โลกเปลี่ยน ความฝันเปลี่ยน! เมื่อเด็กยุคใหม่ฝันอยากเป็น Youtuber มากกว่าอาชีพอื่น

ในอดีตความใฝ่ฝันของการประกอบอาชีพสำหรับเด็กหลาย ๆ คนนั้น อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เจ้าหน้าที่ตำรวจ แพทย์ วิศวกร หรือแม้กระทั่งนักบินอวกาศ

แต่ตอนนี้เราอยู่ในยุคของการสร้าง Influencer ที่ดูเหมือนว่าทำให้เหล่าเยาวชนมีความคิดอื่น ๆ โดย 1 ใน 3 ของหนุ่มสาวชาวอังกฤษและชาวอเมริกันต้องการที่จะเป็น Youtuber มากกว่าอาชีพอื่นใด รายงานจากงานวิจัยใหม่ได้เปิดเผยข้อมูลนี้ออกมา

เพื่อเป็นเกียรติแก่วันครบรอบ 50 ปีของประวัติศาสตร์ Apollo 11 ที่ลงจอดบนดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมในปี 1969 กลุ่ม Lego ได้ทำการสำรวจเด็ก ๆ เกี่ยวกับความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการสำรวจอวกาศ

ซึ่งแบบสำรวจได้สอบถามเด็ก ๆ กว่า 3,000 คนอายุ 8-12 ปี ให้เลือกจาก 5 อาชีพที่พวกเขาใฝ่ฝันอยากจะเป็น เมื่อพวกเขาโตขึ้น ซึ่งในตัวเลือกนั้นประกอบไปด้วย นักบินอวกาศ นักดนตรี นักกีฬามืออาชีพ ครู หรือ vlogger / YouTuber

ผลการศึกษาพบว่าเด็กชาวอังกฤษและชาวอเมริกันถึง 30% ทำการเลือกที่ต้องการเป็น YouTubers หรือ vloggers และเลือกนักบินอวกาศน้อยที่สุดที่ 11%  เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ตามมาด้วยครู 25%  นักกีฬามืออาชีพ 21 % และนักดนตรีอีก 18 % 

Youtuber กลายเป็นอาชีพในฝันของเด็กยุคใหม่
Youtuber กลายเป็นอาชีพในฝันของเด็กยุคใหม่

ในทางตรงกันข้ามเด็ก ๆ ในประเทศจีนแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจอย่างชัดเจนในการเป็นนักบินอวกาศมากกว่าอาชีพอื่น ๆ ด้วยจำนวน 56% บอกว่า พวกเขาต้องการเป็นคนต่อไปที่จะขึ้นสู่อวกาศ 

ตามด้วยครู 52% นักดนตรี 47% และนักกีฬามืออาชีพ 37% โดย vlogger / YouTuber ที่จำนวน 18%

แม้ว่าเด็กชาวอังกฤษและชาวอเมริกันจะไม่ต้องการทำงานในอวกาศ แต่จากการสำรวจพบว่าคนส่วนใหญ่มีความสนใจในการสำรวจอวกาศ 86% โดย 90% ระบุว่าพวกเขาต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมในด้านการบินและอวกาศ

“ เราตื่นเต้นที่เด็ก ๆ ยังคงสนใจในการสำรวจอวกาศและรอไม่ไหวที่จะเห็น ‘ก้าวเล็ก ๆ ‘ และ ‘ก้าวย่างที่สำคัญ’ ที่จะเกิดขึ้นกับอวกาศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า” Michael McNally ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายแบรนด์สัมพันธ์ของ LEGO Systems, Inc กล่าว . 

แต่ในจีน เด็ก ๆ ยังอยากเป็นนักบินอวกาศเป็นอันดับแรก
แต่ในจีน เด็ก ๆ ยังอยากเป็นนักบินอวกาศเป็นอันดับแรก

ในปี 2018 การศึกษาที่คล้ายกันซึ่งดำเนินการโดยผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม O2 พบว่ามีเด็กจำนวนมากขึ้นกำลังตั้งเป้าที่จะประกอบอาชีพทางด้านเทคโนโลยี

การศึกษาในผู้ปกครอง 2,000 คนและเด็ก 2,000 คนอายุระหว่าง 5-16 ปีพบว่าเด็กชาวอังกฤษส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่จะทำงานเช่น vloggers 30% อนิเมเตอร์ 15% และผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ 14%

เมื่อโลกเปลี่ยน ความฝันเด็ก ๆ ก็เปลี่ยนตาม

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด กับผลสำรวจเหล่านี้ กับเด็กยุคใหม่ที่เติบโตมาด้วยเทคโนโลยี แม้จะไม่มีหลักสูตรการศึกษาสามัญแบบชัดเจนในการก้าวไปประกอบอาชีพ vlogger / Youtuber

แต่ผู้ใหญ่ ก็ควรที่จะเตรียมปรับเปลี่ยนความคิดตามกับ โลกที่เปลี่ยนไปได้แล้วเสียที ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคใหม่เหมือนกัน เพราะตอนนี้ อาชีพเหล่านี้ ที่ดูเหมือนสิ่งไร้สาระในสายตาผู้ใหญ่ในอดีต กำลังกลายมาเป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างมหาศาล เป็นอาชีพที่อิสระที่เด็ก ๆ ยุคใหม่ต่างคลั่งไคล้

เพราะฉะนั้น โลกยุคใหม่ ผมจึงมองว่า การศึกษา นอกตำราเรียนแบบปรกตินั้น ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้ ความรู้นั้น เราสามารถหาจากที่แห่งใดก็ได้แล้ว ในโลกยุคไร้พรหมแดนเหมือนปัจจุบัน

เราต้องยอมรับความคิดใหม่ ๆ จริง ๆ เสียว่าการเรียนการสอนในหลักสูตรปรกติ และการเรียนแบบทางเลือก เพื่อไปประกอบอาชีพได้เลยนั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญกับเด็กยุคใหม่แทบจะไม่ต่างกัน มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่ เราจะเลิกยัดเยียด สิ่งต่าง ๆ ที่แทบจะไม่ได้ใช้เลยให้กับเด็กยุคใหม่เมื่อพวกเขาโตขึ้นไป หลาย ๆ วิชาที่เราร่ำเรียน มานั้น เราแทบจะไม่ได้ใช้งานมันด้วยซ้ำในชีวิตจริง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้ใหญ่ควรเปิดใจรับ อาชีพทางเลือก เหล่านี้ ที่มันสามารถหาเลี้ยงชีพได้จริง เหมือน ๆ กับอาชีพอื่นๆ  ที่ผู้ใหญ่อยากให้เด็กเป็นนั่นเองครับ

References : 
https://www.independent.co.uk/life-style/health-and-families/youtube-vlogger-career-job-children-astronaut-space-china-poll-a9010086.html

Digital Music War ตอนที่ 5 : Music Revolution

เมื่อถึงเดือน กรกฏาคม ปี 2000 ระหว่างที่จ๊อบส์กำลังเคี่ยวเข็ญลูกทีม ให้พัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับบริหารจัดการเพลง Apple ก็ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ SoundJam และพาผู้ก่อตั้งมาทำงานที่ Apple เสียเลย เป็นการลดเวลาในการพัฒนาซอฟท์แวร์ตัวใหม่

จ๊อบส์ ได้ลงมาคลุกคลี คุมการทำงานด้วยตัวเอง เพื่อเปลี่ยน SoundJam ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ซอฟท์แวร์ตัวนี้ อัดแน่นไปด้วยโปรแกรมทำงานนานาชนิด จึงมีหลายหน้าต่าง ยุ่งเหยิงไปหมด จ๊อบส์สั่งการให้ทีมงานออกแบบใหม่หมด ให้ดูใช้งานง่ายขึ้น สนุกขึ้น แทนที่ จะต้องให้ผู้ใช้ระบุว่าต้องการค้นหาชื่อศิลปิน หรือ ชื่อเพลง หรือ ชื่ออัลบั้ม จ๊อบส์ ให้ปรับให้เหลือช่องค้นหาเพียงกล่องเดียวเท่านั้น ให้ใช้งานง่ายที่สุด ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคู่มือการใช้งาน และตั้งชื่อมันใหม่ว่า iTunes

การเปิดตัว iTunes ครั้งแรกต่อสาธารณะชน นั้นเกิดขึ้นในงาน Macworld เดือนมกราคม ปี 2001 มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ดิจิตัลฮับ ของจ๊อบส์ และ ปล่อยให้ดาวน์โหลด ไปใช้งานได้ฟรี ๆ สำหรับผู้ใช้งาน Mac ทุกคน โดยใช้สโลแกน สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า “Rip. Mix. Burn.”

สว่น  iPod นั้นก็ได้เติบโตสวนทางกับ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างเครื่อง Mac ที่ยอดขายตกลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วง เดือน เมษายน – มิถุนายน ปี 2003 Apple สามารถขาย iPod ได้สูงถึง 340,000 เครื่อง มากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 5 เท่า มันเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยปรากฏใน Apple มาก่อนเลยก็ว่าได้

สำหรับบริษัทที่่ก่อนหน้านี้ รายรับเกือบทั้งหมดมาจากการขายคอมพิวเตอร์ จ๊อบส์ ได้ทำการโยกเงิน 75 ล้านดอลลาร์ ที่เดิมวางไว้สำหรับการโฆษณาสำหรับเครื่อง Mac โยกมาใช้สำหรับ iPod และที่สำคัญได้เริ่มหาคนชื่อเสียงมาใช้ผลิตภัณฑ์ iPod ซึ่งเป็นวิธีเลียนแบบความสำเร็จที่ Sony เคยทำสำเร็จมาแล้วกับ Walkman นั่นเอง

Apple หันมาใช้กลยุทธ์เดียวกับ Sony เคยทำกับ Walkman สำเร็จมาแล้ว
Apple หันมาใช้กลยุทธ์เดียวกับ Sony เคยทำกับ Walkman สำเร็จมาแล้ว

และจ๊อบส์ ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น กับการรักษา ecosystem ของตัวเองมาตลอดที่จ๊อบส์ ทำกับ Apple ตลอดมา แต่ในปี 2003 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของ Apple ครั้งนึง นับตั้งแต่เริ่มต้นบริษัท Apple มาเลยก็ว่าได้

นั่นคือ iTunes version 2.0 ที่จะใช้ได้ทั้ง Mac และ Windows จ๊อบส์ นั้นเห็นตลาดที่ใหญ่โตของผู้ใช้งาน PC และตอนนี้ iPod มันจะไม่ถูกจำกัดแค่เพียงผู้ใช้งาน Mac อีกต่อไป iPod พร้อมจะเข้าไปเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสหลักแล้วด้วย iTunes บน Windows นั่นเอง

มันคือการปฏิวัติวงการดนตรีที่มีมาอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่เดือนตุลาคมปี 2003 Apple ได้ส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องเล่นดนตรีแบบดิจิตอลไป 70% และเมื่อถึงสิ้นปีสามารถขายเพลงในรูปแบบดิจิตอล ได้มากกว่า 25 ล้านเพลง มันคือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมดนตรีของจริง

iTunes จุดเปลี่ยนของวงการเพลงดิจิตอลอย่างแท้จริง
iTunes จุดเปลี่ยนของวงการเพลงดิจิตอลอย่างแท้จริง

แต่ธุรกิจดาวน์โหลดเพลงมันแค่เพียงเริ่มต้น เพราะ 25 ล้านเพลงที่ถูกดาวน์โหลด มันก็มีค่าแค่เพียง 25 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสำหรับ Microsoft นั้นเป็นตัวเลขจิ๊บจ๊อยมาก ๆ 

ในปี 2004 iPod ขายดีมาก ๆ ช่วง 3 เดือนแรกของปี ยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าของปีก่อนหน้า ทำให้รายรับของ Apple เพิ่มขึ้น 17% จาก 2 พันล้านเหรียญ เป็น 2.35 พันล้านเหรียญ ซึ่ง iPod นั้นเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้ง่ายดาย ส่วนร้าน iTunes ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถทำกำไรจากแต่ละเพลงที่ขายได้ 

ในเดือน มิถุนายน ปี 2004 iTunes ได้บุกไปยังยุโรป ทั้ง อังกฤษ เยอรมนี และ ฝรั่งเศษ มีการดาวน์โหลดอย่างมหาศาล และสามารถครองตำแหน่งผู้นำในตลาดเพลงดิจิตอลได้ในเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ ทำให้ภาพรวมของ Appple ดีขึ้นทุก ๆ ทางเลยก็ว่าได้

แต่ Microsoft นั้นมักจะรู้ตัวช้าเหมือนทุก ๆ ครั้ง ซึ่ง iPod นั้นเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ให้ผู้คนอยากได้มัน ด้วยคุณสมบัติที่พกพาได้ รูปลักษณ์ที่เท่ทันสมัย และใช้งานง่าย ล้วนเป็นเสน่ห์เกิดห้ามใจ และ iTunes ก็เปรียบเสมือนตู้เพลงออนไลน์ ซึ่งนับตั้งแต่ Microsoft สามารถเอาชนะ Apple ได้อย่างเบ็ดเสร็จในเดือน สิงหาคม 1995 ตอนเปิดตัว Windows 95 ไปทั่วโลก นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าผู้คนสังเกตเห็นพลังของ iPod สินค้าจาก Apple ที่ดูจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดมากกว่า Microsoft ไปเสียแล้ว

จะเห็นได้ว่า เมื่อถึงตอนนี้ iPod , iTunes เป็นการผสานพลังกัน ที่ทำให้ Apple กลายมาเป็น Brand ที่น่าดึงดูดใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่สาวกคอมพิวเตอร์เพียงเท่านั้นอีกต่อไป มันได้กลายเป็น Brand ที่คนทั่วโลกต่างกำลังคลั่งไคล้ อยากเป็นเจ้าของ อยากได้เจ้า iPod เครื่องเล่น MP3 ที่ปฏิวัติ วงการเพลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดูเหมือน Apple นั้นจะก้าวเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่กว่ามาอย่าง Consumer ได้สำเร็จแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อ แล้ว Microsoft ผู้รู้ตัวช้าทุกครั้ง จะพลิกเกม กลับมาได้อย่างไรในธุรกิจนี้ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : Play for Sure

 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ เปลี่ยนลูกชายออทิสติกให้กลายเป็นหุ่นยนต์

นักประสาทวิทยา Vivienne Ming  (วิเวียน หมิง) ได้ทำการสำรวจวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพของมนุษย์  แต่ในบทความใหม่จาก Quartz (qz.com) มีสิ่งที่น่าสนใจโดยเธอให้รายละเอียดว่าเธอได้ถ่ายทอด “ ความบ้าวิทยาศาสตร์” ภายในตัวเธอออกมาได้อย่างไร

หมิง กล่าวว่าหลังจากที่ลูกชายของเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก เธอก็ได้เริ่มมีความสนใจในการทำงานเพื่อสร้างระบบจดจำใบหน้าโดยใช้อุปกรณ์อย่าง Google Glass ที่ออกแบบมาเพื่อตีความการแสดงออกทางสีหน้าของผู้อื่นได้แบบเรียลไทม์

“ ฉันเลือกที่จะเปลี่ยนลูกชายของฉันให้กลายเป็นหุ่นยนต์ และเปลี่ยนนิยามของความหมายของการเป็นมนุษย์เสียใหม่ ” เธอกล่าว 

มีคำถามว่าการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มลักษณะทางชีววิทยาของมนุษย์ จะไม่อ้างอิงจากจินตนาการจากหนัง Sci-Fi ไม่ได้ เมื่อมองดูความจริงในวันนี้ คนที่มีประสาทหูเทียม , ตาไบโอนิค และ การควบคุมขาเทียมโดยใช้จิต อยู่รวมในหมู่พวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อุปกรณ์เหล่านี้อาจแตกต่างกันในวัตถุประสงค์เฉพาะของมัน แต่โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยีทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน: ทำให้คนที่ผิดปรกติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอัมพาต ตาบอด หรืออะไรก็ตาม ให้กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป

ซึ่งระบบหมิงที่สร้างขึ้นก็เพื่อให้ลูกชายของเธอกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นเดียวกันนั่นเอง

References : https://qz.com/1650393/transhumanist-parents-are-turning-their-children-into-cyborgs/

Orion อุปกรณ์ดึงภาพจากกล้องเข้าสู่สมองเพื่อช่วยคนตาบอด

เมื่อคน ๆ หนึ่งตาบอด เยื่อหุ้มสมองที่เกี่ยวกับการมองเห็นในสมองของพวกเขามักจะไม่ถูกทำลายไปด้วย อย่างไรก็ตามมันก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากคนตาบอดจะไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ จากสายตานั่นเอง

ในการทดลองทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดากับคนตาบอดหกคน ซึ่งได้รับการรักษาเพื่อให้สามารถมองได้เห็นบางส่วนด้วย Orion อุปกรณ์ใหม่ที่ดึงภาพจากกล้องเข้าสู่สมองโดยตรงและพวกเขาอาจเป็นคนตาบอดกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว

Alex Shortt ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลตา Eptegra Eye ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยบอกกับ เดลี่เมล์ “ นี่คือการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการรักษาผู้คนที่มีอาการตาบอด มันเป็นความหวังที่แท้จริง”

อุปกรณ์ Orion นั้นประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ: ส่วนของการปลูกฝังสมองและส่วนของแว่นตา การปลูกฝังสมองด้วยประสาทเทียมนั้น จะประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า 60 ชิ้น ที่รับข้อมูลจากกล้องที่ติดตั้งบนแว่นตา พวกเขาสามารถส่งข้อมูลภาพไปยังสมองของผู้สวมใส่ได้โดยตรง และไม่จำเป็นต้องใช้สายตาคู่เดิมอีกต่อไป

ในการทดสอบอุปกรณ์ Orion นักวิจัยได้ขอให้ผู้เข้าร่วมที่มีตาบอดอย่างสมบูรณ์ โดยศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่ต้นเพื่อดูหน้าจอคอมพิวเตอร์สีดำ ซึ่งในขณะที่ใช้ Orion นั้น เมื่อสี่เหลี่ยมสีขาวปรากฏขึ้นบนหน้าจอแบบสุ่ม ผู้เข้าร่วมทดลองที่ตาบอดสามารถชี้ไปที่สี่เหลี่ยมสีขาวได้อย่างถูกต้องโดยส่วนใหญ่

Daniel Yoshor ที่เป็นหนึ่งในนักวิจัย เชื่อว่าสี่เหลี่ยมสีขาวอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูวิสัยทัศน์เพื่อผู้ป่วยที่ตาบอด

“ในทางทฤษฎีถ้าเรามีหลายร้อยหลายพันขั้วไฟฟ้าในสมองเราสามารถผลิตภาพที่อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย” เขากล่าวในการแถลงข่าว “ ลองนึกถึงภาพวาดที่ใช้ความเป็นจุดซึ่งจุดเล็ก ๆ นับพันมารวมกันเพื่อสร้างเป็นภาพ เราอาจทำสิ่งเดียวกันโดยการกระตุ้นจุดนับพันบนส่วนท้ายทอยของสมองได้นั่นเอง”

“ มันช่างน่าประหลาดใจมากที่ได้เห็นความสวยงามเหล่านี้” เบนจามิน เจมส์สเป็นเซอร์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดลอง มีอายุ 35 ปี ที่ตาบอดตั้งแต่อายุ 9 ขวบบอกกับเดลี่เมล์  ซึ่งความสามารถใหม่นี้ มีโอกาสที่เขาจะได้เห็นรูปร่างหน้าตาของภรรยาและลูก ๆ ของเขา วิ่งเข้ามาหาเขาเพื่อโอบกอดเหมือนคนสายตาปรกติ

“ แม้มันไม่ได้เป็นการมองเห็นที่สมบูรณ์แบบ ตอนนี้มันดูคล้ายภาพวิดีโอ Footage ในยุคปี 1980” Spencer กล่าวเสริม “ แม้ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ได้ทำให้การมองเห็นเต็มที่เหมือนปรกติ แต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ สำหรับคนตาบอดอย่างผม”

References : https://www.theguardian.com/science/2019/jul/13/brain-implant-restores-partial-vision-to-blind-people

Digital Music War ตอนที่ 4 : Digital Home

ต้องบอกว่า Microsoft นั้นเติบโตมากับผลิตภัณฑ์ที่เป็น Software ล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Microsoft Office ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักคอยผลิตเงินให้กับ Microsoft ในขณะนั้น แต่อย่างไรก็ดี Microsoft นั้นก็ตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าถึงผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ 

ในขณะที่ iPod ได้ทำการออกวางตลาดกลายเป็นสินค้ายอดฮิตไปแล้วนั้น แต่ทางฝั่ง Microsoft ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้สนใจมากนัก เหล่าผู้บริหารต่างมองว่า การดาวน์โหลดเพลงแบบดิจิตอล ที่ Apple กำลังจะทำนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยในธุรกิจของบริษัทดนตรีที่มียอดขาย CD ต่อปี ราว ๆ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในขณะนั้น

ซึ่งรูปแบบแนวคิดนั้น จะคล้ายคลึงกับ Apple แต่ Focus ไปที่ความบันเทิงในบ้านใน Concept ข อง ดิจิตอลโฮม โดยจะเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกันผ่าน Software ของ Microsoft และตอนนั้น Microsoft ได้เปิดตลาดเครื่องเกมส์อย่าง Xbox ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยในปี 1998 วิศวกร 3 คนจากทีม DirectX ของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Kevin Bachus, Seamus Blackley, Ted Hase และผู้นำทีม DirectX ในเวลานั้นอย่าง Otto Berkes ร่วมทีมกันเพื่อทำการแกะแล็ปท็อปยี่ห้อ Dell เพื่อสร้างตัวต้นแบบของเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานซอฟต์แวร์เป็นซอฟต์แวร์จากไมโครซอฟท์

โดยทีมนี้หวังว่าจะสามารถสร้างเกมคอนโซลที่สามารถมีอาร์ดแวร์มาตรฐานเทียบเท่ากับเกมคอนโซลตัวถัดไปจาก Sony อย่าง Playstation 2 ซึ่งพวกเขาได้ดึงนักพัฒนาบางส่วนไปจากการพัฒนาเกมบน Windows

Microsoft ต้องการสร้างเครื่องเกมส์ให้ได้มาตรฐานเดียวกับ Playstation 2 ของ Sony
Microsoft ต้องการสร้างเครื่องเกมส์ให้ได้มาตรฐานเดียวกับ Playstation 2 ของ Sony

โดยหลังจากทำการประกอบเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทีมนี้ได้เข้าไปพบกับ Ed Fries ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรกิจเกมของ Microsoft ณ เวลานั้น เพื่อนำเสนอ “DirectX Box” ตัวต้นแบบ ซึ่งเป็นเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยี DirectX ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มของ Berkes โดยหลังจากได้เห็นผลิตภัณฑ์แล้ว Fries จึงได้ตัดสินใจสนับสนุนไอเดียของทีมที่จะสร้างเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจาก Microsoft DirectX

ระหว่างการพัฒนา ชื่อเดิมของเกมคอนโซลเครื่องนี้อย่าง DirectX Box ถูกย่อให้เหลือเพียง “Xbox” ทั้งนี้ฝ่ายการตลาดของ Microsoft ไม่ได้ชอบชื่อนี้และพยายามเสนอชื่ออื่นขึ้นมาทดแทน ระหว่างการทดสอบในวงจำกัด ชื่อ “Xbox” นั้นเป็นหนึ่งในรายการชื่อที่เป็นไปได้ที่จะแสดงให้เห็นว่าชื่อนี้จะไม่เป็นที่นิยมต่อผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามภายหลังการทดสอบกลับพบว่าชื่อ “Xbox ” นั้นเป็นที่ต้องการมากกว่าชื่ออื่น ๆ ทำให้ชื่อ “Xbox”กลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์นี้

ในยุคที่เรียกได้ว่าเครื่องเล่นเกมส์ PlayStation ครองตลาดได้อย่างเหนียวแน่น Microsoft ก็ปล่อย Xbox ออกมาท้าชนกับทาง Sony ที่เป็นเจ้าตลาดในขณะนั้น  โดยได้เปิดตัวเครื่อง Xbox  อย่างเป็นทางการในปี 2002 ซึ่งถ้าเราเทียบด้านประสิทธิภาพนั้นถือว่ามีความใกล้เคียงกับ PS2 แต่เรื่องยอดขายนั้นกลับสู้เจ้าตลาดอย่าง Sony ไม่ได้เลย

บิลล์ เกตส์ เปิดตัว Microsoft Xbox รุ่นแรก ลุยสู่ธุรกิจบันเทิงแบบดิจิตอลเต็มตัว
บิลล์ เกตส์ เปิดตัว Microsoft Xbox รุ่นแรก ลุยสู่ธุรกิจบันเทิงแบบดิจิตอลเต็มตัว

Microsoft นั้นยอมขายเครื่องแบบขาดทุนด้วยซ้ำ แล้วมาเอากำไรจากค่าธรรมเนียมของผู้จำหน่ายเกมส์แทน ซึ่งคล้าย ๆ กับ Sony ที่การขายฮาร์ดแวร์ในธุรกิจเครื่องเล่นวีดีโอเกมนั้นจะขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะกำไรมันอยู่ที่ Sofware ต่างหาก 

มันเป็นการวางกลยุทธ์ของทั้ง เกตส์ และ บอลเมอร์ ที่มีการวางให้ Microsoft มีการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีของ PC ซึ่ง เป็นการมองที่ขาดมาก เพราะ โลกนี้มีผู้บริโภคมากกว่าธุรกิจที่ Microsoft กำลัง Focus อยู่ และตลาดของผู้บริโภคเป็นตลาดที่ใหญ่โตมหาศาลกว่าตลาดธุรกิจมาก และทำการนำร่องโดยยอมขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ด้วย XBox

ทั้งเกตส์และ บอลเมอร์นั้น มองไปที่ตลาดที่เป็นการผสานการทำงานกัน ระหว่าง Hardware และ Software ที่อยู่รอบ ๆ บ้าน ซึ่ง Microsoft มองไปที่ใจกลางห้องนั่งเล่นของทุกบ้าน ต้องมี Service และ บริการของ Microsoft เป็นศูนย์กลาง คล้าย ๆ กับ แนวคิด ดิจิตอลฮับ ของ Apple นั่นเอง แต่ Microsoft นั้นจะโฟกัสไปที่ความบันเทิงภายในห้องนั่งเล่นมากกว่า ผ่านการนำร่องด้วย XBox

เมื่อเข้าสู่ยุคปี 2000 เราจะเห็นได้ว่า แนวคิดของ Microsoft และ Apple นั้นเริ่มเข้ามาคล้ายคลึงกันในเรื่องการปฏิวัติความบันเทิงแบบดิจิตอล โดย Apple นั้นเลือกดนตรี สร้าง iPod ขึ้นมาเพื่อเป็นสินค้า Consumer Product ส่วน Microsoft นั้นจะเน้นความบันเทิงภายในบ้านใน Concept ของ Digital Home และได้เลือกสร้างเครื่องเล่นวีดีโอเกมส์อย่าง Xbox ขึ้นมา แน่นอนว่ามันต้องมีการ Conflict เกิดขึ้นระหว่างสองยักษ์ใหญ่อย่างแน่นอน เพราะความคล้ายคลึงกันของวิสัยทัศน์ใหม่ในยุคหลังปี 2000 แล้วการปะทะกันจริง ๆ มันจะเกิดขึ้นตอนไหน เพราะต่างฝ่าย ต่างมองไปที่สินค้า Consumer Product เหมือน ๆ กัน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : Music Revolution