Search War ตอนที่ 12 : Microsoft has Fallen

ล่วงเลยมาถึงปี 2011 สถานการณ์ของ Bing ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แผนกออนไลน์ของ Microsoft ที่รับผิดชอบ Bing นั้นขาดทุนย่อยยับกว่า 728 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง google รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า

มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้ Microsoft ถึงคราวพ่ายแพ้อย่างหมดรูปใน Search Engine มันเป็นตลาดเดียวกันแท้ ๆแต่ตัวเลขมันต่างกันลิบลับ และไม่มีทีท่าว่า Microsoft จะกู้สถานการณ์กลับมาได้เลย

ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมานั้น google สามารถทำกำไรได้กว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่ง Search Engine นั้นเปรียบเสมือนเครื่องจักรผลิตเงินของ google ไปเสียแล้ว มันทำให้ google แข็งแกร่งขึ้น สามารถจ้างวิศวกรระดับหัวกะทิ แย่งชิงมาจาก Microsoft ได้จำนวนมาก ด้วยวัฒนธรรมการทำงานที่ใช้ DNA ของ Engineering เป็นหลัก

มันได้ทำให้คนรุ่นใหม่ ที่จบใหม่ ๆ  นั้นต่างใฝ่ฝันที่จะได้ทำงานกับ google ซึ่งเรียกได้ว่าตอนนี้ google ได้กลายมาเป็นภัยคุกคามใหญ่ของ Microsoft อย่างเต็มตัวแล้ว แถม Microsoft ยังเสียพนักงานสำคัญ ๆ จำนวนมากไปให้กับ google เสียอีกด้วย

และไม่ต้องพูดถึงฝั่งมือถือ แม้ Microsoft จะทำ Big Deal โดยการเข้าไป take over ธุรกิจมือถือของ Nokia มาได้สำเร็จ และมีการบรรลุข้อตกลงที่จะใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone ของ Microsoft ซึ่งแน่นอนว่า Bing จะกลายเป็น Search Engine ค่าเริ่มต้นของเหล่ามือถือ Windows Phone ทั้งหมด

ตลาดมือถือ ก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูปสำหรับ Microsoft
ตลาดมือถือ ก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูปสำหรับ Microsoft

แต่ก็อย่างที่เราได้ทราบในปัจจุบันว่า ตอนนี้ มันแทบจะไม่เหลือที่ยืนให้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone เสียแล้ว ความหวังของ Bing ที่จะมารุกไล่ google ในตลาดมือถือก็เป็นอันจบสิ้น

ตอนนี้มันได้พิสูจน์ว่า ความคิดของ บิลล์ เกตส์ ก็ไม่ได้ถูกไปเสียทุกเรื่อง การที่ Microsoft จะพลิกกลับมาทำลายบริษัทที่เพิ่งเกิดอย่าง google นั้นดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องที่่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ยิ่งเวลาผ่านไป ช่องว่างระยะห่างระหว่าง Bing กับ google นั้นก็ดูเหมือนจะห่างขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

แม้ Microsoft นั้นจะเคยรบชนะในศึกเทคโนโลยีมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกับ NetScape ในธุรกิจ Browser หรือแม้กระทั่งโปรแกรม Word Microsoft ก็ผ่านการรบราฆ่าฟันกับคู่ต่อสู้มานับไม่ถ้วน 

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า google นั้นเป็นคู่แข่งที่ไม่เหมือนใครจริง ๆ สิ่งสำคัญมันเป็นเรื่องของวัฒนธรรม รวมถึงความแตกต่างของรุ่นระหว่างผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองบริษัท google นั้นชนะในสงคราม Search Engine เพราะ Microsoft กำลังเข้าไปรบในดินแดนที่ตัวเองนั้นไม่คุ้นเคยแต่อย่างใด

และที่สำคัญยังมีการตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้งในระหว่างการทำศึกคร้งนี้ รวมถึงการที่ Microsoft ประเมิน google ต่ำไป กว่าจะรู้ตัว ว่าตลาด Search Engine มันมีมูลค่าตลาดที่มหาศาล google ก็ได้พัฒนาไปไกลเสียแล้ว

บิลล์ เกตส์ นั้นต้องใช้เวลามากกว่า 15 ปีในการทำให้ Microsoft ขึ้นสู่จุดสูงสุดขององค์กรธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่การปล่อยให้ google ที่ประกอบไปด้วยเหล่าเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งหัดทำธุรกิจ ได้แจ้งเกิดมาอย่างรวดเร็วนั้น หากมองในระยะยาว เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในที่สุด google นั้นได้กลายเป็นภัยคุกคามธุรกิจหลาย ๆ อย่างของ Microsoft อย่างเต็มตัว มาจวบจนถึงปัจจุบันอย่างที่เราเห็นนั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ สงคราม Search War จาก Blog Series ชุดนี้

สงคราม Search Engine มันได้เป็นตัวอย่างนึงที่แสดงให้เห็นถึง การต่อสู้ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ที่ผ่านศึกสงครามกับบริษัทต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน และแทบจะไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับบริษัทหน้าไหนมาก่อน

เมื่อเราลองจินตนาการกลับไปในยุคนั้น Microsoft เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ พร้อมด้วยทุนทรัพย์มากมาย บิลล์ เกตส์ ก็เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกติดอันดับหนึ่งอยู่หลายปี เรียกได้ว่า Microsoft นั้นพร้อมทุกๆ  อย่างถ้าคิดจะสู้กับบริษัทหน้าไหนก็ตาม

แต่ google บริษัทที่เกิดจากงานวิจัยที่บังเอิญ โดย ลาร์รี่ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน นั้นได้เห็นศักยภาพที่สูงมากของ google แม้จะพยายามเสนอ idea รวมถึงขาย idea ไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ  แต่ก็ไม่มีคนสนใจ พวกเขาจึงต้องมาลุยในธุรกิจนี้ด้วยตัวเอง

ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งแรกที่เราเห็นจากสงครามครั้งนี้คือ การเลือกมืออาชีพอย่าง เอริก ชมิตต์ เข้ามาคอยดูแล google ในช่วงตั้งไข่ ซึ่งแม้จะมีศักยภาพแค่ไหน แต่การขาดผู้นำที่ดีก็อาจจะทำให้ google ไม่สามารถเติบโตระยะยาวได้อย่างมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้

ลองคิดดูว่าหากเป็น ทั้งเพจ และ บริน มาลุยเองตั้งแต่ช่วงแรก คงพ่ายแพ้ให้กับ Microsoft อย่างย่อยยับไปนานแล้ว การที่ ชมิตต์นั้น พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับ Microsoft ให้มากที่สุด และพยายามทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด เพราะเขาเคยปะทะกับยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft มาแล้วในสมัยที่ทำงานที่ Sun Microsystem และ Novell นั่นเอง และรู้ดีว่าไม่ควรจะไปสู้กับ Microsoft โดยตรง

เอริก ชมิตต์ ผู้เคยประมือกับ Microsoft มาก่อนหน้านี้แล้ว
เอริก ชมิตต์ ผู้เคยประมือกับ Microsoft มาก่อนหน้านี้แล้ว

เรื่องของประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เหล่า startup ต้องมี mentor ที่ดีในช่วงตั้งไข่แบบที่ google มี เอริก ชมิตต์ เพราะหากลุยด้วยตัวผู้ก่อตั้งเองที่ประสบการณ์ยังไม่มี หรือมีน้อย และความมั่นใจในตัวเองที่สูงเกินไปนั้น โอกาสที่จะพ่ายแพ้นั้นสูงมากนั่นเอง

และด้วยเงินทุนที่น้อยกว่าอย่างเห็น ๆ  เมื่อเทียบกับ Microsoft google จึงใช้วัฒนธรรมการคิดแบบ engineering เป็นหลัก ทุก ๆ จุด ทุกรายละเอียด แม้กระทั่ง design หน้าจอในระดับ pixel หรือ เฉดสีที่แตกต่าง มันนำมาซึ่งผลที่แตกต่างกันอย่างมากหากมีการ Scale ระบบให้มีขนาดใหญ่อย่างที่ google ทำ เพราะสถิติต่าง ๆ แค่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้น ก็มีโอกาสสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นได้อีกมหาศาลเช่นกัน

รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ แม้จะดูเหมือนไร้สาระ แต่ความจริงแล้ว ยิ่งบริษัทที่ทุนน้อยกว่าอย่าง google ทำให้สามารถที่จะต่อการกับ ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ได้อย่างไม่เกรงกลัว และสุดท้าย พวกเขาก็สามารถเอาชนะไปได้ในที่สุดในศึก Search Engine ครั้งนี้นั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Beginning of Search *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Geek Monday EP11 : CP+Alipay กับอนาคตอุตสาหกรรมการเงินไทย

เป็นการจับคู่ที่น่ากลัวมาก ๆ เหล่าธนาคารไทยคงจะหนาว ๆ ร้อน ๆ ไม่ใช่น้อย จากการจับมือกันของ Alibaba และ CP ยักษ์ใหญ่จากทั้งสองประเทศ

ด้วยนวัตกรรมทางการเงินของ Alipay ที่ใช้งานในสเกลระดับประเทศจีนมาแล้ว คงได้เรียนรู้อะไรมามากพอสมควรแล้ว

ซึ่งเหล่า mobile banking app ของไทยนั้น เพิ่งตั้งไข่ได้ไม่นาน น่าจะเสียเปรียบอย่างมหาศาล ยิ่งมาจับมือกับ CP มีฐานข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมหาศาลเข้าไป ยิ่งทำให้ยิ่งฉลาดขึ้นไปอีก ถือเป็นก้้าวที่น่ากลัวมาก

แต่น่าจะดีต่อผู้บริโภคชาวไทย ส่วนคนที่ต้องเตรียมรับศึกหนักคงเป็นเหล่าสถาบันการเงินของไทยนั่นเอง

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geekmonday-ep11-cp-alipay/

ฟังผ่าน Spotify: 
https://open.spotify.com/episode/2g104pt8ImWKitDym9ATiD

ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/f7_6mawNq6o

Image References : http://www.gettyimage.com

Jaguar เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันที่สองในรุ่น XJ sedan

รถยนต์ไฟฟ้าคันที่สองของ Jaguar Land Rover จะเป็นรถยนต์ซีดาน XJ รุ่นใหม่ บริษัท กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยแผนการสร้างไฟฟ้า XJ ได้ประกาศเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน 1 พันล้านปอนด์ (1.25 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งบริษัท จะทำการปรับปรุงโรงงานผลิตใน Castle Bromwich ในสหราชอาณาจักรก่อนผลักดันยานพาหนะแบบไฟฟ้าให้มากขึ้น

XJ รุ่นไฟฟ้าแบบใหม่จะได้รับการพัฒนาโดยทีมเดียวกับที่สร้าง I-Pace, รถยนต์ Jaguar EV คันแรกซึ่งได้รับการเปิดตัวในปี 2018 (ปัจจุบัน I-Pace สร้างขึ้นโดยผู้ผลิตในออสเตรีย) Jaguar Land Rover กล่าวว่ามันจะสร้าง “ยุคใหม่” ของรถยนต์ไฟฟ้าของโรงงานที่ปรับปรุงใหม่ในสหราชอาณาจักร

และรถยนต์ทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไปจะมีตัวเลือกไฟฟ้าหรือไฮบริดในทุก ๆ คัน แต่ บริษัท ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรุ่นที่เฉพาะเจาะจงซึ่งมีแผนจะเปิดตัวหรือกำหนดเวลาสำหรับ XJ รุ่นไฟฟ้าและยืนยันว่าไม่ทิ้งการผลิตรถยนต์แบบดีเซล

ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษ (ซึ่งเป็นเจ้าของโดยทาทามอเตอร์สของอินเดีย) กำลังวางกรอบการลงทุนเพื่อ “ปกป้องเหล่าแรงงานนับพัน” ในสหราชอาณาจักร จากัวร์แลนด์โรเวอร์ปลดพนักงาน 4,500 คนเมื่อต้นปีนี้

ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานที่อยู่ในสหราชอาณาจักร หลังจากปลดพนังานกว่า 1,500 คนเมื่อปีที่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์อ้างถึงความต้องการรถยนต์ดีเซลที่ลดลง ยอดขายที่ลดลงของตลาดรถยนต์จีน และ Brexit เป็นสาเหตุของการปรับลดพนักงานในครั้งนี้

ปัญหา Brexit ที่ส่งผลกระทำอย่างรุนแรงต่อ Jaguar
ปัญหา Brexit ที่ส่งผลกระทำอย่างรุนแรงต่อ Jaguar

Jaguar Land Rover กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าหวังว่าการลงทุนจะสร้างแรงบันดาลใจในการสร้าง Supplychain ของรถยนต์ไฟฟ้าในสหราชอาณาจักรเนื่องจาก บริษัท มีความมุ่งมั่นที่จะย้ายการผลิตแบตเตอรี่และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้ามาอยู่ที่นี่

บริษัทได้ เรียกร้องให้มีการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดยักษ์ในสหราชอาณาจักร “สหราชอาณาจักรมีวัตถุดิบการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และฐานการผลิตของเหล่าซัพพลายเออร์ที่มีอยู่ และสหราชอาณาจักรยังเป็นผู้นำในด้านการสร้างงาน” ซีอีโอจากัวร์แลนด์โรเวอร์โรเวอร์กล่าวในแถลงการณ์

แต่อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหราชอาณาจักรนั้นได้รับผลกระทบอย่างจริงจังหลังปัญหา Brexit โดย ฮอนด้าและฟอร์ดได้ประกาศว่าพวกเขากำลัง ยกเลิกการผลิตในสหราชอาณาจักร

การประกาศเมื่อวันศุกร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของ Jaguar Land Rover ซึ่งไม่น่าประหลาดใจเมื่อพิจารณาถึงปีที่วุ่นวายของ บริษัท ในปี 2018 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของ Brexit และยอดขายรถยนต์ที่ลดลงครั้งแรกในประเทศจีนในทศวรรษที่ผ่านมา Land Rover มีการขาดทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในปี 2018 รวมถึงรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมราว 3 พันล้านเหรียญสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับความพยายามปรับโครงสร้างของ บริษัทในปีที่ผ่านมา

References : 
https://www.theverge.com/2019/7/5/20683016/jaguar-ev-electric-xj-sedan

Starlink กับเป้าหมาย internet ครอบคลุมทั่วโลกของ SpaceX

ในตอนนี้กำลังมีกลุ่มดาวเทียมดวงใหม่อยู่บนท้องฟ้า SpaceX ได้เปิดตัวกองทัพยานอวกาศ Starlink ที่วางแผนสู่วงโคจรโลกที่ต่ำกว่าดาวเทียมทั่วไป ดาวเทียม 60 ดวงที่มีน้ำหนักรวม 13.6 ตันถูกปล่อยไปที่ 400km เหนือพื้นผิวโลก ด้วยจรวด Falcon 9 พวกเขาเข้าร่วมกับดาวเทียม Starlink สองตัวที่ถูกเปิดตัวในปี 2018

เป้าหมายของโครงการนี้มักจะกล่าวถึงการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ผู้ใช้อีกสี่พันล้านคนซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับ SpaceX แต่ไม่เพียงเท่านั้นยังให้บริการกับกลุ่มธุรกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนมากจะขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานจริงของระบบ เมื่อแสงเดินทางผ่านสุญญากาศของอวกาศได้รวดเร็วกว่าผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงจึงเป็นไปได้ที่ดาวเทียมจะสามารถเชื่อมโยง internet ระหว่างเมืองได้รวดเร็วขึ้น

การแข่งขันทางอินเทอร์เน็ตทั่วโลกที่เริ่มร้อนแรง

SpaceX นั้นไม่ใช่บริษัทเพียงแห่งเดียวที่ต้องการผลตอบแทนมากมายที่อาจเกิดขึ้นจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตให้กับผู้ใช้อีกหลายพันล้านคน เนื่องจากมันมีการแข่งขันที่สูงมาก ก็ไม่น่าแปลกใจที่อีลอน มัสก์ กำลังเร่งรีบโครงการดังกล่าวให้เร็วที่สุด 

Kuiper โครงการของ Amazon ยังเป็นโครงการที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น พวกเขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะซื้อดาวเทียมของบริษัทอื่น ๆ หรือสร้างมันด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่ก็มีเป้าหมายที่จะเปิดตัวดาวเทียมที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตกว่า 3,300 ดวงในทศวรรษหน้าเช่นกัน

ส่วน ดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Athena ของ Facebook ซึ่งได้รับใบอนุญาตอย่างเงียบ ๆ จาก FCC ผ่าน บริษัท ในเครือลับ ๆ ที่เรียกว่า PointView Tech LLC อ้างว่าจะใช้สัญญาณวิทยุความถี่สูงเพื่อให้ได้ความเร็วสูงถึง 10 กิกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าที่ Starlink ตั้งไว้กว่า 10 เท่า อย่างไรก็ตามสัญญาณคลื่นวิทยุ เหล่านี้อาจประสบปัญหาของตนเอง

ซึ่งคลื่นความถี่สูงนี้สามารถถูกดูดซึมโดยเม็ดฝนหรือละอองต่าง ๆ ที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศโลก โดยภารกิจเริ่มต้นของ Athena คือ การกำหนดว่าปัญหาเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ และจะแก้ไขได้อย่างไรใน ซึ่งในที่สุดการให้บริการครอบคลุมทั่วโลกจะต้องใช้ดาวเทียมหลายพันดวงขึ้นสู่วงโคจรโลก ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนยังห่างไกลจากความพยายามครั้งแรกของ Facebook ในการนำเสนอเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่สามารถครอบคลุมได้ทั่วโลก 

โปรเจค athena ของ facebook
โปรเจค athena ของ facebook

ในขณะที่ของ Google โครงการ Loon ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านบอลลูน น่าจะเป็นโครงการที่ก้าวหน้ามากที่สุดของโครงการอินเทอร์เน็ตรุ่นต่อไป ตั้งแต่ต้นกำเนิดของมันใน Google ณ โรงงาน Moonshotในปี 2011

โครงการ Loon ได้พัฒนาต้นแบบแล้วเสร็จ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบ และตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์โดยการเป็นพันธมิตรกับ บริษัท โทรคมนาคมในประเทศเคนยาเพื่อให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตควบคู่ไปกับการขายซอฟต์แวร์ของ google เอง ที่จะช่วยให้มันในการควบคุมเครือข่ายที่เคลื่อนไหวของเหล่าบอลลูน โดยรวมถึงความร่วมมือที่ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้กับ Softbank ในการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆการพัฒนาเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ของตัวเองเพื่อให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ประโยชน์และข้อผิดพลาด

ประโยชน์ของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่สามารถปฏิเสธได้ อินเทอร์เน็ตพิสูจน์ให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ไร้ขอบเขตและความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นได้ทันที ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและการปรับโครงสร้างทางสังคม

ความจริงที่ว่าประชาการหลายพันล้านคนไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ทั้งหมดเป็นหนึ่งในความไม่เท่าเทียมกันของสังคมโลกของเรา เครือข่ายการสื่อสารนี้สามารถปรับเปลี่ยวิถีชีวิตได้ และสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้

ในโลกใหม่ของลัทธิทุนนิยม ข้อมูลเปรียบเสมือน ทองคำในรูปแบบดิจิตอล ซึ่งข้อมูลพฤติกรรมเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อโฆษณาที่จะขาย โครงการ Internet.org ของ Facebook เป็นความพยายามครั้งแรกในการเก็บเกี่ยวข้อมูลเหล่านี้ โดยใช้อินเทอร์เน็ต ที่รวบรวมข้อมูลของผู้ใช้

Starlink กับ อนาคตของดาราศาสตร์

ในขณะเดียวกันเมื่อผู้สังเกตการณ์ที่ตื่นเต้นที่ได้เห็นดาวเทียม Starlink แต่ก็มีการตั้งคำถาม จากการคำนวณของนักดาราศาสตร์ ที่สามารถมองเห็นดาวเทียมได้มากถึง 500 ดวงจากพื้นดินในแต่ละครั้ง ซึ่งอาจมีจำนวนมากกว่าดาวที่มองเห็นในท้องฟ้าที่มีอยู่จริง ซึ่งหาก Starlink และคู่แข่งทุกคนประสบความสำเร็จในการเปิดตัวกลุ่มดาวดวงใหม่ของพวกเขาก็อาจจะเป็นการบดบังกลุ่มดาวเก่า ๆ ที่เราคุ้นเคย  ที่เราเคยศึกษามาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน

นอกจากความหายนะที่เกิดขึ้นกับดาราศาสตร์บนพื้นดิน ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องจากค่าใช้จ่ายและความยากลำบากในการบำรุงรักษากล้องโทรทรรศน์อีกด้วย  ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจถึงผลกระทบทางจิตวิทยาที่จะเกิดขึ้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นแหล่งของความหลงใหลต่อมนุษยชาติตั้งแต่เราเกิดวิวัฒนาการมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ 

ภูมิทัศน์ทางด้านอวกาศอาจเปลี่ยนไปจากโครงการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมเหล่านี้
ภูมิทัศน์ทางด้านอวกาศอาจเปลี่ยนไปจากโครงการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียมเหล่านี้

ฉากหลังของท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นมีความหมายมากกว่าทุกสิ่ง ซึ่งการเกิดขึ้นของเหล่าดาวเทียมขยะใหม่ ๆ นี้ อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกับท้องฟ้าได้ตลอด โดยไม่ได้รับความยินยอมจากใครทั้งสิ้นนั่นเอง

แม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารราคาประหยัดที่อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้คนกว่าพันล้านคน แต่ก็อาจเป็นแหล่งข้อมูลที่ผิดและข่าวลือต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน

บริษัท เทคโนโลยีต่าง ๆ รับผลกำไรจากการเก็บเกี่ยวข้อมูลผู้ใช้และการขายโฆษณา ซึ่งตอนนี้กำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้บริการให้กับผู้ใช้อีกนับพันล้านคน  แล้วอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้อีกนับพันล้านคนต่อไปจะมีหน้าตาคล้ายกับอินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักอยู่ตอนนี้หรือไม่? และใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการขยายตัวของการใช้งานอินเตอร์เน็ตครั้ง? อนาคตจะเป็นสิ่งที่บอกคุณเองครับ

References : 
https://singularityhub.com/2019/06/12/spacexs-starlink-launch-and-the-race-for-global-internet-coverage/