Digital Music War ตอนที่ 5 : Music Revolution

เมื่อถึงเดือน กรกฏาคม ปี 2000 ระหว่างที่จ๊อบส์กำลังเคี่ยวเข็ญลูกทีม ให้พัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับบริหารจัดการเพลง Apple ก็ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ SoundJam และพาผู้ก่อตั้งมาทำงานที่ Apple เสียเลย เป็นการลดเวลาในการพัฒนาซอฟท์แวร์ตัวใหม่

จ๊อบส์ ได้ลงมาคลุกคลี คุมการทำงานด้วยตัวเอง เพื่อเปลี่ยน SoundJam ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ซอฟท์แวร์ตัวนี้ อัดแน่นไปด้วยโปรแกรมทำงานนานาชนิด จึงมีหลายหน้าต่าง ยุ่งเหยิงไปหมด จ๊อบส์สั่งการให้ทีมงานออกแบบใหม่หมด ให้ดูใช้งานง่ายขึ้น สนุกขึ้น แทนที่ จะต้องให้ผู้ใช้ระบุว่าต้องการค้นหาชื่อศิลปิน หรือ ชื่อเพลง หรือ ชื่ออัลบั้ม จ๊อบส์ ให้ปรับให้เหลือช่องค้นหาเพียงกล่องเดียวเท่านั้น ให้ใช้งานง่ายที่สุด ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคู่มือการใช้งาน และตั้งชื่อมันใหม่ว่า iTunes

การเปิดตัว iTunes ครั้งแรกต่อสาธารณะชน นั้นเกิดขึ้นในงาน Macworld เดือนมกราคม ปี 2001 มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ดิจิตัลฮับ ของจ๊อบส์ และ ปล่อยให้ดาวน์โหลด ไปใช้งานได้ฟรี ๆ สำหรับผู้ใช้งาน Mac ทุกคน โดยใช้สโลแกน สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า “Rip. Mix. Burn.”

สว่น  iPod นั้นก็ได้เติบโตสวนทางกับ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างเครื่อง Mac ที่ยอดขายตกลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วง เดือน เมษายน – มิถุนายน ปี 2003 Apple สามารถขาย iPod ได้สูงถึง 340,000 เครื่อง มากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 5 เท่า มันเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยปรากฏใน Apple มาก่อนเลยก็ว่าได้

สำหรับบริษัทที่่ก่อนหน้านี้ รายรับเกือบทั้งหมดมาจากการขายคอมพิวเตอร์ จ๊อบส์ ได้ทำการโยกเงิน 75 ล้านดอลลาร์ ที่เดิมวางไว้สำหรับการโฆษณาสำหรับเครื่อง Mac โยกมาใช้สำหรับ iPod และที่สำคัญได้เริ่มหาคนชื่อเสียงมาใช้ผลิตภัณฑ์ iPod ซึ่งเป็นวิธีเลียนแบบความสำเร็จที่ Sony เคยทำสำเร็จมาแล้วกับ Walkman นั่นเอง

Apple หันมาใช้กลยุทธ์เดียวกับ Sony เคยทำกับ Walkman สำเร็จมาแล้ว
Apple หันมาใช้กลยุทธ์เดียวกับ Sony เคยทำกับ Walkman สำเร็จมาแล้ว

และจ๊อบส์ ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น กับการรักษา ecosystem ของตัวเองมาตลอดที่จ๊อบส์ ทำกับ Apple ตลอดมา แต่ในปี 2003 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของ Apple ครั้งนึง นับตั้งแต่เริ่มต้นบริษัท Apple มาเลยก็ว่าได้

นั่นคือ iTunes version 2.0 ที่จะใช้ได้ทั้ง Mac และ Windows จ๊อบส์ นั้นเห็นตลาดที่ใหญ่โตของผู้ใช้งาน PC และตอนนี้ iPod มันจะไม่ถูกจำกัดแค่เพียงผู้ใช้งาน Mac อีกต่อไป iPod พร้อมจะเข้าไปเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสหลักแล้วด้วย iTunes บน Windows นั่นเอง

มันคือการปฏิวัติวงการดนตรีที่มีมาอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่เดือนตุลาคมปี 2003 Apple ได้ส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องเล่นดนตรีแบบดิจิตอลไป 70% และเมื่อถึงสิ้นปีสามารถขายเพลงในรูปแบบดิจิตอล ได้มากกว่า 25 ล้านเพลง มันคือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมดนตรีของจริง

iTunes จุดเปลี่ยนของวงการเพลงดิจิตอลอย่างแท้จริง
iTunes จุดเปลี่ยนของวงการเพลงดิจิตอลอย่างแท้จริง

แต่ธุรกิจดาวน์โหลดเพลงมันแค่เพียงเริ่มต้น เพราะ 25 ล้านเพลงที่ถูกดาวน์โหลด มันก็มีค่าแค่เพียง 25 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสำหรับ Microsoft นั้นเป็นตัวเลขจิ๊บจ๊อยมาก ๆ 

ในปี 2004 iPod ขายดีมาก ๆ ช่วง 3 เดือนแรกของปี ยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าของปีก่อนหน้า ทำให้รายรับของ Apple เพิ่มขึ้น 17% จาก 2 พันล้านเหรียญ เป็น 2.35 พันล้านเหรียญ ซึ่ง iPod นั้นเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้ง่ายดาย ส่วนร้าน iTunes ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถทำกำไรจากแต่ละเพลงที่ขายได้ 

ในเดือน มิถุนายน ปี 2004 iTunes ได้บุกไปยังยุโรป ทั้ง อังกฤษ เยอรมนี และ ฝรั่งเศษ มีการดาวน์โหลดอย่างมหาศาล และสามารถครองตำแหน่งผู้นำในตลาดเพลงดิจิตอลได้ในเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ ทำให้ภาพรวมของ Appple ดีขึ้นทุก ๆ ทางเลยก็ว่าได้

แต่ Microsoft นั้นมักจะรู้ตัวช้าเหมือนทุก ๆ ครั้ง ซึ่ง iPod นั้นเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ให้ผู้คนอยากได้มัน ด้วยคุณสมบัติที่พกพาได้ รูปลักษณ์ที่เท่ทันสมัย และใช้งานง่าย ล้วนเป็นเสน่ห์เกิดห้ามใจ และ iTunes ก็เปรียบเสมือนตู้เพลงออนไลน์ ซึ่งนับตั้งแต่ Microsoft สามารถเอาชนะ Apple ได้อย่างเบ็ดเสร็จในเดือน สิงหาคม 1995 ตอนเปิดตัว Windows 95 ไปทั่วโลก นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าผู้คนสังเกตเห็นพลังของ iPod สินค้าจาก Apple ที่ดูจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดมากกว่า Microsoft ไปเสียแล้ว

จะเห็นได้ว่า เมื่อถึงตอนนี้ iPod , iTunes เป็นการผสานพลังกัน ที่ทำให้ Apple กลายมาเป็น Brand ที่น่าดึงดูดใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่สาวกคอมพิวเตอร์เพียงเท่านั้นอีกต่อไป มันได้กลายเป็น Brand ที่คนทั่วโลกต่างกำลังคลั่งไคล้ อยากเป็นเจ้าของ อยากได้เจ้า iPod เครื่องเล่น MP3 ที่ปฏิวัติ วงการเพลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดูเหมือน Apple นั้นจะก้าวเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่กว่ามาอย่าง Consumer ได้สำเร็จแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อ แล้ว Microsoft ผู้รู้ตัวช้าทุกครั้ง จะพลิกเกม กลับมาได้อย่างไรในธุรกิจนี้ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : Play for Sure

 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ เปลี่ยนลูกชายออทิสติกให้กลายเป็นหุ่นยนต์

นักประสาทวิทยา Vivienne Ming  (วิเวียน หมิง) ได้ทำการสำรวจวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพของมนุษย์  แต่ในบทความใหม่จาก Quartz (qz.com) มีสิ่งที่น่าสนใจโดยเธอให้รายละเอียดว่าเธอได้ถ่ายทอด “ ความบ้าวิทยาศาสตร์” ภายในตัวเธอออกมาได้อย่างไร

หมิง กล่าวว่าหลังจากที่ลูกชายของเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก เธอก็ได้เริ่มมีความสนใจในการทำงานเพื่อสร้างระบบจดจำใบหน้าโดยใช้อุปกรณ์อย่าง Google Glass ที่ออกแบบมาเพื่อตีความการแสดงออกทางสีหน้าของผู้อื่นได้แบบเรียลไทม์

“ ฉันเลือกที่จะเปลี่ยนลูกชายของฉันให้กลายเป็นหุ่นยนต์ และเปลี่ยนนิยามของความหมายของการเป็นมนุษย์เสียใหม่ ” เธอกล่าว 

มีคำถามว่าการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มลักษณะทางชีววิทยาของมนุษย์ จะไม่อ้างอิงจากจินตนาการจากหนัง Sci-Fi ไม่ได้ เมื่อมองดูความจริงในวันนี้ คนที่มีประสาทหูเทียม , ตาไบโอนิค และ การควบคุมขาเทียมโดยใช้จิต อยู่รวมในหมู่พวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อุปกรณ์เหล่านี้อาจแตกต่างกันในวัตถุประสงค์เฉพาะของมัน แต่โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยีทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน: ทำให้คนที่ผิดปรกติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอัมพาต ตาบอด หรืออะไรก็ตาม ให้กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป

ซึ่งระบบหมิงที่สร้างขึ้นก็เพื่อให้ลูกชายของเธอกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นเดียวกันนั่นเอง

References : https://qz.com/1650393/transhumanist-parents-are-turning-their-children-into-cyborgs/

Orion อุปกรณ์ดึงภาพจากกล้องเข้าสู่สมองเพื่อช่วยคนตาบอด

เมื่อคน ๆ หนึ่งตาบอด เยื่อหุ้มสมองที่เกี่ยวกับการมองเห็นในสมองของพวกเขามักจะไม่ถูกทำลายไปด้วย อย่างไรก็ตามมันก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากคนตาบอดจะไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ จากสายตานั่นเอง

ในการทดลองทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดากับคนตาบอดหกคน ซึ่งได้รับการรักษาเพื่อให้สามารถมองได้เห็นบางส่วนด้วย Orion อุปกรณ์ใหม่ที่ดึงภาพจากกล้องเข้าสู่สมองโดยตรงและพวกเขาอาจเป็นคนตาบอดกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว

Alex Shortt ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลตา Eptegra Eye ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยบอกกับ เดลี่เมล์ “ นี่คือการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการรักษาผู้คนที่มีอาการตาบอด มันเป็นความหวังที่แท้จริง”

อุปกรณ์ Orion นั้นประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ: ส่วนของการปลูกฝังสมองและส่วนของแว่นตา การปลูกฝังสมองด้วยประสาทเทียมนั้น จะประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า 60 ชิ้น ที่รับข้อมูลจากกล้องที่ติดตั้งบนแว่นตา พวกเขาสามารถส่งข้อมูลภาพไปยังสมองของผู้สวมใส่ได้โดยตรง และไม่จำเป็นต้องใช้สายตาคู่เดิมอีกต่อไป

ในการทดสอบอุปกรณ์ Orion นักวิจัยได้ขอให้ผู้เข้าร่วมที่มีตาบอดอย่างสมบูรณ์ โดยศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่ต้นเพื่อดูหน้าจอคอมพิวเตอร์สีดำ ซึ่งในขณะที่ใช้ Orion นั้น เมื่อสี่เหลี่ยมสีขาวปรากฏขึ้นบนหน้าจอแบบสุ่ม ผู้เข้าร่วมทดลองที่ตาบอดสามารถชี้ไปที่สี่เหลี่ยมสีขาวได้อย่างถูกต้องโดยส่วนใหญ่

Daniel Yoshor ที่เป็นหนึ่งในนักวิจัย เชื่อว่าสี่เหลี่ยมสีขาวอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูวิสัยทัศน์เพื่อผู้ป่วยที่ตาบอด

“ในทางทฤษฎีถ้าเรามีหลายร้อยหลายพันขั้วไฟฟ้าในสมองเราสามารถผลิตภาพที่อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย” เขากล่าวในการแถลงข่าว “ ลองนึกถึงภาพวาดที่ใช้ความเป็นจุดซึ่งจุดเล็ก ๆ นับพันมารวมกันเพื่อสร้างเป็นภาพ เราอาจทำสิ่งเดียวกันโดยการกระตุ้นจุดนับพันบนส่วนท้ายทอยของสมองได้นั่นเอง”

“ มันช่างน่าประหลาดใจมากที่ได้เห็นความสวยงามเหล่านี้” เบนจามิน เจมส์สเป็นเซอร์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดลอง มีอายุ 35 ปี ที่ตาบอดตั้งแต่อายุ 9 ขวบบอกกับเดลี่เมล์  ซึ่งความสามารถใหม่นี้ มีโอกาสที่เขาจะได้เห็นรูปร่างหน้าตาของภรรยาและลูก ๆ ของเขา วิ่งเข้ามาหาเขาเพื่อโอบกอดเหมือนคนสายตาปรกติ

“ แม้มันไม่ได้เป็นการมองเห็นที่สมบูรณ์แบบ ตอนนี้มันดูคล้ายภาพวิดีโอ Footage ในยุคปี 1980” Spencer กล่าวเสริม “ แม้ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ได้ทำให้การมองเห็นเต็มที่เหมือนปรกติ แต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ สำหรับคนตาบอดอย่างผม”

References : https://www.theguardian.com/science/2019/jul/13/brain-implant-restores-partial-vision-to-blind-people