Audrey Tang สาวข้ามเพศและอนาธิปไตย กับการเป็นผู้นำของไต้หวันในการเป็นมหาอำนาจดิจิทัล

รัฐมนตรีดิจิทัลของไต้หวัน Audrey Tang ผู้ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงให้กับไต้หวัน อะไรที่ทำให้ Audrey กลายเป็นตำนานในไต้หวัน และเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

Audrey เป็นหนึ่งในนักพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สชั้นนำของโลก เธอเริ่มต้นบริษัทไอทีของตัวเองเมื่ออายุ 19 ปี

ในปี 2014 เธอได้กลายเป็นที่ปรึกษาดิจิทัลให้กับ Apple ซึ่งเธอได้มีส่วนร่วมในโครงการปัญญาประดิษฐ์ระดับสูง เช่น การพัฒนาผู้ช่วยส่วนตัวเสมือนของ Apple อย่าง Siri 

เธอได้รับเงินค่าจ้างในอัตรา 1 bitcoin ต่อชั่วโมง เมื่อ Audrey เข้าร่วม Apple ในปี 2014 ราคา bitcoin ที่พุ่งสูงขึ้น บวกกับเงินจากการลงทุนครั้งก่อนๆ ของ Audrey ทำให้เธอร่ำรวยมหาศาล

Audrey กับการพัฒนาผู้ช่วยส่วนตัวเสมือนของ Apple อย่าง Siri (CR:Thesiriconreview)
Audrey กับการพัฒนาผู้ช่วยส่วนตัวเสมือนของ Apple อย่าง Siri (CR:Thesiriconreview)

Audrey ประกาศเกษียณอายุเมื่ออายุ 33 ปี โดยบอกว่าเธอจะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตทำในสิ่งที่เธอชอบ สิ่งนี้ขยายไปถึงบทบาทปัจจุบันของเธอในฐานะรัฐมนตรีดิจิทัลของไต้หวัน ซึ่งเธอรับหน้าที่ตามคำเชิญของประธานาธิบดี Tsai Ing-wen

เธอมีชีวิตที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่มาก โดยมีลักษณะเฉพาะในการไม่เชื่อฟังบรรทัดฐานทางสังคม ตอนนี้เธอกลายเป็นไอดอลสำหรับหนุ่มสาวชาวไต้หวันที่หลงใหลเรื่องราวชีวิตและโลกทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ

นักอ่านตัวยงตั้งแต่เด็ก

Audrey เกิดในปี 1981 ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่มีสติปัญญาที่ดีเลิศ ซึ่งมีภูมิหลังในการทำงานด้านสื่อ พ่อของเธอเป็นนักอ่านตัวยงที่ใช้เงินที่เหลือไปกับหนังสือ 

เขามีปฏิสัมพันธ์กับลูกในลักษณะเดียวกับที่เขาทำกับผู้ใหญ่ ในช่วงเวลาที่ Audrey เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษา พ่อของเธอจะพูดกับเธอในบทสนทนาแบบเสวนาเป็นหลัก 

เขายังอนุญาตให้เธออ่านหนังสือคณิตศาสตร์และปรัชญาของเขาด้วย ซึ่งสภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้ช่วยให้สติปัญญาของ Audrey มีมากกว่าเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นตั้งแต่อายุยังน้อย

ในการทดสอบไอคิวที่เธอสอบในระดับประถมศึกษาAudrey ได้คะแนน “160 หรือสูงกว่า” ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดที่เป็นไปได้ในระดับ Weschler Intelligence Scale for Children 

Audrey ปฏิเสธข้ออ้างที่เธอมีไอคิว 180 ว่าไม่ถูกต้อง แต่เธอกล่าวว่า เนื่องจากคะแนนการทดสอบของเธอเกินค่าสูงสุด จึงไม่สามารถวัด IQ ที่แท้จริงของเธอได้ 

เมื่อการทดสอบซ้ำเธอก็ได้คะแนนเท่ากัน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับไอคิวของเธอในทุกวันนี้ เธอกล่าวว่า “ในยุคของอินเทอร์เน็ต ทุกคนมีไอคิวอยู่ที่ 180”

ไม่เหมาะกับโรงเรียนทั่วไป

ในขณะที่เด็กส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในการศึกษาภาคบังคับจนถึงมัธยมปลายก่อนที่จะไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือแม้แต่ระดับบัณฑิตศึกษา

Audrey จบการศึกษาของเธอก่อนจบมัธยมต้น หลังจากเปลี่ยนโรงเรียนอนุบาลสองครั้งและโรงเรียนประถมห้าครั้ง 

เธอพบว่าการไปโรงเรียนมีความทุกข์มากกว่าความสุข เธอเข้าใจเนื้อหาก่อนที่ครูของเธอจะเริ่มสอน และคิดว่าได้รับความรู้เพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย 

เธอมักถูกตำหนิว่าไม่นำผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชู่มาที่ห้องเรียน สติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเธอยังทำให้เธอมีศัตรูมากมาย

หลังจากที่ถูกจัดให้อยู่ในชั้นเรียนระดับบนสุดที่โรงเรียนประถม สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเลวร้ายลงไปสำหรับเธอ ผู้ปกครองชาวไต้หวันให้ความสนใจอย่างมากกับผลการเรียนของบุตรหลาน และชั้นเรียนก็มีการแข่งขันสูง 

Audrey อยู่ในอันดับต้น ๆ ของเธอเสมอซึ่งทำให้เธอถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแก เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งหลังจากถูกพ่อแม่ทุบตีเพราะไม่ได้ตำแหน่งสูงสุด บอกกับ Audrey ว่า “ฉันหวังว่าคุณจะตาย เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปแทนที่คุณ”

Audrey เกิดมาพร้อมกับโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งทำให้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีม่วงในยามเครียด บางครั้งเธอก็เป็นลม ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถโกรธได้ 

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอหมดสติไปหลังจากถูกเพื่อนร่วมชั้นชกจนชนกำแพง เมื่อกลับถึงบ้านและถอดเสื้อผ้าออก แม่เธอพบรอยฟกช้ำขนาดใหญ่ที่หน้าอกของเธอซึ่งเป็นผลมาจากการถูกเตะ

Audrey เริ่มกลัวโรงเรียน เธอเข้าและออกจากโรงเรียนและแม้กระทั่งกลายเป็นผู้ถูกขับไล่ออกจากโรงเรียน เธอไม่เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาอื่นหลังจากออกจากโรงเรียนช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น

เมื่อ Audrey อายุ 14 ปี พ่อแม่ของเธออนุญาตให้เธอไปพักผ่อนที่เขต Wulai อันห่างไกลของไต้หวันเพื่ออยู่คนเดียว หลังจากครุ่นคิดหลายสัปดาห์ เธอก็ตัดสินใจครั้งสำคัญ

ไม่มีอะไรต้องเรียนรู้

ก่อนหน้านี้ Audrey ได้รับรางวัลในการแข่งขันวิทยาศาสตร์ของโรงเรียน และได้รับการรับรองว่าจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมชั้นนำของประเทศ

อย่างไรก็ตาม เธอเลือกที่จะไม่เดินตามเส้นทางนั้น โดยรู้สึกว่าข้อมูลที่สอนนั้นช้ากว่าสิ่งที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ 10 ปี และเธอน่าจะเรียนรู้โดยตรงจากอินเทอร์เน็ตได้ดีกว่า

อัจฉริยภาพของ Audrey ยังแสดงออกถึงความสามารถทางภาษาอีกด้วย เมื่อตอนเป็นเด็กเธอใช้เวลาหนึ่งปีในการศึกษาที่ยุโรปกับแม่ของเธอซึ่งเป็นผลมาจากการที่เธอพูดภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสได้ นั่นทำให้ทักษะทางภาษาของเธอทำให้เธอสามารถเรียนรู้ออนไลน์โดยตรงจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก 

ผู้ที่ได้รับคำถามจากเธอส่วนใหญ่ ต่างคิดว่ากำลังพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่อยากรู้อยากเห็น ไม่ใช่นักเรียนมัธยมต้นที่ออกจากโรงเรียนกลางคัน

การตัดสินใจออกจากโรงเรียนทำให้ครอบครัวของเธอตกใจ พ่อและปู่ย่าตายายของเธอไม่เห็นด้วยกับแผนการที่จะเรียนด้วยตัวเองและเริ่มต้นธุรกิจ 

อย่างไรก็ตาม แม่ของ Audrey ซึ่งได้ลาออกจากอาชีพสื่อเพื่อก่อตั้งโรงเรียนทดลอง เชื่อว่ามีเส้นทางการเรียนรู้มากกว่าหนึ่งทาง เธอเป็นได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูกของเธอ

หลังจากออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 14 ปี Audrey เข้าสู่โลกของธุรกิจเมื่ออายุ 16 ปี ก่อตั้งบริษัทไอที เธอมีความก้าวหน้าที่ดีทั้งในฐานะโปรแกรมเมอร์และในฐานะผู้จัดการ เธอทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรที่มีชื่อเสียง เช่น Apple และ Oxford University Press ในการก่อตั้งบริษัทหลายแห่ง

การเปลี่ยนผ่าน

ในเวลานี้เองที่ Audrey ได้ตัดสินใจที่จะก้าวข้ามเพศ โดยเธอกำเนิดเป็นผู้ชาย เธอได้ตัดสินใจเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงเมื่ออายุ 25 ปี

โดยเปลี่ยนชื่อของเธอเป็น Feng ที่คลุมเครือเรื่องเพศมากขึ้นหรือ “Audrey” ในภาษาอังกฤษ Audrey เป็นรัฐมนตรีข้ามเพศคนแรกของไต้หวัน และเพศของเธอมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อรัฐมนตรีว่า “ไม่มี”

พ่อแม่ของเธอรู้สึกอย่างไรกับการมีลูกสาวข้ามเพศ? ทั้งสองกล่าวว่าพวกเขาสนับสนุนลูกอย่างเต็มที่ตราบเท่าที่เธอมีความสุข การเป็นพ่อแม่ของอัจฉริยะนั้นทำให้เธอต้องการความรักและความอดทนอย่างไม่จำกัด

เนื่องจากประสบการณ์ส่วนตัวของเธอในการใช้เส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา Audrey เชื่อว่าในขณะที่การปกครองโดยเสียงข้างมากเป็นหัวใจของประชาธิปไตย สังคมก็ต้องการระบบที่อนุญาตให้ชนกลุ่มน้อยที่ปฏิบัติตามกฎหมายสามารถมีอิทธิพลต่อสังคมได้

สะท้อนเสียงชนกลุ่มน้อย

หลังจากเป็นรัฐมนตรีดิจิทัลของไต้หวัน Audrey ได้ก่อตั้งเวทีสำหรับรับฟังความคิดเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล และขอให้ชาวไต้หวันเสนอแนวคิดเกี่ยวกับนโยบายที่เป็นไปได้ 

ซึ่งเวทีที่เธอสร้างขึ้นช่วยขจัดอุปสรรคระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และสะท้อนความคิดเห็นที่แท้จริงของสังคมในรัฐบาล

รัฐที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ไต้หวันได้ออกคำสั่งห้ามการใช้หลอดพลาสติกแบบครอบคลุมในเดือนกรกฎาคม 2019 การห้ามดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อนักเรียนโรงเรียนอายุ 16 ปียื่นข้อเสนอโดยใช้แพลตฟอร์มของ Audrey 

แนวคิดนี้ได้รับการรับรองโดยประชาชนกว่า 5,000 คนและต่อมาได้ถูกเขียนเป็นกฎหมายโดยสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของไต้หวัน 

ไต้หวันขึ้นชื่อในเรื่องชานม และผู้บริโภคชาวไต้หวันซื้อเครื่องดื่ม 1 พันล้านแก้วทุกปี การแบนจึงเป็นการปฏิวัติแนวทางปฏิบัติของผู้บริโภค ซึ่งเกิดขึ้นจากข้อเสนอของวัยรุ่นคนเดียวที่ส่งโดยใช้แพลตฟอร์มของ Audrey

แรงกดดันจากจีนแผ่นดินใหญ่ทำให้ไต้หวันต้องปิดตัวจากประชาคมระหว่างประเทศมาช้านาน 

Audrey คิดหาวิธีให้ไต้หวันเข้าร่วมการประชุมขององค์การสหประชาชาติในรูปแบบดิจิทัล โดยผสมผสานเทคโนโลยีและการทูตเพื่อแบ่งปันความคิดเห็นของชาวไต้หวันกับคนทั่วโลก

Audrey Tang และ Tsai Ing-wen ผู้ชักชวนเข้ามาร่วมงานทางด้านการเมือง (CR:Taiwan News)
Audrey Tang และ Tsai Ing-wen ผู้ชักชวนเข้ามาร่วมงานทางด้านการเมือง (CR:Taiwan News)

แม้จะเป็นรัฐมนตรีของรัฐบาล แต่ Audrey บอกว่าเธอไม่มีความลับ เธอเผยแพร่รายงานการประชุมทั้งหมดทางออนไลน์ บ่อยครั้งเมื่อเข้าร่วมการประชุมนโยบาย เธอจะพิมพ์บนคอมพิวเตอร์ของเธอในแบบเรียลไทม์ ซึ่งเธอจะเผยแพร่ทันทีที่การประชุมเสร็จสิ้น

ในวันพุธ Audrey เปิดสำนักงานของเธอต่อสาธารณชน ใครก็ตามที่มีข้อเสนอสำหรับรัฐบาลโดยไม่คำนึงถึงอายุหรืออาชีพสามารถนัดหมายเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ 

ในตอนเย็น เธอได้พบปะกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากทั้งไต้หวันและต่างประเทศ ตลอดจนการรวมตัวของเหล่าผู้สร้างสรรค์ มีการจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม และบางครั้งการโต้วาทีที่มีชีวิตชีวาก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงดึก

พลังแห่งการนอนหลับ

หลังจากทำงาน 25 นาที Audrey จะพัก 5 นาทีเสมอ ทุกคืน เธอลบอีเมลทั้งหมดและไม่ทิ้งอะไรไว้ในรายการ “สิ่งที่ต้องทำ” เธอกล่าวว่าเคล็ดลับในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือการนอนหลับให้ได้แปดชั่วโมงเสมอ ไม่ว่าเธอจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม

“ฉันไตร่ตรองถึงปัญหาที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะหลับ เมื่อฉันตื่นนอนตอนเช้า ฉันได้คิดหาวิธีแก้ปัญหา” เธออธิบาย โดยสังเกตว่าการนอนหลับช่วยบรรเทาความเครียดและให้แรงบันดาลใจที่สำคัญ

อีกแหล่งของการรักษาคือเซสชั่น 45 นาทีรายสัปดาห์ของ Audrey กับจิตแพทย์ในฝรั่งเศส กิจวัตรนี้คล้ายกับการวิ่งประจำวันของนักเขียนนวนิยายชาวญี่ปุ่น มูราคามิ ฮารุกิ และเป็นการ Detox ทางจิตใจแก่เธอ เพื่อให้แน่ใจว่าเธออยู่ในสภาพพร้อมสูงสุดอยู่เสมอ

เธอยังมีแนวคิดที่น่าสนใจเรื่อง Fake News ที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาไปทั่วโลก รวมถึงการที่รัฐบาลไทยเริ่มใช้อำนาจเข้ามาจัดการในเรื่องนี้ โดยเธอมีความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า

“การบิดเบือนข้อมูลเป็นภัยคุกคามต่อประชาคมโลก เพราะไม่มีทางที่คุณจะบอกได้ว่าอะไรเป็นความจริง”

“แต่การมีรัฐบาลที่เปิดกว้างจะช่วยต่อต้านการบิดเบือนข้อมูล โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไว้วางใจ เมื่อต่างฝ่ายต่างไว้วางใจซึ่งกันและกัน คุณก็จะได้รับความไว้วางใจกลับมา”

References : https://www.nippon.com/en/japan-topics/g00837/digital-minister-audrey-tang-taiwan%E2%80%99s-genius-and-her-unique-past.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Audrey_Tang
https://www.latimes.com/world/asia/la-fg-taiwan-digital-minister-20170419-story.html
https://www.wired.com/story/how-taiwans-unlikely-digital-minister-hacked-the-pandemic/
https://govinsider.asia/innovation/women-in-govtech-2018-audrey-tang-digital-minister-taiwan/

Geek China EP25 : Baidu Search Engine during 2009-2015

ปี 2009 เป็นปีเชื่อมต่อระหว่างยุคเก่าของไป่ตู้กับยุคใหม่ หรือเป็นยุคแห่งความท้าทายของที่จะเกิดขึ้นต่อมาจริงๆ ของ 百度 Baidu ไป่ตู้ (NASDAQ: BIDU)
• ส่วนแบ่งการตลาดในด้าน search engine ของไป่ตู้ในจีนในยุคนี้สูงแค่ไหน
• จุดที่เป็นการตัดสินใจผิดพลาดมากของไป่ตู้ ทำให้เดินตามหลังคู่แข่งในเรื่อง Cloud, Mobile Internet คืออะไร
• เรื่องราวทั้งหมดติดตามได้ใน EP 25

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2V2Eph8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/6lzmfoUBEp4

Dr. Anthony Fauci จากเด็กชายย่าน Brooklyn สู่ผู้นำทัพในการต่อสู้กับ COVID-19 ของอเมริกา

Dr. Anthony Fauci หัวหน้าสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ ได้รับการแต่งตั้งในเดือนมกราคมปี 2020 ให้กับคณะทำงานเฉพาะกิจ Coronavirus ทำเนียบขาวของประธานาธิบดี Trump ด้วยการปรากฏตัวเกือบทุกวันในงานแถลงข่าวทั่วประเทศ เขาจึงกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก

Dr. Fauci เป็นผู้บุกเบิกวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของมนุษย์ เขารับใช้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคนตั้งแต่ Ronald Reagan 

ในปี 2003 การสำรวจพบว่า Dr. Fauci เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องมากเป็นอันดับที่ 13 ของโลกในช่วง 20 ปีระหว่างปี 1983 และ 2002

ในปี 2008 Dr. Fauci ได้รับรางวัล Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดี George W. Bush ร่วมกับเหรียญทองของรัฐสภาเป็นรางวัลสูงสุดที่มอบให้กับพลเรือนของสหรัฐอเมริกา 

เขาได้รับรางวัลอื่นๆ มากมายในช่วงอาชีพที่โดดเด่นของเขา รวมถึงรางวัล John Dirks Canada Gairdner Global Health Award ในปี 2016 ซึ่งมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกในด้านการวิจัยด้านสุขภาพระดับโลก เขาอยู่ในแนวหน้าของการต่อสู้กับ HIV, 9/11, Ebola และตอนนี้คือวิกฤตการณ์ Covid-19

Dr. Fauci เป็นคนที่มีพื้นเพมาจากย่าน Brooklyn เขาเกิดที่นั่นในวันก่อนคริสต์มาสปี 1940 พ่อแม่ของเขา Stephen Antonio Fauci และ Eugenia Lillian Fauci เป็นเจ้าของ Fauci Pharmacy ใน Dyker Heights, Brooklyn ที่ 83rd Street และ 13th Avenue

ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในเมือง Bensonhurst ซึ่งตอนนั้นส่วนใหญ่เป็นชุมชนชาวอิตาลี-อเมริกัน พ่อของเขา จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม New Utrecht High School ของ Brooklyn ในปี 1928

จากนั้นได้รับปริญญาด้านเภสัชกรรมจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1932 ร้านขายยา Fauci เป็นกิจการของครอบครัว: พ่อของเขากรอกใบสั่งยา แม่และน้องสาวของเขาทำงานที่เครื่องเก็บเงิน และ Anthony Fauci จะช่วยส่งมอบยา 

ร้านขายยา Fauci เป็นกิจการของครอบครัว
ร้านขายยา Fauci เป็นกิจการของครอบครัว

Anthony Fauci ชอบเล่นกีฬาตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุได้ 10 ขวบ เขาเล่นบาสเก็ตบอลในสมาคมกีฬาแห่งศาลเซนต์เบอร์นาเด็ตต์ อีกหนึ่งปีต่อมาเขาได้รับถ้วยรางวัลจากการเล่นให้กับทีมที่เซนต์เบอร์นาเด็ตต์ 

ในปี 1954 เขาเริ่มเข้าเรียนที่ Regis ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมเอกชนเยซูอิต ที่โรงเรียนมัธยม Regis ค่อนข้างมีความเข้มงวด มีขนาดไม่ใหญ่นัก และไม่มีค่าเล่าเรียน

Regis ถือเป็นหนึ่งในโรงเรียนชายล้วนที่ดีที่สุดในประเทศ Fauci เติบโตที่นั่น และกลายเป็นกัปตันทีมบาสเกตบอลที่โรงเรียนมัธยม Regis ได้ในท้ายที่สุด

จาก Regis Fauci ไปที่สถาบันเยซูอิตอีกแห่งคือ Holy Cross ในเมือง Worcester รัฐแมสซาชูเซตส์ คณาจารย์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของเขาทำให้เขาไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้มากนัก “พวกเขาจะไม่เขียนคำแนะนำให้คุณถ้าคุณต้องการสมัครเข้าเรียนที่ Harvard หรือ Cornell หรือ Columbia” เขากล่าว

Eugenia Lillian Fauci แม่ของ Dr. Fauci แนะนำให้เขาเป็นหมอ ดังที่ Dr. Fauci กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ NIH: “ผมคิดว่าความคิดในการเป็นมาจากแม่ของผม เธออยากให้ผมเป็นหมอตั้งแต่แรกเกิด เธอไม่เคยกดดันผม แต่อย่างไรก็ตาม แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจถึงความคาดหวังที่เธอต้องการให้ผมเป็นหมอ”

Dr. Fauci ได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิตจากวิทยาลัยการแพทย์มหาวิทยาลัย Cornell ที่ยอร์ก อเวนิว ในแมนฮัตตัน ในปี 1966

จากนั้นเขาก็เข้าร่วมงานที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติของรัฐบาลกลาง : “ผมจบโรงเรียนแพทย์และฝึกงาน และใช้เวลาสองปีอยู่อาศัยในแผนกอายุรศาสตร์ที่ New York Hospital Cornell Medical Center จากนั้นผมก็มาที่ NIH” 

Dr. Fauci ทำงานในห้องทดลองของ Sheldon Wolff ศึกษาลักษณะโมเลกุลของไข้ ในตอนนั้นเหล่านักวิทยาศาสตร์กำลังเรียนรู้วิธีจัดการกับส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของเซลล์แต่ละเซลล์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเปิดทางสู่การค้นพบวิธีการใหม่ ๆ ในการรักษาผู้ป่วย

ในปี 1990 Fauci เป็นนักวิจัยชั้นนำของรัฐบาลที่เน้นเรื่องการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
ในปี 1990 Fauci เป็นนักวิจัยชั้นนำของรัฐบาลที่เน้นเรื่องการแพร่ระบาดของโรคเอดส์

เมื่ออายุ 40 ปี Dr. Fauci ได้กลายเป็นผู้อำนวยการที่อายุน้อยที่สุดของสถาบัน NIH ในรอบศตวรรษ และเส้นทางอาชีพของเขาก็มาประจักษ์ให้โลกได้เห็นความสามารถของเขา จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ครั้งนี้นั่นเอง

หลังจากใช้เวลาหลายปีในย่าน Brooklyn และได้รับการฝึกฝนจากคณะเยสุอิต เขาได้อุทิศอาชีพอันยาวนานและมีเกียรติเพื่อใช้ความเชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมของเขาในการช่วยเหลือผู้อื่นมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับผม

มีคำพูดต่อไปนี้ของ Dr. Fauci ที่เป็นหลักยึดสำคัญในการทำงานของเขาจนประสบความสำเร็จอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ :

“มีหลายวิธีในการบรรลุเป้าหมายที่คุณต้องการ แต่เมื่อคุณประนีประนอมกับหลักการของคุณเอง คุณก็จะหลงทาง แล้วสุดท้ายคุณจะสูญเสียเป้าหมายหลักของคุณไปจริงๆ” Dr. Anthony Fauci 

References : https://www.newyorker.com/magazine/2020/04/20/how-anthony-fauci-became-americas-doctor
https://www.green-wood.com/2020/dr-anthony-fauci-deep-roots-in-brooklyn-and-green-wood/
https://www.powells.com/book/dr-fauci-9781665902434
https://www.theguardian.com/world/2020/jul/19/five-fauci-quotes-to-get-you-through-the-week
https://www.nbcnews.com/politics/politics-news/man-charged-sending-threatening-emails-dr-anthony-fauci-nih-chief-n1275238

Geek Story EP108 : Rachel Lim ลาออกจากมหาลัย ยืมเงินก้อนสุดท้ายของแม่ เพื่อสร้างอาณาจักรแฟชั่นร้อยล้าน

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องที่เสี่ยงสำหรับทุกคนเสมอ แต่เมื่อ Rachel Lim ออกเดินทางเพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมค้าปลีก การเดิมพันชีวิตของเธอก็มากเป็นพิเศษ เพราะเงินออมทั้งชีวิตของแม่ของเธอกำลังถูกนำมาเดิมพันกับธุรกิจ

เด็กหญิงอายุ 21 ปีต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ในการลาออกจากวิทยาลัยก่อนเวลา เพื่อไล่ตามความฝันของเธอ และไม่มีเงินเป็นของตัวเองเธอจึงหันไปหาคน ๆ เดียวที่เธอทำได้ นั่นก็คือ แม่ของเธอ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3x6DMA0

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/F_CIo_3wKNE

เรื่องราวความสำเร็จของ Sheryl Sandberg หญิงแกร่งทรงอิทธิพลที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงในโลกไอที

Sheryl Sandberg ทำงานที่ธนาคารโลกและที่กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนที่จะย้ายไปทำงานที่ซิลิคอน วัลเลย์เพื่อทำงานให้กับ Google ในปี 2001 ที่ในตอนนั้นเพิ่งก่อตั้งได้เพียงแค่ 3 ปี

เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากฮาร์วาร์ด และติดอันดับในนิตยสารฟอร์จูนในฐานะผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลในด้านธุรกิจ 

เธอเป็นผู้สนับสนุนผู้หญิงในตำแหน่งผู้นำและเป็นผู้แต่งหนังสือ “Lean In” ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงประสบความสำเร็จในการเติบโตทั้งส่วนบุคคลและในเส้นทางอาชีพ 

เธอเป็นแม่ของลูกสองคน เธอแต่งงานกับ David Goldberg อดีต CEO ของ Survey Monkey ซึ่งเสียชีวิตในปี 2015

โดยในปี 2017 เธอร่วมเขียนหนังสือ “Option B” เกี่ยวกับความเศร้าโศกต่อสามีผู้ล่วงลับของเธอกับเพื่อนและนักจิตวิทยาชื่อดังอย่าง Adam Grant 

ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา

Sheryl Sandberg เกิดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นลูกคนโตในลูกสามคนของ Joel Sandberg จักษุแพทย์ และ Adele Sandberg 

ครอบครัว Sandberg ย้ายไป North Miami Beach, Florida เมื่อเธออายุได้ 2 ขวบ เมื่อเป็นเด็ก เธอมีแม่และยายเป็นแบบอย่างของผู้หญิงที่ทำให้ครอบครัวมีความสมดุลระหว่างเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว 

เธอเป็นนักเรียนชั้นนำที่โรงเรียนมัธยม North Miami Beach Senior และสำเร็จการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย 4.6 

ในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นใน Miami Sandberg เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน “สาวฉลาด” เธอได้รับเลือกจากเพื่อน ๆ ของเธอให้เป็นบุคคลที่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุดในรุ่น

เธอเป็นสมาชิกของสมาคมเกียรติยศแห่งชาติและเป็นครูสอนแอโรบิกก่อนจะลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อศึกษาระดับปริญญาตรี

เรื่องราวความสำเร็จ

เส้นทางสู่การเป็น ผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของ Sheryl Sandberg  นั้นไม่ธรรมดา เธอเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ฮาร์วาร์ด ที่นั่นเธอได้ Larry Summers เป็นที่ปรึกษาในวิทยานิพนธ์ของเธอ

เธอยังเป็นผู้รับรางวัล John H. Williams Prize สำหรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์อีกด้วย

เส้นทางอาชีพของเธอสู่ผู้บริหารอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นนำเริ่มต้นที่ World Bank ซึ่งเธอทำงานให้กับหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ Summers ในตำแหน่งผู้ช่วยนักวิจัย

ก่อนที่เธอจะกลับไปฮาร์วาร์ดเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ โดยในช่วงแรก ๆ ของเธอที่  World Bank บางครั้งเธอก็หารายได้เสริมด้วยการเปิดสอนคลาสแอโรบิก 

หลังจากที่ Sandberg ได้รับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ เธอก็มาช่วยงาน Summers ในตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่แผนกธนารักษ์ของสหรัฐฯ ซึ่งในขณะนั้น Summers ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการระหว่างการบริหารของประธานาธิบดี Bill Clinton

เธอก็มาช่วยงาน Larry Summers ที่รับตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลของประธานาธิบดี Clinton (CR:Fortune)
เธอก็มาช่วยงาน Larry Summers ที่รับตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลของประธานาธิบดี Clinton (CR:Fortune)

เมื่อ Summers เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง Sandberg ยังคงทำงานเคียงข้างเขาจนถึงปี 2001

ในปี 2001 Sandberg ย้ายไปแคลิฟอร์เนียเพื่อเป็นรองประธานฝ่ายขายและปฏิบัติการออนไลน์ทั่วโลกที่ Google ซึ่งเพิ่งก่อตั้งบริษัทมาได้เพียงแค่ 3 ปี

ความรับผิดชอบของ Sandberg ที่ Google แม้จะเป็นบริษัทที่เพิ่งจะตั้งไข่ แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเธอได้รับผิดชอบให้มาดูแลเรื่องการขายโฆษณาและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Google ตั้งแต่ยุคแรก ๆ

เธอทำงานที่ Google จนถึงปี 2008 และได้รับการยกย่องในฐานะผู้บริหารชั้นแนวหน้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี 

ในปี 2008 Sandberg เข้าร่วมงานกับ Facebook ในตำแหน่ง COO ในขณะนั้น Facebook ก็กำลังดิ้นรน  กำลังอยู่ในช่วงเติบโตเช่นเดียวกับ Google ตอนที่เธอเริ่มเข้าไปทำงาน โดยในตอนนั้น Facebook มีพนักงานมากกว่า 500 คนแล้ว แต่ยังไม่มีเส้นทางสู่การสร้างผลกำไรที่ชัดเจนนัก 

Facebook ยังประสบความล้มเหลวหลายครั้งในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งรวมถึงการแชร์ข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา

เธอได้เข้ามาบริหารจัดการ การดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยมุ่งเน้นในการขยายธุรกิจไปทั่วโลก ความรับผิดชอบของเธอยังรวมถึงการตลาด การขาย การพัฒนาธุรกิจ และทรัพยากรบุคคล

Sandberg เป็นคนที่มีความสามารถสูง นอกจากนั้น เธอยังมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและ Mark Zuckerberg ก็ไว้วางใจเธอเป็นอย่างมาก เธออายุมากกว่า Zuckerberg 15 ปี และเป็นคนทำทุกอย่างที่ Mark ไม่ชอบทำ

Mark Zuckerberg ไว้วางใจ Sanberg เป็นอย่างมาก (CR:The Times)
Mark Zuckerberg ไว้วางใจ Sanberg เป็นอย่างมาก (CR:The Times)

นั่นทำให้ Mark สามารถมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เขาชอบได้ นั่นคือเรื่องของ วิศวกรรม ด้วยความพยายามของเธอ เขาให้พื้นที่ของเธอในการเป็นบุคคลสาธารณะของบริษัทในหลาย ๆ ด้าน

เธอได้ผลักดันให้รูปแบบโฆษณามีความเรียบง่ายขึ้น และได้จัดประชุมทุก 2 สัปดาห์กับผู้บริหารโฆษณาและผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสมดุลระหว่างประสบการณ์ของผู้ใช้กับความต้องการของนักการตลาด 

ในปี 2012 Sandberg กลายเป็นสมาชิกหญิงคนแรกของคณะกรรมการบริหารของ Facebook 

ในส่วนของค่าตอบแทน Sandberg ได้รับหุ้นทุนใน Facebook ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นมหาเศรษฐีหลังจากมีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัทในปี 2012 

ณ เดือนตุลาคม 2020 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเธออยู่ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์  ในปี 2020 เธอได้รับการจัดอันดับที่ 22 ของสตรีผู้มีอิทธิพลสูงสุดของโลกของนิตยสาร Forbes ของอเมริกา

ต้องบอกว่าเรื่องราวการเดินทางของผู้หญิงคนนี้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจโดยเฉพาะกับเหล่าหญิงสาว Working Woman เป็นอย่างมาก แม้ตำแหน่งจะเป็นรอง Mark Zuckerberg

แต่งานที่เธอทำจริง ๆ นั้น คงจะพูดไม่เกินเลยนักว่า เธอได้กลายเป็น CEO ที่แท้จริงของ Facebook ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีอิทธิพลสูงที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลกในปัจจุบัน

มีคำพูดนึงจากเธอที่ผมคิดว่าเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เธอประสบความสำเร็จอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

“ไม่มีความเหมาะสมที่สมบูรณ์แบบเมื่อคุณกำลังมองหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำต่อไป คุณต้องใช้โอกาสและสร้างโอกาสที่เหมาะกับคุณมากกว่าสิ่งอื่นใด และความสามารถในการเรียนรู้คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้นำ ควรพึงมี.” Sheryl Sandberg

References : https://www.buzzfeednews.com/article/annehelenpetersen/sheryl-sandberg-facebook-lean-in-superwoman-supervillain
https://www.investopedia.com/articles/insights/051416/sheryl-sandbergs-success-story-net-worth-education-top-quotes.asp
https://startuptalky.com/sheryl-sandberg-story/