Digital Music War ตอนที่ 7 : The Rise of Apple

ในเดือนกันยายนปี 2005 Apple ได้ทำการออกคำเชิญพิเศษ ไปยังสื่อต่าง ๆ แต่มีข้อกำหนดบางอย่างที่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากแบบที่ Apple ไม่เคยทำมาก่อน นั่นก็คือ มีการระบุให้ใส่กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้างานเท่านั้น และต้องมีกระเป๋าใส่สตางค์อยู่ทางด้านขวามือ ซึ่งเป็นเรื่องชวนพิศวงสำหรับสื่อทั้งหลายไม่น้อยเลยทีเดียว

ซึ่งในขณะช่วงเวลานั้น iPod และ iTunes กำลังเติบโตแบบไร้คู่แข่ง โดย iTunes มีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดดาวน์โหลดเพลงดิจิตอล 82% ซึ่งเป็นการผูกขาดตลาดนี้เลยเสียด้วยซ้ำ และ iPod ขายไปแล้วกว่า 20 ล้านเครื่อง และได้ส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลแบบพกพาไปกว่า 74% เรียกว่า ประสบความสำเร็จทั้ง Product ที่เป็น Hardware และ Platform ที่เป็น Software ตลาดนี้ Apple กินเรียบ

และสิ่งที่หลาย ๆ คนสงสัยก็ถูกเปิดเผย เพราะจ๊อบส์ ได้ดึง iPod Nano ตัวใหม่ออกมาจากกระเป๋าบนกางเกงยีนส์ สีน้ำเงินของเขานั่นเอง ซึ่งทำให้เหล่าสาวก Apple ตะโกนกันอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเป็นการเปิดตัวสินค้าที่ดีที่สุดครั้งนึงเลยของ จ๊อบส์ ก็ว่าได้

iPod Nano เป็นอุปกรณ์ที่น่าทึ่งมาก ณ ช่วงเวลาขณะนั้น เป็นเครื่องเล่นพกพาขนาดจิ๋ว ที่เก็บข้อมูลได้สูงสุด 4 GB ซึ่งสามารถเก็บเพลงได้ถึง 400-800 เพลง แต่ปัญหาใหญ่ของ iPod Nano ที่แตกต่างจาก iPod รุ่นก่อนหน้าคือ หน้าจอ ที่เป็นรอยขีดข่วนได้ง่ายมาก ๆ 

และด้วยความคาดหวังที่สูงมากของสาวก Apple ในขณะนั้น ปัญหาเรื่องหน้าจอ ที่จ๊อบส์มองว่าไม่เป็นเรื่องใหญ่นั้น ตอนนี้เหล่าลูกค้าที่ได้รับเครื่องไป เริ่มบ่นกันออกมาใน เว๊บบอร์ดของ Apple เหล่าผู้คนต่างไม่พอใจผลิตภัณฑ์ เพราะแม้จะใช้งานอย่างถนอมที่สุด ก็ยังมีปัญหากับจอของเครื่อง iPod Nano

iPod Nano กับปัญหาเรื่องหน้าจอ
iPod Nano กับปัญหาเรื่องหน้าจอ

สื่อชื่อดังต่างเข้ามาประโคมข่าวเรื่องนี้ มีการเขียนเรื่องราวของ iPod Nano โดยอ้างความเห็นของผู้ใช้งานว่า ผลิตภัณฑ์มีตำหนิ มันถือเป็นข้อบกพร่องครั้งสำคัญของ Apple ที่แทบจะไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วยซ้ำ

ซึ่งกลายเป็นครั้งแรกของ Apple ที่กลายเป็นจุดสนใจของสื่อ แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก แต่ฝั่ง Apple กลับนิ่งเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ กับเรื่องดังกล่าว และทำให้ Apple ยิ่งกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง Apple แทบจะไม่พูดอะไรเลย แม้จะผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วก็ตาม

แต่ภายในบริษัทนั้น ทีมบริหารวิกฤติที่เรียกว่า “คณะกรรมการควบคุมคุณภาพ” ได้จัดการประชุมขึ้น ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์แบบละเอียดว่า ปัญหาดังกล่าวนั้นสำคัญขนาดไหน และมีผลกระทบต่อ Apple แค่ไหน 

ซึ่งสิ่งที่ Apple เริ่มออกแถลงการณ์ออกมานั้น สื่อให้ออกมาว่า Apple นั้นมีปัญหากับสินค้าเพียง lot นึงเท่านั้น ซึ่งหน้าจอจะแตกง่าย และมีรอยขีดข่วนง่ายเกินไป และยืนกรานในข้อมูลเรื่องคุณภาพของจอว่า ผลิตมาจากโพลีคาร์บอเนตที่แข็งแกร่ง ซึ่ง Apple นั้นยืนยันในข้อความดังกล่าว ผ่านสารของตัวเองที่ถูกแถลงออกมาอย่างเป็นทางการ

Apple มีวิธีการจัดการกับพวกสื่อต่าง ๆ แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ  ซึ่งสะท้อนวิธีคิดของ จ๊อบส์ เป็นอย่างดี โดยใช้แนวทางเดียวคือ ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของ Apple นั้นยอดเยี่ยม และผลิตภัณฑ์ที่ออกมาใหม่ทุก ๆ ครั้งเป็นสินค้าที่ดีที่สุดเท่าที่ Apple เคยสร้างมา

และแน่นอน ว่าเหมือนเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส สำหรับการฝ่าวิกฤต ศรัทธาของ Apple ในครั้งนี้ เมื่อรายงานทางด้านการเงินในปี 2005 ทำให้ Apple มีผลประกอบการสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยรายรับกว่า 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์ และสามารถทำกำไรได้สูงถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์ และในที่สุด Apple ก็ได้ก้าวพ้นเงาของปี 1995 ที่เป็นปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทได้เสียที ตอนนี้ Apple กลับมาแล้ว และตอนนี้พวกเขากำลังยิ่งใหญ่กว่าเดิม และเป้าหมายของ Apple นั้นไม่ใช่แค่บริษัทผลิตเพียงแค่คอมพิวเตอร์อีกต่อไปนั่นเอง

ในที่สุด Apple ก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริงเสียที ตอนนี้ Apple นั้นไม่ใช่บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ Mac เหมือนเดิมอีกแล้ว การมุ่งเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลแบบพกพา ซึ่งเป็นตลาด Consumer Product ที่มีขนาดตลาดใหญ่กว่าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาก ตอนนี้ Apple ได้ทีมงานที่ลงตัว และ Team Work ที่แข็งแกร่ง ที่พร้อมที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนโลกได้อีกมากมาย จะเกิดอะไรขึ้นกับ Apple และ Microsoft ในศึกครั้งนี้ต่อไป โปรดอย่าพลาดติดตามตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : Project Argo

ปลูกถ่ายตาเทียมด้วยพลังของเทคโนโลยี AR

Google และ บริษัทด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ สร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ กับแว่นตาและคอนแทคเลนส์เพื่อจุดประสงค์ของการใช้เทคโนโลยี AR ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ Omega Ophthalmics กำลังพัฒนาสิ่งที่แตกต่างมากขึ้นโดยใช้เลนส์ที่ได้รับการผ่าตัดเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับเติมเต็มความสมจริงของการมองเห็นภายในดวงตาด้วยพลังของเทคโนโลยี AR

แต่การปลูกถ่ายตาเทียมแบบเลนส์นี้ไม่ใช่สิ่งใหม่แต่อยา่งใด โดยทั่วไปแล้วจะใช้การปลูกถ่ายตาเทียมเพื่อ แก้ต้อกระจกและโรคความเสื่อมอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ;  ซึ่งผู้ป่วยประมาณ3.6 ล้าน คนในสหรัฐอเมริกาได้รับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวทุกปี

การผ่าตัดต้อกระจกเกี่ยวข้องกับการถอดเลนส์ที่มีปัญหา และแทนที่ด้วยเลนส์เทียมชนิดบาง Gary Wortz ผู้ร่วมก่อตั้ง Omega Ophthalmics และเป็นจักษุแพทย์ที่ได้รับการรับรองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่เลนส์ แต่จะเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ผลิตรายอื่นสามารถเพิ่มเซ็นเซอร์แบบอินเทอร์แอคทีฟ และการรวมของเทคโนโลยี AR / VR อีกด้วย

แพลตฟอร์มที่รวมเอาหลายเทคโนโลยีไว้ด้วยกัน
แพลตฟอร์มที่รวมเอาหลายเทคโนโลยีไว้ด้วยกัน

แม้ว่าเขาจะไม่คาดหวังว่าคนหนุ่มสาวที่มีสายตาการมองเห็นที่ดีจะเข้าร่วมการปลูกถ่าย AR ได้ในเร็ว ๆ วันนี้ แต่เขาคิดว่าแพลตฟอร์มของเขามีแอปพลิเคชันที่เพิ่มขึ้น  มีการสร้างแผนที่เพิ่มเติมเพื่อช่วยให้บุคคลที่มีปัญหาทางสายตาเหล่านี้สามารถเดินไปรอบ ๆ หรือคอยเตือนพวกเขาหากมีอะไรผิดปกติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก

นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวกับวงการทหาร และอื่น ๆ

“ เรารู้ว่ามีตลาดขนาดใหญ่สำหรับ AR ซึ่งก็คือวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ เหล่าบริษัท เทคโนโลยียังไม่รู้” ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Omega Ophthalmics  ริก อีฟลันด์ กล่าว

ตอนนี้บริษัทยังไม่ได้มองหาการลงทุนจากภายนอกสำหรับแนวคิดนี้ แม้ว่า Wortz และ Ifland กล่าวว่าพวกเขาได้รับการติดต่อจาก บริษัท VC ใหญ่ ๆ สองแห่งในนิวยอร์กและออเรนจ์เคาน์ตี้ อย่างไรก็ตาม Omega ได้นำเงินทุนเริ่มต้นจากนักลงทุน angel fund และจักษุแพทย์ ที่เข้าใจในโอกาสทางธุรกิจดังกล่าว  Wortz กล่าวเสริม

บริษัท ยังคงต้องรอการอนุมัติจาก FDA และ ทีมงานจักษุแพทย์หวังว่าจะได้รับการอนุมัติในยุโรปในอีก 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้าเพื่อรอผลการพิจารณาครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดย Wortz ดูจะค่อนข้างมั่นใจ เกี่ยวกับกระบวนการในการอนุมัติของ  FDA 

เทคโนโลยีใช้งานได้จริงหรือไม่? ต้องบอกว่าจนถึงตอนนี้ Omega หลังจากได้ทำการทดสอบมา 6 เดือน โดยยังไม่ได้ทดลองทางคลินิกกับมนุษย์  โดยบริษัท ยังมี Lab ทดลอง อีกสองถึงสามแห่งที่ยังไม่ได้รับผลชัดเจนในการศึกษา รวมถึงอนาคตกับการทดลองกับมนุษย์ ที่ทางบริษัทวางแผนจะเปิดตัวในไม่ช้านี้

References : 
https://techcrunch.com/2017/08/04/ophthalmics-is-an-eye-implant-with-the-power-of-continuous-ar/

VR กับการส่อง Anatomy ของร่างกายคุณผ่าน App

ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกมั่นใจว่าพวกเขารู้เรื่องพอสมควรเกี่ยวกับร่างกายของพวกเขาในแง่ของสุขภาพทั่วไป แต่สิ่งที่พวกเรารู้กันนั้น ดูเหมือนจะดูจากจากภายนอกร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้มองเข้าไปข้างใน ภายใน Anatomy ของร่างกายเราที่สามารถบ่งบอกถึงอะไรได้หลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวัน

Ed Barton ผู้ก่อตั้ง Curiscope  บริษัท Startup ในสหราชอาณาจักร  หวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นด้วยการผสมผสานการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality  (AR) มาพัฒนาแอป VR เพื่อดูกายวิภาคศาสตร์ และทำงานร่วมกับเสื้อยืด Virtuali-Tee ที่บริษัทสร้างขึ้น โดยจะทำให้ผู้คนมองเห็นภายในร่างกายของพวกเขาเองผ่าน App ตัวนี้

Barton อธิบายกับ Wired : “ เราใช้การผสมผสานระหว่าง VR และ AR เพื่อดูภายในกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งด้วย AR ที่ถูกวางตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ ทำให้คุณสามารถใช้ VR เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับร่างกายของคุณได้”

Curiscope ได้ระดมทุนเกือบ 1 ล้านเหรียญจาก LocalGlobe และพวกเขาได้ขาย Virtuali-Tees  ไปเป็นมูลค่าเกือบ 3,000 เหรียญแล้วในขณะนี้

Barton บอกกับ  Wired  ว่าการติดตามตำแหน่ง“ เรามีการทำให้วัตถุและภาพดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับความเป็นจริงมากขึ้น” เขากล่าวต่อ“ ด้วย Virtuali-Tee, AR เป็นอินเตอร์เฟสของคุณและ VR ใช้ในการส่งข้อมูล”

เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยใช้รหัส QR ที่พิมพ์ออกมาบนเสื้อยืด เมื่อคุณสแกนรหัส QR ด้วยแอพที่เกี่ยวข้อง คุณสามารถสำรวจทั่วทั้งช่องอกรวมถึงหัวใจและปอดของคุณได้

เทคโนโลยี AR เริ่มโด่งดังมาจากเปิดตัวของ Pokémon Go แต่ แอพพลิเคชั่นของ Barton นั้นแสดงให้เห็นว่ามันสามารถเข้าถึงได้มากกว่าแค่เกมเหมือนดั่งที่ Pokemon ทำ ซึ่งในตอนนี้มีการนำเทคโนโลยี AR ไปใช้ ตั้งแต่การใช้สมาร์ทโฟนไปจนถึงการออกแบบพิมพ์เขียวของรถยนต์  AR กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งการรวมกันของทั้ง AR และ VR ไม่เพียง แต่จะทำให้อุปกรณ์ Virtuali-Tee มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ยังนำไปสู่เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่รวม AR และ VR เข้าด้วยกันอีกด้วย

เสื้อยืด Virtuali-Tee นี้อาจเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น มันสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่ช่วยให้กายวิภาคศาสตร์และชีววิทยากลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกไม่น่าเบื่อเหมือนเมื่อก่อน โดยเสื้อยืด Virtuali-Tee สามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจการทำงานภายในของร่างกายตัวเอง และวิธีการที่เรากระทำในทุกๆวัน ตั้งแต่สิ่งที่เรากินเข้าไป จนถึงการออกกำลังกาย ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่านั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพของเรานั่นเอง

References : 
https://futurism.com/new-anatomy-vr-app-lets-you-look-inside-your-own-body

Digital Music War ตอนที่ 6 : PlayForSure

ภายในสำนักงานใหญ่ของ Microsoft ที่เรดมอนด์ นั้น เริ่มตระหนักมากขึ้นที่ว่า ตอนนี้พวกเขาต้องรีบดำเนินการบางอย่าง เพราะตอนนี้ Apple กำลังครองตลาดเครื่องเล่นดิจิตอล MP3 และยอดขายของ iPod ก็กำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง

ตอนนั้น คณะผู้แทนของผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา คือ Wall-Mart และ Best Buy ผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุด ได้เรียกร้องให้ Microsoft รีบดำเนินการบางอย่าง หรือสร้างผลิตภัณฑ์ เพื่อมาแข่งกับ iPod ของ Apple

ทั้งนี้เนื่องจาก Apple นั้นไม่ได้แคร์ตลาดเลย ซึ่งกับ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ทั้งสอง Apple ไม่ยอมให้ iPod ไปขายที่ทั้ง Wall-Mart และ Best Buy เพราะจ๊อบส์นั้น วางตำแหน่งตลาดให้กับ iPod เป็นอุปกรณ์ชั้นยอด ไม่ใช่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ที่ขายอยู่ที่ Best Buy

ทั้งจ๊อบส์ และ ไอฟฟ์  นั้นต้องการให้ iPod เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของผู้ซื้อ โดยให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าเจ้า iPod เครื่องจิ๋วนั้นจะแสดงตัวตนของแต่ละคน ผ่าน Playlist ของเพลงที่พวกเขาจัดให้ iPod ของตัวเอง

การที่ iPod ไม่เข้าไปอยู่ในห้างค้าปลีกเหล่านี้ มีข้อดีคือ ไม่มีการเปรียบเทียบระหว่าง iPod กับ คู่แข่ง ซึ่ง Apple ไม่ได้ต้องการมาเล่นสงครามราคาอยู่แล้ว Apple ทำให้การแข่งขันกลายเป็นเรื่องรอง ทุกคนที่สนใจเครื่องเล่นเพลงต่างเคยได้ยินชื่อ iPod พวกคนดังใช้ iPod 

และแน่นอนว่า Apple ได้เริ่มเปิดร้านค้าปลีกของตัวเองคือ Apple Store ในปี 2004 โดยมีการวาง iPod คู่กับ Mac แบบให้ลูกค้าได้เข้ามาทดลองใช้งาน ไม่ได้เป็นการยัดเยียดขายของเหมือนร้านค้าปลีกทั่วไป 

และเมื่อลูกค้า ได้ทดลองเล่น iPod ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะซื้อ iPod เพราะไม่มีสินค้าอื่นมาเปรียบเทียบ ไม่มีตัวเลือกอื่นให้เลือก ลูกค้าจึงไม่มีการเปรียบเทียบราคาและฟีเจอร์ของ iPod กับเครื่องเล่นยี่ห้ออื่น ๆ 

ซึ่งหลากหลายเหตุผลนี่เอง ที่ เหล่าผู้ค้าปลีกเริ่มกระวนกระวาย กับการกระทำของ Apple และได้ทำให้ Microsoft ได้เริ่มวางแผนที่จะล้ม iPod ของ Apple ให้ได้ ผ่านการขายหน้าร้านค้าปลีกที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศของทั้ง Wall-Mart และ Best Buy

ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกร้องขอ Microsoft ให้มาช่วยแข่งกับ iPod ของ Apple
ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกร้องขอ Microsoft ให้มาช่วยแข่งกับ iPod ของ Apple

Microsoft มองข้ามช็อต โดยเตรียมสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถเล่นทั้งเพลงและ วีดีโอ ซึ่ง iPod เล่นได้เพียงแค่เพลงเท่านั้น โดยสินค้าตัวแรกคือ PMC (Portable Media Center) แต่มันกลับเป็น Software ที่อนุญาตให้บริษัทสร้างอุปกรณ์มือถือที่เก็บภาพยนต์และวีดีโอ รวมทั้งเพลงกับรูปภาพด้วย

Microsoft ปล่อยให้บริษัท 3rd Party อย่าง Creative , Samsung , iRiver มาสร้างผลิตภัณฑ์ผ่าน Software ของ Microsoft แทน ซึ่ง มันคล้ายรูปแบบที่ Microsoft ทำมากับ Windows นั่นเอง เพราะเขาถนัดด้าน Software ไม่ใช่ Hardware ซึ่งส่วนของ Hardware ก็ปล่อยให้มืออาชีพมาจัดการด้านนี้จะดีเสียกว่า

ซึ่งในการเปิดตัวนั้น Microsoft เปิดแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่ ว่า PMC จะเป็นยุคใหม่ของอุปกรณ์ดิจิตอล ที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับความบันเทิงทั้งในบ้านและระหว่างการเดินทาง โดยฝั่งของ Software นั้นปรับมาใช้ Brand ใหม่คือ  “PlayForSure” 

ซึ่งตลาดเป้าหมายของ PlayForSure คือ เหล่าคนเดินทางที่ต้องไปทำงานไกล ๆ ซึ่ง Microsoft มองว่าผู้คนเหล่านี้ต้องการอุปกรณ์สร้างความบันเทิงไว้แก้เบื่อในขณะเดินทาง แต่ปัญหาของ PlayForSure คือตัว Content ไม่ว่าจะเป็น เพลง วีดีโอ หรือ รูปภาพ ซึ่งต้องมีการเชื่อมต่อกับ PC เพื่อนำไฟล์จาก PC เข้ามาสู่เครื่องเล่น ซึ่งมันดูเป็นเรื่องยุ่งยาก และที่สำคัญก็คือ มีคนไม่มากนักที่มี วีดีโอ อยู่ใน PC ของตัวเอง 

และจุดจบมันมาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ PMC ที่ใช้ร่วมกับ Software  “PlayForSure” มีการพัฒนาที่ไร้ทิศทาง ไม่มีวิสัยทัศน์ อย่างชัดเจนเหมือนที่จ๊อบส์ทำกับ iPod ทำให้ PMC นั้นแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย เมื่อได้วางขายออกมาจริง ๆ Microsoft ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนทั่วไปนั้นมีอุปกรณ์เล่นวีดีโออยู่แล้ว และมีราคาถูก และราคาของแผ่นดีวีดีลดราคาลงทุก ๆ เดือน ทำให้ PMC มาถึงทางตันทันที

ความคิดที่จะก้าวข้าม iPod ด้วยความสามารถล้นเหลือของ PMC นั้นดูจะล้มเหลวไม่เป็นท่า การทำงานแบบจับฉ่ายของ PMC ไม่สามารถตีตลาดเครื่องเล่นเพลงของ iPod ได้เลย มันเป็นการพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ เครื่อง PMC และบริการของ PlayForSure จาก Microsoft

เครื่อง Portable Media Center ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า
เครื่อง Portable Media Center ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า

มาถึงจุดนี้ ดูเหมือนการออกมาชนกับ Apple ตรงในตลาดความบันเทิงแบบดิจิตอลในศึกแรกนี้ Microsoft จะพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป Microsoft ยังคิดแบบแนวคิดเก่า ๆ เหมือนที่ทำกับ Windows คือให้บริษัทที่ถนัด Hardware ทำส่วนของ Hardware และ Microsoft จะพัฒนาส่วนที่ถนัดคือ PlayForSure เป็นจุดเชื่อมตรงกลางให้ แต่ครั้งนี้ดูจะล้มเหลว ไม่สำเร็จเหมือนที่ทำกับ Windows แล้ว Microsoft จะทำอย่างไรต่อกับศึกครั้งนี้ ที่ตอนนี้ iPod กำลังจะกลายเป็น Brand ที่ติดตลาดโลกไปเสียแล้ว โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : The Rise of Apple

NASA กำลังค้นหา Alien บนดาว Titan

เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่ ยาน Cassini-Huygens ของนาซ่าถูกส่งไปยังพื้นผิวของดวงจันทร์ไททันที่เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ และเรากำลังจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกมหาสมุทรลึกลับจากภารกิจดังกล่าว

แต่นาซ่ากำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลง โครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์นาซานำโดยนักวิจัยจากห้องทดลอง Jet Propulsion ของนาซาจะพยายามค้นหาว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในมหาสมุทรบนดวงจันทร์หรือไม่ และบรรยากาศที่หนาทึบดังกล่าวสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้หรือไม่

คำถามคือไฮโดรคาร์บอนที่ซับซ้อนนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้บนพื้นผิวของดาวไททันหรือไม่เนื่องจากการรวมกันของก๊าซที่พบในชั้นบรรยากาศของดาวไททัน ซึ่งนั่นรวมถึงไฮโดรเจน, มีเธนและไนโตรเจน

ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากองค์การนาซ่าประกาศว่าจะส่งโดรนเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กไปยังดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์เพื่อสำรวจพื้นผิวของมัน ในขณะที่นาซ่ากำลังวางแผนที่จะเปิดตัวภารกิจดังกล่าวได้ในปี 2026 

แต่มีหลักฐานมากมายที่เราสามารถรวบรวมจากข้อมูลก่อนหน้านี้ที่เก็บรวบรวมโดย ยาน Cassini-Huygens 

ภาพจากดวงจันทร์ ไททัน
ภาพจากดวงจันทร์ ไททัน

“ สิ่งที่เราไม่รู้คือองค์ประกอบที่แน่นอนของมหาสมุทร ความหนาแน่นของมัน ความร้อนของมัน โครงสร้างโดยรวมของเปลือกน้ำแข็งที่อยู่ด้านบนของมัน” ไมค์ มาลาสก้า รองหัวหน้าผู้ตรวจสอบโครงการของ Jet Propulsion Lab บอกกับนิตยสาร Astrobiology

โครงการห้าปี ที่มีความทะเยอทะยานของสถาบัน Astrology ได้สร้างทีมขึ้นมา 30 ทีม เพื่อสำรวจดวงจันทร์ของดาวเสาร์ โดยข้อมูลจะได้รับจากภารกิจของยาน Cassini-Huygens ของนาซ่า 

“ ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ของเรา กำลังติดตามโมเลกุลอินทรีย์บนเส้นทางของพวกเขาจากด้านบนของชั้นบรรยากาศที่พวกมันถูกสร้างขึ้นผ่านชั้นเปลือกโลกและมหาสมุทร ซึ่งหากมีรูปแบบของชีววิทยาเกิดขึ้นที่นั่น” Malaska กล่าว

โครงการมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 4 ประการ ก่อนอื่นทีมต้องการที่จะเข้าใจว่าโมเลกุลเคลื่อนย้ายจากพื้นผิวของไททันไปยังมหาสมุทรได้อย่างไร ประการที่สองพวกเขาต้องการค้นหาว่าสารอินทรีย์ที่ซับซ้อนสามารถอยู่รอดได้ในมหาสมุทรใต้ผิวดินอันกว้างใหญ่ของไททันหรือไม่ และข้อสามนั้น ขึ้นอยู่กับว่าวัตถุประสงค์สองข้อแรกจะเป็นอย่างไร

โดรน Dragonfly ที่ Nasa ส่งไปทำภารกิจเพิ่มเติม
โดรน Dragonfly ที่ Nasa ส่งไปทำภารกิจเพิ่มเติม

โดย ขั้นตอนต่อไปคือการสำรวจว่ามีพลังงานเคมีสำหรับการมีชีวิตในการเมแทบอลิซึมได้หรือไม่ ซึ่งในที่สุดทีมต้องการวิธีตรวจหาสิ่งมีชีวิต ที่ยังคงอยู่ในมหาสมุทรซึ่งเป็นงานที่ยุ่งยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมหาสมุทรของไททันถูกปกคลุมด้วยเปลือกนอกที่เป็นน้ำแข็ง และบรรยากาศที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยาน Rotorcraft Dragonfly ของนาซาจะ ไปถึงมหาสมุทรที่ห่างไกลของดาวไททัน  โดยจะใช้เวลา 15 ปีนับจากนี้ เมื่อถึงตอนนั้นเราน่าจะมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ที่นั่น

References : 
https://phys.org/news/2019-07-habitability-titan-ocean.html