Geek Monday EP12 : Digital Disruption by Facebook

ก่อนหน้านี้ facebook ได้ทำลายธุรกิจ สื่อหนังสือพิมพ์ หรือ นิตยสาร ที่ต่างปิดตัวกันถ้วนหน้าหากไม่มีการปรับตัวเข้าสู่ยุค digital และขณะนี้ facebook กำลังเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่กว่าเดิมมาก ๆ คือตลาด live TV และ VDO

เดิมนั้นการวัดเรทติ้งต้องอาศัยการวัดโดยประมาณจากองค์กรหลัก ๆ ตัวอย่างเช่น neilsen แต่ต่อไปนั้นกลุ่ม target ของการถ่ายทอดสดจะชัดเจนขึ้น เราสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนผ่าน facebook และรู้ได้แบบ realtime ว่ามีผู้ชมจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งจะส่งผลต่องบโฆษณาทางทีวีเดิม ก็จะเทเข้ามาสู่ facebook แทนเพราะสามารถวัดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเที่ยงตรงที่สุด

ซึ่งถือเป็นก้าวใหญ่ที่สำคัญก้าวหนึ่งเลยก็ว่าได้ และกำลังเข้าไปกินเค้กที่ใหญ่กว่ามาก คือตลาดโฆษณาทางทีวี รวมถึงในด้านการเงิน Libra Coin ที่ facebook เพิ่งทำการเปิดตัวนั้น แสดงให้เห็นว่า Facebook กำลังเข้าสู่วงการการเงิน ที่เป็นตลาดใหญ่มหาศาลเช่น


การขับเคลื่อนธุรกิจของ facebook ในด้านต่าง ๆ  ถือว่าสำคัญต่ออนาคตของ facebook เป็นอย่างมาก และเราอาจจะได้เห็น facebook ล้มยักษ์ใหญ่อย่าง google ได้ในเร็ว ๆ วันนี้ก็อาจเป็นไปได้ มาฟังเรื่องราวของการ Disruption ของ Facebook กันผ่าน EP ได้เลยครับ

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geek-monday-ep12-digital-disruption-by-facebook/

ฟังผ่าน Spotify : https://open.spotify.com/episode/39btHhqggqi5IpWYpkvTIX?si=OoHmrbTUT6G1A0lEm_XIXQ

ฟังผ่าน Youtube :
https://youtu.be/EvH8vxZpBX4

*** ผมพูดผิดตรงหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ความจริงจะกล่าวถึง The Nation ครับ ต้องขออภัยด้วย ***

Digital Music War ตอนที่ 1 : Digital Hub

Apple เริ่มไตรมาสแรก หลังจากการกลับมาของ สตีฟ จ๊อบส์รอบที่สอง ด้วยการขาดทุนอย่างยับเยิน ยอดขายคอมพิวเตอร์ที่ลดลง ถึง 1 ใน 3 ของปีก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยหลักของความล้มเหลวที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายมองตรงกันว่าเกิดจากการขาดไดร์ฟ Burn CD ที่กำลังกลายเป็นที่นิยมในขณะนั้น แต่ Apple ไม่ได้ใส่ลงไปในคอมพิวเตอร์ของพวกเขา

ตอนนั้น การปฏิวัติด้านดนตรีดิจิตอล ได้เริ่มขึ้นแล้ว Napster บริการแชร์ไฟล์เพลงแบบผิดกฏหมาย กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง มีการแชร์ไฟล์เพลงกันมากมายทั่วโลก หากต้องการนำมาฟังในรถ หรือ เครื่องเล่น CD ผู้ใช้ก็แค่ Burn เพลงเหล่านี้ลง CD ได้ทันที

จ๊อบส์ เริ่มรู้ตัวว่าเขาเดินเกมส์ผิดพลาด และตกขบวนรถไฟของ ไดร์ฟ Burn CD ไปแล้ว แต่ก็พยายามแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด ซึ่งมันเป็นตัวอย่างชัดเจนของวัฒนธรรมภายในของ Apple ที่กำลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่จ๊อบส์จะเข้ามา เพราะตอนนั้น Apple แทบจะไม่ฟังเสียงของผู้บริโภค 

ซึ่ง พีซี ที่ Burn CD ได้นั้นได้กลายเป็นสินค้า Top Hits ติดตลาดในปีนั้น ซึ่ง จ๊อบส์เอง นั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ที่ไม่ยอมใส่เจ้า ไดรฟ์ Burn CD ไปเพราะมันไม่สวยงาม จ๊อบส์ต้องการใส่ Drive แบบทันสมัยที่มีวิธีการแบบดูดแผ่นเข้าไปเพื่อยกระดับสินค้าของ Apple 

ซึ่งในบรรดาเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple ทั้งหมดที่ได้วางจำหน่ายในปี 2000 นั้นมีเพียงรุ่นเดียวที่สามารถ Burn CD ได้แต่ก็ขายได้น้อยมาก เพราะคนแห่กันไปใช้ PC ที่มีราคาถูกกว่าและสามารถ Burn CD ได้เช่นเดียวกัน

Burn Drive ที่ Apple มีในบางรุ่นเท่านั้น
Burn Drive ที่ Apple มีในบางรุ่นเท่านั้น

จากความผิดพลาดดังกล่าวทำให้เหล่าผู้บริหาร Apple กลับมาคิดทบทวนใหม่ พวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะเน้นไปที่ด้านดนตรี เพราะเป็นสิ่งที่คนนิยมมากที่สุดในยุคนั้น ซึ่งนิยมมากกว่ากล้องถ่ายรูป และดูแล้วมีศักยภาพที่จะเติบโตได้สูง ซึ่งขั้นตอนแรก Apple ได้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ SoundJam ที่เล่น MP3 และสามารถ Burn CD ได้มาปรับปรุง

และจ๊อบส์ ก็ได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ โดย จะแปลงโฉม apple โดยทำการปรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้กลายเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมดิจิตอล หรือ “ดิจิตอลฮับ” มันจะปรับหน้าที่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ให้คอยประสานงานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็น ดิจิตอล ตั้งแต่เครื่องเล่นเพลง กล้องวิดีโอ ไปจนถึง กล้องถ่ายรูป โดยให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นศูนย์กลาง ให้อุปกรณ์ต่างๆ  เหล่านี้เข้ามาเชื่อมต่อ

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จะกลายเป็นอุปกรณ์ ที่คอยจัดการเพลง แสดงภาพ วีดีโอ หรือ ข้อมูลทางดิจิตอลต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จ๊อบส์ เรียกมันว่า “ไลฟ์สไตล์แบบดิจิตอล” ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญของ apple ในยุคต่อไป

apple นั้นจะไม่เป็นเพียงแค่บริษัทคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป โดยจ๊อบส์ ได้ตัดคำว่า คอมพิวเตอร์ ออกจากชื่อบริษัทด้วย โดยเครื่อง Mac นั้นจะผันตัวเองมาเป็นศูนย์กลางสำหรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อีกหลากหลาย รูปแบบ 

กลยุทธ์ใหม่ที่ จ๊อบส์ ให้ Apple  เป็นคือ Digital Hub
กลยุทธ์ใหม่ที่ จ๊อบส์ ให้ Apple เป็นคือ Digital Hub

มันมีหลายสาเหตุ ที่ทำให้จ๊อบส์ นั้นสามารถมองเห็น และอ้าแขนรับยุคใหม่แห่งการปฏิวัติ ดิจิตัล ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ จ๊อบมีทั้งส่วนประกอบของศิลปศาสตร์และเทคโนโลยี เขารักเสียงเพลง รูปภาพ วีดีโอ และยังรักคอมพิวเตอร์อีกด้วย

ซึ่งหัวใจของวิสัยทัศน์ใหม่ของจ๊อบส์ ในเรื่อง ดิจิตอลฮับ คือ การเป็นตัวเชื่อมความนิยมชมชอบที่เขามี กับ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งทางศิลปะและงานวิศวกรรม ที่มีการหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

ในตอนท้ายของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุก ๆ ครั้ง จ๊อบส์ จะฉายสไลด์ เป็นรูปจุดที่มีการบรรจบระหว่างความเป็น “ศิลปศาสตร์” กับ “เทคโนโลยี” และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงคิดเรื่องดิจิตอลฮับได้ก่อนใครเพื่อน และเขาจะกำลังจะนำพา apple ก้าวไปยังจุดนั้นให้ได้

และด้วยความที่จ๊อบส์ นั้นเป็นคนที่รักในความสมบูรณ์แบบ เขาจึงรู้ว่า ต้องมีการบูรณาการทุกแง่มุมของผลิตภัณฑ์ เข้าด้วยกัน ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ คอนเทนต์ และ การตลาด ซึ่งจะทำให้ apple เป็นฝ่ายได้เปรียบ ในโลกยุค ดิจิตอลฮับ เพราะ เขาสามารถ control ทุกอย่างได้ใน ecosystem ของเขา ข้อมูล หรือ คอนเทนต์ ในอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ จะถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ของ apple ได้อย่างแนบเนียนแบบไม่สะดุด

ต้องบอกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากจริง ๆ สำหรับ apple ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ กำลังชะลอการลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มันเป็นช่องว่างที่สำคัญ ที่จะทำให้ apple กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และ นั่นเป็นที่มาของการสร้างนวัตกรรม ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความยิ่งใหญ่ของ apple ที่จะเกิดขึ้นในยุคหลังจากนั้น เพราะจ๊อบส์กำลังที่จะสร้าง อุปกรณ์เล่นเพลงแบบพกพา ที่ตอนนั้นแทบทุกยี่ห้อล้วนมีปัญหาใช้งานยาก และมี user interface ที่ซับซ้อน  แล้วจ๊อบส์นั้น จะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร วิสัยทัศน์ เรื่อง ดิจิตอลฮับนั้น จะเปลี่ยนแปลง apple ไปได้แค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 2 : The Secret Source

Blog Series : Digital Music War Apple vs Microsoft

ในยุคปี 80 บริษัท Apple ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก ขายคอมพิวเตอร์ Macintosh ของตนได้ดีอย่างเทน้ำเทท่า Apple ทำกำไรได้มหาศาล เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์แถวหน้าของโลกในขณะนั้น แต่หลังจากมีการถือกำเนิดขึ้นของบริษัท Microsoft ได้เริ่มแย่งส่วนแบ่งไปจาก Apple ที่ละน้อย จนในที่สุดก็ตามทัน แซง และทิ้งห่างไปอย่างไม่เห็นฝุ่นในช่วงยุคปี 90

ทำให้ในปลายยุค 90 บริษัท Apple ได้ทำการไล่ CEO  สตีฟ จ๊อบส์ ออก เพราะว่าเป็นส่วนนึงที่ต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ให้กับ Microsoft ในครั้งนี้ 

แต่เหมือนหนีเสือปะจรเข้ เมื่อ CEO ที่มาแทนจ๊อบส์อีกหลายคนก็ไม่สามารถกู้วิกฤติของ Apple ได้ โดยช่วงก่อนปี 2000 ยอดขายตกต่ำอย่างถึงที่สุดจนถึงขนาดที่ว่าใกล้จะต้องปิดบริษัทอยู่เต็มทนแล้ว เดือดร้อนถึงผู้บริหารไม่รู้ว่าจะแก้วิกฤตนี้อย่างไร จึงไปเชิญ สตีฟ จ๊อบส์ กลับเข้ามาทำงานเป็น CEO อีกครั้ง เพราะคนที่บริษัท Apple ต่างก็รู้ดีว่าเขาคือมันสมองของบริษัท

หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดว่า iPhone เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท apple ให้กลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้จวบจนถึงทุกวันนี้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้น แนวคิดของ apple รูปแบบใหม่ ที่หันมาสร้างนวัตกรรม และ เปลี่ยนจากบริษัทคอมพิวเตอร์ ให้กลายมาเป็นบริษัทที่จำหน่าย สินค้า consumer product มันเริ่มมาจาก iPod สินค้าที่ต้องโจทย์ในเรื่อง Digital Music ที่ตอนนั้นยังไม่มีผู้นำอย่างชัดเจน

Blog Series ชุดนี้จะมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น กับการแก้แค้นที่สาสมของ Apple ที่มีต่อ Microsoft ในศึกสงครามเพลงในรูปแบบดิจิตอล ที่มันได้กลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่พา Apple กลับสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ภายใต้เงาของ Microsoft มาอย่างยาวนานนั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 1 : Digital Hub

Series Review : The Last Czars พระเจ้าซาร์องค์สุดท้าย

พอดีได้เห็นการโฆษณาเรื่องนี้ ใน Netflix ผมก็ได้พยายามหาเวลามาดูจนได้ในที่สุด เพราะเป็นหนึ่งคนที่ชอบในเรื่องประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซียเป็นอย่างมาก การปกครองแบบกษัตริย์ ที่สามารถปกครองพื้นที่ประเทศที่มหาศาลอย่างรัสเซีย และมีคนหลากหลายเผ่าพันธุ์รวมตัวกันอยู่ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

The Last Czars เป็นซีรีย์ จาก Netflix โดยมีทั้งหมด 6 ตอน ซึ่งแต่ละตอนนั้นไม่ยาวมากนักประมาณตอนละ 40-50 นาที  โดยเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เกี่ยวข้องกับ
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรรัสเซียที่ยิ่งใหญ่ โดยมีการเล่าเหมือนสารคดีผสมผสานไปกับการดำเนินเนื้อเรื่องตั้งแต่ท่านขึ้นครองราชย์ โดยจะมีนักวิชาการ นักวิจัยตามมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกมาให้ความรู้ ประกอบกับเหตุการณ์ในช่วงนั้นไปพร้อม ๆ กัน 

มุมหนึ่งมันดูเหมือน Documentary สารคดี แต่อีกมุมหนึ่งมันก็คือ Series ชุดที่เล่าเรื่องประวัติของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ที่ผ่านอะไรมามากมาย จนถึงวันสิ้นชีวิตในที่สุดอย่างที่พวกเราได้รู้กัน

ความรู้สึกในการดูนั้นตอนแรก ๆ มันเหมือนละครซีรีย์ทั่วไป แต่จะถูกขัดจังหวะด้วย ช่วงเวลาที่ดำเนินเรื่องเหมือนสารคดี ซึ่งอาจจะดูงง ๆ ในช่วงแรก แต่ก็เข้ากันได้ดี  ซึ่งระหว่างเนื้อเรื่องที่เป็นบทละครกับ สารคดีนั้นดูเหมือนจะมีส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่เบื่อมากนัก

ซึ่งส่วนของสารคดีนั้น ก็มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ยุคนั้น ซึ่งสำหรับคนที่ชอบในเรื่องราวของประวัติศาสตร์น่าจะชอบกัน ซึ่งผมค่อนข้างประทับใจมาก ๆ กับ ซีรียส์ชุดนี้ ดูได้แบบรวดเดียวจบเลยทีเดียว 

สรุป สำหรับผู้ที่สนในเรื่องนี้นั้น The Last Czars จะเป็นซีรีย์ที่ฉายภาพถึงเรื่องราวของการสิ้นสุดราชวงค์โรมานอฟ ที่ปกครองรัสเซียมากว่า300ปี เล่าตั้งแต่กษัตริย์นิโคลัสที่2 ขึ้นครองราชย์จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ต้องบอกว่ามีทั้งอารมณ์ที่สนุก และหดหู่ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ถ่ายทอดออกมาได้เยี่ยมมาก ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ

 

Stentrode กับการช่วยเหลือผู้ป่วยอัมพาตควบคุมร่างกายด้วยจิต

เป็นครั้งแรกที่แพทย์กำลังเตรียมตัวทดสอบส่วนต่อประสานในการทำงานร่วมกับสมองที่สามารถปลูกถ่ายลงในสมองมนุษย์ได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดกะโหลกเหมือนในอดีต

Stentrode ซึ่งเป็นประสาทเทียมที่สามารถทำให้คนเป็นอัมพาตสามารถสื่อสารส่งไปยังสมองของผู้ป่วยผ่านหลอดเลือดดำได้ และ ตอนนี้บริษัท Synchron Inc
ที่พัฒนามันขึ้นมาเพิ่งได้รับการอนุมัติเพื่อเริ่มการทดลองในมนุษย์

โดยผู้ป่วยจะได้รับการปลูกถ่ายประสาทของพวกเขาโดยไม่ต้องโดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดกะโหลด เพื่อลดความเสี่ยงของการชัก หรือความบกพร่องทางประสาทอย่างถาวร ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผ่าตัดเปิดสมอง

ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าผู้ทดลองรวม 5 คน ที่มีมือหรือปากเป็นอัมพาต ซึ่งเป้นอุปสรรคในการสื่อสารกับสมองนั้นจะมีการทดลองใส่ Stentrodes เข้าไปในสมอง

“ เราได้เริ่มรับสมัครพนักงานในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา” โทมัส ออกซ์ลีย์ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของซิงโครไนซ์ แพทย์ในนิวยอร์กซิตีบอกกับ Futurism “ เราได้กำหนดการทดลองกับผู้ป่วยที่มีศักยภาพบางราย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก แต่ก็มีกระบวนการสรรหาหลายเดือนจากผู้ป่วยจำนวนมากที่มีความสนใจในเทคโนโลยีนี้”

การทำงานของอุปกรณ์นี้จะแสดงให้โลกเห็นว่ามันปลอดภัย ซึ่งในแบบจำลองกับสัตว์นั้นเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้กำลังทำการรวบรวมข้อมูลและทำความเข้าใจกับข้อมูลทางคลินิกที่เกิดขึ้น

ก่อนเริ่มการทดลองผู้เข้าร่วมที่มีศักยภาพจะต้องได้รับการสแกนสมองหลายครั้ง หลังจากนั้นจะมีการประเมินผลจากนักประสาทวิทยา เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับสมองของ Stentrode และปัจจัยที่สำคัญคือหลอดเลือดของพวกเขาต้องมีรูปร่างที่ดีพอที่จะนำอุปกรณ์ดังกล่าวเข้าไปได้ ซึ่งเป็นการใส่ขดลวดทางการแพทย์มาตรฐานพร้อมวงจรในตัว กับพวกเขาไปยังสมอง

การใส่ขดลวดเข้าไปในสมองโดยไม่ต้องมีการผ่าตัด
การใส่ขดลวดเข้าไปในสมองโดยไม่ต้องมีการผ่าตัด

เมื่อการทดลองเริ่มขึ้น Oxley กล่าวว่าผู้ป่วยจะเริ่มฝึกอบรมเพื่อใช้อุปกรณ์และซอฟต์แวร์เพื่อสร้างข้อความด้วยความนึกคิดภายในใต้จิตของพวกเขา

“ เรากำลังพยายามช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคอัลไซด์เมอร์ หรือการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง และผู้ที่ไม่สามารถสื่อสารในแบบที่พวกเขาต้องการในการทำงานหรือกิจกรรมทางสังคมของพวกเขาได้นั่นเอง”  Oxley กล่าว “ เรากำลังทำงานเพื่อสร้างข้อความที่สื่อสารทางความคิดหรือจิตใจ ในอัตราที่ใกล้เคียงกับความเร็วในการส่งข้อความผ่านสมาร์ทโฟน นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของพวกเรา”

References : 
https://futurism.com/noninvasive-neural-implant-clinical-trials