Facebook กำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี Mind Reading Headset

ในปี 2017 Facebook ประกาศว่า กำลังพัฒนาอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์กับสมองที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้พิมพ์ input ข้อความต่าง ๆ เหมือนกับ keyboard แต่ผู้ใช้เพียงแค่คิดมันเท่านั้น

และในวันนี้ บริษัท ได้เปิดเผยเป็นครั้งแรกว่ามันมาไกลแค่ไหนในการสร้างอุปกรณ์ดังกล่าวให้เป็นจริง

“ ลองจินตนาการถึงโลกที่ ทุกความรู้ ความสนุกสนาน และประโยชน์มากมายของสมาร์ทโฟน ที่ทุกจะสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ได้และไม่ต้องใช้มือในการป้อนข้อมูลอีกต่อไป” 

ซึ่งทาง บล็อกของ Facebook ได้มีการแถลงข้อมูลสำคัญ “ เทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถติดต่อกับผู้อื่นได้อย่างมีความหมาย โดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ หรือแม้แต่ความพิการซึ่งเป็นข้อจำกัดทางกายภาพของผู้ใช้งาน “

ซึ่งเนื้อหาของการประกาศในวันนี้: Facebook กล่าวว่า การร่วมมือกับนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก เพื่อสร้างอุปกรณ์ที่สามารถช่วยผู้ป่วยที่มีความเสียหายทางระบบประสาทให้สามารถกลับมาพูดได้อีกครั้ง โดยการวิเคราะห์จากคลื่นสมองได้แบบ RealTime

ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications วันนี้ทีมนักวิจัยได้เปิดเผยความก้าวหน้าล่าสุดของพวกเขาในอุปกรณ์ดังกล่าว

ในการทดลองพวกเขาถามคำถามผู้เข้าร่วมและชี้นำให้มีการพูดคำตอบออกมาดัง ๆ ด้วยการตรวจสอบจากการอ่านผ่านเครื่องมือที่ให้ไฟฟ้าความหนาแน่นสูง โดยอิเล็กโทรดที่ฝังอยู่บนพื้นผิวของสมองโดยตรง  ซึ่งผลการทดลองนั้นน่าสนใจมาก เพราะพวกเขาสามารถวิเคราะห์คำตอบด้วยอัตราความแม่นยำ “สูงถึง 61 %” โดยการดูสัญญาณจากสมองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

นักวิจัยอ้างว่าผลลัพธ์ดังกล่าวของพวกเขา “แสดงให้เห็นถึงการถอดรหัสการพูดได้แบบ RealTime ในสภาพแวดล้อมทั่วไปที่มีการโต้ตอบและสนทนา ซึ่งผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นถึงหลักไมล์ที่สำคัญ ที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารได้”

แต่มีอีกหลายส่วนที่ทีมนักวิจัยยังคงต้องทำงานหนักอยู่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาเป้าหมายของนักวิจัยในเรื่อง“ ความเร็วของการถอดรหัสแบบเรียลไทม์ 100 คำต่อนาที โดยมีคำศัพท์ 1,000 คำและอัตราความผิดพลาดของคำน้อยกว่า 17 %”

ในระหว่างการทดลองครั้งแรกจำนวนคำศัพท์ของคำตอบที่เป็นไปได้นั้นมีอยู่จำกัดมากและอัตราความแม่นยำที่ทำได้ 61% นั้น ทำให้มีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องมือชุดนี้ให้ดียิ่งขึ้น

แต่ตอนนี้ห้องแล็บวิจัยของ Facebook กำลังสำรวจทางเลือกใหม่ ๆ เช่น การใช้รังสี อินฟราเรด ด้วยการวัดระดับออกซิเจนในเลือด ซึ่งทาง Facebook เชื่อว่าจะทำให้สามารถสร้างชุดอุปกรณ์อินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์กับสมองที่มีขนาดเล็กลงได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งนั่นคือ Facebook จะไม่เข้ามายุ่งกับความคิดของคุณเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน อุปกรณ์ที่ช่วยให้เราทุกคนสามารถเลื่อนเมาส์ พิมพ์ความเห็นบน Facebook และเล่นเกมด้วยความคิดของเราเพียงอย่างเดียวยังคงต้องใช้เวลาพัฒนาเป็นเวลาอีกหลายปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งานจริง ๆ 

และยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ความคิดของเราเป็นหนึ่งในสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด ที่ธรรมชาติมอบให้เรามา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่ระบบจะมา hack ข้อมูลจากการใช้ความคิดเราโดยตรง แต่ในอนาคต มันก็กลายเป็นเรื่องไม่แน่นอนแล้วเหมือนกัน เพราะความคิดของเรากำลังจะถูกนำเข้าไปสู่ระบบ internet เหมือนข้อมูลส่วนอื่น ๆ ที่ตอนนี้แทบจะหาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลไม่ได้แล้ว นั่นเองครับ

References : 
https://www.technologyreview.com/s/614034/facebook-is-funding-brain-experiments-to-create-a-device-that-reads-your-mind/

The Dark Side of SIRI

ถ้าคุณใช้ Apple และใช้บริการผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง SIRI  หรือเป็นเจ้าของอุปกรณ์ที่ใช้ SIRI  ตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่า จะมีบุคคลอื่นสามารถฟังเสียงของคุณได้ แม้จะเป็นเรื่องลับ  ๆ อย่าง เรื่องบนเตียงของคุณนั่นเอง

ซึ่ง พวกเขาอาจได้ยินการสนทนาที่คุณมีกับเจ้านายของคุณเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดใหม่ หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับปัญหาทางการแพทย์ที่เป็นส่วนตัวของคุณที่ไม่อยากให้มีใครรับรู้

และนั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้จากการรายงานของสำนักข่าวใหญ่อย่าง The Guardian ซึ่ง Apple whistleblower ได้ให้รายละเอียดว่า มีบริษัท Sub Contract ที่สามารถตรวจสอบเสียงของคำสั่ง SIRI ของผู้ใช้ได้ รวมถึงการบันทึกที่ไม่ได้มีไว้สำหรับฟังก์ชันการทำงานแบบปรกติของ SIRI

แม้ว่าทาง Apple จะรับรู้ถึงกระบวนการดังกล่าวแต่ทาง Apple  บอกว่ากระบวนการตรวจสอบทั้งหมดโดยบริษัท Sub Contract เหล่านี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป

โดย Apple ได้บอกกับ The Guardian ว่าจะมีการส่งข้อมูลการเปิดใช้งานของ SIRI เพื่อที่ผู้ตรวจสอบจะมีการฟังคลิป ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีและจะมีการถอด ID และชื่อผู้ใช้ของ Apple ออกไปนั่นเองเพื่อไม่ให้ระบุตัวตนถึงผู้ใช้งานได้

ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของการเปิดใช้งาน SIRI ทั้งหมด ที่จะมีการอยู่ภายใต้กระบวนการนี้ Apple กล่างถึงเป้าหมายคือ เพื่อปรับปรุงความสามารถของ SIRI ในการทำความเข้าใจและช่วยเหลือผู้ใช้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แต่ Apple ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนในเอกสารข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องมีกระบวนการดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะมีบริษัท หรือ ใครบางคนที่อาจจะฟังเสียงของคุณเมื่อมีการพูดคุยกับ SIRI

นอกจากนี้ Apple ยังไม่ได้ใช้ความพยายามในการว่าจ้าง Sub Contract ที่น่าเชื่อถือ หรือตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลิปเสียงจาก SIRI นั้นไม่สามารถสืบหาไปยังตัวตนของผู้ใช้งานจริงได้ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างชัดเจน

“ มีคนไม่มากนักที่ทำงานอยู่ที่นั่นและจำนวนข้อมูลเสียงที่เรามีอิสระที่จะตรวจสอบดูค่อนข้างเป็นข้อมูลที่กว้างมาก” พวกเขากล่าวเสริมในภายหลังว่า“ มันดูไม่เหมือน Apple จะถูกกระตุ้นให้พิจารณาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้  ซึ่งหากมีใครบางคนที่มีเจตนาชั่วร้ายมันคงไม่ยากที่จะระบุไปยังคนผู้ใช้จริงได้ ” ข้อมูลจากแหล่งข่าวกล่าว

“ มีการบันทึกตัวอย่างจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีการพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัวระหว่างแพทย์และผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งข้อตกลงทางธุรกิจ การติดต่อเรื่องคดีความที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้น การเผชิญหน้าในเรื่องทางเพศและอื่น ๆ ” ผู้แจ้งเบาะแสกล่าว “ การบันทึกเหล่านี้มาพร้อมกับข้อมูลผู้ใช้ที่แสดงตำแหน่งรายละเอียดการติดต่อและข้อมูลแอพทั้งหมด”

ซึ่งการบันทึกข้อมูลเหล่านี้อาจใช้เวลานานกว่า 2-3 วินาที ตามที่ Apple ได้อธิบายออกมา แต่ผู้แจ้งเบาะแสกลับแจ้งว่า บางรายการมีการบันทึกในเวลาที่เกิน 30 วินาทีด้วยซ้ำ

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Apple อนุญาตให้มีมนุษย์มาคอยทบทวนเสียงที่บันทึกโดยผู้ช่วย AI อย่าง SIRI  เนื่องจากเรารู้แล้วว่า Amazon และ Google ก็ทำในสิ่งเดียวกันนั่นเอง

และดูเหมือนว่าผู้ช่วยดิจิทัลจะแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งหมายความว่า บริษัทเหล่านี้อาจจะไม่หยุดที่จะพยายามทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้สมบูรณ์แบบในเวลาอีกไม่นาน

ดังนั้นหาก Apple, Google, Amazon และยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ มุ่งมั่นที่จะให้มนุษย์มาคอยตรวจสอบเสียงที่บันทึกโดยผู้ช่วย AI ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้ระบบนี้สมบูรณ์แบบโดยไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเสียก่อน เพราะข้อมูลเหล่านี้ที่ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น บางส่วนเป็นข้อมูล Sensitive ซึ่งเหล่าผู้ใช้คงไม่อยากให้ถูกเผยแพร่ออกไปให้คนอื่นรู้นั่นเอง

References : 
https://www.theguardian.com/technology/2019/jul/26/apple-contractors-regularly-hear-confidential-details-on-siri-recordings

Digital Music War ตอนที่ 11 : The End at Last?

ถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2011 Apple สามารถที่จะขาย iPod ไปได้กว่า 208 ล้านเครื่อง และยังขายได้ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่่งรวม ๆ แล้วนั้น Apple สามารถจำหน่าย iPod ตั้งแต่มีการผลิตออกมาไปกว่า 307 ล้านเครื่อง แต่ดูเหมือนวัฏจักร ของเครื่องเล่นเพลงจะค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงไปแล้ว เพราะการมาของ iPhone สินค้าเรือธงใหม่ของ Apple นั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม iTunes ก็ยังกลายเป็น แพลตฟอร์มที่ขายเพลง ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ซีรีส์ รวมถึงเสนอ podcast และสุดท้ายก็เป็นที่ขาย Application ของ iPhone มันเป็นที่มาของรายได้ให้กับ Apple รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ ecosystem นี้อีกมากมายมหาศาล

ผลกระทบที่สำคัญ คือ การปฏิวัติวงการเพลงในรูปแบบดิจิตอลของ iPod แน่นอน มันมีผลกระทบต่อค่ายเพลงต่าง ๆ ทั่วโลก โดยในช่วงทศวรรษ 1990 เหล่าบริษัทค่ายเพลงต่าง ๆ นั้นจะมีรายได้หลักมาจาก การขาย CD และแน่นอนว่า วิธีแบบเก่า  ๆ  เหล่านี้ ใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอนกับออนไลน์

iTunes จึงเปรียบเสมือนร้านขายแผ่นเสียงสำหรับผู้คนจำนวนมาก และแน่นอนว่า มันได้ทำให้ธุรกิจจำหน่ายแผ่น CD เพลงเหล่านี้ต้องล้มหายตายจากไปจากวงการ ต้องเลิกกิจการไปมากมาย แต่อย่างน้อยมันยังทำให้วงการเพลงยังขับเคลื่อนต่อไปได้ แม้ยอดขายจะตกลงไปก็ตาม แต่ต้นทุนก็ลดลงตามไปด้วย ไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่อง CD ไม่มีค่าใช้จ่าย fix cost อื่น ๆ ที่ต้องลงทุนอย่าง หน้าร้าน หรือ จ้างพนักงาน

เพราะ iTunes Store ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีเวลาหยุดพัก ซึ่งอย่างน้อยบรรดาค่ายเพลงก็ยังสามารถมีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์ได้ ไม่ถูกการโจมตีจากเหล่าบริการเถื่อน ๆ ที่แทบจะไม่แบ่งส่วนรายได้ให้กับศิลปิน หรือ ค่ายเพลงเลยด้วยซ้ำ

ฝั่ง Microsoft เอง เมื่อถึงต้นปี 2011 Zune ก็ยังไม่ได้ออกไปวางขายนอกตลาดอเมริกาเหนือแต่อย่างใด ชื่อของ Zune เริ่มจางหายไปจากผลิตภัณฑ์หลักของ Microsoft ซึ่ง Microsoft เอง ก็ได้เริ่มลดบทบาทของ Zune ลง จนปิดฉากไปในที่สุด

สุดท้าย Zune ก็ต้องปิดฉากลงไปในปี 2011
สุดท้าย Zune ก็ต้องปิดฉากลงไปในปี 2011

Microsoft นั้นดูเหมือน GE (General Electric) ตรงที่มีแนวคิดว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขานั้นต้องเป็นที่ 1 หรือ ที่ 2 ในตลาดเพียงเท่านั้น หากไม่ใช่ ก็เตรียมตัดผลิตภัณฑ์ตัวนั้นออกไปจากตลาดได้เลย

Apple ได้ก้าวล้ำไปไกลในตลาดเครื่องเล่นเพลงแบบดิจิตอล และกำลังก้าวไปอีกขั้นกับ iPhone ในตลาดมือถือ Apple แทบจะไม่มอง Zune เป็นคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ 

มันน่าแปลกใจไม่ใช่น้อยเพราะ DRM (Digital Right Management) เทคโนโลยีในการจัดการลิขสิทธิ์ดิจิตอลนั้น Microsoft เป็นคนสร้างมันมากับมือแท้ ๆ แต่ Apple เป็นเจ้าแรกที่ทำให้ผู้ใช้พอใจกับ DRM ด้วย iTunes Store ของพวกเขานั่นเอง

และในที่สุด Microsoft ก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริง ๆ ที่ Apple ที่ตอนนั้น มีทีมงานที่เล็กกว่า แถมเงินทุนก็ยังน้อยกว่า Microsoft อย่างมาก แต่ Apple ทำในสิ่งที่เปลี่ยนโลกของการฟังเพลงไปตลอดกาลด้วย iPod และ iTunes และมันได้ทำให้ สตีฟ จ๊อบส์ สามารถที่จะเอาชนะเหนือศัตร์เก่าอย่าง บิลล์ เกตส์ ได้สำเร็จ มันเป็นการล้างแค้นหลังจากที่จ๊อบส์ได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปในธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทำให้เขาต้องโดนไล่ออกจาก Apple ไป และ iPod ยังนำไปสู่ก้าวใหม่ของบริษัท Apple ในที่สุด ดั่งที่เราได้เห็นในทุกวันนี้นั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ สงคราม Digital Music War จาก Blog Series ชุดนี้

การกลับมาในคำรบที่สองของ จ๊อบส์ ครั้งนี้ มาพร้อมกับพลังที่ล้นเหลือ ด้วยความพร้อมที่จะมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในฐานะ CEO ตัวจริงของ Apple ที่ไม่มีใครในโลกนี้เลียนแบบเขาได้ ผู้นำที่สามารถสร้างสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ มานับต่อนับ

เรียกได้ว่า iPod เครื่องเล่นเพลงแบบดิจิตอล ของ Apple นั้นถือเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมของ Apple เรื่อยมาในยุคหลังไม่ว่าจะเป็น iPhone , iPad หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple ซึ่งล้วนแล้วมาจากทีมงาน Dream Team ชุดที่สร้าง iPod มาแล้วแทบจะทั้งสิ้น

และสิ่งสำคัญที่จ๊อบส์ทำมาตลอดในช่วงการสร้าง iPod  คือ การโฟกัส ซึ่ง เขาโฟกัส ในสิ่งที่ทำ การสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรม และ การออกแบบมากมาย แต่จ๊อบส์ เชื่อมั่นว่า ทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลก ไม่คิดว่าจะทำได้  iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

ส่วน Microsoft นั้นเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เป็นองค์กรที่ใหญ่ และมีอุปสรรคมากมายต่อการเติบโต ซึ่งแน่นอนว่า องค์กรใหญ่ ๆ หลาย ๆ องค์กรต้องเคยเจอ เมื่อตัวเองเติบโตไม่ใช่บริษัทเล็ก ๆ อีกต่อไป การขับเคลื่อนเพื่อที่จะสู้กับบริษัทเล็ก  ๆ นั้นก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดกับสิ่งที่ Microsoft เจอ เพราะเราเห็นบทเรียนเหล่านี้มามากมายกับบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมาก

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแม้หลาย ๆ ครั้ง Microsoft จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ลองแข่งขัน และได้เรียนรู้วิธีที่จะสู้กับบริษัทเล็ก ๆ เหล่านี้  ซึ่งสุดท้ายในปัจจุบัน เราจะเห็น Microsoft สามารถปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันในธุรกิจยุคใหม่ได้ในที่สุด ไม่ได้ล้มหายตายจากเหมือนยักษ์ใหญ่บริษัทอื่น ๆ  และสามารถก้าวอย่างมั่นคงมาจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Digital Hub *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

5G หลบไป! เมื่อจีนเตรียมสร้างเครือข่าย Quantum Network

ในปลายเดือนสิงหาคม 2019 ประเทศจีนมีแผนจะเปิดตัวโครงการ Jinan Project  ครั้งแรกของโลกที่เป็นเครือขายทางคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถทำการ hack เจาะระบบได้ โดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นไปตามหลักการควอนตัม 

โครงการนี้ใช้เมือง Jinan เป็น ศูนย์กลางคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายควอนตัมระหว่างเมือง ปักกิ่ง – เซี่ยงไฮ้เนื่องจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองเมืองใหญ่

โดยเครือข่ายจะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้ระหว่างสองเมืองเกี่ยวกับการดัดแปลงใด ๆ กับระบบ  ในขณะที่การดัดแปลงแก้ไขข้อมูลจะมีการถูกบันทึก และจะมีการเก็บ Log ที่เกี่ยวข้องได้ทันทีโดยที่ทั้งสองฝ่ายสามารถระบุได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

โจว เฟยผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีควอนตัมของ Jinan เห็นว่าระบบจะมีการกระจายไปทั่วโลก เขาบอกกับไฟแนนเชียลไทมส์ว่า“ เราวางแผนที่จะใช้เครือข่ายเพื่อการป้องกันในเรื่องการเงินและสาขาอื่น ๆ ของประเทศ รวมถึงเรื่องของความมั่นคง และหวังว่าจะสามารถเผยแพร่ออกไปในฐานะ Pilot Project ซึ่งหากประสบความสำเร็จก็สามารถนำไปใช้ทั่วทั้งจีนและทั่วโลกได้ในอนาคต”

ด้วยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ควอนตัมประเทศจีนจะกลายเป็นประเทศแรกที่ใช้เทคโนโลยีควอนตัมในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ยังช่วยผลักดันให้ประเทศจีนในฐานะผู้นำคอมพิวเตอร์ควอนตัมของโลกได้อีกด้วย 

ด้วยสถานะของจีนที่ตอนนี้ เสริมด้วยการพัฒนาของเครื่อง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Heifei รวมทั้งเทคโนโลยีในการโอนถ่ายข้อมูลโฟตอนจากดาวเทียมในอวกาศโดยใช้ฟิสิกส์ควอนตัมได้สำเร็จ ทำให้จีนกลายเป็นชาติที่น่าจับตามองที่สุดในโลกในขณะนี้ ในเรื่องเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์นั่นเอง

References : 
https://futurism.com/china-set-to-launch-the-worlds-first-quantum-communication-network

เจ้าชายซาอุฯ วางแผนจัดทำเมืองยุคใหม่ด้วยประชากรที่มีการตัดต่อยีน

ในแผนการพัฒนาเมืองใหม่ของซาอุดิอาราเบีย จะมีสาวใช้หุ่นยนต์ รถแท็กซี่บินได้ และเมืองจะสว่างสดใสดในที่มืดบนทะเลทราย ตามเอกสารที่เป็นความลับ ที่มีการตรวจสอบโดย The Wall Street Journal โดยดวงจันทร์เทียมจะส่องสว่างบนท้องฟ้าทุกคืน และเกาะสไตล์จูราสสิคพาร์คจะช่วยให้ผู้มาเยี่ยมชม ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยไดโนเสาร์หุ่นยนต์ เหมือนในหนังจริง ๆ 

ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวนั้น อยู่ในเอกสารการวางแผนที่ได้รับจากWSJ จำนวนกว่า 2,300 หน้า  เป็นแผนสำหรับการบังคับย้ายถิ่นฐานของชนเผ่าพื้นเมือง รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ ๆ มีการสร้างคลินิกแก้ไขยีนของมนุษย์ทำให้กลายเป็นยอดมนุษย์ได้เหมือนในหนัง Hollywood โดยจะมีการเฝ้าระวังของรัฐบาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน 

เจ้าชายโมฮัมเหม็ดบินซาลมานซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม MBS ได้ทำงานร่วมกับทีมที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับเมืองแห่งใหม่ที่มีมูลค่า 500 พันล้านเหรียญสหรัฐในเขตตะวันตกเฉียงเหนือที่แห้งแล้งของซาอุดิอาระเบีย

มีโลกของหุ่นยนต์ไดโนเสาร์เหมือนหนัง จูราสิก ปาร์ก
มีโลกของหุ่นยนต์ไดโนเสาร์เหมือนหนัง จูราสิก ปาร์ก

แม้ว่ามันจะเป็นที่แห้งแล้งในรูปแบบของทะเลทรายเป็นเวลานาน แต่ MBS วางแผนที่จะใช้ “การสร้างคลาวด์” หรือ เมฆเทียม เพื่อทำการผลิตฝนเหนือเมือง Neom โดยจะทำให้เมืองเย็นลงและทำให้ ผักผลไม้สด สามารถทำการเพราะปลูกได้อย่างอุดมสมบูรณ์ 

เหล่าประชากรในอนาคตที่ไม่สนใจที่จะเยี่ยมชมตลาดสดของเหล่าชาวนา ชาวสวน ก็สามารถที่จะจับจองร้านอาหารระดับมิชลินได้ ซึ่ง Neom ตั้งเป้าหมายว่าจะมีจำนวนประชากรต่อพื้นที่มากกว่าที่อื่น ๆ ในโลกตามแผนที่วางไว้

สำหรับสิ่งอื่นที่คุณจะพบใน Neom นั้น WSJ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงแผนการสำหรับโรงเรียนระดับโลกที่มีครูสอนผ่านเทคโนโลยีโฮโลแกรม รวมถึงมีงานที่ได้ผลตอบแทนดีที่สุดในโลกและหาดทรายที่สามารถส่องแสงในที่มืดได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่ MBS ต้องการ 

“NEOM เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่มีความจำเป็นในอนาคต ที่มีวิสัยทัศน์อย่างแรงกล้าในการสร้างเมืองรูปแบบใหม่ขึ้นมา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEOM  Nadhmi Al Nasr บอกกับ WSJ “  ดังนั้นเรากำลังพูดถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและเหนือกว่าที่เคยมีอยู่  และในบางเทคโนโลยียังอยู่ระหว่างการพัฒนาและอาจเป็นไปได้ในทางทฤษฎี เราก็จะนำมาร่วมทดสอบด้วย”

มันจะง่ายต่อการถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันด้วยสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดที่มีรายละเอียดในเอกสารการวางแผนของ Neom  แต่อย่างไรก็ดีเมืองแห่งอนาคตก็ดูมีความน่าสงสัยเหมือนรัฐที่คอยจับตามองประชากรตลอดเวลาคล้าย ๆ แนวคิดของระบอบแบบเผด็จการนั่นเอง

“นี่ควรจะเป็นเมืองรูปแบบอัตโนมัติที่เราสามารถดูข้อมูลทุกอย่างได้” คณะกรรมการที่ตั้ง NEOM ได้ยกคำพูดในเอกสารตามที่ WSJ รายงาน “ [เมือง] ที่คอมพิวเตอร์สามารถแจ้งอาชญากรรมโดยที่ประชาชนแทบไม่ต้องโทรแจ้งเลยด้วยซ้ำ”

และนั่นจะต้องขอบคุณคลินิกการแพทย์ที่สามารถดัดแปลงพันธุกรรมของประชากรในเมือง Neom ให้แข็งแกร่งขึ้นและชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น มากกว่าเมืองไหน ๆ ในโลกนี้  หมายความว่า MBS อาจไม่เพียงวางแผนที่จะสร้างเมืองแห่งอนาคต แต่เป็นการสร้างยอดมนุษย์ของเมืองขึ้นมาด้วยเช่นกันนั่นเอง

References : 
https://www.wsj.com/articles/a-princes-500-billion-desert-dream-flying-cars-robot-dinosaurs-and-a-giant-artificial-moon-11564097568