั่งเรียกตัวว่า Boomers ที่เน้นย้ำถึงการผลักดันศักยภาพของเทคโนโลยี AI ขัดขวางกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะเข้ามาจัดการหรือควบคุม AI และผลักดันให้ใช้เชิงพาณิชย์และสร้างกำไรจากเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด

โครงสร้างองค์กรของ OpenAI ถูกออกแบบไว้เพื่อรอบรับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่แรก บริษัทก่อตั้งขึ้นโดยเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี 2015 และก่อตั้งบริษัทในเครือที่แสวงหาผลกำไรในอีกสามปีต่อมา

เนื่องจากการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดังกล่าวให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วนั้น เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญเพราะ AI สูบกิน Data และพลังการประมวลผลอย่างบ้างคลั่ง และทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย

กลุ่ม Boomers ใช้แนวคิดที่เรียกว่า “effective accelerationism” ซึ่งไม่เพียงแต่ผลักดันให้ AI พัฒนาต่อไปโดยไม่มีอุปสรรคเพียงเท่านั้น แต่ยังควรเร่งความเร็วมันอีกด้วย ผู้นำในเรื่องนี้คือ Marc Andreessen ผู้ก่อตั้ง Andreessen Horowitz บริษัทร่วมลงทุนผู้หิวกระหายเงิน

ดูเหมือนว่า Sam เองจะมีความเห็นอกเห็นใจทั้งสองกลุ่ม โดยเรียกร้องให้มีการสร้างแนวป้องกันเพื่อให้ทำให้ AI ปลอดภัยขึ้น ในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้ OpenAI พัฒนาโมเดลที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น

การเปิดตัวเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น App Store สำหรับผู้ใช้เพื่อสร้างแชทบอทของตนเอง ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของบริษัทอย่าง Microsoft ซึ่งทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ OpenAI ด้วยสัดส่วน 49% โดยไม่ได้รับที่นั่งในบอร์ดแม้แต่เพียงเก้าอี้เดียว

เพราะฉะนั้นหลังจากที่ Sam ถูกบีบให้ออกทำให้ Microsoft ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเขาเสนอทางออกให้ Sam และเพื่อนร่วมงานของเขามาร่วมงานกับ Microsoft

กลุ่ม Doomers ถือเป็นผู้บุกเบิกการแข่งขัน AI ในยุคแรกมีทุนหนา ในขณะที่ฝั่ง Boomers ขยับจี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นบริษัทขนาดเล็กกว่าและชอบรูปแบบของการเป็นโอเพ่นซอร์สมากกว่า

เริ่มต้นด้วยผู้ชนะในช่วงต้น ChatGPT ของ OpenAI สามารถสร้างฐานผู้ใช้งานได้ 100 ล้านคนในเวลาเพียงแค่สองเดือนหลังการเปิดตัว และการไล่ตามมาแบบหายใจรดต้นคอโดย Anthropic ซึ่งก่อตั้งโดย Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI ที่ปัจจุบันมูลค่ากิจการพุ่งแตะ 25 พันล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย

Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI (CR:Flickr)
Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI (CR:Flickr)

หรือฝั่งของนักวิจัยจาก Google เองซึ่งถือได้ว่าสะสมบุคลากรระดับเทพในวงการไว้มากมาย กำลังซุ่มพัฒนา AI ที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะจาก Google เอง พวกเขากำลังสร้างโมเดลที่ใหญ่กว่าและชาญฉลาดกว่าอย่าง Bard

ในขณะเดียวกัน ความเป็นผู้นำของ Microsoft นั้นมาจากการเดิมพันครั้งใหญ่ใน OpenAI ฟากฝั่งของ Amazon เองก็ไม่น้อยหน้าวางแผนที่จะลงทุนสูงถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐใน Anthropic

แต่ก็ต้องบอกว่าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมันมีบทเรียนมากมายว่า เทคโนโลยีสุดล้ำไม่ได้รับประกันความสำเร็จเสมอไป อยู่ที่ว่าใครจะนำเสนอสู่ผู้บริโภคได้ดีกว่า และในตลาดที่ทั้งเทคโนโลยีรวมถึง demand ความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ผู้เข้ามาใหม่ก็มีโอกาสมากมายที่จะเอาชนะผู้นำได้อยู่เสมอ

และความแตกแยกระหว่างทั้งสองกลุ่มถูกกั้นกลางด้วยอนาคตของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส การเปิดตัว LLAMA ซึ่งเป็นโมเดลที่สร้างโดย Meta ได้กระตุ้นกิจกรรมให้เกิดขึ้นในแวดวง AI แบบโอเพ่นซอร์สแบบคึกคักเป็นอย่างมาก

เหล่าผู้สนับสนุนโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็ก มอง Meta เหมือนฮีโร่ และพวกเขาก็สนับสนุนแนวคิดของ Meta เพราะมองว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สนั้นปลอดภัยกว่าเนื่องจากเปิดให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยคนหมู่มาก

แต่อย่างไรก็ตามโลกคงไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เนื่องจากนายทุนใหญ่คือ Meta บางทีการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส Mark Zuckerberg อาจจะพยายามหาทางสอดแนมหนทางในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จากเหล่าสตาร์ทอัพเพื่อมาไล่ล่าให้ตามทันยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ

Mark Zuckerberg มาเหนือเมฆด้วยการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส (CR:Wikimedia)
Mark Zuckerberg มาเหนือเมฆด้วยการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส (CR:Wikimedia)

มีบันทึกที่เขียนโดยคนวงในของ Google ซึ่งรั่วไหลออกมาในเดือนพฤษภาคมได้ยอมรับว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สกำลังบรรลุผลงานในบางอย่างที่เทียบเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของเทคโนโลยีนี้ แต่มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่ามากในการสร้างสรรค์มันขึ้นมา

ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทุกแห่งจะตกอยู่ในวงวันแห่งความแตกแยกนี้ Meta เลือกทางเดินสายกลางสนับสนุนสตาร์ทอัพแล้วปล่อยให้โลกของโอเพ่นซอร์สดำเนินการไป ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาจะเข้าถึงโมเดลอันทรงพลังสำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

Meta กำลังเดิมพันจากนวัตกรรมของกลุ่มโอเพ่นซอร์ส ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะช่วยให้แพลตฟอร์มของตนเองสามารถสร้างเนื้อหารูปแบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ติดใจและผู้ลงโฆษณามีความสุขกับการจ่ายเงินเพื่อกด Boost

ฟากฝั่ง Apple เรียกได้ว่านิ่งเงียบแบบผิดปรกติ บริษัทเทคโนโลยีที่ร่ำรวยและใหญ่ที่สุดในโลกปิดปากเงียบเกี่ยวกับ AI แทบจะไม่พูดถึงคำ ๆ ดังกล่าวนี้ตามยักษ์ใหญ่ Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ

ในการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทได้นำเสนอฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI มากมาย แต่หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า “AI” แต่กลับใช้ศัพท์อื่นเช่น “Machine Learning (ML)” แทน

ต้องบอกว่าการล่มสลายของ OpenAI ที่กำลังเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าสงครามอุดมการณ์เหนือเทคโนโลยี AI สามารถสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด แต่สงครามเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร จะมีการควบคุมอย่างไร และใครจะเป็นผู้ครอบครองเครื่องจักรทำเงินยุคใหม่จากเทคโนโลยีนี้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.washingtonpost.com/technology/2023/11/18/sam-altman-ilya-sutskever-openai/
https://www.calcalistech.com/ctechnews/article/v50hawnv9
https://www.economist.com/business/2023/11/19/the-sam-altman-drama-points-to-a-deeper-split-in-the-tech-world
https://www.nytimes.com/2023/11/18/technology/open-ai-sam-altman-what-happened.html

เมื่อ Yuval Noah Harari กล่าวว่า AI กำลังแฮ็กระบบปฏิบัติการของอารยธรรมมนุษย์

เป็นอีกหนึ่งบทความที่น่าสนใจจาก The Economist ที่รอบนี้ เป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI จาก Yuval Noah Harari นักเขียนชื่อดังจากหนังสือยอดนิยมอย่าง Sapiens: A Brief History of Humankind

Yuval มองว่า AI ได้ทำการหลอกหลอนมนุษยชาติตั้งแต่เริ่มยุคของคอมพิวเตอร์ ความกลัวในยุคเก่า ๆ นั้นอาจจะมองมันเป็นหุ่นยนต์เหมือนในภาพยนต์ hollywood ชื่อดัง ที่จะมาเข่นฆ่ามนุษย์เรา

แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเครื่องมือ AI ใหม่ ๆ กำลังคุกคามความอยู่รอดของอารยธรรมมนุษย์ในสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง

AI ยุคใหม่โดยเฉพาะเทคโนโลยีอย่าง Generative AI มีความสามารถที่โดดเด่นในการสร้างภาษา ไม่ว่าจะเป็น คำพูด เสียง หรือภาพ มันจึงเปรียบเสมือนการที่ AI กำลังเจาะระบบปฏิบัติการของอารยธรรมมนุษย์เรา

ต้องบอกว่า ภาษา นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากวัฒนธรรมเกือบทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากสิ่งอื่น ๆ เช่น สิทธิมนุษยชนที่ไม่ได้อยู่ใน DNA ของมนุษย์เรา แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้นโดยการบอกเล่าเรื่องราวและเขียนกฎหมายเพื่อสร้างมันขึ้นมา

หรือแม้กระทั่งเรื่องราวของพระเจ้าเองนั้น มันก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยอ้างอิงจากพระคัมภีร์ในศาสนาต่าง ๆ

เงินก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมเช่นกัน เพราะธนบัตรที่เราใช้กันอยู่นั้นเป็นเพียงแค่กระดาษ และปัจจุบันอาจจะเป็นเพียงแค่ข้อมูลดิจิทัลในคอมพิวเตอร์เพียงเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เงินมีค่า คือ เรื่องราวที่ถูกปั้นแต่งขึ้นจากเหล่า นายธนาคาร รัฐมนตรีคลัง และกูรูด้านคริปโตที่บอกเราเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้

เมื่อ AI กำลังจะมีสติปัญญาสูงกว่ามนุษย์ในการเล่าเรื่อง

การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีอย่าง Generative AI นั้น มันทำให้เกิดคำถามสำคัญที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสติปัญญาที่ไม่ใช่มนุษย์ (AI) จะมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปในการเล่าเรื่อง แต่งทำนอง วาดภาพ เขียนกฎหมาย และ พระคัมภีร์

เมื่อเรานึกถึงเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น ChatGPT เราจะนึกถึงตัวอย่างเช่น นักเรียนที่ใช้ AI ในการเขียนเรียงความ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับระบบโรงเรียนเมื่อเด็กทำเช่นนั้น?

ลองนึกถึงการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาครั้งต่อไปในปี 2024 และลองจินตนาการถึงผลกระทบของเครื่องมือ AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาทางการเมือง ข่าวปลอม และคัมภีร์สำหรับลัทธิใหม่จำนวนมากได้อย่างง่ายดาย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลัทธิอย่าง QAnon ได้สร้างความปวดหัวให้เกิดขึ้นกับเรื่องราวทางการเมืองในการสร้างข้อความบนออนไลน์ ด้วยข้อมูลที่ผิดเพี้ยนต่างๆ มากมาย โดยเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ปราศจากมูลความจริง โดยมีความเชื่อหลัก ๆ ว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำสงครามกับพวกใคร่เด็กที่บูชาซาตาน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มชนชั้นนำที่แฝงอยู่ในรัฐบาล ธุรกิจ และสื่อต่าง ๆ

ผู้ที่เชื่อใน QAnon คาดว่า การต่อสู้นี้จะนำไปสู่การจับตัวคนผิดมาลงทัณฑ์ โดยหนึ่งในบุคคลมีชื่อเสียงที่สาวก QAnon กล่าวหาว่าเป็นวายร้ายในขบวนการค้ากามเด็กก็คือ ฮิลลารี คลินตัน อดีตคู่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2016

ลัทธิอย่าง QAnon ได้สร้างความปวดหัวให้เกิดขึ้นกับเรื่องราวทางการเมืองอเมริกา (CR:FT.com)
ลัทธิอย่าง QAnon ได้สร้างความปวดหัวให้เกิดขึ้นกับเรื่องราวทางการเมืองอเมริกา (CR:FT.com)

ซึ่งเคสที่เกิดขึ้นนกับ QAnon มันยังเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยมันก็ยังถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ และมีบอทช่วยในการเผยแพร่พวกมันเพียงเท่านั้น

แต่ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นลัทธิแรกในประวัติศาสตร์ที่เขียนเรื่องราวที่น่าเชื่อถือ ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องจริง แต่มันถูกสร้างโดย AI แทบจะทั้งสิ้น เปรียบเสมือนกับศาสนาที่ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้อ้างอิงสิ่งที่เว่อร์เกินจริงในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ซึ่งอีกไม่นานเรื่องราวเหล่านี้กำลังจะเกิดง่ายดายยิ่งขึ้นผ่าน AI

ในไม่ช้า มนุษย์เราอาจพบว่าตัวเองกำลังถกเถียงบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำแท้ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การรุกรานยูเครน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการฝักใฝ่ในเรื่องการเมือง กับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วคือ AI

ในขณะที่เราถกเถียง แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องยากที่เราจะไปถกเถียงกับ AI ที่มีความคิดที่ลึกซึ้งและเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีกว่าเรามาก ๆ แต่ในขณะเดียวกัน AI สามารถหลอกล่อโดยปรับแต่งเรื่องราวได้อย่างแม่นยำจนพวกมันจะมีอิทธิพลต่อความคิดของเราในท้ายที่สุด

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านภาษาระดับเทพของ AI นั้น ทำให้พวกมันสามารถสร้างความใกล้ชิดกับผู้คน และใช้พลังของความใกล้ชิดเพื่อเปลี่ยนความคิดและโลกทัศน์ของเรา

ในการต่อสู้ทางการเมือง ความใกล้ชิดเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดและ AI มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้คนนับล้าน

เราทุกคนต่างทราบดีว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สื่อสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นสมรภูมิในการควบคุมความสนใจของมนุษย์ และด้วย AI ยุคใหม่ มันจะเปลี่ยนจากความสนใจไปสู่ความใกล้ชิด

จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมมนุษย์และจิตวิทยาของมนุษย์ เมื่อ AI ต้องต่อสู้กันเพื่อแกล้งสร้างความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับเรา ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อโน้มน้าวให้เราลงคะแนนให้นักการเมืองคนใดคนหนึ่งหรือซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่างได้

เครื่องมือ AI ใหม่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดเห็นและโลกทัศน์ของเรา ผู้คนอาจใช้ที่ปรึกษา AI เป็นเหมือนเทพยากรณ์ที่มีความรอบรู้ในที่เดียว

วงการข่าวและโฆษณาก็ต้องเตรียมรับแรงกระแทกเช่นเดียวกัน ทำไมต้องอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเทพยากรณ์ส่วนตัวของเราสามารถบอกข่าวล่าสุดได้ และโฆษณาจะมีไว้เพื่ออะไรเมื่อเทพยากรณ์สามารถทำนายได้ว่าเราควรที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ใด

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์มนุษย์

จะเกิดอะไรขึ้นกับประวัติศาสตร์เมื่อ AI เข้าครอบงำวัฒนธรรมและเริ่มสร้างเรื่องราว ท่วงทำนอง กฎหมาย และศาสนา?

เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ก่อนหน้านี้ เช่น แท่นพิมพ์ หรือ วิทยุที่ช่วยเผยแพร่แนวคิดทางวัฒนธรรมของมนุษย์ แต่แทบไม่เคยสร้างแนวคิดทางวัฒนธรรมใหม่ของตนเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับ AI แล้วนั้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะพวกมันสามารถสร้างความคิดใหม่ ๆ วัฒนธรรมใหม่ ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ในช่วงแรก AI อาจจะเลียนแบบต้นแบบของมนุษย์ที่ได้รับการฝึกฝนในวัยเด็ก ในขณะที่ผ่านไปแต่ละปี วัฒนธรรม AI จะก้าวไปสู่จุดที่มนุษย์ไม่เคยไปถึงมาก่อน

ความกลัว AI ได้หลอกหลอนมนุษยชาติในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แต่เป็นเวลาหลายพันปีที่มนุษย์ถูกหลอกหลอนด้วยความกลัวที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก เรามักจะชื่นชมในพลังของเรื่องราวและรูปภาพในการบงการจิตใจของเราและสร้างภาพลวงตาขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่สมัยโบราณมนุษย์จึงหวาดกลัวการติดอยู่ในโลกแห่งมายา

ในศตวรรษที่ 17 เรอเน เดส์การตส์กลัวว่าบางทีปีศาจร้ายอาจกำลังขังเขาไว้ในโลกแห่งภาพลวงตา สร้างทุกสิ่งที่เขาเห็นและได้ยิน

ในยุคกรีกโบราณ เพลโตเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องถ้ำอันเลื่องชื่อ ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้ในถ้ำตลอดชีวิต โดยหันหน้าเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่า และทำให้พวกเขาเห็นเงาต่าง ๆ ที่ฉายภาพออกมา ซึ่งเหล่านักโทษเข้าใจผิดว่าภาพลวงตาที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นความจริง

เพลโตได้เล่าเรื่องคนกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้ในถ้ำตลอดชีวิต โดยหันหน้าเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่าจนหลอน (CR:StudioBinder)
เพลโตได้เล่าเรื่องคนกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้ในถ้ำตลอดชีวิต โดยหันหน้าเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่าจนหลอน (CR:StudioBinder)

ในยุคอินเดียโบราณ นักปราชญ์ชาวพุทธและฮินดูชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนติดอยู่ในโลกมายา โลกแห่งมายา สิ่งที่เรามักคิดว่าเป็นจริงมักจะเป็นเพียงเรื่องสมมติในความคิดของเราเอง ผู้คนอาจเข้าร่วมสงคราม ฆ่าผู้อื่นและเต็มใจที่จะถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อของพวกเขาในภาพลวงตาเหล่านี้

การปฏิวัติ AI กำลังนำพามนุษย์เราเผชิญหน้ากับปีศาจของเดส์การตส์ ถ้ำของเพลโต และโลกแห่งมายา หากเราไม่ระวัง เราอาจติดอยู่หลังม่านแห่งภาพลวงตา ซึ่งเราไม่สามารถที่แยกออกได้ หรือแม้แต่ตระหนักว่ามันมีอยู่จริง

แต่แน่นอนว่า AI สามารถช่วยเราได้มากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ การค้นหาวิธีรักษามะเร็งใหม่ ๆ ไปจนถึงการค้นพบวิธีแก้ไขวิกฤติทางนิเวศวิทยา

เรายังสามารถควบคุม เครื่องมือ AI ใหม่ได้ แต่เราต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพราะ AI สามารถที่จะสร้าง AI ใหม่ที่ทรงพลังขึ้นแบบทวีคูณ ขั้นตอนสำคัญอันดับแรกคือต้องตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก่อนที่เครื่องมือ AI อันทรงพลังเหล่านี้ จะเผยแพร่ออกไปสู่คนหมู่มาก

มันไม่ต่างจากบริษัทยาที่ไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์ยาชนิดใหม่ได้ก่อนที่จะทำการทดสอบผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นบริษัทเทคโนโลยีจึงไม่ควรออก เครื่องมือ AI ใหม่ ก่อนที่มันจะถูกตรวจสอบว่ามีความปลอดภัยเพียงพอ

การใช้งาน AI ที่ไม่ได้รับการควบคุมจะสร้างความสับสนวุ่นวายในสังคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจเผด็จการและทำลายระบอบประชาธิปไตย

เพราะประชาธิปไตยคือการสนทนา และการสนทนาต้องอาศัยภาษา เมื่อ AI เข้าแฮ็กภาษาของมนุษย์เราได้ พวกมันอาจจะทำลายความสามารถของเราในการสนทนาที่มีความหมาย ซึ่งจะเป็นการทำลายประชาธิปไตยของมนุษย์เราได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

Refernces :

เรียบเรียงจากบทความ Yuval Noah Harari argues that AI has hacked the operating system of human civilisation ของ The Economist
https://www.ynharari.com/yuval-noah-harari-argues-that-ai-has-hacked-the-operating-system-of-human-civilisation/
https://www.bbc.com/thai/international-54528077
https://www.timesofisrael.com/yuval-noah-harari-warns-ai-can-create-religious-texts-may-inspire-new-cults/

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ จะส่งผลต่อการเลือกตั้งของไทยในปี 2570 อย่างไร

ถ้าวาระการทำงานของรัฐบาลปรกติอยู่ที่ 4 ปี การเลือกตั้งครั้งถัดไปของประเทศไทยก็จะเกิดขึ้นในปี 2570

ความจริงบทความนี้อ้างอิงจาก The Economist ที่ทำนายว่าเทคโนโลยี AI นั้นจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปของสหรัฐอเมริกาในปี 2567 (2024) อย่างไร แต่ผมลองมาวิเคราะห์ดูกันว่าหากเป็นบริบทในประเทศไทยเราจะพบเจอกับอะไรบ้าง

เป็นความท้าทายสำหรับทุกประเทศมาก ๆ เมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้นกำลังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นสิ่งชี้เป็นชี้ตายของการก้าวเดินไปข้างหน้าของแต่ละประเทศ

เราผ่านพ้นยุคที่เครือข่ายโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเลือกตั้งมาแล้ว ในอเมริกาที่ถือว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานสูง ก็นยังถูกโจมตีจากข้อมูลบิดเบือนที่เกิดขึ้นตัวอย่างเคสที่เกิดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016

แต่เทคโนโลยีใหม่ทำให้เกิดความเป็นกังวัลที่มากกว่าเดิม เพราะเดิมทีนั้น ข้อมูลที่บิดเบือนมักจะถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Generative AI นั้น สามารถสร้างข้อมูลบิดเบือนที่มีความซับซ้อนยิ่งกว่า

ปัจจุบันเราก็แทบจะแยกยากมาก ๆ อยู่แล้วว่าข้อมูลไหนคือจริง ข้อมูลไหนคือเท็จ โดยเฉพาะข้อมูลด้านการเมืองที่แต่ละฝ่ายมักจะเปิดเผยข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง

เทคโนโลยีอย่าง Generative AI จะสร้างชุดข้อมูลบิดเบือนโดยระบบอัตโนมัติ และมีความแนบเนียนยิ่งกว่าที่มันเคยถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์

เทคโนโลยี large-language models (LLMs) นั้น จะเปลี่ยนแปลงสิ่งแรกก็คือ ปริมาณของข้อมูลที่ถูกบิดเบือน ลองจินตนาการว่า ข้อมูลเหล่านี้ สามารถสร้างในระดับ 1 ล้านชุดข้อมูลได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน ก็อาจจะทำให้ผู้ลงคะแนนไขว้เขวได้เช่นกัน เมื่อเจอชุดข้อมูลผิด ๆ จำนวนมหาศาลขนาดนี้ และสามารถเสกมันได้เพียงไม่กี่นาที

อีกสิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนก็คือ ความแนบเนียน และคุณภาพของเหล่าข้อมูลที่ถูกบิดเบือด ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะหลอกได้เพียงแค่คนบางกลุ่มเพียงเท่านั้น แต่สิ่งที่เราจะเจอในอนาคตมันจะสามารถหลอกได้แนบเนียนและแม้แต่คนที่มีความรู้หรือเสพข่าวจากหลากหลายช่องทางอยู่แล้วก็อาจจะตกเป็นเหยื่อมันได้ เพราะมันจะมีความสมจริงที่เกินจินตนาการมากทั้งรูปภาพ เสียง วีดีโอ หรือ ข้อความที่มันพยายามส่งออกมา

และแน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือมันกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เหล่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะถูกถาโถมไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อที่มีความเป็นส่วนตัวเฉพาะบุคคลมากขึ้น และเครือข่ายของบอทโฆษณาชวนเชื่อจะถูกตรวจจับได้ยาก

ส่วนเครือข่ายโซเชียลมีเดียเอง แม้จะมีระบบควบคุมในระดับหนึ่ง แต่มันก็ยังมีความเสี่ยงสูง ตัวอย่างเช่น โมเดลโอเพ่นซอร์ส เช่น Meta’s Llama ซึ่งใช้ในการสร้างข้อความ และ Stable Diffusion ซึ่งใช้ในการสร้างรูปภาพ สามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องมีการควบคุมดูแล

และไม่ใช่ว่าทุกแพลตฟอร์มนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน TikTok ซึ่งเป็นบริษัทโซเชียลมีเดียที่เน้นไปที่วีดีโอสั้นมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน และแอปถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมคลิปไวรัลจากทุกแหล่ง ซึ่งเราได้เห็นกันมาแล้วในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของไทยว่ามันส่งผลกระทบมากเพียงใด

รวมถึง X (Twitter) หลังจากที่ Elon Musk ซื้อกิจการไป และทำให้แพลตฟอร์มดังกล่าวกลายเป็นสวรรค์ของบอท ซึ่งกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือจากทุกฝ่ายเช่นเดียวกัน และด้วยการถูกผลักดันให้เป็นรูปแบบของ Free Speech เพิ่มมากขึ้นนของ Musk นั้น อานุภาพของมันก็อาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

การเมืองเป็นเรื่องสกปรก

ไม่มีสิ่งโลกสวยสำหรับเรื่องการเมือง เพราะเราได้เห็นจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศต้นแบบยักษ์ใหญ่อย่าง อเมริกาหรืออังกฤษเอง ก็มีความเน่าเฟะไม่แพ้กัน และเหล่านักการเมืองผู้หิวโหยก็พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะการเลือกตั้ง เพื่อขึ้นสู่อำนาจ

การเข้าสู่เทคโนโลยีเหล่านี้ก่อนนั้นจะเป็นสิ่งได้เปรียบสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราอาจจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาในปี 2567 ว่าเทคโนโลยีเหล่าจะสร้างผลกระทบได้อย่างไรบ้าง

เป็นเรื่องน่าสนใจที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องตามเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ทันท่วงที เพราะนักการเมืองฝั่งใดใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพกว่า ก็มีโอกาสที่จะคว้าชัยทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นได้เลยทีเดียวครับผม

References :
https://www.economist.com/leaders/2023/08/31/how-artificial-intelligence-will-affect-the-elections-of-2024
https://www.flickr.com/photos/prachatai/52759824563/
https://moneyandbanking.co.th/2023/36779/

ยุครุ่งเรืองของคอนเทนต์ขยะ เมื่อบทความที่ถูกสร้างด้วย AI กำลังบุกโลกออนไลน์เพื่อสูบเงินจากค่าโฆษณา

ผมคิดว่าในอนาคต มนุษย์เราจะเริ่มแยกกันไม่ออกว่าเนื้อหาใดที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์จริง ๆ หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Generative AI ที่คอยมาปั่นหัวพวกเราบนโลกออนไลน์

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำเนื้อหาคุณภาพ ด้วยการเรียบเรียงผลงานอย่างสวยหรู แล้วจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากโดยเฉพาะเหล่าเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่เน้นไปที่ความฉาบฉวย คลิกเบท หรือการพาดหัวแบบไม่ตรงปกที่มักเรียกยอดคลิกได้อยู่เสมอ

ก่อนหน้านี้ปัญหาเหล่านี้มันก็หนักมากพอแล้ว เราจะเห็นเว็บไซต์คุณภาพหลาย ๆ แห่งที่มีเนื้อหาที่ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี หรือ ใช้เวลาในการเตรียมข้อมูลต่าง ๆ มากมาย ได้เริ่มสูญหายไปจากโลกของโซเชียลมีเดีย เพราะมันไม่ได้ถูกผลักดันโดยอัลกอริทึมเหล่านี้

ไปไล่ดูเว็บไซต์อันดับต้น ๆ ของประเทศไทยที่มีผู้รับชมสูงสุด เราก็จะได้เห็นถึงการเน้นกับการทำข่าวที่ฉาบฉวย เรียกยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดคอมเมนต์ สร้างดราม่าออนไลน์ ซึ่งถูกจริตกับอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าสิ่งนึงที่เป็นปัจจัยสำคัญก็คือเรื่องรายได้จากการโฆษณานั่นเอง เพราะเนื้อหาพวกนี้ทำไม่ยาก และใช้ต้นทุนต่ำ แต่กลับสร้างรายได้อย่างงดงามเลยทีเดียว ซึ่งกลายเป็นว่า สำนักข่าวใหญ่ ๆ ของไทย ก็ไปเล่นข่าวทำนองนี้กันหมดแล้ว ข่าวหนัก ๆ ที่มีเนื้อหาดีๆ เหมือนในยุคอดีตนั้นได้เริ่มจากหายไป

ที่อเมริกาเองก็ประสบพบเจอกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้ Generative AI ได้นำเสนอวิธีใหม่ในการทำให้กระบวนการฟาร์มเนื้อหาเหล่านี้ ทำได้แบบอัตโนมัติ

สร้างรายได้จากขยะ

“ดูเหมือนว่าการโฆษณาเป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับเว็บไซต์ที่สร้างโดย AI” Lorenzo Arvanitis นักวิเคราะห์จาก NewGuard ซึ่งติดตามเนื้อหาที่สร้างโดย AI กล่าว “บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ติดอันดับ Fortune 500 และแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหลายร้อยแห่งที่กำลังโฆษณาบนเว็บไซต์เหล่านี้และกำลังสนับสนุนพวกเขาโดยไม่รู้ตัว”

โฆษณาที่มีการแสดงผลนั้นมาจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน ค้าปลีก รถยนต์ การดูแลสุขภาพ และ ecommerce ซึ่งต้นทุนโดยเฉลี่ยของการแสดงผลโฆษณาพันครั้งนั้นอยู่ที่ราว ๆ 1.21 เหรียญสหรัฐฯ

และดูเหมือนเรื่องรายได้มันจะอยู่เหนือจริยธรรม เมื่อเว็บไซต์เหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกแสดงโดย Google แม้ว่าพวกเขาจะมีนโยบายที่ชัดเจนว่าห้ามไม่ให้มีการแสดงโฆษณาในหน้าเว็บที่มีเนื้อหาที่สร้างโดยอัตโนมัติที่เป็นสแปม

แต่กลับกลายเป็นว่าจากข้อมูลของ NewGuard นั้น พบว่าโฆษณาที่ถูกแสดงหลัก ๆ จากทั้งหมด 393 รายการที่แบรนด์ใหญ่ๆ มาลงโฆษณานั้น มีถึง 356 รายการที่ถูกแสดงโดย Google

Fake News ยุคไฮบริด

แม้เครือข่ายโซเชียลมีเดียจะพยายามปราบปรามข่าว fake news ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหลังปัญหาที่เกิดขึ้นกับกรณีของ cambridge analytica และ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2016

แต่ข้อมูลจาก NewGuard นั้นพบว่าเว็บไซต์ที่สร้างเนื้อหาโดย AI ส่วนใหญ่ มีคุณภาพต่ำ และมักจะเผยแพร่ข้อมูลผิด ๆ ซึ่งแต่เดิมนั้นถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ที่มีเจตนาที่ไม่ดีในการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้มันยกระดับโดย AI ที่สร้าง Fake News กันสนุกมือ โดยแทบไม่มีความเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด

ตัวอย่างเว็บไซต์หนึ่งที่เขียนโดย AI ชื่อ MedialOutline.com มีบทความที่เผยแพร่ข้อมูลที่ผิดเกี่ยวกับสุขภาพที่เป็นอันตราย โดยมีหัวข้อข่าวเช่น “มะนาวรักษาโรคภูมิแพ้ด้านผิวหนังได้หรือไม่?” “5 วิธีรักษาโรคสมาธิสั้นแบบธรรมชาติมีอะไรบ้าง” และ “ป้องกันมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติได้อย่างไร” และกลายเป็นว่าบนเว็บไซต์เหล่านี้ได้ปรากฏโฆษณาของแบรนด์ใหญ่ ๆ เช่น Citigroup , ผู้ผลิตรถยนต์ Subaru หรือบริษัทด้านสุขภาพ GNC และโฆษณาเหล่านี้แสดงผ่านเครือข่ายโฆษณาของ Google แทบจะทั้งสิ้นน

บทสรุป

จากข้อมูลข้างต้นมันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องระหว่าง Google , บริษัทโฆษณาและการผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดของเว็บไซต์ Fake News ยุคใหม่ ซึ่งปลอมตัวเป็นเว็บไซต์ข่าวที่น่าเชื่อถือที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI

มันเป็นภูมิทัศน์ใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ ของโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการท่องเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วในเนื้อหาที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยี Generative AI ทำได้ดีกว่า

ซึ่งสิ่งที่จะตามมาคือ รูปแบบเนื้อหาเหล่านี้ที่เป็นภาษาไทยที่จะเกิดขึ้นแน่ในอนาคต ซึ่งแม้ในปัจจุบันข่าวเหล่านี้ ข้อมูลผิด ๆ เหล่านี้โดยเฉพาะข้อมูลด้านสุขภาพผิด ๆ จะมีอยู่เยอะมากอยู่แล้ว สังเกตได้จากในกลุ่ม Line ซึ่งมีการแชร์เนื้อหาทำนองนี้กันเยอะมาก

แต่ในอนาคตข้อมูล Fake News ยุคไฮบริดเหล่านี้จะผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความท้าทายมาก ๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะมาจัดการกับเรื่องดังกล่าวนี้อย่างไรในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.technologyreview.com/2023/06/26/1075504/junk-websites-filled-with-ai-generated-text-are-pulling-in-money-from-programmatic-ads/
https://www.newsguardtech.com/misinformation-monitor/june-2023/
https://digiday.com/media/the-programmatic-open-marketplace-is-faltering-but-publishers-see-a-bright-spot-in-private-programmatic-deals/