สรุปเนื้อหา : บทสัมภาษณ์ Mark Zuckerberg กับโลกใหม่ของ Meta เมื่อ AR และ AI มาบรรจบกัน

Mark Zuckerberg ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง The Verge ถึงวิวัฒนาการของแว่นตา AR (Augmented Reality) ศักยภาพในการแทนที่สมาร์ทโฟน และการผสานรวมกับเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) โดยพี่ Mark ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างแว่นตาที่มีความเป็นแฟชั่น และต้องให้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี รวมถึงการยอมรับของผู้บริโภคในอนาคต

Highlights

🕶️ Mark Zuckerberg ได้พูดถึงวิวัฒนาการของแพลตฟอร์มมือถือและการเปลี่ยนผ่านสู่แว่นตา AR โดยชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของสมาร์ทโฟน

🎯 เป้าหมายของโครงการ Orion คือการสร้างแว่นตาที่มีดูดีเหมือนแว่นตาทั่วไป แต่สามารถผสานโฮโลแกรมและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมีปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง

🤝 ความร่วมมือระหว่าง Meta กับ Luxottica มุ่งพัฒนาแว่นตาที่ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริง สามารถบันทึกเนื้อหาและเข้าถึงฟีเจอร์ AI ในราคาที่จับต้องได้

📈 Zuckerberg กล่าวถึงการลงทุนอย่างมหาศาลใน Reality Labs โดยระบุว่าใช้เงินไปกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนา Orion และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

📉 Orion เวอร์ชันแรกที่จะวางจำหน่ายคาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับนักพัฒนา โดยมีแผนที่จะพัฒนาเวอร์ชันสำหรับผู้บริโภคทั่วไปในอนาคต

📲 Zuckerberg มองภาพอนาคตที่แว่นตาจะค่อยๆ กลายเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลัก ลดการพึ่งพาสมาร์ทโฟนลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา

🌍 การผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับสื่อสังคมออนไลน์จะยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ ช่วยให้สามารถสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงและปรับปรุงการมีปฏิสัมพันธ์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

Key Insights

📱 วิวัฒนาการจากมือถือสู่แว่นตา AR
Mark Zuckerberg ได้ร่ายยาวถึงการเปลี่ยนผ่านจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสู่อุปกรณ์พกพาอย่างมือถือสมาร์ทโฟน และมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกันกับแว่นตา AR (Augmented Reality)

เขาเชื่อว่าแม้สมาร์ทโฟนจะครองความเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลักมาอย่างยาวนาน แต่แว่นตา AR จะกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญลำดับถัดไป ที่จะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์ในชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น วิสัยทัศน์นี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของวิธีที่ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีในอนาคต

🤖 การผสานเทคโนโลยี AI ในแว่นตา AR
Zuckerberg เน้นย้ำถึงข้อได้เปรียบของแว่นตา AR สำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แว่นตาสามารถสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงแก่ผู้ใช้ได้โดยตรง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมีปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์โดยไม่รบกวนสภาพแวดล้อมรอบตัว

ส่วนผสมที่ลงตัวนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น โดย AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเพียงส่วนที่แยกต่างหากเหมือนที่เราเห็นในปัจจุบัน

🛠️ ความคาดหวังของผู้บริโภคและความท้าทายในการพัฒนา
การพัฒนาโครงการ Orion ซึ่งเป็นแว่นตา AR ต้องเผชิญกับอุปสรรคในแง่ของขนาด ราคา และฟังก์ชันการใช้งาน Zuckerberg ชี้ให้เห็นว่าแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปอย่างมาก แต่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภค ในขณะที่ยังคงความทันสมัยและราคาไม่แพงเกินไปนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับความต้องการใช้งานจริงของผู้บริโภคและความสวยงามในการออกแบบ

🤝 พันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อนวัตกรรม
การร่วมมือกับ Luxottica และการโฟกัสการพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะหลากหลายรูปแบบ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Zuckerberg ในการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งรอบเทคโนโลยี AR

การร่วมมือกับผู้ผลิตแว่นตาที่มีชื่อเสียง Meta มุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในการออกแบบและการผลิตของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการนำแว่นตา AR ที่ดึงดูดใจและใช้งานได้จริงสู่ตลาด

🌐 การเปลี่ยนแปลงการมีส่วนร่วมทางสังคม
Zuckerberg สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการมีปฏิสัมพันธ์บนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมุ่งไปสู่การสนทนาแบบส่วนตัวและการค้นพบเนื้อหาใหม่ๆ มากกว่าการถกเถียงแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนในแพลตฟอร์มอย่าง X

วิวัฒนาการนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าแพลตฟอร์มอย่าง Threads ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมชุมชนและสร้างการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งอาจลดความโดดเด่นของการถกเถียงทางการเมืองและช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่เป็นบวกมากขึ้น

บทบาทของ AI ในการสร้างเนื้อหา
การนำ AI มาช่วยผู้สร้างสรรค์ในการสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงบ่งบอกถึงแนวทางที่เปลี่ยนแปลงสื่อสังคมออนไลน์ Zuckerberg เชื่อว่าการช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกับ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการสร้างสรรค์ของพวกเขา ซึ่งจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และอาจปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภคและแชร์เนื้อหาบนแพลตฟอร์มอย่าง Instagram และ Threads

🕊️ กลยุทธ์การฟื้นฟูแบรนด์ในระยะยาว
Zuckerberg ยอมรับว่าการกู้ชื่อเสียงของ Meta ขึ้นมาใหม่หลังจากผ่านวิกฤติหนักในปี 2016 จะเป็นเรื่องในระยะยาว เขาตระหนักถึงผลกระทบที่ยังคงอยู่จากข้อถกเถียงในอดีต และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อให้สาธารณชนกลับมาไว้วางใจในแพลตฟอร์มเครือ Meta อีกครั้ง

ข้อมูลเชิงลึกนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่มากขึ้นของตัว Zuckerberg เองเกี่ยวกับความรับผิดชอบขององค์กรและความท้าทายในการนำทางผ่านภูมิทัศน์ทางสังคมที่ซับซ้อนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

Opinion

แม้ว่าวิสัยทัศน์ของ Zuckerberg จะดูน่าตื่นเต้นและมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมีคำถามและความท้าทายมากมายที่ Meta ต้องเผชิญ :

  1. การยอมรับของผู้บริโภค: จะต้องใช้เวลาและการปรับตัวอย่างมากสำหรับผู้คนที่จะเปลี่ยนจากสมาร์ทโฟนมาใช้แว่นตา AR เป็นอุปกรณ์หลัก
  2. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย: การใช้แว่นตา AR ที่มีกล้องและ AI อาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
  3. ผลกระทบทางสังคม: การเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งอาจจะเป็นอีกปัญหาในระยะยาวที่ Meta จะโดนเพ่งเล็งอีกครั้ง
  4. การแข่งขันในตลาด: Meta ไม่ใช่บริษัทเดียวที่พัฒนาเทคโนโลยี AR การแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของโครงการนี้
  5. ความยั่งยืนทางธุรกิจ: การลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเองในตลาดอาจเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญ เพราะดูเหมือน AR จะมีมานานแล้วแต่ยังไม่สามารถแจ้งเกิดได้แบบเต็มตัวเสียที

สรุปแล้ว วิสัยทัศน์ของ Zuckerberg แสดงให้เห็นถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้นของเทคโนโลยี AR และ AI แต่การที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นความจริงและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางยังต้องอาศัยเวลา การพัฒนาเทคโนโลยี และการแก้ไขความท้าทายต่างๆ อีกมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนและความมุ่งมั่นของ Meta ในโครงการนี้แสดงให้เห็นว่าเราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีที่เราใช้เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้นี้

References :
Why Mark Zuckerberg thinks AR glasses will replace your phone
https://youtu.be/8dVba_xm4MQ?si=eos-FWQx4_dagk-w

Elon Musk on xAI : กับบทสัมภาษณ์เบื้องหลังการสร้าง AI สุดล้ำที่มาพร้อมกับความท้าทายและโอกาส

เรียกได้ว่าตอนนี้ Elon Musk กำลังทุ่มเทพลังเกือบทั้งหมดไปยังธุรกิจแห่งอนาคตอย่าง AI ที่ดูเหมือน Musk จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดในสิ่งที่เขาแทบจะเป็นคนคิดริเริ่มตั้งแต่ต้น ๆ แต่สุดท้ายก็โดนบีบให้ออกจาก openAI และยังมีการปะทะคารมกันอีกหลายครั้งกับ Sam Altman

จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ในบริษัทอื่น ๆ ของ Musk ในตอนนี้ เรียกได้ว่าเหมือนถูกทิ้ง ทั้ง Tesla เอยที่ถูกเปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่จะสร้างรถไฟฟ้าราคาย่อมเยาว์เพื่อมาต่อกรกับแบรนด์จีน แต่สถานการณ์พลิกผัน ตอนนี้ Musk เตรียมลุย AI เพื่อผลักดันรถยนต์ Autonomous แบบเต็มสูบ

เป็นบทสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดในหัวข้อ xAI ที่น่าสนใจในช่อง Lex Clips โดย Lex Fridman Podcast ที่ Elon Musk เองได้มาร่ายยาวถึงบริษัทที่เขาเดิมพันแบบเต็มสูบ และทุ่มสรรพกำลังไปกับบริษัทนี้แทบจะหมดหน้าตักในตอนนี้

Musk มองว่าความพยายามในการพัฒนา AI ขั้นสูงนั้นเปรียบเสมือนการแข่งขันระดับโลก ที่ต้องอาศัยทั้งทรัพยากร ความเชี่ยวชาญ และวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่

xAI กำลังทุ่มเทอย่างหนักในการสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งหวังที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการพัฒนา AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป

คำถามก็คือ อะไรคือสิ่งที่จำเป็นในการสร้าง AI ที่มีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์? เรียกได้ว่าคำตอบนั้นทั้งซับซ้อนและหลากหลาย แต่หัวใจสำคัญ Musk มองว่าอยู่ที่พลังการประมวลผล ข้อมูลคุณภาพสูง และอัลกอริทึมการเรียนรู้ที่ล้ำสมัย

การสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลัสเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ระบบเหล่านี้ต้องมีพลังการประมวลผลมหาศาลเพื่อฝึกฝนโมเดล AI ขนาดใหญ่ แต่การสร้างระบบเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ความท้าทายด้านวิศวกรรมมีมากมาย ตั้งแต่การจัดการกับความผันผวนของพลังงาน ไปจนถึงการออกแบบระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จำนวนมหาศาลเข้าด้วยกันเพื่อให้ทำงานเสมือนเป็นสมองเดียวกันนั้น เป็นงานที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ต้องอาศัยการเดินสายใยแก้วนำแสงที่ซับซ้อน และการออกแบบระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ GPU แต่ละตัวสามารถสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

Musk ได้กล่าวว่า เพียงแค่ฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ การพัฒนา AI ที่มีความสามารถสูงยังต้องอาศัยข้อมูลคุณภาพสูงจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่ง

ในยุคที่ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยเนื้อหาที่สร้างโดย AI และข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ การคัดกรองและเลือกข้อมูลที่มีคุณภาพจึงเป็นงานที่ยากลำบากและสำคัญอย่างยิ่ง

เมื่อพูดถึงการดึงแหล่งข้อมูลทั้งจาก X หรือแม้กระทั่ง Tesla ที่สามารถดึงข้อมูลวีดีโอแบบเรียลไทม์ที่มาจากรถยนต์หลายล้านคัน แต่มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ Musk มองว่าจะได้จาก Optimus

Musk มองว่าแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพและหลากหลายที่สุดอาจมาจากหุ่นยนต์ AI เอง เช่น Optimus ที่สามารถเรียนรู้และรวบรวมข้อมูลจากโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมหาศาล ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา AI ที่มีความเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

มนุษย์เราสามารถสะสมข้อมูลได้เพียงน้อยนิด มีโทเค็นที่ใช้งานได้เพียงไม่กี่ล้านที่มนุษย์สร้างขึ้นมา หากไม่นับพวกสแปมและเนื้อหาที่มีความซ้ำซ้อนกัน Musk มองว่ามันไม่ใช่ตัวเลขที่เยอะมากอย่างที่หลายคนคิด และมันแทบจะถูกโมเดลดัง ๆ สูบข้อมูลไปหมดแล้ว

Musk กล่าวว่า Optimus คือของจริง สามารถไปได้ทุกที่ หากเทียบกับ Tesla ที่ต้องอยู่บนท้องถนนเพียงเท่านั้น แต่หุ่นยนต์ Optimus สามารถไปได้ทุกที่ มันมีข้อมูลอีกมากมายที่อยู่นอกถนน

ท่ามกลางการแข่งขันเพื่อสร้าง AI ที่ทรงพลังที่สุด Musk มองว่าเราต้องไม่ลืมคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ การสร้าง AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์นั้นมาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล หากไม่ได้รับการออกแบบและควบคุมอย่างเหมาะสม

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ การสร้าง AI ที่ยึดมั่นในความจริง ไม่ว่าความจริงนั้นจะสอดคล้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองหรือความเชื่อส่วนบุคคลหรือไม่ก็ตาม การบังคับให้ AI โกหกหรือบิดเบือนความจริง แม้จะด้วยเจตนาดี ก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดและอันตรายได้

Musk ชี้ให้เห็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ AI บางระบบ (Musk อ้างถึง ChatGPT และ Gemini) ที่ถูกโปรแกรมให้แสดงภาพหรือให้ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าเจตนาเบื้องหลังอาจจะดี แต่การบิดเบือนความจริงเช่นนี้อาจนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงกว่าเมื่อ AI มีความสามารถสูงขึ้น

การสร้าง AI ที่มีความสามารถสูงจึงไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการตั้งคำถามเชิงปรัชญาและต้องคิดคำนึงถึงจริยธรรม

Musk มองว่าต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าต้องการให้ AI มีคุณสมบัติและค่านิยมแบบใด และจะสร้างระบบที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้อย่างไร

การมุ่งมั่นสู่ความจริงและความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องตระหนักด้วยว่าความจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งที่มีความซับซ้อนและมีหลายแง่มุม การสร้าง AI ที่สามารถเข้าใจและนำเสนอความจริงในลักษณะที่ครอบคลุมและสมดุล โดยไม่หลงไปในความเชื่อที่ผิดหรืออคติ จึงเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่

นอกจากนี้ Musk ยังให้แง่คิดว่าควรที่จะคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวของการใช้ AI อย่างแพร่หลายในสังคม การที่ AI มีบทบาทมากขึ้นในการตัดสินใจและการให้ข้อมูล อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อวิธีคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ ดังนั้น การออกแบบ AI ที่ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการตัดสินใจที่รอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ในท้ายที่สุด การพัฒนา AI ที่มีความสามารถสูงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของยุคสมัย ซึ่งต้องอาศัยทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความรอบคอบทางจริยธรรม และวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล ซึ่งต้องมีการสร้างสมดุลระหว่างการผลักดันขีดความสามารถของ AI ให้ก้าวหน้า กับการรับประกันว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นประโยชน์และปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติ

เส้นทางการเดินทางสู่การสร้าง AGI นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยง แต่ก็มาพร้อมกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์ ซึ่ง Elon Musk มองว่าเราอาจสามารถสร้าง AI ที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถเหนือมนุษย์ แต่ยังเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการแก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดของโลก เหมือนที่มนุษย์อย่างเขาพยายามที่จะทำมาเป็นเวลาหลายปีมาแล้วนั่นเองครับผม

References :
Elon Musk on xAI: We will win | Lex Fridman Podcast
https://youtu.be/tRsxLLghL1k?si=mD9Ep3PLu3wv_uv-

iPhone 16 รอดหรือร่วง? : ศึกสองด้านทั้ง AI และตลาดจีน Apple พร้อมรบแล้วหรือยัง?

ในวันจันทร์ที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone 16 รุ่นล่าสุดของผลิตภัณฑ์เรือธงอันเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากที่ประสบปัญหาด้านยอดขายมาระยะหนึ่ง Apple หวังว่าฟีเจอร์ Generative AI ทั้ง Siri ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ฟีเจอร์แต่งภาพอัจฉริยะ เครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเขียน และการเข้าถึง ChatGPT ฟรี จะเพียงพอที่จะทำให้ iPhone กลับมาครองความเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนอีกครั้ง

แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้น เรามาย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของสถานการณ์ในปัจจุบันกันก่อน

iPhone ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่ขายดีและทำกำไรสูงสุดในโลกอย่างไม่มีคู่แข่ง แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ยอดขายกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในไตรมาสแรกของปี 2024 Apple ส่งมอบ iPhone ได้เพียง 50 ล้านเครื่องเศษ ซึ่งลดลงถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เกือบ 2 ล้านเครื่อง

สาเหตุหลักของปัญหานี้มีสองประการ ประการแรก Apple และ iPhone กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขาย iPhone ทั้งหมดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2024 ยอดขายในจีนกลับลดลงเกือบ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ Apple เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับบริษัทตะวันตกหลายแห่งที่เคยครองความยิ่งใหญ่ในจีนมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า หรือแฟชั่น ต่างก็ประสบปัญหาในการแข่งขันกับคู่แข่งท้องถิ่นที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างจีนกับชาติตะวันตกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมทางเศรษฐกิจในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น

Apple พยายามตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ด้วยการลดราคาอย่างรุนแรง ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้ชั่วคราว แต่นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาวที่ยั่งยืน

ปัญหาประการที่สองคือ ผู้ใช้ iPhone ไม่ค่อยอัพเกรดหรือเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยเหมือนแต่ก่อน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากวิกฤตค่าครองชีพที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ iPhone ในปัจจุบันมีความอึดมากกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก

ตั้งแต่รุ่น iPhone 7 เป็นต้นมา Apple ได้เพิ่มคุณสมบัติกันน้ำและกันฝุ่นให้กับ iPhone ทุกรุ่น โดย iPhone 11 และรุ่นต่อๆ มาสามารถทนต่อความลึกสูงสุด 6 เมตรได้นานถึง 30 นาที

แม้สิ่งนี้จะเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภค แต่ก็หมายถึงยอดขายที่ลดลงสำหรับ Apple เพราะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยๆ เมื่อเครื่องเก่ายังใช้งานได้ดี

อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกอยากได้ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดเหมือนแต่ก่อน น่าจะมาจากการที่ iPhone รุ่นใหม่ๆ มักไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก ในอดีตจนถึงประมาณ iPhone X ทุกรุ่นของ iPhone มักมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ล้ำสมัยซึ่งรู้สึกได้ว่าเป็นก้าวกระโดดจากรุ่นก่อนหน้า แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงหลักของ iPhone 15 คือการใช้พอร์ตชาร์จแบบ USB-C ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกบังคับโดยกฎระเบียบของสหภาพยุโรปมากกว่าเป็นนวัตกรรมของ Apple เอง นอกจากนี้ยังมีการนำปุ่มปิดเสียงออก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่าคุ้มค่าแก่การอัพเกรดสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษสำหรับ Apple เพราะ iPhone เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท และยังคงเป็นสินค้าขายดีที่สุดของพวกเขาอย่างไม่มีคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้ Apple จึงหวังว่า iPhone 16 จะเป็นรุ่นที่สามารถชักจูงให้ผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าตัดสินใจอัพเกรดได้

เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ Apple ได้เพิ่มการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่ารุ่นก่อนๆ โดย iPhone 16 รุ่นพื้นฐานมีปุ่มใหม่สองปุ่ม ได้แก่ “ปุ่ม Action” ซึ่งมีอยู่ใน iPhone 15 Pro ปีที่แล้ว อยู่ที่ด้านข้างของโทรศัพท์เหนือปุ่มปรับระดับเสียง แทนที่สวิตช์ปิดเสียง และปุ่มควบคุมกล้องใหม่ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งและทำหน้าที่คล้ายๆ กับแทร็กแพด

ปุ่ม Action เป็นวิธีใหม่ในการเข้าถึงทางลัดต่างๆ บนโทรศัพท์ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปุ่มควบคุมกล้องช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ของกล้องได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะในโหมดถ่ายภาพแนวนอน

อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักที่ Apple หวังว่า iPhone 16 จะเป็นรุ่นที่ผู้ใช้ปัจจุบันจะตัดสินใจอัพเกรด ก็เพราะมันถูกโฆษณาว่าเป็น “iPhone แห่งยุค AI” หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นวิธีที่ Apple กำลังคุยโวไว้

ในช่วงการนำเสนอ iPhone ในงานเปิดตัวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประมาณครึ่งหนึ่งของเวลาถูกใช้ไปกับฮาร์ดแวร์ใหม่ของ iPhone 16 และอีกครึ่งหนึ่งถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Apple ใน iOS 18 ภายใต้ชื่อ “Apple Intelligence”

ฟีเจอร์เหล่านี้รวมถึง Siri ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ฉลาดขึ้นและตอบสนองได้เร็วขึ้น ฟีเจอร์ประเมินเสียงที่สามารถวิเคราะห์น้ำเสียงและอารมณ์ของผู้พูดได้ การแต่งภาพด้วยพลัง AI จากโมเดลของ Apple เองที่สามารถแก้ไขและปรับแต่งภาพได้อย่างซับซ้อน รวมถึงความร่วมมือกับ OpenAI ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึง ChatGPT ได้ฟรี ซึ่งสามารถช่วยในการเขียน การวิเคราะห์ข้อมูล และการตอบคำถามต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด

Apple Intelligence ถูกประกาศครั้งแรกโดย Tim Cook ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และช่วยกระตุ้นให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในทิศทางนี้ของ Apple

ด้วยการนำเสนอ iPhone 16 ควบคู่กับ Apple Intelligence นี้ Apple พยายามขาย iPhone 16 ในฐานะ “AI iPhone” อย่างชัดเจน ในข่าวประชาสัมพันธ์ของพวกเขา

เรียกได้ว่า Apple กำลังเชื่อมโยงกับสิ่งนี้โดยตรง โดยอ้างในประโยคแรกว่า iPhone 16 “ถูกสร้างขึ้นเพื่อ Apple Intelligence ด้วยชิป A18 ที่ใหม่ล่าสุด” และมันเป็น “จุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับ iPhone โดย Apple Intelligence จะมอบประสบการณ์ที่ทรงพลัง เป็นส่วนตัว และเป็นความลับให้กับผู้ใช้ของเรา”

ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่แย่ เพราะการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์เพียงเล็กน้อยไม่เคยเพียงพอที่จะชักจูงให้ผู้ใช้ iPhone อัพเกรดในอดีต และ AI อาจเป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นเพียงพอที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาบางอย่างที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์นี้

ประการแรก แม้จะเป็นความจริงที่ว่าชิป A18 ใหม่มีความสามารถในการรองรับการประมวลผล AI ได้ดีกว่าชิปรุ่นก่อนๆ อย่างมาก แต่ฟีเจอร์ Apple Intelligence บางอย่างจะสามารถใช้งานได้บนโทรศัพท์รุ่นที่รองรับการอัพเดต iOS 18 ที่กำลังจะมาถึงด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าอาจไม่จำเป็นต้องอัพเกรดเครื่องใหม่เพื่อใช้งานฟีเจอร์ AI บางอย่างได้

ประการที่สอง และอาจเป็นประเด็นสำคัญที่สุด เมื่อ iPhone 16 วางจำหน่ายในวันที่ 20 กันยายน มันจะไม่มีฟีเจอร์ Apple Intelligence ติดตั้งมาด้วย อาจฟังดูแปลกประหลาด แต่ “AI iPhone” จะไม่มี AI จริงๆ อย่างน้อยก็ในช่วงแรกของการวางจำหน่าย

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ฟีเจอร์ AI ของ Apple มักจะมีความล่าช้าอย่างต่อเนื่อง โดยฟีเจอร์ AI แบบ generative รุ่นแรกๆ เช่น การผสานรวม ChatGPT และอิโมจิที่สร้างโดย AI จะเริ่มทยอยมาถึงในช่วงปลายปีนี้ ในขณะที่ฟีเจอร์ที่ครอบคลุมกว่านี้จะมาถึงในช่วงครึ่งแรกของปี 2025

ความจริงที่ว่า iPhone ใหม่จะไม่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ อาจทำให้ความกระตือรือร้นของสาวก Apple ในการเปิดตัว iPhone 16 ลดลงไปบ้าง และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปฏิกิริยาของตลาดต่อการเปิดตัวเมื่อวันจันทร์ค่อนข้างเงียบเหงา ไม่คึกคักอย่างที่ Apple อาจคาดหวังไว้

ประการที่สาม ฟีเจอร์ AI หลายอย่างจะไม่สามารถใช้งานได้ทั่วโลก ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับภาษาหรือการพูดจะใช้ได้เฉพาะภาษาอังกฤษในช่วงแรก โดยจะค่อยๆ รองรับภาษาอื่นๆ ในภายหลัง และที่น่าสนใจคือ บางฟีเจอร์ถูกเลื่อนการเปิดตัวชั่วคราวในยุโรป โดย Apple อ้างว่าเป็นเพราะความไม่แน่นอนที่มาจากกฎการแข่งขันใหม่ของสหภาพยุโรป

สิ่งนี้ได้จำกัดความต้องการของผู้ใช้สำหรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้อย่างชัดเจน และอาจหมายความว่า Apple Intelligence จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของ Apple ในประเทศจีนที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ได้มากนัก เนื่องจากผู้ใช้ในประเทศจีนอาจไม่ได้รับประโยชน์จากฟีเจอร์ AI เหล่านี้อย่างเต็มที่ในระยะแรก

ในท้ายที่สุดแล้ว การที่ iPhone 16 จะสามารถพลิกฟื้นคืนชีพผลิตภัณฑ์เรือธงของ Apple ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคำถามสองข้อหลัก

ข้อแรก Apple จะสามารถโน้มน้าวผู้ใช้ให้เชื่อว่านี่คือ “AI iPhone” ที่คุ้มค่าแก่การอัพเกรดได้หรือไม่ แม้ว่ามันจะไม่มีฟีเจอร์ Apple Intelligence ที่โฆษณาไว้อย่างมากมายในช่วงแรกก็ตาม นี่เป็นความท้าทายด้านการตลาดและการสื่อสารที่สำคัญสำหรับ Apple

ข้อที่สอง พวกเขาจะสามารถโน้มน้าวผู้ใช้ได้หรือไม่ว่า Apple Intelligence นั้นคุ้มค่าพอที่จะจ่ายเงินหลายร้อยดอลลาร์เพื่ออัพเกรดเครื่องใหม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าฟีเจอร์บางอย่างอาจใช้งานได้บนเครื่องรุ่นเก่าที่รองรับ iOS 18 เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับแนวโน้มโดยรวมของ AI ในอนาคตอันใกล้ด้วย หาก ChatGPT พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและกลายเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน iPhone ก็สามารถอาศัยความสำเร็จนั้นเพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้อัพเกรดได้

แต่ถ้าความสามารถของ AI หยุดชะงักและกลายเป็นเพียงเทคโนโลยีที่น่าสนใจแต่ไม่ได้มีประโยชน์จริงๆ ในชีวิตประจำวัน กลยุทธ์ใหม่ของ Apple ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้

อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า Apple มีประวัติอันยาวนานในการสร้างนวัตกรรมและปฏิวัติวงการเทคโนโลยี พวกเขาอาจมีไพ่เด็ดที่ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา หรืออาจมีแผนระยะยาวที่จะพัฒนา Apple Intelligence ให้กลายเป็นระบบ AI ที่ทรงพลังและใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีที่เราใช้สมาร์ทโฟนไปอย่างสิ้นเชิง

ในฐานะผู้บริโภค เราอาจต้องรอดูว่า Apple Intelligence จะสามารถทำให้ iPhone กลับมาเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าตื่นเต้นและจำเป็นต้องมีอีกครั้งได้หรือไม่ หรือว่านี่จะเป็นเพียงความพยายามครั้งล่าสุดของ Apple ในการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเท่านั้น

ซึ่งไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนกำลังจะทวีความเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง และผู้บริโภคอย่างเราอาจได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

ความจริงเกี่ยวกับชิป AI จีน : กับเบื้องหลังความสำเร็จของ Huawei ทำไมสหรัฐฯถึงได้กลัวนัก?

ในโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เราไม่อาจปฏิเสธได้ชิปคือหัวใจสำคัญของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนในมือคุณ คอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้าที่แล่นอยู่บนท้องถนน ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาชิปแทบจะทั้งสิ้น

ด้วยความสำคัญอันมหาศาลนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่เทคโนโลยีชิปจึงได้กลายเป็นสมรภูมิแห่งการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน

สหรัฐฯ ซึ่งครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจีน จึงได้ออกมาตรการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีชิปขั้นสูงของจีน โดยมุ่งเน้นไปที่สองประเด็นหลัก: หนึ่ง การจำกัดการเข้าถึงอุปกรณ์การผลิตชิปที่สำคัญ ซึ่งผลิตโดยบริษัทชั้นนำอย่าง ASML, LAM Research และ KLA และสอง การจำกัดการขายชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูงให้กับจีนโดยตรง

มาตรการเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน แต่ในขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นแรงผลักดันให้จีนเร่งพัฒนาความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี เราจะมาดูกันว่าจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง และพวกเขากำลังก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นอย่างไร

ความท้าทายแรก: การออกแบบชิป

การออกแบบชิปสมัยใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เราไม่ได้อยู่ในยุคที่วิศวกรนั่งวาดวงจรด้วยมืออีกต่อไป แต่ต้องอาศัยเครื่องมือออกแบบอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ หรือที่เรียกว่าเครื่องมือ EDA ซึ่งใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูงในการคำนวณหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทรานซิสเตอร์แต่ละตัวบนชิป เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในแง่ของการใช้พลังงาน ความเร็ว และพื้นที่

ปัจจุบัน บริษัทจีนส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาเครื่องมือ EDA จากบริษัทอเมริกันอย่าง Synopsis และ Cadence แม้จะมีข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับเทคโนโลยี Gate All Around สำหรับการออกแบบที่ต่ำกว่า 3 นาโนเมตร แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดยั้งบริษัทจีนจากการใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการออกแบบชิป 7 และ 5 นาโนเมตร

อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่อย่าง Huawei ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาเริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ EDA ของตัวเองภายในบริษัท และตอนนี้กำลังทดลองใช้เวอร์ชันต้นแบบ ซึ่งมีรายงานว่าสามารถจัดการกับเค้าโครงชิปได้ถึง 14 นาโนเมตร นี่เป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง และเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่ Huawei จะสามารถเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์ EDA ที่ออกแบบภายในบริษัทได้อย่างเต็มรูปแบบ

ความท้าทายที่สอง: การผลิต

ในขณะที่การออกแบบชิปเป็นเรื่องสำคัญ แต่การผลิตก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม ปัจจุบัน GPU AI ที่แข่งขันได้มากที่สุดในจีนคือ Huawei 910B GPU ซึ่งเทียบเท่ากับ NVIDIA A100 GPU และผลิตโดย SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) บนเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรภายในประเทศ

จากข้อมูลจำเพาะที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ GPU นี้สามารถทำงานได้ 512 เทราฟล็อปส์ที่ความแม่นยำ 8 บิต ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมีประสิทธิภาพสูงกว่า NVIDIA H20 GPU ที่ทำได้ 296 เทราฟล็อปส์ที่ความแม่นยำ 8 บิต อย่างไรก็ตาม เราต้องตระหนักว่าประสิทธิภาพจริงอาจแตกต่างออกไป เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเร็ว clock ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้

ความต้องการ GPU 910B ในจีนนั้นสูงมาก ผู้ให้บริการ hyperscaler หลายรายได้สั่งซื้อ และ Huawei กำลังเร่งการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ แต่ก็เผชิญกับความท้าทายในเรื่องกำลังการผลิตที่จำกัด

Huawei 910B จาก Huawei ที่ออกมาพร้อมสู้รับกับชาติตะวันตก (CR:AI Business)
Huawei 910B จาก Huawei ที่ออกมาพร้อมสู้รับกับชาติตะวันตก (CR:AI Business)

โรงงานของ SMIC ที่ผลิตทั้ง GPU 910B และชิปมือถือ Kirin มีกำลังการผลิตประมาณ 25,000 ถึง 30,000 แผ่นต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10 ล้าน GPU ต่อปี นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับ Huawei ในการก้าวเข้าสู่วงการฮาร์ดแวร์ AI และมีรายงานว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการผลิต AI GPU มากกว่าการผลิตชิปมือถือที่ใช้ในโทรศัพท์ Mate 60 เสียอีก

แม้ว่า SMIC จะสามารถผลิตชิป 7 นาโนเมตรได้ แต่พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ นั่นคือการขาดแคลนเครื่องจักร EUV (Extreme Ultraviolet) จาก ASML ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ TSMC ใช้ในการผลิตชิป 7 นาโนเมตร โดย SMIC ต้องใช้เครื่องจักร DUV (Deep Ultraviolet) รุ่นเก่ากว่า และใช้เทคนิค multi-patterning ในการผลิตชิป 7 นาโนเมตรและ 5 นาโนเมตร แทน

วิธีการนี้แม้จะใช้งานได้ แต่ก็มีประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อชิปสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม SMIC กำลังเปิดโรงงานใหม่และได้รับเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ซึ่งน่าจะช่วยแก้ไขปัญหาคอขวดในการผลิตได้ในอนาคต

นอกจากนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถก้าวไปไกลกว่า 5 นาโนเมตรได้เนื่องจากข้อจำกัดของเครื่องจักร DUV แต่พวกเขาก็กำลังศึกษาเทคนิคลิโธกราฟี (Lithography) อื่นๆ ควบคู่กันไป หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องเร่งอนุภาคแทนเครื่องจักร EUV ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่เราต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยี EUV เองก็เคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้มาก่อน และ ASML ก็ใช้เวลานานกว่าหนึ่งทศวรรษกว่าจะทำให้มันใช้งานได้จริง

ความท้าทายที่สาม: ชุดซอฟต์แวร์

การมีฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ การสร้างชุดซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมของฮาร์ดแวร์อย่างเต็มที่เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน นี่คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ NVIDIA เป็นผู้นำในด้านฮาร์ดแวร์ AI

NVIDIA ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนจากยักษ์ใหญ่ด้านเกมมาเป็นยักษ์ใหญ่ด้าน AI ด้วยการพัฒนาชุดซอฟต์แวร์ CUDA ของพวกเขา ควบคู่ไปกับการลงทุนอย่างหนักในการพัฒนาฮาร์ดแวร์สำหรับเทคโนโลยี Deep Learning เช่น Tensor Core ด้วยการปรับแต่งทั้งชุด NVIDIA ได้พัฒนาการประมวลผลอัลกอริทึม Deep Learning ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตอนนี้ด้วยการเติบโตของเทคโนโลยี Generative AI ทำให้ NVIDIA กำลังได้รับประโยชน์อย่างมากจากกลยุทธ์ระยะยาวของพวกเขา

นี่เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับสตาร์ทอัพของจีน เพราะการสร้างชุดซอฟต์แวร์จากศูนย์สำหรับฮาร์ดแวร์ใหม่นั้นเป็นงานที่ต้องใช้ทรัพยากรและเวลามหาศาล บริษัทจีนบางแห่ง เช่น MetaX พยายามทำให้ฮาร์ดแวร์ของพวกเขาทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม CUDA ของ NVIDIA ได้ ในขณะที่บางบริษัท เช่น Huawei และสตาร์ทอัพอย่าง Biren เลือกที่จะลงทุนในการพัฒนาชุดซอฟต์แวร์ของตัวเอง

แม้ว่า NVIDIA จะเป็นผู้นำในตลาด แต่ในจีนเองเรียกได้ว่ามีการแข่งขันอย่างดุเดือด ตอนนี้มีสตาร์ทอัพมากมายในจีนที่กำลังนำเสนอฮาร์ดแวร์ของพวกเขาให้กับบริษัทต่างๆ แม้ในบางครั้งจะยังไม่มีต้นแบบพร้อมด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น Hygen Technology ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล กำลังทำการตลาด GPU ใหม่ของพวกเขาที่ชื่อ Shensuan 2 โดยมีจุดขายสำคัญคือความสามารถในการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม CUDA ของ NVIDIA ได้ ซึ่งหมายความว่าลูกค้าของ NVIDIA สามารถเปลี่ยนมาใช้มันได้โดยมีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบเพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ สตาร์ทอัพที่ชื่อ Intelifusion ได้ประกาศชิป DeepEdge10 ของพวกเขา โดยอ้างว่าสามารถทำงานร่วมกับ GPU H20 ของ NVIDIA ได้ แม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนมากนักก็ตาม

การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของบริษัทจีน

หนึ่งในบริษัทที่น่าจับตามองคือ Biren ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน GPU ที่แข่งขันได้มากที่สุดในจีน พวกเขาประสบความสำเร็จในการระดมทุนหลายรอบจากนักลงทุนชั้นนำ และในเดือนสิงหาคม 2022 พวกเขาได้นำเสนอ GPU BR100 รุ่นใหม่ในการประชุม Hot Chip

GPU BR100 ของ Biren ถูกสร้างบนเทคโนโลยี 7 นาโนเมตรของ TSMC และใช้เทคโนโลยีผลิตขั้นสูงที่เรียกว่า Chip-on-Wafer-on-Substrate (CoWoS) ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายๆ ตัวและหน่วยความจำในแพ็คเกจเดียวได้ สถาปัตยกรรมนี้มีความคล้ายคลึงกับ GPU ของ NVIDIA เป็นอย่างมาก

Biren บริษัทที่น่าจับตามองในวงการตอนนี้ (CR:Wccftech)
Biren บริษัทที่น่าจับตามองในวงการตอนนี้ (CR:Wccftech)

อย่างไรก็ตาม Biren ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญเมื่อ TSMC ระงับการผลิต GPU ของพวกเขาเนื่องจากข้อบังคับในเรื่องการส่งออก ทำให้พวกเขาอาจต้องปรับเปลี่ยนการออกแบบเพื่อให้เข้ากับตลาดภายในประเทศแทน แม้จะเจอกับความท้าทายนี้ Biren ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเพิ่งระดมทุนรอบใหม่อีก 280 ล้านดอลลาร์

อีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจคือ Moore Threads ซึ่งกำลังพัฒนา GPU สำหรับเกมและศูนย์ข้อมูลมาสองสามปีแล้ว GPU รุ่นล่าสุดของพวกเขา S4000 ถูกออกแบบมาสำหรับการเร่งความเร็ว AI ในศูนย์ข้อมูล แม้ว่าประสิทธิภาพของมันอาจจะยังไม่สูงมากนัก แต่มันก็ถูกนำไปใช้ในการฝึกฝนแบบจำลอง Large Language Model แล้ว โดยมีการสร้างคลัสเตอร์จาก GPU 1,000 ตัวเพื่อฝึกฝนแบบจำลองที่มีพารามิเตอร์เจ็ดหมื่นล้านตัวในเวลาหนึ่งเดือน

มองไปข้างหน้า: อนาคตของอุตสาหกรรมชิปจีน

แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่อุตสาหกรรมชิปของจีนก็แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การลงทุนอย่างมหาศาลจากทั้งภาครัฐและเอกชน ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ ทำให้หลายคนเชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จีนจะสามารถจัดการกับกระบวนการผลิตชิปขั้นสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทจีนกำลังฝึกฝนแบบจำลอง AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับ GPT-4 และ GPT-4.5 และในอนาคตอันใกล้ พวกเขาอาจสามารถทำสิ่งนี้บนฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบและผลิตภายในประเทศได้ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผลิตขั้นสูง ความสามารถในการผลิตชิปขั้นสูงส่วนใหญ่ในจีนมีแนวโน้มที่จะถูกจัดลำดับความสำคัญให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Huawei ทำให้สตาร์ทอัพและบริษัทขนาดเล็กกว่าต้องคิดอย่างรอบคอบในการวางแผนการผลิตชิปใหม่ของตน

บทสรุป

สงครามเทคโนโลยีชิประหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ใช่เรื่องของผู้ชนะหรือผู้แพ้ แต่เป็นการแข่งขันที่ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจีนจะเผชิญกับความท้าทายมากมายจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งความพยายามของพวกเขาในการพัฒนาอุตสาหกรรมชิปภายในประเทศ

การลงทุนอย่างมหาศาล การสนับสนุนจากภาครัฐ และความมุ่งมั่นของบริษัทเทคโนโลยีจีน ทำให้หลายคนเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ จีนอาจสามารถลดช่องว่างทางเทคโนโลยีและแข่งขันกับผู้นำในอุตสาหกรรมได้อย่างทัดเทียม อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ยังคงอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยความท้าทาย

ในท้ายที่สุด การแข่งขันนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อสองประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีทั่วโลก ทำให้เราได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราในอนาคต ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร โลกของเทคโนโลยีจะยังคงเดินหน้าต่อไป พร้อมกับความหวังที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้นเพื่อมวลมนุษยชาติได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.trendforce.com/news/2024/06/11/news-huaweis-self-developed-ai-chip-challenges-nvidia-boasting-its-ascend-910b-to-be-equal-in-match-with-a100/
https://www.nytimes.com/2024/08/04/technology/china-ai-microchips.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Semiconductor_industry_in_China
https://www.theinformation.com/briefings/china-plans-to-make-5-nanometer-chips-in-defiance-of-u-s-sanctions
https://youtu.be/GDPNDOSZWQM?si=MQlvhEmHfgGgl4lt

AI ในสายตา Obama : เมื่ออดีตผู้นำโลกพูดถึง AI โอกาสทองหรือภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่?

ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่ากังวลในเวลาเดียวกัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Barack Obama ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับ AI และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคมในอนาคต ในการสัมภาษณ์ล่าสุดของเขากับสื่อเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง The Verge ที่ได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนา AI และความท้าทายที่เราต้องเผชิญ

จุดเริ่มต้นของความสนใจใน AI

Obama เริ่มสนใจประเด็น AI ตั้งแต่ปี 2015-2016 เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางด้านดิจิทัลที่เกิดจากโซเชียลมีเดียและการปฏิวัติด้านข้อมูล เขาก็เริ่มมองว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมของชีวิตเรา และเริ่มมองเห็นว่า AI อาจเป็นคลื่นลูกถัดไปที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมหาศาล

“บทเรียนหนึ่งที่เราได้รับจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อของเราคือ นวัตกรรมที่น่าทึ่งมาพร้อมกับคำสัญญาที่ยิ่งใหญ่และสิ่งดีๆ มากมาย แต่ก็มีผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจมากมายเช่นกัน” Obama กล่าว

เขาเน้นย้ำว่าเราจำเป็นต้องโฟกัสมากขึ้นในการพิจารณาว่าระบอบประชาธิปไตยของเราจะปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นจากภาคเอกชนเป็นหลักอย่างไร และเราจะกำหนดกฎเกณฑ์อย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ประโยชน์สูงสุดและลดผลเสียให้น้อยที่สุด

ศักยภาพและความท้าทายของ AI

Obama มองว่า AI มีศักยภาพมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงโลก โดยอาจส่งผลกระทบต่อวิธีที่เราผลิตสิ่งต่าง ๆ การให้บริการ และวิธีที่เราเสพข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะเกิดความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างมาก การให้การสอนพิเศษแบบรายบุคคลแก่เด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และการแก้ปัญหาด้านพลังงานรวมถึงการจัดการกับก๊าซเรือนกระจก

อย่างไรก็ตาม เขาก็ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย เช่น การที่ AI มันมีความสามารถสุดล้ำ ก็อาจตกอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดีที่อาจใช้มันในการพัฒนาอาวุธชีวภาพหรือแฮ็กเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน โดย Obama เปรียบเทียบว่าอาจคล้ายกับผลกระทบที่โซเชียลมีเดียมีต่อเด็กในปัจจุบัน

การกำกับดูแล AI: ความจำเป็นและความท้าทาย

Obama มองว่าการกำกับดูแล AI เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องทำอย่างชาญฉลาดและต้องมีความยืดหยุ่น เขาเปรียบเทียบกับการกำกับดูแลในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอาหาร ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพ ซึ่งไม่ได้ขัดขวางนวัตกรรม แต่กลับช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและเอื้อต่อการพัฒนาตลาด

“ปรากฏว่ากฎและมาตรฐานต่างๆ เหล่านี้จริงๆ แล้วมันเป็นการสร้างตลาดและดีต่อธุรกิจ และนวัตกรรมก็พัฒนาขึ้นรอบๆ กฎเหล่านั้น” Obama กล่าว

เขาเน้นย้ำว่าการมีกรอบการกำกับดูแลที่ชาญฉลาดไม่เพียงแต่ไม่ทำให้สิ่งต่างๆ พัฒนาช้าลง แต่ในบางกรณีอาจยกระดับมาตรฐานและเร่งความก้าวหน้าให้เกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม Obama ตระหนักดีว่าการกำกับดูแล AI มีความท้าทายมากกว่าเทคโนโลยีในอดีต เนื่องจาก AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบในวงกว้าง การกำกับดูแลจึงต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

นอกจากนี้ Obama ยังเน้นถึงความสำคัญของการร่วมมือระหว่างประเทศในการกำหนดมาตรฐานและกรอบการกำกับดูแล AI เนื่องจากอินเทอร์เน็ตและ AI เป็นปรากฏการณ์ระดับโลก การมีมาตรฐานร่วมกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ผลกระทบต่อการทำงานและเศรษฐกิจ

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ Obama ให้ความสนใจคือผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ เขามองว่าในอนาคตอันใกล้ AI อาจสามารถทำงานบางอย่างได้ดีกว่ามนุษย์ เช่น การเขียนโค้ด การทำวิจัยทางกฎหมาย หรือแม้แต่งานเขียนทั่วไป

“ถ้า AI กำลังเขียนโค้ดได้ดีกว่านักเขียนโค้ดทั้งหมดยกเว้นคนที่เก่งที่สุด ถ้า ChatGPT สามารถสร้างบันทึกการวิจัยได้ดีกว่าทนายความจบใหม่ปีที่สามหรือสี่ … ตอนนี้คุณกำลังบอกอะไรกับคนหนุ่มสาวที่กำลังเติบโตขึ้นมา” Obama ตั้งคำถาม

เขาเสนอว่าเราอาจต้องมาทบทวนกันใหม่ว่าเราจะให้การศึกษาแก่เยาวชนอย่างไร และจะมีงานประเภทใดบ้างในอนาคต Obama เสนอแนะว่าเราอาจต้องให้ความสำคัญกับงานที่ AI ไม่สามารถทำได้ดี เช่น งานด้านการดูแลสุขภาพ การพยาบาล การสอน การดูแลเด็ก และงานศิลปะ

นอกจากนี้ เขายังเสนอให้พิจารณาประเด็นอื่นๆ เช่น ความยาวของสัปดาห์การทำงาน วิธีการแบ่งปันงาน และการจัดการกับแนวโน้มที่คนจำนวนมากขึ้นเลือกทำงานแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบสวัสดิการและการเกษียณอายุ

การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิของผู้สร้างสรรค์

ในฐานะที่เป็นทั้งนักเขียนและผู้ผลิตสื่อ Obama ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิของผู้สร้างสรรค์ในยุค AI เขามองว่าปัญหานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความท้าทายที่ใหญ่กว่าที่ AI นำมาสู่สังคม

Obama เชื่อว่าจะมีการฟ้องร้องและการดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ ผ่านกระบวนการทางกฎหมายและกลไกการควบคุมอื่นๆ ผู้สร้างสรรค์จะหาวิธีได้รับค่าตอบแทนและปกป้องผลงานของตน อย่างไรก็ตาม เขามองว่าในระยะยาว ประเด็นนี้อาจเป็นเพียงอุปสรรคเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลกระทบที่ใหญ่กว่าของ AI ต่อสังคมและเศรษฐกิจ

การให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับ AI

Obama เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับความสามารถและข้อจำกัดของ AI เขามองว่า AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึก

“วิธีที่ผมคิดเกี่ยวกับ AI คือมันเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เพื่อนของเรา” Obama กล่าว “สิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วยที่ทรงพลังมากสำหรับตัวคุณเอง แต่ก็เป็นภาพสะท้อนของตัวคุณเองด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าสับสนและคิดว่าสิ่งที่คุณเห็นในกระจกคือจิตสำนึก บ่อยครั้งที่มันเป็นเพียงการสะท้อนกลับของสิ่งที่คุณป้อนเข้าไปเพียงเท่านั้น”

เขาเน้นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนต้องเข้าใจว่า AI ไม่ได้มีความคิดหรือความรู้สึกของตัวเอง แต่เป็นเพียงการประมวลผลข้อมูลที่มนุษย์ป้อนเข้าไป การมองภาพมันแบบนี้จะช่วยให้เราใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัยมากขึ้น

บทสรุป: มองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความระมัดระวัง

ในท้ายที่สุด Obama มองการพัฒนาของ AI ด้วยทัศนคติที่ผสมผสานระหว่างความหวังและความระมัดระวัง เขาเชื่อว่า AI มีศักยภาพมหาศาลในการสร้างประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ แต่ก็ตระหนักถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน

การกำกับดูแลที่ชาญฉลาด การให้ความรู้แก่สาธารณชน และการร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ AI จะนำมาสู่สังคมของเรา

Obama เชื่อว่าหากเราสามารถจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะสามารถสร้างอนาคตที่ AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

ท้ายที่สุด Obama เชิญชวนให้ผู้ที่สนใจมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของ AI โดยเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น บริการดิจิทัลของสหรัฐฯ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถได้อุทิศตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

“ถ้าคุณสนใจที่จะช่วยกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับสิ่งเหล่านี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ให้ไปที่ AI.gov (ในสหรัฐฯ) และดูว่ามีโอกาสใดบ้างสำหรับคุณ” Obama กล่าวทิ้งท้าย

การพัฒนา AI กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่ออนาคตของเราอย่างไร ด้วยความร่วมมือ การคิดอย่างรอบคอบ และความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดเพื่อส่วนรวม เราสามารถใช้พลังของ AI เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไปได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
Obama on AI, free speech, and the future of the internet (The Verge)
https://youtu.be/X15o2sG8HF4
https://www.hdwallpapers.net/celebrities/barack-obama-in-black-and-white-wallpaper-639.htm