Smart Contact Lens จากหนังดังสู่สงครามในโลกแห่งความจริง

โครงการวิจัยขั้นสูง (DARPA) ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ รายงานว่า มีความสนใจในคอนแทคเลนส์ที่เชื่อมต่อแบบไร้สายที่เพิ่งเปิดตัวในฝรั่งเศส เป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องในการค้นหาเทคโนโลยีขนาดเล็กเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกองทัพสหรัฐ

นักวิจัยที่สถาบันวิศวกรรมชั้นนำของฝรั่งเศส IMT Atlantique ได้ประกาศว่า  “ คอนแทคเลนส์ตัวแรกที่ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่น” เลนส์ที่มีน้ำหนักเบา ไม่เพียงให้ความช่วยเหลือในการมองเห็นแก่ผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดข้อมูลภาพแบบไร้สาย แบบเดียวกับในเลนส์ของ  Jeremy Renner ที่ใช้ในหนังชื่อดังอย่าง Mission: Impossible – Ghost Protocol ที่ใช้เพื่อสแกนชุดของรหัสนิวเคลียร์:

ที่สำคัญกว่านั้นเลนส์ใหม่ตัวนี้สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แหล่งจ่ายไฟจากภายนอกแบบปรกติ“ ซึ่งตัวเลนส์จะใช้แหล่งกำเนิดแสงอย่างต่อเนื่อง เช่นในไดโอดเปล่งแสงอย่าง (LED) ที่สามารถอยู่ได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง” ตามประกาศของ IMT Atlantique

“ การจัดเก็บพลังงานในอุปกรณ์ขนาดเล็กนี้เป็นความท้าทายอย่างแท้จริง” ธีเรียร์ จินิเซียนหัวหน้าแผนกอิเล็คทรอนิคส์ที่ศูนย์ Microélectronique de Provence Georges Charpak และหัวหน้าโครงการกล่าว

เลนส์ได้รับการออกแบบมาสำหรับการใช้งานทางการแพทย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ตามที่นิตยธุรกิจของฝรั่งเศส L’Usine Nouvelle (‘The New Factory’) อ้างว่า เลนส์ตัวนี้ได้รับความสนใจจากทั้ง DARPA และ Microsoft ซึ่งล่าสุดได้รับการว่าจ้างจากกองทัพสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือทหารโดยใช้อุปกรณ์ของ Microsoft อย่าง HoloLens

DARPA อยู่ในช่วงตามล่าหาเทคโนโลยีเลนส์แบบไฮเทคมานานกว่าทศวรรษและหน่วยงานได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการที่คล้ายกันหลายโครงการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ในเดือนมกราคม 2012 DARPA ประกาศว่า บริษัท ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Innovega กำลังพัฒนาคอนแทคเลนส์ “ iOptiks” ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มการมองเห็น โดยสามารถฉายภาพดิจิทัลลงบนแว่นเปรียบเสมือนจอภาพขนาดจิ๋ว “ซึ่งอนุญาตให้ผู้สวมใส่ ดูภาพที่เสมือนจริงได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือขนาดใหญ่” 

ซึ่งสามปีต่อมานักวิจัยของ École Polytechnique Fédérale de Lausanne (EPFL) ได้เปิดตัวคอนแทคเลนส์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก DARPA ซึ่งสามารถ “ขยายวัตถุในพริบตาได้”   The Guardian รายงานว่า นักวิจัยสรุปว่าเทคโนโลยีนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากขึ้น รวมถึงผู้ที่มีความเสื่อมสภาพทางสายตา มากกว่าการใช้งานสนามรบ

แต่เมื่อคอนแทคเลนส์อัจฉริยะเหล่านี้ พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอาวุธเพนตากอน และแน่นอนว่าพยายามของ DARPA ก็ต้องการทุกสิ่งที่ล้ำสมัยที่สุด เพื่อสร้างขีดความสามารถในการรบที่สูงสุดให้กับกองทัพสหรัฐนั่นเอง

References : 
https://nationalinterest.org/blog/buzz/darpa-eyeing-high-tech-contact-lens-straight-out-mission-impossible-54617 

Mini Cooper SE กับรถไฟฟ้า EV ขนาดเล็กคันแรกของ BMW

Mini Cooper ในรูปแบบรถไฟฟ้าทั้งหมดนั้น เป็นเพียงรถสาธิตและความฝันสำหรับแฟน ๆ รถยนต์ EV ของสาวก Mini Cooper แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นรถที่เหล่าสาวกสามารถซื้อได้จริงเสียที

ด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนๆ ของ Mini Cooper SE ตัวใหม่ ซึ่งจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ BMW โดยมีระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ในช่วงระหว่าง 235 ถึง 270 กิโลเมตร (146 ถึง 168 ไมล์) และชาร์จไฟได้กำลังสูงสุด 50 กิโลวัตต์

Cooper SE มีอัตราเร่งได้ถึง 0 ถึง 100 (KM/hrs) ในเวลาเพียง 7 วินาทีและมีเครื่องยนต์ซึ่งให้แรงม้าสูงถึง 181 แรงม้า ซึ่งเหล่าสาวก Mini จะได้รับการเร่งความเร็วทันทีตั้งแต่ออกสตาร์ท ซึ่งเป็นข้อดีของเครื่องยนต์แบบไฟฟ้าทั้งหมด และการเพิ่มขึ้นของความเร็วอย่างรวดเร็วจนถึง 37 ไมล์ต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียง 3.9 วินาที เท่านั้น

Mini Cooper SE กับ EV ขนาดเล็กคันแรกของ BMW
Mini Cooper SE กับ EV ขนาดเล็กคันแรกของ BMW

แน่นอนว่าตัวเลขประสิทธิภาพเหล่านี้ไม่ตรงกับคู่แข่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เช่น Tesla Model S (หรือแม้แต่รุ่น 3 ) ซึ่งอาจเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับแบรนด์ BMW แต่การออกแบบ Mini Cooper สามประตูแบบคลาสสิกนั้นเป็นที่จับตามอง และราคาของรถคันนี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 36,400 เหรียญสหรัฐ  ซึ่งเป็นราคาที่น่าดึงดูดสำหรับผู้ซื้อในระดับ Hi-End

ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกในตระกูล BMW Group ที่เสนอทางเลือกให้กับผู้ขับขี่ในเรื่องของความเร็ว  ซึ่งนี่เป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่อยากจะเปลี่ยนจากรถยนต์กินน้ำมันแบบเดิม ๆ รวมถึงผู้ที่ต้องการปรับแต่งประสิทธิภาพของรถ Mini ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

BMW Group กล่าวว่าจะเริ่มจัดส่ง Mini Cooper SE โดยเร็วที่สุด โดยคาดว่าจะมีการส่งมอบในเดือนมีนาคม ปี 2020 และตอนนี้ก็เริ่มมีความสนใจอย่างมากจากลูกค้าที่ลงทะเบียนจองล่วงหน้ากันมาแล้ว

References : 
https://techcrunch.com/2019/07/09/bmw-unveils-the-first-all-electric-mini-with-the-cooper-se/

Airbus : Aircraft of the Future

ในฐานะหัวหน้าวิศวกรของAirbus สายการบินยักษ์ใหญ่ของโลก ชาร์ล แชมป์เปี้ยน แสดงแนวคิดของเขาสำหรับสายการบินที่จะเป็นอนาคตของวงการการบินโลกในปี 2051

วิสัยทัศน์ในอุดมคติของเขาในอนาคตนั้น Airbus จะเป็นสายการบินที่จะยกเลิกระบบเก่า ๆ ที่แสนน่าเบื่อ ซึ่งมีการจะแยกผู้โดยสารตามความต้องการของพวกเขาว่า ต้องการที่จะผ่อนคลายกับการบินหรือเน้นรับความบันเทิงแบบเต็มสูบ

ซึ่งในส่วนด้านหลังของเครื่องบินนั้นเต็มไปด้วย ” เทคโนโลยีอัจฉริยะ ” พร้อมด้วยที่นั่งแบบปรับรูปร่างอัตโนมัติและมุมมองแบบโปร่งใสที่คุณจะไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

ฝั่งของห้องโดยสารที่น่าตื่นตาที่สุดก็คือ “โซนแห่งความผ่อนคลาย” ซึ่งที่ลำตัวของ เครื่องบินจะไม่มีอะไรมาบดบังทัศนียภาพอีกต่อไป ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับมุมมองที่น่าประทับใจขณะที่พวกเขาได้รับความสุขจากการนวดการฝังเข็มและประสบการณ์ที่ผ่อนคลายแบบไม่รู้ลืม

เราหวังว่าเครื่องบินดังกล่าวจะนำมาใช้จริงในอีกประมาณ 40 ปี ซึ่งแม้จะเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนแบบครั้งใหญ่ของสายการบินทั่วโลก ซึ่งการขยายที่นั่งที่กว้างขวาง พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่มากมาย และยึดเอาความสะดวกสบายของผู้โดยสารเป็นศูนย์กลางนั่นเอง

สิ่งที่เราต้องการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมก็คือ วิธีที่ชาญฉลาดในการปลอบเด็กทารกที่ร้องไห้เพื่อไม่ให้ไปรับกวนผู้โดยสารคนอื่น ๆ และวิธีที่จะป้องกันไม่ให้กระเป๋าเดินทางหายไปด้วยนั่นเองซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการบินในอนาคต

แต่สายการบินจะได้กำไรด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างไร เมื่อที่นั่งกว้างขึ้นก็จะสามารถบรรจุผู้โดยสารได้น้อยลง และผู้โดยสารจะรับได้กับค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นเหล่านี้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูในอนาคตกันต่อไป

References : 
https://mashable.com/2011/06/15/airliner-of-2051/