Geek Story EP171 : The End of Googleverse เมื่อสัญญาณว่ายุคของ “peak Google” กำลังจะสิ้นสุดลง

Google เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1998 หลังจากเปิดตัวได้ไม่นานมันก็กลายเป็นสิ่งสามัญที่ทุกคนใช้บนอินเทอร์เน็ต มันกลายเป็นยิ่งกว่าวัฒนธรรม ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ Google สร้างผลกระทบอย่างไรต่อโลกมนุษย์ของเราในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา แต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นและเป็นสัญญาณว่ายุคของ “peak Google” กำลังจะสิ้นสุดลงหรืออาจจะจบลงแล้ว 

มีการร้องเรียนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า Google ไม่ได้มีความแม่นยำ มีความสามารถเหมือนเดิม และบริษัทก็ไม่ได้ทุ่มเทให้กับการค้นหาเหมือนเมื่อก่อน การเพิ่มขึ้นของเครือข่ายโซเชียลมีเดียโดยใช้อัลกอริธึมแบบปิดเช่น Facebook และ Instagram ของ Meta เริ่มเข้ามากลืนกินรูปแบบของเว็บในปี 2010 และเมื่อไม่นานมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ฟีดวิดีโอเพื่อความบันเทิงอย่าง TikTok ซึ่งขณะนี้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรุ่นใหม่ใช้เป็นเครื่องมือค้นหาหลัก 

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3r6se6xk

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/28fu75mb

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/yzymu2jc

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ycksn548

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/mveywYEIuGY

มาสด้าส่ง NEW MAZDA CX-3 ดีไซน์ใหม่ใส่ออฟชั่นเต็มคัน

มาสด้าเดินหน้ากระตุ้นตลาดรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลัง ประเดิมเปิดตัว New Mazda CX-3 รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี ชูคอนเซ็ปต์ “Never Settle for Less ความท้าทายใหม่ไม่รู้จบ” ลุยเจาะฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ B-Car Upper และลูกค้ากลุ่ม B-SUV ที่ต้องการรถอเนกประสงค์เอสยูวีเป็นคันแรกในครอบครัว และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการพื้นที่อรรถประโยชน์ที่มากกว่ารถยนต์นั่ง

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และภาพลักษณ์ความสปอร์ต ตลอดจนฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ให้ความคุ้มค่า เหนือราคา โดยวางราคาเริ่มต้นเพียง 770,000 บาท และดอกเบี้ย 1.79% พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ลูกค้าที่สนใจสามารถทดลองขับพร้อมรับข้อเสนอพิเศษมากมายได้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ พร้อมรับรถใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว New Mazda CX-3 ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และการออกแบบอันสง่างามจาก โคโดะ ดีไซน์ รวมถึงเป็นการกระตุ้นตลาดรถยนต์ไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่นรถอเนกประสงค์ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะการพัฒนารถรุ่นนี้ให้เป็นครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกที่จะพาคุณออกไปเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ได้ไม่รู้จบ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นวัยเริ่มต้นทำงานที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีเป็นคันแรก หรือลูกค้าที่ต้องการซื้อรถเพิ่มเติมเพื่อเติมเต็มชีวิตของครอบครัว ที่มีดีไซน์สปอร์ตพรีเมี่ยม มีความคุ้มค่าเหนือราคา อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น 

New Mazda CX-3 มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร (SKYACTIV-G 2.0) ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 156 แรงม้า ประหยัดน้ำมันถึง 16.4 กม./ลิตร และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ หรือ G-Vectoring Control (GVC) ที่ช่วยควบคุมสมรรถนะการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุล เพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

การออกแบบ New Mazda CX-3 ได้รับการยกระดับความสปอร์ตพรีเมี่ยม ที่มีเอกลักษณ์ในสไตล์เฉพาะตัว ทั้งดีไซน์ภายนอกที่มาพร้อมกระจังหน้าสีดำ กระจกมองข้างสีดำ ซุ้มล้อสีดำเงา และหลังคาสีดำเงา และมาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว ในขณะที่ภายในห้องโดยสารก็มีความประณีต พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งยังมีความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ด้วยคอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังสีฟ้าเทา ตกแต่งด้วยด้ายสีคอปเปอร์ พร้อมกรอบช่องแอร์สีคอปเปอร์ ผสานกันอย่างลงตัวกับเบาะหนังสีดำและผ้า Grand Luxe Suede® พร้อมสีภายนอกใหม่ สีเทา แอโร เกรย์ ที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ความสปอร์ตหรูไปอีกระดับ ทำให้รถ New Mazda CX-3 มีให้เลือกมากถึง 7 สี 

นอกจากดีไซน์ใหม่แล้ว New Mazda CX-3 ยังได้ถูกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยมาเพิ่มเติม รวมถึงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ด้วยระบบ i-Activsense ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุและช่วยให้การขับขี่ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS) ระบบช่วยหยุดรถขณะถอยหลัง (SCBS-R) ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (SBS) ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (HBC) และติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go

โดยระบบสามารถปรับความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง จึงทำให้รุ่นนี้กลายเป็นครอสโอเวอร์เอสยูวี ที่ให้ความคุ้มค่าเหนือราคาเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีที่ให้มาแบบเต็มคันNew Mazda CX-3 มีให้เลือกถึง 4 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น 2.0 Base ราคา 770,000 บาท รุ่น 2.0 Base Plus ราคา 830,000 บาท รุ่น 2.0 Comfort ราคา 900,000 บาท และรุ่นใหม่ล่าสุด 2.0 Sport Luxe ราคา 970,000 บาท

ลูกค้าที่สนใจรถครอสโอเวอร์เอสยูวี New Mazda CX-3 สามารถยลโฉมรถคันจริงได้ที่งาน Big Motor Sale 2023 ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 3 กันยายน 2566 พร้อมรับแคมเปญสุดคุ้มช่วงเปิดตัว กับดอกเบี้ย 1.79% และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี หรือทดลองขับพร้อมรับข้อเสนอพิเศษมากมายได้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ไฮเออร์ ประเทศไทย ชวนทุกคนแชร์โมเมนต์ประทับใจที่มีต่อไฮเออร์ ลุ้นรับของรางวัลกับแคมเปญ #PlayWithTheNumberOnes

ไฮเออร์ (ประเทศไทย) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลกและแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 14 ปีซ้อน ได้จัดแคมเปญเชิญชวนทุกคนมาร่วมกิจกรรม #PlayWithTheNumberOnes ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อฉลองการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาเทนนิสระดับโลก โดยสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป จนถึง วันที่ 7 กันยายน 2566 ชิงของรางวัลรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท อาทิเช่น

  • เครื่องปรับอากาศ Haier UV Cool Standard รุ่น HSU-12VQRA03T มูลค่า 16,990 บาท จำนวน 1 รางวัล
  • ไมโครเวฟ Haier รุ่น HMW-M2001W มูลค่า 1,990 บาท จำนวน 3 รางวัล 
  • เครื่องซักผ้า Haier รุ่น HWM100-316S6 มูลค่า 7,990 บาท จำนวน 2 รางวัล
  • เครื่องปั่น Haier รุ่น HBL-1402 มูลค่า 2,190 บาท จำนวน 2 รางวัล
  • ตู้แช่ Haier รุ่น HCF-108C มูลค่า 7,990 บาท จำนวน 1 รางวัล
  • Central Gift Card 500 บาท จำนวน 5 รางวัล

โดยกติกาในการร่วมสนุกกิจกรรม #PlayWithTheNumberOnes แต่ละช่องทางมีดังนี้

กติกาสำหรับกิจกรรมบนช่องทาง Facebook

  1. กดติดตาม Facebook: Haier Thailand
  2. ร่วมแชร์โมเมนต์ประทับใจอันดับ 1 ที่มีต่อสินค้าไฮเออร์ โดยการถ่ายรูปคู่ของคุณกับสินค้าไฮเออร์และบรรยายโมเมนต์ประทับใจอันดับ 1 ที่มีต่อสินค้าไฮเออร์ ไปที่หน้า Facebook ของตนเองและเปิดสาธารณะ พร้อมแปะหลักฐานที่ใต้คอมเมนต์กิจกรรมนี้บน Facebook พร้อมติดแฮชแท็ก #PlayWithTheNumberOnes #MyNumberOne และแท็ก @HaierThailand

กติกาสำหรับกิจกรรมบนช่องทาง Instagram

  1. กดติดตาม Instagram : @haierthailand_official
  2. ค้นหาฟิลเตอร์ PlayWithNo.1TH บน Instagram 
  3. บันทึกหน้าจอเป็นวิดีโอขณะเล่นฟิลเตอร์ จากนั้นโพสต์วิดีโอลงบน Instagram ของตนเอง บรรยายความประทับใจอันดับ 1 ที่มีต่อไฮเออร์ และเปิดสาธารณะ
  4. ติดแฮชแท็ก #PlayWithTheNumberOnes #HaierThailand และแท็ก @haierthailand_official

กติกาสำหรับกิจกรรมบนช่องทาง TikTok

  1. กดติดตาม TikTok: @haier_thailand
  2. ร่วมเล่นชาเลนจ์ #PlayWithTheNumberOnes 
  3. โพสต์วิดีโอลงบน TikTok ของตนเอง บรรยายความประทับใจอันดับ 1 ที่มีต่อไฮเออร์ และเปิดสาธารณะ
  4. ติดแฮชแท็ก #PlayWithTheNumberOnes #HaierThailand และแท็ก @haier_thailand

โดยจะคัดเลือกผู้โชคดีจากผู้ที่ทำตามกติกาของแต่ละช่องทางถูกต้องครบถ้วนและให้เหตุผลความประทับใจที่มีต่อไฮเออร์ที่โดนใจกรรมการที่สุด และประกาศผลผู้โชคดีในวันที่ 18 กันยายน 2566 ทาง Facebook: Haier Thailand

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชัน และแคมเปญใหม่ ๆ จาก Haier ได้ที่

Facebook : Haier Thailand
Instagram : @haierthailand_official
X (Twitter) : @ThailandHaier
TikTok : @haier_thailand
YouTube : Haier Thailand
LINE OA : @haierthailand

หรือดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.haier.com/th

Geek Story EP170 : Airbnb ผู้ชนะตัวจริงของแนวคิดธุรกิจแบบ Sharing Economy

Sharing Economy คำพูดที่ดูสวยหรูที่เราได้ยินกันมากว่า 15 ปีแล้ว ดูเหมือนว่าการจะสร้างธุรกิจด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้นั้นมันยากที่จะเป็นจริง Uber ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2008 เป็นบทพิสูจน์หนึ่งในนั้น

ลองจินตานาการถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สตาร์ทอัพ แล้วพวกคุณคือนักลงทุนคนหนึ่ง และได้ให้โอกาส ให้ทุนเจ้าของกิจการไปเผาผลาญเงินเป็นว่าเล่นเป็นเวลาถึง 15 ปีแล้ว แต่ธุรกิจกลับยังไม่ไปถึงไหน คุณจะคิดอย่างไรกับธุรกิจแบบนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4h5szeu5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mpub6p6c

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/muhbrh46

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/fa6bm6eu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/yLwxutJQr8o

TikTok vs Oracle กับการต่อสู้เพื่อควบคุมอัลกอริทึมที่กำลังถูกเฝ้ามองโดยสหรัฐอเมริกา

ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจที่ส่วนตัวผมเองก็เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเหมือนกันนะครับ สำหรับการที่ TikTok ยังสามารถใช้งานในสหรัฐอเมริกาได้โดยไม่ได้ถูกแบนแบบ 100% นั้นมันได้ถูกครอบงำไว้โดยเงื่อนไขบางอย่าง

ภายใน TikTok ที่เป็นแพลตฟอร์มระดับ Global นั้น มีพื้นที่ลับเฉพาะที่ถูกเรียกว่า “dedicated transparency center” ที่สร้างขึ้นสำหรับพนักงานของ Oracle เพื่อตรวจสอบซอร์สโค้ดของ TikTok ว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่ตามความกังวัลของหน่วยงานรัฐของสหรัฐอเมริกา

ความน่าสนใจก็คือพื้นที่แห่งนี้ มีการปะทะกันอย่างเข้มข้นระหว่าง TikTok ที่เป็นเจ้าของโดยจีนและ Oralce ที่มาในฐานะตัวแทนของสหรัฐอเมริกา

พนักงานของ Oracle เองจะนั่งที่โต๊ะโดยเหนือศรีษะถูก monitor โดยกล้องของบริษัท TikTok ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ถูกส่งตรงมาจากรัฐบาลจีน

จำนวนและตำแหน่งของกล้องนี่เองที่เป็นที่มาของความขัดแย้งระหว่างสองบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากทั้งสองประเทศ เพราะ ByteDace ที่เป็นบริษัทแม่ของ TikTok นั้นวางแผนที่จะตั้งกล้องไว้เหนือพนักงานของ Oracle แต่ละคนในขณะที่พวกเขากำลังทำงาน แต่ Oralce ไม่ยอม เพราะพวกเขามองว่ากล้องจะทำให้ ByteDance สามารถดูรหัสผ่านและข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทได้

และที่สำคัญสัญญาระหว่าง TikTok และ Oracle ในครั้งนี้ ในชื่อ Project Telesis ทำให้ ByteDance เป็นหนึ่งในลูกค้าที่สร้างกำไรให้ Oracle มากที่สุด

รายละเอียดจากข้อตกลงเมื่อฤดูร้อนปี 2022 ระหว่าง ByteDance และ ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี Biden โดยให้อำนาจแก่ Oralce ในการพิจารณาว่าซอร์สโค้ดของ TikTok มีสิ่งแปลกปลอมและพฤติกรรมสอดแนมทางฝั่งสหรัฐอเมริกาหรือไม่

ประธานาธิบดี Biden โดยให้อำนาจแก่ Oralce ในการตรวจซอร์สโค้ดของ TikTok (CR:USA Today)
ประธานาธิบดี Biden โดยให้อำนาจแก่ Oralce ในการตรวจซอร์สโค้ดของ TikTok (CR:USA Today)

ซึ่งหากพบสิ่งผิดปรกติ Oracle สามารถแจ้งรัฐบาลให้ระงับการทำงานของ TikTok ในสหรัฐฯ ชั่วคราวได้ ซึ่งต้องบอกว่าในสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นใหญ่ของ TikTok ที่มีผู้ใช้งานสูงถึง 150 ล้านคน

ในเดือนกันยายน 2020 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่คำสั่งของประธานาธิบดี Donald Trump ที่จะสั่งแบน TikTok ทาง ByteDance ได้ยื่นข้อเสนอต่อฝ่ายบริหารงานของ Trump โดยมอบหมายให้บริษัท Oracle มาดูแลการตรวจสอบบริษัทอย่างเข้มข้นในการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกา

ซึ่งก่อนที่ Oracle จะตกลงเป็นพันธมิตรกับ TikTok นั้น พวกเขาได้พยายามที่จะเข้าซื้อกิจการของ TikTok ในช่วงฤดูร้อนปี 2020 ซึ่งในช่วงนั้นประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศอย่างแข็งกร้าวว่าเขาจะแบน TikTok เว้นแต่ ByteDance จะขายแอปให้กับบริษัทในสหรัฐดำเนินการแทน

แต่ก่อนที่จะเกิดการซื้อขาย ทางรัฐบาลจีนได้แก้เกมด้วยการเปลี่ยนกฎในการขายแพลตฟอร์ม โดย ByteDance จะต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลจีนในการขายอัลกอริทึมการแนะนำที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกของ TikTok

Oracle จึงเปลี่ยนไปเซ็นสัญญาในการตรวจสอบแอป TikTok ในสหรัฐฯ แทนซึ่งสร้างรายได้ให้กับพวกเขามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle ที่ได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ จากดีลดังกล่าวนี้ (CR:Wikipedia)
Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle ที่ได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ จากดีลดังกล่าวนี้ (CR:Wikipedia)

และหลังจากที่ Donald Trump พ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 2020 Oralce ก็ได้ร่วมทำงานกับ TikTok และ ByteDance เพื่อเจรจาข้อตกลงกับ CFIUS (คณะกรรมการด้านการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งบทบาทของพวกเขาได้ขยายไปไกลทั้งเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ จนถึงขั้นการตรวจสอบโค้ดของ TikTok

สิ่งหนึ่งที่ Oracle ไม่สามารถทำได้ภายใต้ข้อตกลงฉบับดังกล่าวคือการเปลี่ยนซอร์สโค้ดของอัลกอริทึม TikTok ซึ่งพวกเขายังเป็นเจ้าของและพัฒนาโค้ดหลักของแพลตฟอร์มต่อไป

มันเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจ ซึ่งคงเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่สามารถทำอย่างที่สหรัฐอเมริกาทำได้ TikTok เองก็ต้องเลือกระหว่างการลาจากตลาดสหรัฐอเมริกาที่สร้างรายได้ให้กับพวกเขาอย่างมหาศาล หรือต้องยอมทำตามความต้องการของรัฐบาลสหรัฐฯ

มันแสดงให้เห็นถึงการเดิมพันที่สูงมากของ TikTok เพราะพวกเขาไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครือข่ายโซเชียลมีเดีย แต่เป็นมากกว่านั้น TikTok เปรียบเสมือนประตูที่เปิดแอปของจีนสู่โลกภายนอก ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีหลาย ๆ แอปกำลังทำตามตัวอย่างเช่น Shein หรือ TEMU ที่กลายเป็นกองทัพแพลตฟอร์มจีนที่กำลังบุกทะลวงสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/emilybaker-white/2023/08/24/tiktok-ban-oracle-bytedance-algorithm-fight
https://www.theinformation.com/articles/with-tiktok-deal-oracle-could-gain-billion-dollar-cloud-customer