Dragonfire Laser กับอาวุธทรงพลังใหม่แห่งกองทัพเรือ UK

กองทัพเรือ UK กำลังทดสอบระบบพลังงานกลที่น่าทึ่งสำหรับอาวุธ Dragonfire Laser Directed Energy Weapon บนเรือที่มีความทันสมัยที่สุดในโลก และการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมดนั้นมาจาก ทีม Williams แห่งการแข่งรถ Formula 1

กองทัพเรือหวังว่าระบบใหม่นี้  จะช่วยลดผลกระทบต่อส่วนที่เหลือของเรือ เมื่อมันต้องการที่จะใช้พลังงานจำนวนมหาศาลสำหรับอาวุธ ในขณะเดียวกันยังเป็นการหลีกเลี่ยงความกังวลด้านความปลอดภัย เช่น การใช้แบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นการเกิดเพลิงไหม้บนเรือรบได้

“เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนามาโดยทีม William F1” โฆษกทหารกองทัพ UK แอนดรู เทต กล่าวในการแถลงข่าว “ เราเห็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการเพิ่มความสามารถในการป้องกันด้วยการสร้างระบบพลังงานที่แข็งแกร่งและระบบป้องกันแห่งอนาคตสำหรับเรือรบ”

สำหรับตัว Dragonfire นั้นเป็นเลเซอร์ขนาด 50 kW ที่สามารถ “ปกป้องการเดินเรือและกองกำลังทางบกของเราได้” จาก “ขีปนาวุธหรือทหารจากปืนครกของข้าศึก” ตามที่กระทรวงกลาโหมระบุ

แต่เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของอาวุธใหม่บนเรือประจัญบานคือความท้าทายทางวิศวกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน โดยพันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ได้ตัดสินใจใช้ประโยชน์จาก FESS ซึ่งเป็นระบบที่“ ใช้ Flywheel ที่มีความเร็วสูงและมีน้ำหนักเบาที่เป็นนวัตกรรมเพื่อให้พัลส์ไฟฟ้ากำลังสูง ที่ระบบอาวุธต่าง ๆ ที่จะมีการผลิตในอนาคตนั้นต้องการ” ข่าวประชาสัมพันธ์

การใช้ Flywheel ที่พบบ่อยที่สุดคือการส่งกำลังของรถยนต์ โดยมันจะเก็บพลังงานการของหมุนเมื่อมีการปล่อยคลัตช์ และสามารถถ่ายโอนพลังงานนั้นกลับมาเมื่อมันทำงานอีกครั้งหลังจากมีการเปลี่ยนเกียร์

ในทำนองเดียวกันพลังงานที่ต้องใช้ในการยิงเลเซอร์นั้นสามารถเก็บไว้ได้ด้วยการใช้ Flywheel จำนวนหนึ่งนั่นเอง

References : 
https://www.gov.uk/government/news/uk-usa-test-naval-power-systems

Formula E กับอนาคตวงการมอเตอร์สปอร์ต

การเริ่มต้นการแข่งรถกรังด์ปรีซ์นั้น ต้องมีการย้อนกลับไปกว่าศตวรรษ ในการแข่งขันที่จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสในช่วงต้นปี 1900 ซึ่งในตอนนี้เป็นที่รู้จักในนาม Formula 1 การแข่งรถยนต์ที่กลายเป็นปรากฏการณ์กีฬาในระดับนานาชาติได้สำเร็จ

แต่ลีกแข่งรถ อีกลีกหนึ่งที่กำลังยึดครองถนนในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก และในขณะที่มันมีความตื่นเต้นที่คล้ายคลึงกันกับของวงการ F1 แต่ไม่ได้ใช้องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งนั่นก็คือน้ำมันเบนซิน แน่นอนว่า ลีก Formula E ใช้ “e-racers” ซึ่งเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทนนั่นเอง 

เสียงหวือหวาที่ไม่เหมือนใครของรถแข่ง Formula E เป็นหนึ่งในเสียงที่โดดเด่นที่สุดในการเล่นกีฬาเลยก็ว่าได้ มันต่างจากเสียงคำรามแบบปกติในสนามแข่งรถทั่วไป  “ ทุกอย่างของการแข่งขัน Formula E จะต้องถูกสร้างขึ้นในลักษณะที่มีการประสานกันเป็นอย่างมาก” Alejandro Agag ชายผู้ดูแล Formula E กล่าวกับ CBS News 

การแข่งขัน Formula E นั้นจะมีระยะทาง สั้น ๆ  ใช้เวลาเพียงประมาณ 45 นาที  และจะเข้าร่วมแข่งในเส้นทางถนนที่คับคั่งในใจกลางเมือง ความเร็วสามารถทำได้สูงสุด 175 ไมล์ต่อชั่วโมง มันเป็นระยะห่างจากการแข่งรถที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่าง Formula 1 ซึ่งเครื่องยนต์เผาไหม้แบบคลาสสิก แน่นอนว่ามันมีพลังมากกว่าและแข่งกับสนามที่กว้างและยาวกว่า แต่ Jean Eric Vergne อดีตนักแข่ง Formula 1 ก่อนที่จะมาเป็นนักขับรถอันดับหนึ่งของ Formula E กล่าวว่า มันไม่ง่ายนัก 

“ พูดแบบตรงไปตรงมา ผมกลัวรอบคัดเลือกใน Formula E มากกว่าที่ผมเคยเจอใน Formula 1” Vergne กล่าว “ เพราะคุณรู้ว่า แทร็กนั้นแคบมากมัน และด้วยรถที่หนักมากซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะขับขี่ได้ หากการจัดการไม่ดีเท่า F1 ดังนั้นจึงทำให้การขับขี่ยากขึ้นมาก ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากและเกิดขึ้นได้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน ”  

Formula E ในสนาม
Formula E ในสนาม

 ในรถยนต์สูตร E แบตเตอรี่จะกินพื้นที่ของเครื่องยนต์ถ้าเทียบกับรถแข่ง F1  และมีค่าใช้จ่ายประมาณหนึ่งล้านดอลลาร์สำหรับรถยนต์ 1 คัน โดยจะมีน้ำหนักประมาณ 1,500 ปอนด์ซึ่งมากกว่าครึ่งนั้นเป็นน้ำหนักของแบตเตอรี่นั่นเอง 

“ คุณต้องลองดูการแข่งขัน Formula E ตอนนี้เราเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในการแข่งระดับโลก” Andre Lotterer เพื่อนร่วมทีมของ Vergne กล่าว 

ในฤดูกาลก่อน ผู้ขับขี่ต้องเปลี่ยนรถยนต์เพราะแบตเตอรี่ไม่สามารถอยู่ได้ตลอดการแข่งขัน ปีนี้จะไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว: พลังงานแบตเตอรี่ได้รับการปรับปรุงอย่างมากในปีที่ผ่านมา

สำหรับการเคลื่อนย้ายแบตเตอรี่เหล่านั้น  จากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ในบรูคลินของนิวยอร์ก ใช้คนเกือบ 700 คน ทำงานอย่างไม่หยุดในสัปดาห์ก่อนแข่งเพื่อสร้างแทร็กตั้งแต่ต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้จะมีค่าใช้จ่ายของการแข่ง Formula E ราว ๆ   10-15 ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งสนามแข่ง

Agag กล่าวว่า มันเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต และการเสียเงินในตอนนี้ถือว่าคุ้มค่าเพราะลีกของเขานั้นมีเป้าหมายไม่เพียงแค่เป็นซีรีย์การแข่งขันไฟฟ้าชั้นนำเท่านั้น 

“ ผมไม่มีปัญหากับ Formula 1” Agag กล่าว “ผมชอบ Formula 1 ผมคิดว่ามันยอดเยี่ยม แต่เห็นได้ชัดว่า เมื่ออุตสาหกรรมเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า การแข่งขันรถยนต์ Formula 1 ก็ต้องมีการปรับตัวตามอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน”

Agag กล่าวว่าเขาไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวงการ Formula 1 ในอนาคต แต่ในอีกสิบปีเขาคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน วันนั้น Formula E อาจจะกลายมาเป็นลีกชั้นนำก็เป็นไปได้

รถแข่งในสนาม Formula E
รถแข่งในสนาม Formula E

เทรวิส โอคุลสกี้หัวหน้าบรรณาธิการของ Road & Track กล่าวว่ารถแข่งไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้ผลิตอีกต่อไป    

“Formula 1 มีมาตั้งแต่ปี 1950 แน่นอนว่าพวกเขามีประวัติศาสตร์เกือบ 70 ปีกับกีฬาชนิดนี้เพื่อพัฒนาให้กลายเป็นจุดสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ต ส่วน Formula E นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพยายามสร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ มอเตอร์สปอร์ตทั่วโก ” โอคุลสกี้ กล่าว “ แน่นอนว่ามันต้องใช้เวลา เพื่อที่จะเป็นจุดสุดยอดของวงการมอเตอร์สปอร์ตแบบที่ Formula 1 ทำได้นั่นเอง”

การแข่งขัน Formula E ได้พัฒนาลูกเล่นใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในปีนี้ลีกได้ทำการเปิดตัวโหมดการโจมตีซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับพลังที่มากขึ้น เหมือน เช่นในวิดีโอเกม Mario Kart นั่นเอง

“ เราต้องปรับตัวให้ไปทางวิดีโอเกมให้มากยิ่งขึ้น” Agag กล่าว “และตอนนี้เรายังไม่ถึงครึ่งทาง”

“ อนาคตคือรถยนต์ไฟฟ้า และการแข่งขันจะเป็นการผสมผสานระหว่างชีวิตจริงและในวิดีโอเกม ระหว่างของจริงและสิ่งที่เสมือนจริงที่อยู่ในเกม” เขากล่าวเสริม 

สำหรับตอนนี้ Agag ต้องการให้ผู้ชมเข้าใจถึงศักยภาพของยานพาหนะไฟฟ้า “ผมคิดว่าถ้าคุณเห็นการแข่งขันครั้งนี้ คุณจะเริ่มสนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า  ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่เหล่าผู้คนเข้ามาที่นี่เพื่อมาชมพวกเรานั่นเอง “

References : 
https://www.cbsnews.com/news/formula-e-the-electric-car-league-vying-become-future-auto-racing-2019-07-13/

Digital Music War ตอนที่ 9 : Zune

เหล่าผู้บริหาร ของ Microsoft กำลังเพ่งความสนใจไปที่ความท้าทายว่า จะทำอย่างไรให้ Microsoft นั้นกลับมาสู่การแข่งขันในธุรกิจเครื่องเล่นเพลงแบบดิจิตอลได้ แน่นอนว่าต้องเอาชนะ iPod รวมถึงบริการอย่าง iTunes และ Microsoft ต้องไม่ย้อนรอยความผิดพลาดเดิมด้วย PlayForSure อีกอย่างแน่นอน

ดังนั้นจาก Project Argo มันได้กลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการว่าเครื่องเล่น Zune และ Microsoft ต้องการผูกตัว Zune ให้เข้ากับความสำเร็จอื่น ๆ ที่บริษัทเคยได้มาอย่าง Xbox 360 ที่เป็นรุ่นที่ 2 ของ Xbox เครื่องเล่นเกม เรือธงของ Microsoft ในขณะนั้น

ต้องบอกว่า Xbox 360 นั้นได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามของเหล่า ๆ แฟน ๆ เกมส์ทั่วโลก ซึ่งเป็นการปล่อยตัวออกมาก่อนที่คู่แข่งสำคัญอย่าง Sony และ Nintendo นั้นจะเริ่มไหวตัวทัน เป็นก้าวที่สำเร็จครั้งแรกของ Microsoft ในธุรกิจ ดิจิตอล Entertainment

Xbox 360 กับความสำเร็จครั้งแรกของ Microsoft ในตลาดเกม
Xbox 360 กับความสำเร็จครั้งแรกของ Microsoft ในตลาดเกม

เหล่าทีมงานของ Zune ก็เริ่มไล่เรียง จุดด้อยของ iPod ว่าไม่มีอะไรบ้าง แล้วใส่มันเข้าไปในเครื่องเล่น Zune ตัวอย่างเช่น WIFI Connect ที่จะทำให้ Zune สามารถแบ่งปันเพลงกับเพื่อนผ่านทางเครือข่าย WIFI Network ได้

และกลายเป็นเหล่าค่ายเพลงที่ต้องการเข้ามาร่วมแบ่งเค้กส่วนนี้จาก Microsoft เนื่องจาก Apple นั้นแทบจะไม่แบ่งส่วนแบ่งในการเก็บเข้าเครื่อง iPod ของพวกเขา เพราะเป็นการ Burn จาก CD ลงมาที่เครื่อง iPod

เหล่าผู้บริหารค่ายเพลงทั้ง Sony , Warner , Universal ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ต้องการเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์ 1 ดอลลาร์ ต่อเครื่องเล่นที่ขายได้ 1 เครื่อง และในที่สุด Microsoft ก็ตกลง และพวกเขาก็สามารถแก้แค้น Apple ได้ในที่สุด

ชื่อของเครื่องเล่น Zune นั้นต้องการให้ไกลจาก Apple มากที่สุด เพราะ Apple ขึ้นด้วยตัว A ส่วน Zune นั้นขึ้นด้วยตัว Z แม้ข่าวจะรั่วไหลออกไป เหล่าสื่อต่าง ๆ ก็มีทั้งชอบและไม่ชอบหลาย ๆ แนวความคิดของเครื่องเล่น Zune

ตัวอย่างเรื่องสีเครื่องที่เป็นสีน้ำตาล และข้อจำกัดอีกหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น การแชร์ไฟล์ ที่ถือว่าเป็นความคิดที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน 

ปัญหาใหญ่ของ Microsoft ที่มีอยู่คือ เรื่องรสนิยม และความคิดสร้างสรรค์ แม้ ตอนนั้นจะใช้ทีมงานเก่ง ๆ กว่า 230 คน ที่กำลังพัฒนาเครื่อง Zune อยู่ และเป็นการเดินหน้าแบบเต็มที่จากผู้บริหารสูงสุดอย่าง สตีฟ บอลเมอร์

และในที่สุด Zune ก้ได้ออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หลังจากใช้เวลาในโครงการนี้กว่า 8 เดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับการสร้าง iPod ของทีมงาน Apple นั้น ถือว่าเป็นโครงการที่ใช้เวลาทำอย่างรวดเร็วมากกับ Project ที่เป็น Hardware ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์คาดการ์ณว่า Zune จะขายได้ประมาณ 3 ล้านเครื่องในปีแรก

Zune ที่ Microsoft หวังมาล้ม iPod
Zune ที่ Microsoft หวังมาล้ม iPod

ซึ่งหลังจากเปิดตัวนั้น เหล่าผู้บริหารของ Microsoft ได้ออกมาอธิบายว่า Zune นั้นเป็นแค่อุปกรณ์แก้ขัดไปก่อนในช่วงแรก ก่อนที่ Microsoft นั้นจะสร้างบริการไปเก็บเพลงทั้งหมดไว้บน Cloud และสามารถเข้าถึงเพลงส่วนตัวได้ทุกที่ทุกเวลา

Zune จึงถูกมองเป็นอุปกรณ์แก้ขัด ของอุปกรณ์ใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในอนาคต ซึ่งจะมีประสิทธิภาพดีกว่ามาก ความคาดหวังของ สตีฟ บอลเมอร์ นั้น เป็นการรวมเอาเครื่อง Zune เข้ากับ Xbox 360 ซึ่งมักจะเป็นของเล่นในห้องนั่งเล่น ทั้งที่บ้านรวมถึงที่ทำงาน และมีการเชื่อมต่อกับ Cloud ผ่านทางการออนไลน์

ซึ่งการตัดสินใจของ Microsoft ในการผลักดันเครื่อง Zune และทิ้ง PlayForSure ไว้เบื้องหลังนั้น ทำให้เหล่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เก่า ๆ ที่ทำเครื่องเพื่อรองรับ PlayForSure นั้นโกรธเป็นอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่า Zune นั้นได้กลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงของพวกเขาทันทีหลังจาก Microsoft ประกาศลอยแพ PlayForSure

แต่ต้องบอกว่าในขณะนั้น ร้านดนตรี iTunes ของ Apple นั้นสามารถที่จะขายเพลงไปได้มากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และการที่ Zune ไม่ได้ใช่ PlayForSure ทำให้เว๊บไซต์ที่ใช้ Software PlayForSure ต้องทำการปิดตัว เหล่าผู้ทำการตลาด รวมถึงผู้ให้บริการ Software ที่เกี่ยวข้อง ต่างเริ่มขาดความเชื่อมั่นใน Microsoft จึงเริ่มทยอยปิดตัวลงไปเรื่อย ๆ โดย Napster นั้นได้กลายเป็นบริการสุดท้ายที่ยังใช้ PlayForSure ก่อนจะเลิกไปในกลางปี 2010 ในที่สุด เป็นการปิดฉาก PlayForSure อย่างเป็นทางการ

และบททดสอบครั้งสำคัญของเครื่องเล่นเพลงดิจิตอล ตัวใหม่อย่าง Zune ที่จะมาแข่งขันกับ iPod ของ Apple คือ เทศกาลคริสมาสต์ในปี 2006 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทำเงินของเหล่าสินค้าอุปโภคบริโภคของสหรัฐอเมริกา และ Zune พร้อมที่จะเป็นของขวัญคริสมาสต์ชิ้นสำคัญให้กับเหล่าผู้บริโภคทั้งหลายของประเทศอเมริกาได้หรือไม่ และจะทำยอดขายได้มากน้อยเพียงใดหลังผ่านคริสมาสต์ครั้งแรก จะสามารถเอาชนะ iPod ของ Apple ได้หรือไม่ ติดตามได้ตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 10 : Design Philosophy

สุดล้ำกับเทคโนโลยี HoloLens Translate ใหม่จาก Microsoft

Microsoft ได้สร้างโฮโลแกรมที่จะแปลงคนให้กลายเป็นชนชาติอื่นที่พูดภาษาต้นฉบับของเขาได้ Microsoft ได้เปิดเผยเทคโนโลยีในระหว่างการปาฐกถาพิเศษที่การประชุมคู่ค้า Microsoft Inspire ที่ลาสเวกัส

โดยไมโครซอฟท์ได้ทำการสแกนร่างของ Julia White ผู้บริหาร บริษัท Azure ที่ดูแลด้าน Cloud โดยกล้องจากสตูดิโอได้ทำการจับภาพความเป็นจริงจากเธอ เพื่อเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นภาพจำลองแบบโฮโลแกรมที่เหมือนจริง

และเธอในเวอร์ชั่นดิจิตอล ได้ปรากฏขึ้นบนเวที เพื่อแปลคำปราศรัยเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่ง Microsoft ใช้เทคโนโลยี Azure AI และการแปลงข้อความเป็นคำพูดภาษาญี่ปุ่น มันทำงานได้โดยการบันทึกเสียงของ Julia White เพื่อสร้างเอกลักษณ์เสียงส่วนบุคคล และใช้เทคโนโลยี AI ทำให้เสียงเหมือนเธอกำลังพูดในภาษาญี่ปุ่นจริง ๆ 

ภาพแสดงผ่าน Hologram ของผู้บริหาร Julia White

ไมโครซอฟท์ได้แสดงให้เห็นถึงโฮโลแกรมของคน ในการเปิดตัวก่อนหน้านี้ แต่ในเรื่องการแปลภาษานั้น เป็นขั้นตอนที่เกินความเป็นไปได้ของ HoloLens ใน version แรก ๆ 

ซึ่งการแสดงครั้งนี้เป็นเพียงการสาธิตในตอนนี้ และหากจะใช้จริง ๆ นั้น ต้องมีการเข้าถึงสตูดิโอระดับมืออาชีพของ Microsoft 

โดยสตูดิโอ ของ Microsoft นั้นมีแท่นที่ใช้ในการจัดการเรื่องแสง และ มีกล้องความละเอียดสูงเพื่อจับภาพโฮโลแกรมดิจิตอลที่แม่นยำอย่างสมบูรณ์แบบ ในการแปลงรูปร่างของวัตถุ (คน) ให้กลายเป็นภาพ Hologram แบบสมบูรณ์  ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านด้วยสมาร์ทโฟนของคุณอย่างแน่นอน

ถึงกระนั้นการสาธิตของ Microsoft ในครั้งนี้ก็น่าประทับใจ และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของ บริษัท ที่มีต่อ Azure, HoloLens และเทคโนโลยีอื่น ๆ โดย HoloLens 2 อาจจะมีเป้าหมายเพื่อตลาดสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ 

โดย Microsoft จะพยายามที่จะสร้างซอฟต์แวร์และบริการที่จะไปยังเป้าหมายสูงสุด ที่จะเติมความสมจริงแบบสมบูรณ์ที่สุดให้กับเทคโนโลยี Hololens นั่นเอง

References : 
https://www.theverge.com/2019/7/17/20697976/microsoft-hololens-hologram-keynote-japanese-translation-microsoft-inspire

Digital Music War ตอนที่ 8 : Project Argo

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ iPod ที่พลิกทำให้ Apple กลับมาสร้างรายได้ รวมถึงกำไรได้สูงที่สุดนับตั้งแต่บริษัทได้เริ่มก่อตั้งมา มันได้กลายเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญกับคู่แข่งทั้งหลายในตลาดธุรกิจเพลงดิจิตอลที่ iPod เป็นผู้นำของตลาดอยู่ในขณะนั้น 

ในฟากฝั่งของ Microsoft เองหลังจากล้มเหลวไม่เป็นท่ากับ PlayForSure ซึ่ง Microsoft ไม่สามารถทำให้ Wall-Mart และ Best Buy รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เลย สตีฟ บอลเมอร์ ซึ่งในขณะนั้นรั้งตำแหน่ง CEO ของ Microsoft เต็มตัวแล้วได้ เรียกประชุมเหล่าหัวหน้าแผนกอุปกรณ์และความบันเทิงเพื่อเตรียมทำศึกนี้อีกครั้ง

ทิศทางที่ผ่านมาของบริษัทนั้นชัดเจนเป็นอย่างมากว่า iPod เป็นคู่แข่งศัตรูคู่อาฆาตเบอร์หนึ่งที่ Microsoft ต้องหาวิธีในการล้มให้จงได้ และ PlayForSure รูปแบบสมัครสมาชิกแบบเก่า ๆ ของ Microsoft นั้นมันไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่จะสู้ iPod ได้คือ Microsoft ต้องสร้างเครื่องเล่นเพลงออกมาสู้เท่านั้น

Playforsure ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า
Playforsure ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า

วิสัยทัศน์ของ สตีฟ บอลเมอร์นั้น ชัดเจนว่า ในระยะสั้น Microsoft ต้องมีสินค้าเพื่อมาชนกับ iPod โดยตรง เพราะ iPod กำลังระบาดไปทั่วโลก กลายเป็นสินค้าที่ลูกค้าทั่วโลกหลงใหล พร้อมที่จะทุ่มเงินเต็มที่เพื่อได้เป็นเจ้าของเจ้า iPod ซักเครื่องให้ได้

ซึ่งแน่นอน ว่า Brand ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง Microsoft ต้องมีแบรนด์ที่ทรงพลัง ที่จะแข่งกับ iPod ส่วนในแผนระยะยาว Microsoft ต้องมีโทรศัพท์ที่เล่นเพลงได้ และ Microsoft นั้นมีเงินทุน และทรัพยากรบุคคลามากพอที่จะสานต่อทั้งสองภารกิจนี้ให้สำเร็จได้

ในเดือน มีนาคม 2006 Microsoft จึงได้เริ่มโครงการอาร์โก (Project Argo) ขึ้น ซึ่งมีการประเมินว่า Microsoft ต้องลงทุนประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างเครื่องเล่นเพลงของตัวเอง และสามารถเอาชนะ iPod ของ Apple ได้ด้วยคุณภาพของ Software ที่ Microsoft สร้างขึ้นมา เพราะเรื่อง Software นั้น Microsoft ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้วในตลาดเทคโนโลยี

มีการถกเถียงกันภายในอย่างมากมายในแผนกอุปกรณ์และความบันเทิง มีเหล่าผู้บริหารหลายคนออกมาเตือนว่า เครื่องเล่นเพลงที่ Microsoft คิดจะสร้างขึ้นมานั้น จะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ และ มีราคาแพงอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับ Xbox ที่ Microsoft ลงทุนไปแล้วกว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ยังไม่สามารถทำกำไรได้เลยด้วยซ้ำ

แต่พวกผู้บริหารระดับสูงที่นำโดย สตีฟ บอลเมอร์ นั้นได้ชั่งน้ำหนักทุกอย่างแล้ว และพร้อมที่จะเสี่ยง จึงสั่งให้เดินหน้าเต็มอัตราศึก และคนในบริษัทก็พร้อมที่จะลุยกับโปรเจคนี้อย่างเต็มที่ และ เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Microsoft กำลังสู้กับ Google อย่างเต็มที่ในศึกตลาดการค้นหา

เรียกได้ว่า Microsoft ได้ลุยศึก สองทางในช่วงระยะเวลาเดียวกันด้วยซ้ำ จะพลาดไม่ได้ซักทางเพราะเป็นอนาคตที่สำคัญของบริษัท ซึ่ง เป็นสิ่งที่ Microsoft มั่นใจมาโดยตลอดจากประวัติที่ผ่านมาของพวกเขา

พวกเขาสามารถเอาชนะโปรแกรม Lotus , WordPerfect , NetScape ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็น case ของ NetScape

การเกิดขึ้นของ NetScape นั้นเหมือนเป็นการปลุกยักษ์ให้ตื่น Microsoft ในสมัยนั้นเป็นบริษัทที่มูลค่าแทบจะสูงที่สุดในโลกของ Technology Company ซึ่ง Bill Gate ก็ไม่รอช้า ในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ Microsoft ต้องออก OS ใหม่พอดีซึ่งก็คือ Microsoft Windows 95  

โดยทาง Microsoft นั้นใช้แผนที่เหนือเมฆ คือนำ Internet Exproler ออกสู่ตลาดโดยแถมมากับระบบปฏิบัติการ Windows 95 เลยแทบจะทันที โดย microsoft นั้นก็ได้พัฒนาตัว IE โดยใช้พื้นฐานมาจาก Mosaic ที่ Marc เป็นคนพัฒนาขึ้นในตอนอยู่  University of illinois of Urbana Chanpaign นั่นเอง

ซึ่ง Microsoft นั้นเป็นบริษัทที่ทุนหนาอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแต่อย่างใด ในการแถม Browser ไปกับระบบปฏิบัติการ และเป็นยิ่งส่งเสริมให้คนหันมาใช้ ระบบปฏิบัติการ Windows 95 มากยิ่งขึ้นเสียไปอีก ซึ่งเป็นความโหดมากของ microsoft ในการแทบจะ ฆ่า Netscape ออกไปจากตลาด และ เพิ่มยอดขายของ Windows 95 เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว

Case Study ของ NetScape ที่ Microsoft ใช้ทุกวิถีทางกำจัดออกตลาดไปได้สำเร็จ
Case Study ของ NetScape ที่ Microsoft ใช้ทุกวิถีทางกำจัดออกตลาดไปได้สำเร็จ

สุดท้ายก็มีการฟ้องร้องกันหาว่า Microsoft ผูกขาดการตลาดของระบบปฏิบัติการ ทางฝั่ง microsoft นั้นก็ไม่แยแสในเรื่องที่เกิดขึ้นเดินหน้าแถม Browser ต่อไปจนครองส่วนแบ่งแทบจะทั้งหมดของ Browser ในขณะนั้นได้ในที่สุดเป็นการปิดฉากเหลือแค่ชื่อของ NetScape ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ก็ต้องมาติดตามกันต่อว่า เมื่อ Microsoft เอาจริงและพร้อมทุ่มเททรัพยากรเต็มอัตราศึก เหมือนทุก ๆ ศึกที่ Microsoft เอาชนะมาได้ และยังได้รับการสนับสนุนเต็มที่จาก สตีฟ บอลเมอร์ ที่มีธุรกิจด้านบันเทิงรูปแบบดิจิตอลเป็นเดิมพัน จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับการเผด็จศึก Apple ในครั้งนี้ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Zune