หยุดนะเจ้าแมวน้อย! AI กับการป้องกันแมวนำเหยื่อเข้าบ้าน

เทคโนโลยี Machine Learning สามารถสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ  ได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันยังช่วยแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตที่ไม่มีเครื่องมือจัดการแบบจริงจังที่มีขายตามร้านค้าทั่วไป แต่สำหรับวิศวกรของอเมซอน BenHamm ปัญหาของเขานั้นก็คือการหยุด “เจ้าแมวจอมสังหาร” ที่ชอบพาเหยื่อที่ตายแล้วกลับบ้านกลางดึกนั่นเอง

Hamm นำเสนอความวิธีการแก้ปัญหาในหัวข้อนี้ที่ Ignite Seattle   ซึ่งในระยะสั้นเพื่อที่จะหยุดไม่ให้เจ้าแมวทำตามสัญชาตญาณของมัน  Hamm ก็จัดการล็อคมันไว้ที่ประตู โดยมีการตรวจสอบด้วยกล้องที่เปิดใช้งาน AI ( DeepLens ของ Amazon ) และระบบล็อคที่ขับเคลื่อนด้วย Arduino

ภาพการ Training ที่รวบรวมและติดป้ายกำกับโดย Hamm
ภาพการ Training ที่รวบรวมและติดป้ายกำกับโดย Hamm

กล้องที่ใช้ตรวจสอบนั้นเต็มไปด้วยอัลกอริธึม Machine Vision ซึ่งทำการ Training โดย Hamm โดยตัวชี้วัดนั้นคือ เจ้าแมวกำลังกลับมาหรือกำลังออกไปเพื่อล่าเหยื่อของมัน และไม่ว่ามันจะมีเหยื่อเข้าไปในปากของมันหรือไม่ 

ซึ่งหากคำตอบคือ“ ใช่” ช่องประตูทางเข้าของแมวจะล็อคเป็นเวลา 15 นาที และ Hamm จะได้รับข้อความเตือนว่าเจ้าแมวน้อยของเขาได้เหยื่อมาอีกแล้ว 

แม้มันเป็นการนำเสนอแบบสั้น ๆ แต่มันแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการนำเอา Machine Learning มาใช้ในชีวิตประจำวัน ได้่อย่างสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับที่ Hamm แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดเพียงเล็กน้อยของเขา – และมันสามารถเอาชนะแมวได้นั่นเอง

References : 
https://www.theverge.com/tldr/2019/6/30/19102430/amazon-engineer-ai-powered-catflap-prey-ben-hamm

Airbus เตรียมส่ง Autonomous Flying Taxi บินทดสอบ

ในรัฐโอเรกอนประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มทำการทดสอบโครงการ Vahana ที่เป็น Autonomous Flying Taxi ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการบินอย่าง Airbus  

จะไม่มีมนุษย์คนใดอยู่ควบคุมของต้นแบบแท็กซี่ไร้คนขับที่นั่งเดียวใน Project นี้ เพราะมันบินขึ้นในแนวตั้งเช่นเดียวกับการบินขึ้นของเฮลิคอปเตอร์

โดยเครื่องบินดังกล่าวจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ซึ่งสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมงและสามารถบินได้สูงถึง 35 ไมล์

“เราคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนจะคุ้นเคยกับมัน” Herve Hilaire ผู้จัดการโครงการ Vahana กล่าวเมื่อถูกถามว่าลูกค้านั้นต้องการบินในลักษณะที่ไม่มีนักบินได้หรือไม่

แต่การโน้มน้าวใจเหล่าลูกค้าในอนาคตนั้นอาจเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดของ Airbus

“เราคิดว่ามันเป็นบททดสอบแรกในการสร้างธุรกิจนี้” Hilaire กล่าว “ที่เราต้องการแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบและการเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงให้กับลูกค้า และนี่คือการประหยัดเวลาแถมยังมีความสะดวกและปลอดภัยที่สุด”

ผู้ผลิตเครื่องบิน ‘A Cubed’ ของ Silicon Valley ที่ทำการสร้าง Vahana ได้นำ Vahana จากภาพร่างไปยังการทดสอบการบินในเวลาเพียงแค่สองปี ซึ่ง Vahana นั้นใช้วัสดุที่มีจำหน่ายทั่วไปแทบจะทั้งสิ้น

“ เราทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสามารถดำเนินการทดสอบเที่ยวบินที่ปลอดภัยจากการบินขึ้นโดยใช้ความเร็วกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมงและกลับสู่พื้นอย่างปลอดภัย” Madd Deal หัวหน้าฝ่ายทดสอบเที่ยวบินของ Vahana กล่าว

ตอนนี้เที่ยวบินทดสอบจะใช้เวลาเพียงไม่นานมาก เพียงครั้งละไม่กี่นาทีเท่านั้น หนึ่งในความท้าทายคือการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นและเบาขึ้นซึ่งทำให้พวกเขาบินได้ไกลขึ้นและนานขึ้นนั่นเอง

Vahana บินทดสอบระยะใกล้ๆ  ก่อนเตรียมใช้งานจริงในปี 2020
Vahana บินทดสอบระยะใกล้ๆ ก่อนเตรียมใช้งานจริงในปี 2020

ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Boeing ต้นแบบของพวกเขา ก็ได้ทำการบินเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน

ในการประชุม Uber Elevate มีการจัดแสดงรถที่มีแนวคิดเรื่องการบินได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงการแสดง Bell ผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์ยักษ์ใหญ่

โดยมันจะสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้สี่คน และมีเป้าหมายที่จะเข้าสู่การบริการลูกค้าจริงในช่วงกลางปี ​2020 โดยบินที่ 150 ไมล์ต่อชั่วโมง ระยะทางสูงสุดที่ 150 ไมล์

โดยในช่วงแรกนั้นจะมีพนักงานปฏิบัติการอยู่บนเครื่องก่อนที่ปล่อยให้มันทำงานด้วยตนเองอย่างเต็มที่ในภายหลัง

รักษาการผู้ดูแลระบบ FAA อย่าง Dan Elwell กล่าวว่าเร็วเกินไปที่จะพูดคุยเกี่ยวกับกำหนดเวลาของเหล่าเครื่องบินไร้คนขับพวกนี้ : “เราทุกคนได้ทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อรับประกันความปลอดภัยของยานพาหนะเหล่านี้ เราต้องควบคุมมาตรฐานให้สูงกว่ายานพาหนะแบบขับเคลื่อนบนพื้นดินอย่างแน่นอน”

กฎระเบียบและระบบการจัดการน่านฟ้าที่แออัดมากขึ้นยังคงต้องได้รับการพัฒนาในอนาคต หากเหล่าเครื่องบินไร้คนขับเหล่านี้กลายเป็นที่นิยมจริง ๆ 

สำหรับแอร์บัส Vahana เป็นเหมือนต้นแบบแรก มันขึ้นอยู่กับรุ่นในอนาคตมากกว่า เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถบินและบรรทุกผู้โดยสารได้อย่างปลอดภัย

จะใช้เวลาหลายปีก่อนที่ผู้คนจะบินในแท็กซี่ไร้คนขับเหล่านี้ แต่ก็มีบริษัทในลอนดอนกำลังซื้อพื้นที่บนดาดฟ้าสำหรับทำลานจอด เพื่อให้พวกเขาพร้อม เมื่อเทคโนโลยีถูกนำไปใช้จริงในอนาคต

References : 
https://kval.com/news/local/airbus-tests-autonomous-air-taxi-in-sky-over-oregon

Apple and the end of the genius

ในฐานะที่เป็นข่าวเกี่ยวกับ Jony Ive ที่กำลังจะจากลาจากแอปเปิ้ล เราจะเห็นผู้คนจำนวนมากเริ่มแสดงความกังวลในยุคต่อไปที่จะไม่มี Ive  และสิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะ Ive เป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างน่าทึ่ง เขาเป็นผู้ผลักดันการออกแบบ ไม่เพียงแต่สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Apple เพียงเท่านั้นแต่สำหรับทั้งอุตสาหกรรมโดยรวม บุคคลเดียวที่สามารถอ้างถึงชื่อเสียงและอิทธิพลในระดับเดียวกันได้นี้คือสตีฟ จ็อบส์เพียงเท่านั้น

แม้มันจะน่ารำคาญที่จะใช้คำว่า “ยุค” แต่นั่นคือคำที่ฟังดูไม่เพียงแค่จำเป็นสำหรับการพูดคุยเกี่ยวกับการออกแบบคอมพิวเตอร์ แต่มันก็เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้ ดังนั้นด้วยการออกจาก Apple ของ Ive นั้นคงจะไม่เป็นคำพูดเกินเลยที่ว่า : ยุคของ 2 อัจฉริยะแห่ง Apple ได้สิ้นสุดลงแล้ว

แม้ว่า Apple อาจมีเรื่องราวที่ดีเกี่ยวกับการก่อตั้งขึ้นในโรงรถ แต่ตำนานการก่อตั้งที่แท้จริงของ Apple ก็คือตำนานแห่งอัจฉริยะทั้งสองไม่วาจะเป็น Jony Ive และ Steve Jobs   เมื่อตอนที่สตีฟ จ็อบส์ดูแลแอปเปิลเขาได้ทำสิ่งมหัศจรรย์มานับต่อนับทั้ง คอมพิวเตอร์ Apple, Mac , iPod, iPhone หรือแม้กระทั่ง iPad เองก็ตาม

หลังจากยุคสตีฟ จ็อบส์ ผู้ที่ขับเคลื่อน Apple จริง ๆ แทนที่นั้นก็ได้ถูกส่งไปที่ Jony Ive แม้เขาจะเงียบ ๆ แต่มันบ่งบอกได้ถึงสิ่งสำคัญสำหรับแนวคิดเกี่ยวกับ Apple ที่ผู้มีอำนาจเต็มอย่าง Ive ได้ทำการตัดสินใจคนเดียวในหลายเรื่อง ๆ  โดยไม่ยอมแพ้ในเรื่องที่เกี่ยวกับคุณภาพ รวมถึงรสนิยมของ Apple ที่ยังมีกลิ่นอายของความเป็น จ๊อบส์ อยู่ 

และแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่สองอย่าง อย่างแรกคือมีคนสองคนเข้ามาแทนที่ Ive ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น และเรื่องที่สอง: Ive นั้นได้ถูกปรับให้รายงานไปยัง COO ไม่ใช่โดยตรงต่อ Tim Cook อีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ Steve Jobs ตั้ง Jony Ive ขึ้นมาเป็นคู่หูคนสำคัญของ Apple ยุคใหม่ โดย Jobs อธิบายบทบาทของ Ive ไว้ว่า :

“เขาไม่ใช่แค่นักออกแบบ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาทำงานโดยตรงสำหรับผม เขามีพลังในการปฏิบัติงานมากกว่าใคร ๆ ใน Apple ยกเว้นผม ไม่มีใครบอกเขาได้ว่าจะต้องทำอะไร นั่นคือวิธีที่ผมมอบหมายให้ Ive ทำ”

ดูเหมือนว่า Apple ได้สูญเสียความเป็นผู้นำด้านการออกแบบ มีหลาย ๆ อย่างที่หลุดไปอย่างง่าย ๆ มันไม่ใช่ DNA แบบเดิมของการออกแบบเมื่อตอนที่ Jobs กับ Ive ทำงานด้วยกัน ตัวอย่างเช่น Apple Pencil  , iPhone และ iPad Smart Keyboard  และยังรวมถึงรีโมท Apple TV ที่ไม่ได้รัประหยัดพลังงานอย่างน่าประหลาด ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ในยุค Jobs คงไม่มีทางปล่อยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาขายอย่างแน่นอน

หลากหลายผลิตภัณฑ์ที่หากอยู่ในยุค Steve Jobs คงไม่มีทางได้ออกมาขายอย่างแน่นอน
หลากหลายผลิตภัณฑ์ที่หากอยู่ในยุค Steve Jobs คงไม่มีทางได้ออกมาขายอย่างแน่นอน

ซึ่งสิ่งที่ผิดพลาดเหล่านี้ Apple ยังไม่รู้สาเหตุของมัน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเกิดจากการขาดการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เป็นหลักเหมือนในอดีต – ไม่มีเหล่าอัจฉริยะ ที่จะส่งสิ่งเหล่านี้กลับไปที่กระดานวาดภาพเมื่อพวกเขามองว่ามันยังไม่ดีพอ ตอนนี้ Apple มุ่งเน้นที่รูปแบบการใช้งานมากกว่าการทำสิ่งที่บางและสวยงามเหมือนในยุคก่อน ๆ  

กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่ได้ถูกกำหนดโดยบุคคลเดียวอีกต่อไป  รวมถึงตัว Ive เอก็ไม่ได้มีส่วนร่วมเหมือนที่เขาเคยเป็นในยุคของ Jobs

แม้ว่า Ive จะจากไป แต่เขาก็ยังคงร่วมงานกับ Apple อยู่ ที่สำคัญกว่านั้นทีมที่เขาเป็นผู้นำไม่ได้ย้ายไปไหน และจะไม่เปลี่ยนปรัชญาการออกแบบทั้งหมดในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด Apple มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าหลายปี ดังนั้นการออกแบบของ Ive จะอยู่กับเราไปอีกนาน

อย่างไรก็ตามการจากไปของเขาจะมีผลกระทบอย่างแท้จริง อย่างแรกไม่ใช่ปัญหาของ Apple แต่เป็นของเหล่าลูกค้าที่จงรักภักดีกับ Apple : เราควรหยุดคิดว่า Apple เป็นบริษัทที่แสดงออกถึงความเป็นอัจฉริยะของคน ๆ หนึ่ง เหมือนในอดีตอีกต่อไป

เมื่อพิจารณาการออกแบบบางอย่างของ Apple ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คำเดียวที่นึกได้คือ “การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค” การสร้างผลิตภัณฑ์ในยุคของ Jobs นั้นทำสิ่งที่เป็นไม่ได้ ให้เป็นไปได้มากมาย แม้อุปสรรคจะมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคนิค หรือ ด้านดีไซต์ก็ตาม ทั้งคู่ Ive และ Jobs จะไม่ยอมปล่อยผ่าน พวกเขาสามารถผลักดันทีมงานให้รีดเอาศักยภาพที่มากที่สุดของทีมงานมาสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้นั่นเอง 

ดูเหมือนตอนนี้ จะถึงยุคสิ้นสุดของสองอัจฉริยะแห่ง Apple ผู้ฝากผลงานที่น่าทรงจำไว้มากมาย และเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ ของพวกเขาทั้งสอง เราก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับ Apple ในยุคต่อไปที่ไร้สองอัจฉริยะอย่าง Jobs และ Ive?

References : 
https://www.theverge.com/2019/6/28/18870887/apple-jony-ive-design-genius-committee

AI กำลัง Disrupt ธุรกิจร้านขายยา

Pharmacy2U เป็นหนึ่งคลื่นลูกใหม่ในบริษัทยายุคใหม่ โดย Pharmacy2U มีหนึ่งในหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งของ NHS Electronic Prescription Service (EPS) ซึ่งสร้างบริการส่งใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์จากการผ่าตัด GP ไปยังร้านขายยารูปแบบเดิม 

โดย EPS มีเป้าหมายที่จะกำจัดใบสั่งยาแบบกระดาษโบราณ ซึ่งจะทำให้เหล่าร้านค้ายาประหยัดได้รวมกว่าหลายร้อยล้านปอนด์สำหรับ ทั้ง NHS, GPs, ร้านขายยาและเหล่าผู้ป่วย

Pharmacy2U มีบทบาทสำคัญในโครงการลงทุนในหุ่นยนต์แบบหยอดเหรียญขนาดยักษ์ที่จำหน่ายยาด้วยความแม่นยำและความเร็วสูงเป็นพิเศษ โดยสามารถที่จะทำคำสั่งซื้อได้ในเวลาเพียง 9 ถึง 15 วินาที เพียงเท่านั้น

ซึ่งภายในปี 2020 ร้านขายยา Pharmacy2U จะขยายเพิ่มปริมาณยาผ่านระบบอัตโนมัติเหล่านี้กว่าหกล้าน Unit ต่อเดือน Mark Livingstone CEO ของ Pharmacy2U อธิบายว่าอนาคตของการแพทย์จะเป็นรูปแบบของอัตโนมัติมากขึ้นและตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคลได้มากขึ้นและหุ่นยนต์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการเหล่านี้ จะถูกใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน

หุ่นยนต์อัตโนมัติของ Pharmacy2U
หุ่นยนต์อัตโนมัติของ Pharmacy2U

EPS เป็นรูปแบบใหม่สำหรับบริการของ Pharmacy2U ซึ่งเปลี่ยนวิธีการจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์โดยเฉพาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง สำหรับ Livingstone การปฏิวัติครั้งต่อไปกำลังเปลี่ยนการตอบสนองต่อผู้ป่วยที่มีความต้องการยาอย่างฉับพลัน ซึ่งในอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าถึงกว่า 4 พันล้านปอนด์ 

โดยเขาจินตนาการถึงอนาคตเมื่อผู้ป่วยเป็นหวัดหรือผื่นสามารถรับยาได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้านหรือแม้กระทั่งในวันหยุดก็ตาม “ ผมนึกภาพการส่งมอบยาโดยโดรนจัดส่ง และนึกภาพเภสัชกรซึ่งก่อนหน้านี้ทำงานในร้านขายยาแบบเดิม ๆ ซึ่งนี่คือส่วนหนึ่งของโครงการ Deliveroo ของร้านขายยา – Pharmaroo”  

Ben Maruthappu ผู้ก่อตั้ง Cera Startup ด้าน Healthcare ซึ่งมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลผู้ป่วย เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลและเชื่อว่าอนาคตของ Smart Pharmacy จะเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด

ซึ่งข่าวใหญ่ของการซื้อบริการคัดแยกยา PillPack โดย Amazon ในข้อตกลงกว่า 1 พันล้านปอนด์ “ เป็นไปได้ว่าในอนาคตยาส่วนใหญ่จะสั่งซื้อทางออนไลน์และส่งถึงบ้านภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเช่นเดียวกับที่คุณสั่งซื้อหนังสือ แต่แน่นอนว่ามีการรับรองจากเหล่ามืออาชีพด้านการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน” Maruthappu กล่าวว่า

Maruthappu ได้กล่าวว่า Cera เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มที่ส่งยาถึงลูกค้าเพียงเท่านั้น โดยจะทำหน้าที่ในการจ่ายยาเองด้วย “ ด้วยนาโนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่สามารถบรรจุในเม็ดยาได้นั้น ทำให้ขอบเขตของสิ่งที่อุตสาหกรรมด้าน ‘ยา’ สามารถทำได้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า “เขากล่าว 

Livingstone เห็นด้วยโดยคาดการณ์ว่าอนาคตของการแพทย์ของเราจะเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ “ เราจะมี RFID และวิธีอื่น ๆ ในการส่งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญของคุณ และรับคำแนะนำในการปรับใบสั่งยาของคุณตามความต้องการของคุณ” เขากล่าว “ ในอนาคตเราจะมุ่งเน้นไปที่ความคิดที่ว่า จะมีการปรับเปลี่ยนใบสั่งยาของคุณ  และเราจะส่งไปให้คุณอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนร้านยาแบบดั้งเดิมได้นั่นเอง”

References : 
https://www.wired.co.uk/article/the-smart-pharmacy-that-comes-to-you

Image References https://images.theconversation.com/files/191772/original/file-20171025-5822-1wixns4.pn