คำเตือนครั้งสุดท้ายของ Satoshi Nakamoto

Bitcoin มีความโชคดีในการเข้ามาสู่โลกในช่วงเวลาที่เป็นยุคยูโทเปียหลังจากเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ที่ทำให้เกิดข้อบกพร่องหลายประการของระบบการเงินและการเมืองที่มีอยู่ของเรา นั่นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความปรารถนาในการแสวงหาทางเลือกอื่น

ในขณะที่กลุ่ม Tea Party กำลังครอบครองวอลล์สตรีท ฟากฝั่งของ WikiLeaks ก็มีเป้าหมายที่แตกต่างออกไป พวกเขาต้องการที่จะยึดอำนาจคืนจากชนชั้นสูงที่ได้รับสิทธิพิเศษและมอบคืนให้กับคนธรรมดาเดินดิน

Bitcoin เป็นโซลูชันทางเทคโนโลยีที่ชัดเจนสำหรับความต้องการเหล่านี้ เห็นได้ชัดจากผู้คนมากมายที่ทิ้งชีวิตเก่า ๆ ไว้เบื้องหลังเพื่อไล่ตามเทคโนโลยีนี้

สำหรับโครงการที่โดดเด่นที่สุดที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน Bicoin ให้กลายเป็นเงินจริง ๆ โครงการแรก คือ Bitcoin faucet ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่แจก Bitcoins ฟรี 5 เหรียญสำหรับทุกคนที่ลงทะเบียน

ผู้สร้างโครงการคือ Gavin Andresen โปรแกรมเมอร์ในแมสซาชูเซตส์ซึ่งยินดีจ่ายเงิน 50 เหรียญเพื่อแลกกับ 10,000 Bitcoins

เขาได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยีครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมจากเว็บไซต์ของ InfoWorld  โดย Gavin เขียนไว้ในฟอรัมว่า “ผมต้องการให้โครงการ Bitcoin ประสบความสำเร็จและผมคิดว่ามันมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นหากผู้คนสามารถหาเหรียญจำนวนหนึ่งมาทดลองใช้ แน่นอนว่าอาจเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ต้องรอจนกว่าโหนดของคุณจะสร้างเหรียญขึ้นมา และดูเหมือนว่าการซื้อ Bitcoins นั้นก็ยังค่อนข้างยุ่งยาก”

ในการเริ่มเข้าร่วมโครงการ Bitcoin Gavin ได้เริ่มส่งอีเมลถึง Satoshi Nakamoto ชายลึกลับผู้เริ่มต้นโปรเจกต์ Bitcoin อย่างรวดเร็วเพื่อแนะนำการปรับปรุงโค้ดของตัวเองและในเวลาไม่นานก็กลายเป็นบุคคลแรกนอกเหนือจาก Satoshi ที่ทำการเปลี่ยนแปลง Source Code ของ Bitcoin อย่างเป็นทางการ

Gavin Andresen หนึ่งในทีมงานยุคก่อตั้งของ Bitcoin Project (CR:Cointurk)
Gavin Andresen หนึ่งในทีมงานยุคก่อตั้งของ Bitcoin Project (CR:Cointurk)

สิ่งที่มีค่ามากกว่าการเขียนโปรแกรมของ Gavin คือความปรารถนาดีและความซื่อสัตย์ของเขาซึ่งทั้งสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับโครงการ Bitcoin เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้รายใหม่

เนื่องจาก Satoshi เปรียบเสมือนบุคคลนิรนามที่ไร้ตัวตน เขาได้ออกแบบซอฟต์แวร์ของเขาให้เป็นโอเพ่นซอร์สเพื่อให้เหล่าผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเชื่อใจเขา แต่ในยุคนนั้นต้องบอกว่าผู้คนก็ไม่ได้เต็มใจที่จะมอบเงินจริง ๆ ให้กับเครือข่ายที่ดำเนินการโดยกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ออกนามจำนวนมาก

จุดเปลี่ยนของครั้งสำคัญที่สุด

สถานการณ์ของ Project Bitcoin ได้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจริง ๆ เมื่อเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Slashdot ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวสำหรับเหล่าเนิร์ดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกกำลังจะโพสต์บทความเกี่ยวกับโครงการ Bitcoin ซึ่งจะทำให้ Bitcoin ได้รับความสนใจจากทั่วโลก

“Slashdot ที่มีผู้อ่านที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลายล้านคน น่าจะยอดเยี่ยม บางทีอาจจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!” Martti Malmi ซึ่งเป็นหนึ่งนักพัฒนาในกลุ่ม Bitcoins เขียนในฟอรัม “ผมแค่หวังว่าเซิร์ฟเวอร์จะไม่ล่มไปซะก่อน เพื่อรองรับกลุ่มผู้คนที่จะแห่กันเข้ามาจาก ‘slashdotted’”

หลังจากที่ Martti ได้แก้ไขบทความเวอร์ชันสุดท้าย โดยเป็นการกล่าวอย่างถ่อมตัวมากขึ้นว่า “ชุมชนมีความหวังว่าสกุลเงินใหม่นี้จะอยู่นอกเหนือการเข้าถึงของรัฐบาลใด ๆ ”

เมื่อบทความออนไลน์ได้ไม่นานหลังเที่ยงคืนในเฮลซิงกิไม่มีอะไรมากไปกว่าย่อหน้าเดียวของบทความที่พาดหัวไว้ว่า

“Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลบนเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ที่ไม่มีธนาคารเป็นตัวกลางและไม่มีค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรม”

Martti ได้มองไปที่ตัวนับ ซึ่งใช้ติดตามจำนวนผู้ใช้ในฟอรัมและช่องแชท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งหลังจากบทความได้ถูกปล่อยออกไป มีคำถามเกิดขึ้นมากมายรวมถึงการถกเถียงที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนาของพวกเขา

และเว็บไซต์ Bitcoin ซึ่งทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่สามารถรองรับผู้ชมได้มากกว่าหนึ่งร้อยคนในแต่ละครั้งก็เริ่มสะดุด ภายในหนึ่งชั่วโมงก็ถึงขีดจำกัด และไซต์ทั้งหมดก็ล่มไปในที่สุด 

Martti พยายามขยายขีดความสามารถของไซต์กับบริษัท hosting แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนา ทั้งความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบที่ปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากบทความของ Slashdot ออนไลน์นั้น ไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของเขาลดลงไปเลย เพราะนี่คือสิ่งที่เขาและทีมงาน Bitcoin รอคอยมาหลายเดือนแล้วนั่นเอง

หลังจากโพสต์ที่ Slashdot ออนไลน์ Martti เห็นว่าผู้คนไม่เพียงแค่เข้ามาดูข้อมูลที่ไซต์ของ Bitcoin เพียงเท่านั้น พวกเขายังดาวน์โหลดและใช้งานซอฟต์แวร์ Bitcoin อีกด้วย จำนวนการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นจากประมาณสามพันครั้งในเดือนมิถุนายนเป็นมากกว่าสองหมื่นครั้งในเดือนกรกฎาคม ปี 2010

Martti Malmi ผู้เฝ้ามองการเติบโตของ Bitcoin อย่างก้าวกระโดด (CR:Business Insider)
Martti Malmi ผู้เฝ้ามองการเติบโตของ Bitcoin อย่างก้าวกระโดด (CR:Business Insider)

แต่ในขณะที่ซอฟต์แวร์ Bitcoin ใช้งานได้ดีผู้ใช้ใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากระบบของ Bitcoin ผู้ที่ต้องการเหรียญ Bitcoins เพิ่มเติม ก็มักจะพุ่งตรงไปที่ faucet ของ Gavin เพราะในตอนนั้นมันเป็นเพียงไม่กี่ตัวเลือกที่กลุ่มคนหน้าใหม่จะได้ครอบครอง Bitcoin

การถือกำเนิดของ Exchange Platform แห่งแรก

Jed McCaleb เป็นหนึ่งในคนที่พบจุดอ่อนนี้ Jed ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอาร์คันซอได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักข่าว ตั้งแต่ยังเด็ก Jed เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์และสิ่งนี้ทำให้เขาได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เบิร์กลีย์ 

และในไม่ช้าเขาก็ลาออกจากเบิร์กลีย์และย้ายไปนิวยอร์ก ที่นั่นเขาและหุ้นส่วนได้สร้างสิ่งที่กลายเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดหลักของ Napster ซอฟต์แวร์ของเขาอย่าง eDonkey ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนไฟล์ขนาดใหญ่เช่นภาพยนตร์ได้และพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากจนสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงแห่งอเมริกาต้องฟ้องร้องเขา

Jed และหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขาต้องจ่ายเงิน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีและปิด eDonkey ลง แต่พวกเขาก็มีรายได้อีกหลายล้านไปพร้อมกันหลังจากคดียุติ

เมื่อ Jed เจอโพสต์ Slashdot เกี่ยวกับ Bitcoin เขาก็รู้สึกทึ่งในทันที ดูเหมือนจะตอบสนองสิ่งที่คล้าย ๆ แนวคิดเบื้องหลังของทั้ง Napster และ eDonkey – การยึดอำนาจจากหน่วยงานรัฐและมอบมันให้กับคนธรรมดาสามัญ แต่เมื่อ Jed พยายามซื้อ Bitcoins เขาก็พบข้อจำกัดของเว็บไซต์ที่มีอยู่ไม่กี่แห่งที่ขายได้

Jed กล่าวว่าเขาต้องการสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองซึ่งเขาสามารถซื้อเหรียญได้ตลอดเวลา ด้วยประสบการณ์ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศแบบสมัครเล่น Jed จึงรู้พื้นฐานของการแลกเปลี่ยน แต่เขาไม่เคยสร้างเว็บไซต์มาก่อนโดยก่อนหน้านี้ได้ทำงานกับซอฟต์แวร์แบ็คเอนด์เพียงเท่านั้น เว็บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่ของเขาดูเหมือนจะเป็นสนามเด็กเล่นให้เขาได้ทดลองอะไรบางอย่าง

เขาคิดถึงชื่อที่เป็นไปได้ของเว็บไซต์ เขาเคยมีโดเมนเก่าที่เขาเป็นเจ้าของและไม่ได้ใช้งาน –mtgox.com

Jed ได้ซื้อเว็บไซต์ในปี 2007 เพื่อใช้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนออนไลน์เพื่อซื้อและขายบัตรที่ใช้ในการเล่นเกมแนวเวทมนตร์ ซึ่งได้เปิดดำเนินการเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ Jed จะปิดตัวมันลงไปและเว็บไซต์ก็ว่างลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เจ็ดวันหลังจากโพสต์ Slashdot Jed ได้โฆษณาเว็บไซต์ใหม่ของเขาบนฟอรัม Bitcoin อย่างไม่เป็นทางการ:

สวัสดีทุกคน,

ผมเพิ่งทำเว็บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่

โปรดแจ้งให้เราทราบว่าคุณคิดอย่างไร

Mt. Gox เป็นการปฏิวัติจากการแลกเปลี่ยนที่มีอยู่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก Jed เสนอให้นำเงินจากลูกค้าเข้าสู่บัญชี PayPal ของเขา และด้วยเหตุนี้จึงเสี่ยงต่อการละเมิดกฎข้อห้ามของ PayPal ในการซื้อและขายสกุลเงิน นั่นหมายความว่า Jed สามารถรับเงินได้จากเกือบทุกแห่งในโลก

ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้าไม่ต้องส่งเงินให้ Jed ทุกครั้งที่ต้องการทำการขาย แต่พวกเขาสามารถถือเงินได้ทั้งดอลลาร์และ Bitcoin ในบัญชีของ Jed จากนั้นเทรดในทิศทางใดก็ได้ตราบเท่าที่พวกเขามีเงินเพียงพอเช่นเดียวกับรูปแบบของบัญชีนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม

ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้การซื้อและขาย Bitcoin สะดวกขึ้นอย่างมาก แต่ยังนำมาซึ่งอันตรายใหม่ ๆ ที่ดูเหมือนจะขัดหลักการพื้นฐานของสกุลเงินที่ Satoshi ได้ออกแบบมาเพื่อขจัดคนกลางเฉกเช่นแพลตฟอร์มของ Jed

มันควรจะเป็นสกุลเงินรูปแบบใหม่ที่ผู้คนสามารถถือครองได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีธนาคาร มีความปลอดภัยด้วยคีย์ส่วนตัวที่มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่รู้ Mt.Gox ได้เปลี่ยนแนวคิดกลับไปใช้โมเดลแบบเดิม ๆ ที่มีสถาบันเป็นตัวกลาง

บริษัทของ Jed เป็นผู้ดูแลเงินของทุกคน หาก Jed เสนอมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีสิ่งนี้อาจพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยกว่าการถือเหรียญเก็บไว้กับคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้ใช้เอง

แต่ Jed ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและถ้าเขาทำคีย์ส่วนตัวในกระเป๋าเงินดิจิทัลของ Exchange หายไป ลูกค้าของเขาก็แทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่เหมือนธนาคารที่ยังมีความรับผิดชอบอยู่บ้าง

Mt. Gox ไม่มีการประกันเงินฝากและไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลดูแลด้านความปลอดภัย และวิธีการของ Jed ต้องเลือกความ balance ระหว่างความปลอดภัย , หลักการของ Bitcoin และความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน

เมื่อสมาชิกฟอรัมถามว่าทำไมจึงควรเลือก Mt. Gox เหนือทางเลือกอื่น Jed ตอบกลับด้วยวิธีที่สุภาพ แต่มั่นใจ

“มันออนไลน์อยู่เสมอโดยอัตโนมัติไซต์เร็วขึ้นและบนโฮสติ้งแบบเฉพาะและผมคิดว่าอินเทอร์เฟซนั้นดีเลิศ”

แม้กระทั่ง Jed เองก็ยังประหลาดใจที่ผู้คนเชื่อถือคำกล่าวของเขา และส่งเงินไปยังบัญชี PayPal ของเขาได้อย่างง่ายดายมาก ๆ  ในวันแรกของการทำธุรกิจวันที่ 18 กรกฎาคมปี 2010 มีการซื้อขาย Bitcoin ยี่สิบเหรียญในราคาห้าเซ็นต์บน Mt. Gox

แต่ภายในสัปดาห์แรกมีบางวันที่มีการซื้อขายหลักร้อยดอลลาร์ และเมื่อถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม Mt. Gox แซงหน้าบริการของ Martti และแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในด้านปริมาณการซื้อขายจนกลายเป็นธุรกิจ Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ความกังวลใหญ่ที่ก่อให้เกิดปัญหาในฟอรัม Bitcoin คือวิธีดึงดูดผู้ใช้ใหม่ แต่ปัญหาใหม่ก็คือวิธีจัดการกับการไหลเข้าของผู้ใช้ใหม่กับพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายได้

ปัญหาเหล่านี้เริ่มเด่นชัดโดยเฉพาะหลังจาก Bitcoin พุ่งเข้าสู่สปอตไลท์ครั้งใหญ่ครั้งต่อไป ในเดือนพฤศจิกายน WikiLeaks ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยผู้มีส่วนร่วมในขบวนการ Cypherpunk เก่าอย่าง Julian Assange ได้เปิดเผยความลับมากมาย โดยเฉพาะเอกสารทางการทูตอเมริกันที่มีปฏิบัติการลับไปทั่วทุกมุมโลก

บริษัทบัตรเครดิตขนาดใหญ่และ PayPal ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองในทันทีให้ตัดการบริจาคให้กับ WikiLeaks ซึ่งพวกเขาทำในช่วงต้นเดือนธันวาคมในสิ่งที่เรียกว่าการปิดล้อม WikiLeaks

ความเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่อาจเป็นปัญหาระหว่างอุตสาหกรรมการเงินและรัฐบาล หากนักการเมืองไม่ชอบแนวคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอให้ธนาคารและเครือข่ายบัตรเครดิตปฏิเสธการเข้าถึงระบบการเงินของกลุ่มที่ไม่เป็นที่นิยม โดยแทบไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากศาล อุตสาหกรรมการเงินดูเหมือนจะให้วิธีการนอกกฎหมายแก่นักการเมืองในการปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วย

การปิดล้อม WikiLeaks เป็นหัวใจหลักของข้อกังวลบางประการที่กระตุ้นให้เกิด Cypherpunks ในทางกลับกัน Bitcoin ดูเหมือนจะมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหา แต่ละคนในเครือข่ายควบคุมเหรียญของตนด้วยคีย์ส่วนตัว ไม่มีองค์กรกลางที่สามารถตรึงที่อยู่ Bitcoin ของบุคคลหรือหยุดการส่งเหรียญจากที่อยู่ใดที่อยู่หนึ่งได้

Julian Assange ผู้ก่อตั้ง Wikileaks ที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก Bitcoin (CR:Yahoo)
Julian Assange ผู้ก่อตั้ง Wikileaks ที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก Bitcoin (CR:Yahoo)

ไม่กี่วันหลังจากการปิดล้อม WikiLeaks เริ่มขึ้น PCWorld ได้เขียนเรื่องราวที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางซึ่งระบุถึงประโยชน์ที่ชัดเจนของ Bitcoin :“ ไม่มีใครสามารถหยุดระบบ Bitcoin หรือเซ็นเซอร์มันได้เนื่องจากไม่มีใครสามารถปิดกั้นอินเทอร์เน็ตได้ทั้งหมด หาก WikiLeaks ร้องขอ Bitcoin พวกเขาก็จะได้รับเงินบริจาคโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย”

ยังไม่ชัดเจนว่า Bitcoin สามารถใช้ในกรณีนี้ได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติการปิดล้อม WikiLeaks ช่วยยกระดับการถกเถียงเกี่ยวกับ Bitcoin นอกเหนือจากประเด็นที่ค่อนข้างแคบในเรื่องความเป็นส่วนตัวและการพิมพ์เงินของรัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญในช่วงแรก และนี่คือประเด็นทางปรัชญาที่มีความลึกซึ้งขึ้นซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมได้กว้างขึ้น และฟอรัมก็เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่ที่เริ่มหันมาสนใจ

หนึ่งผู้ใช้รายใหม่คือหนุ่มชาวอังกฤษที่ชื่อ Amir Taaki เสนอให้บริจาค Bitcoin ให้กับ WikiLeaks Amir ได้กล่าวว่า สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโปรไฟล์ของ Bitcoin ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วย WikiLeaks หาเงินได้เช่นเดียวกัน

สิ่งนี้ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงในฟอรัม โปรแกรมเมอร์จำนวนมากกังวลว่าเครือข่าย Bitcoin ไม่พร้อมสำหรับการรับส่งข้อมูลทั้งหมดและการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาลซึ่งอาจเกิดขึ้นหากเริ่มใช้เพื่อการบริจาคให้กับ WikiLeaks

ในที่สุด Satoshi ก็เข้ามายุติการถกเถียง เมื่อมีคนในฟอรัมเขียนว่าให้ Satoshi เข้ามาตอบอย่างจริงจัง:

“ไม่!!! อย่าเปิดรับการบริจาคให้ WikiLeaks”

โครงการต้องค่อยๆเติบโตเพื่อให้ซอฟต์แวร์มีความเข้มแข็งไปพร้อมกัน

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะโน้มน้าว Amir

นี่เป็นหนึ่งในจำนวนการสื่อสารที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ จาก Satoshi ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 ข้อความจากทั้ง Satoshi เริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ 

Final Messages

การค่อยๆหายตัวไปของ Satoshi นั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าเขายังคงโพสต์ในฟอรัมเป็นครั้งคราวเมื่อมีคำถามเฉพาะ แต่เขาไม่เคยปรากฏตัวในช่องแชทและเปลี่ยนไปใช้การสื่อสารส่วนตัวที่ไม่บ่อยนักกับ Gavin และนักพัฒนาอื่น ๆ เพียงไม่กี่คน

ในเดือนธันวาคม Satoshi ถาม Gavin ว่าเขาต้องการให้ที่อยู่อีเมลของเขาโพสต์บนเว็บไซต์ Bitcoin สำหรับใช้ในการติดต่อหรือไม่ Gavin ก็สังเกตว่าอีเมลของ Satoshi ได้หายไป

และโพสต์ในฟอรัมสาธารณะครั้งสุดท้ายที่เป็น Final Message ที่มาจาก Satoshi ในวันที่ 12 ธันวาคม 2010 เป็นการประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดเวอร์ชัน 0.3.19

โพสต์ดังกล่าวมีน้ำเสียงที่แตกต่างจากโพสต์แรก ๆ อย่างเห็นได้ชัดที่เดิมนั้นเน้นขายศักยภาพของ Bitcoin ในระดับโลก แต่ในโพสต์สุดท้ายของ Satoshi คือคำเตือนว่า Bitcoin ยังคงมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อการโจมตี

“ยังมีอีกหลายวิธีในการโจมตี Bitcoin มากกว่าที่ผมจะนับได้” Satoshi เขียนในบันทึกย่อ

หลังจากนั้นก็เริ่มมีการตามล่า Satoshi ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ผู้คนในช่องแชทเริ่มถกเถียงกันถึงรายละเอียดที่มีอยู่เกี่ยวกับ Satoshi และความสำคัญของเขา

มีข้อสังเกตว่าบางครั้ง Satoshi ใช้การสะกดและคำภาษาอังกฤษเช่น “bloody” นอกจากนี้ยังมีงานเขียนจากข่าวของอังกฤษที่เขียนลงในบล็อกแรกของ Bitcoins ที่ถูกสร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ของ Satoshi

ผู้ใช้ Bitcoin ในญี่ปุ่นตั้งข้อสังเกตว่า Satoshi เป็นชื่อสามัญในญี่ปุ่น แต่เขาแย้งว่า Satoshi ไม่น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นเนื่องจาก Satoshi ไม่เคยใช้คำภาษาญี่ปุ่นและมักจะเขียนชื่อของเขาด้วยนามสกุลซึ่งขัดกับธรรมเนียมของญี่ปุ่น

นั่นทำให้ Gavin ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดใน Bitcoin เพราะเขาและ Satoshi เพียงเท่านั้นที่สามารถลงนามในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ใน Bitcoin ได้

สาเหตุหลักของความไม่ไว้วางใจ Bitcoin จากคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ไม่ใช่เรื่องความลึกลับของ Satoshi แต่การไม่เปิดเผยตัวตนได้ชี้ให้เห็นว่า Bitcoin ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่แสวงหาชื่อเสียงหรือความสำเร็จส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นการไม่มีอยู่ของ Satoshi ทำให้ผู้คนสามารถแสดงวิสัยทัศน์ของตนเองบน Bitcoin ได้

เมื่อตัดภาพมาในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายทั้งการฉ้อโกง การหลอกลวง หรืออีกมากมายซึ่งมันแทบจะไม่ได้เกี่ยวกับ Bitcoin แต่อย่างใดแต่มักจะถูกเหมารวมไปด้วย

ซึ่งมันได้กลายเป็นว่าเหล่าผู้คนในกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาในยุคหลังที่อาศัยความโลภของมนนุษย์ ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อ Bitcoin แทน ซึ่งมันค่อนข้างที่จะคล้ายกับคำเตือนสุดท้ายที่ Satoshi Nakamoto ได้กล่าวไว้นั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Bitcoin Millionaires โดย Ben Mezrich
หนังสือ Digital Gold โดย Nathaniel Popper
https://www.pexels.com/photo/a-close-up-shot-of-a-bitcoin-commemorative-coin-11070638/

Geek Story EP195 : The Empire Strikes Back เมื่อ Google เตรียมทวงบัลลังก์เจ้าพ่อ Search ตัวจริงจาก Perplexity

หลายปีที่ผ่านมาต้องบอกว่า Google ดูเหมือนเป็นเจ้าพ่อ Search Engine ที่แทบไม่มีคู่แข่งหน้าไหนกล้าเข้ามาต่อกรได้เลยแม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ทุนหนาอย่าง Microsoft ที่ส่ง Bing มาชิงส่วนแบ่งได้แบบกระจิ๊ดริด

แต่กลายเป็นว่าหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่มาแรงแซงทางโค้งที่สุดคงจะหนีไม่พ้นสตาร์ทอัพหน้าใหม่ ที่มาพร้อมกับความคิดใหม่ ๆ ในการ search อย่าง Perplexity ที่ภายในเวลาไม่ถึงสองปีสามารถสร้างรายได้ปีละ 20 ล้านดอลลาร์ โดยมีพนักงานไม่ถึง 50 คนมีผู้ใช้งานหลายสิบล้านคน มูลค่ากิจการพุ่งพรวดไปเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ได้อย่างรวดเร็ว แถมเหล่ากูรูผู้มีชื่อเสียงในแวดวงเทคโนโลยีหลายคนต่างชื่นชม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5wd63vkj

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ytcw76fp

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2b5jtmkh

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/y4rjwr9x

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/hA6uxJePWbQ

โรงพยาบาลรามาธิบดี บูรณาการความร่วมมือทางการแพทย์ เผยผลสำเร็จการปลูกถ่ายไตด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ครั้งแรกในอาเซียน

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ประกาศผลลัพธ์ความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Assisted Kidney Transplantation) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สืบเนื่องจากความร่วมมือภายใต้โครงการ MFA-MU Capacity Building for Medical and Health Science Education Hub ระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อบูรณาการความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้เท่าทันการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และผลักดันศักยภาพวงการแพทย์ไทยสู่มาตรฐานสากล 

หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด คือ หนึ่งในรูปแบบของเทคโนโลยีการผ่าตัดแบบแผลเล็กที่เรียกว่า ‘Minimally Invasive Surgery’ ที่สามารถลดข้อจำกัดของมนุษย์และการผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic Surgery) เช่น การเข้าถึงอวัยวะภายในที่แคบและมองเห็นยากได้เป็นอย่างดี โดยมีอัตราขยายการมองเห็นมากกว่าสายตามนุษย์ถึง 10 เท่า สามารถเย็บแผลและห้ามเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะทำการผ่าตัดในท่านั่งซึ่งช่วยลดอาการเมื่อยล้าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบทั่วไป และการผ่าตัดผ่านกล้องที่จะต้องผ่าตัดในท่ายืนเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมีข้อจำกัดและยังไม่สามารถทดแทนบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด

สถิติจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) ประจำปี พ.ศ. 2566 เผยว่าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 1.06 ล้านคน เพิ่มสูงขึ้นถึง 8.5 หมื่นคน จากปี พ.ศ. 2565

โรคไตจึงถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพสำคัญของคนไทยที่มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยเช่น คนเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ส่งผลต่อโรคไตมากขึ้น การบริโภคอาหารรสชาติเค็มเกินกว่า 5 กรัม ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ร่างกายต้องการต่อวัน ด้านการรักษาจะรักษาด้วยการฟอกไต การล้างไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไตซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดของการรักษา ณ ปัจจุบัน

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ หัวหน้าศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า “ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นศูนย์ที่ให้บริการปลูกถ่ายไตมากที่สุดในประเทศไทย

รวมถึงเป็นต้นแบบทางการรักษาและฝึกอบรมให้กับโรงพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุขและสถาบันทั่วประเทศ โดยความสำเร็จของการปลูกถ่ายไตด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของความก้าวหน้าทางการแพทย์ไทย”

ความสำเร็จของการปลูกถ่ายไตด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดให้กับผู้ป่วย 3 รายแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในครั้งนี้เป็นการผ่าตัดร่วมกันระหว่างทีมคณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก Rangueil University Hospital ประเทศฝรั่งเศส โดยผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลเฉลี่ยอยู่ที่ 9 วัน และไตสามารถทำงานได้อย่างดี

นอกจากนี้ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดยังถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการผ่าตัดในหลากหลายสาขา เช่น ศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ ศัลยศาสตร์ทั่วไป ศัลยศาสตร์มะเร็ง ศัลยศาสตร์ตับ ศัลยศาสตร์ปลูกถ่ายอวัยวะ และศัลยศาสตร์ทรวงอก เป็นต้น 

ศาสตราจารย์ นายแพทย์กิตติณัฐ กิจวิกัย ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้มุมมองด้านการรักษาว่า “นวัตกรรมการผ่าตัดปลูกถ่ายไตโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเข้ามาเสริมประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการผ่าตัดได้เป็นอย่างดี

โดยการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์จะมีแผลผ่าตัดขนาดเล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด ซึ่งจะช่วยลดการเสียเลือด ลดความเจ็บปวด ลดระยะเวลาในการฟื้นตัว ลดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วย”

ด้าน รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ณัฐพล อาภรณ์สุจริตกุล ศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมว่า “การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมิเพียงช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ป่วย เพราะการใช้หุ่นยนต์ทำให้ศัลยแพทย์สามารถเย็บต่อหลอดเลือดในบริเวณลึกได้ดียิ่งขึ้น และลดความจำเป็นของการใช้หลอดเลือดที่ยาวจากไตของผู้บริจาค”

ตัวแทนผู้ป่วย 1 ใน 3 รายแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด แพทย์หญิงนงลักษณ์ บุตรดี เล่าว่า “อาการเริ่มแรกเป็นเพียงอาการอ่อนเพลียทั่วไปเท่านั้น แต่ไม่นิ่งนอนใจจึงตรวจคัดกรองและพบว่าเป็นโรคไต โดยมีภาวะภูมิคุ้มกันทำลายไตชนิดรุนแรง หรือ Rapidly Progressive Glomerulonephritis (RPGN) รักษาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายจึงตัดสินใจรักษาต่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพราะไว้วางใจในความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดปลูกถ่ายไตของบุคลากรทางการแพทย์

โดยแพทย์ผู้ดูแลเสนอวิธีการผ่าตัดปลูกถ่ายไตด้วยหุ่นยนต์ ช่วยผ่าตัด ซึ่งเป็นการผ่าตัดร่วมกันระหว่างทีมแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี และทีมแพทย์จาก Rangueil University Hospital ประเทศฝรั่งเศส การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยลดระยะเวลาการฟื้นตัว ลดการเสียเลือด และแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก 7 เซนติเมตรเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิดที่มีขนาดกว่า 25-35 เซนติเมตร

ประกอบกับการหาข้อมูลงานวิจัยเพิ่มเติม พบว่าการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดได้ผลลัพธ์ของค่อนข้างดีจึงไม่มีความกังวลใจ ภายหลังการผ่าตัดมีอาการปวดในระดับที่น้อยมาก และใช้ระยะเวลาฟื้นตัวเพียง 10 วัน การผ่าตัดปลูกถ่ายไตในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดจากมูลนิธิรามาธิบดีฯ เป็นจำนวนเงินเกือบ 200,000 บาท” 

“ด้วยบทบาททางอาชีพแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยอยู่ตลอด เมื่อเกิดอาการผิดปกติกับร่างกายของตัวเองจึงรีบตรวจหาสาเหตุและรีบรักษา เพราะอาการอ่อนเพลียอาจไม่ได้มาจากการทำงานหนักหรือพักผ่อนน้อยเท่านั้น ฉะนั้น จึงอยากแนะนำให้ทุกคนหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอเพื่อคัดกรองโรคเบื้องต้นและรักษาได้อย่างทันท่วงที” แพทย์หญิงนงลักษณ์ บุตรดี กล่าวปิดท้าย

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ล้ำสมัยอย่างหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเข้ามาช่วยลดข้อจำกัดและเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลในหลากหลายสาขา คาดการณ์ว่าในอนาคตหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดจะเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นใน
ทางการแพทย์ มูลนิธิรามาธิบดีฯ เล็งเห็นถึงผลประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาใช้เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพทางการรักษาพยาบาลแก่คนไทย ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและวิจัยเพื่อต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบแห่งการรักษา มูลนิธิรามาธิบดีฯ

จึงสานต่อการสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลรามาธิบดี ผ่านการจัดตั้งโครงการระดมทุนเพื่อจัดซื้อเครื่องหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เพื่อระดมทุนในการซื้อหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรุ่นใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีการรักษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ 

คำว่าให้…ไม่สิ้นสุด

#######


ชื่อบัญชี มูลนิธิรามาธิบดี โครงการระดมทุนเพื่อจัดซื้อเครื่องหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 879-2-00448-3ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่ 026-3-05216-3ธนาคารกรุงเทพ เลขที่ 090-3-50015-5บริจาคออนไลน์ https://www.ramafoundation.or.th  สอบถามโทร 02-201-1111

Nvidia จะถูกล้มบัลลังก์? กับสตาร์ทอัพสุดเจ๋งที่พร้อมท้าทายการผูกขาดอำนาจชิป AI

“ผู้ควบคุม GPU คือผู้ควบคุมจักรวาล” เป็นคำพูดสุดคลาสสิกจากนวนิยาย Sci-Fi ชื่อดังอย่าง “Dune” ซึ่งตอนนี้เหมือนมันกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริงเข้าไปทุกที

ปัจจุบันต้องบอกว่าการเข้าถึง GPU โดยเฉพาะจากบริษัทอย่าง Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก เป็นสิ่งชี้เป็นชี้ตายสำหรับบริษัทที่ต้องการประสบความสำเร็จในด้าน AI

ความแตกต่างของบริษัทที่จะรุ่งในเทคโนโลยีนี้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนชิปที่พวกเขามี การครองตลาดของ Nvidia ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทพุ่งสูงขึ้นถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

และสิ่งที่น่าสนใจก็คือมูลค่าของ Nvidia ในทุกวันนี้มากกว่าดัชนี DAX ของเยอรมันที่มีมูลค่ารวมกันประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์เสียอีก นอกจากนี้ยังใหญ่กว่าบริษัทเยอรมันที่มีการซื้อขายหุ้นกันในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น SAP , Siemens และ Deutsche Telekom

การพุ่งขึ้นแบบบ้าคลั่งเกิดขึ้น หลังจากบริษัทได้รายงานยอดขายในไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้น 262% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีรายรับสูงถึง 24 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์คาดว่ารายรับของบริษัทจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 119 พันล้านดอลลาร์และ 155 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ

ต้องบอกว่า GPU แทบจะเป็นเหมือนเวทย์มนต์หลักสำหรับอุตสาหกรรมดาวรุ่งอย่าง AI ทำหน้าที่ในการคำนวณ ฝึกฝนและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่

แต่สิ่งที่น่าแปลกใจหากเราย้อนกลับไปในจุดกำเนิดของมัน GPU ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวนี้แต่อย่างใด

Jensen Huang ได้ก่อตั้ง Nvidia ในปี 1993 โดยในยุคนั้น Huang ได้เห็นโอกาสใหญ่จากอุตสาหกรรมเกมที่เพิ่งเกิดใหม่ และเขาก็มองว่ามันจะกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา

การประมวลผลและการจำลองวีดีโอที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากซึ่งจำเป็นในการสร้างโลกแห่งเกมในจินตนาการ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องใช้ทรัพยากรในการประมวลผลอย่างหนักเช่นเดียวกัน

Jensen Huang ที่เห็นโอกาสจากอุตสาหกรรมเกม (CR:Observer)
Jensen Huang ที่เห็นโอกาสจากอุตสาหกรรมเกม (CR:Observer)

GPU ย่อมาจาก “Graphic Processing Unit” เนื่องจากชิปเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลกราฟิกเกม แต่โชคดีสำหรับบริษัทอย่าง Nvidia ที่สามารถนำไปใช้ในการประมวลผล AI ได้

คำถามก็คือแล้วทำไมไม่มีบริษัทที่ออกแบบชิป AI ที่เฉพาะเจาะจงตั้งแต่แรก มันน่าจะดีกว่าหรือไม่?

คำตอบก็คือบริษัทจำนวนมากทั้งสตาร์ทอัพขนาดเล็กไปจนถึงบริษัท Big Tech ที่ครอง Silicon Valley กำลังแอบซุ่มดำเนินการอยู่เพื่อหวังที่จะโค่นล้มบัลลังก์ของ Nvidia

ชิป AI ที่ออกแบบเฉพาะทางจะทำให้การสร้างและใช้งานโมเดล AI รวดเร็วและราคาถูกลงกว่าเดิม บริษัทใดก็ตามที่ทำสำเร็จ จะมีลูกค้าอยู่ใน waiting list มากมายมหาศาล ซึ่งกำลังไม่พอใจกับราคาที่สูงและจำนวนชิปที่มีอยู่อย่างจำกัดของ Nvidia ในขณะนี้

ชิปประมวลผล CPU แบบทั่วไปที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และโน็ตบุ๊ค ถูกออกแบบมาเพื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามลำดับ ในขณะที่ GPU ประกอบด้วยหน่วยประมวลผลหรือจำนวนคอร์หลายพันตัวช่วยให้สามารถประมวลผลสิ่งเดียวกันพร้อมกันได้หลายพันครั้ง เช่น การวาดส่วนหนึ่งของฉากในเกม

แน่นอนว่าการรันโมเดล AI ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือการทำงานใดงานหนึ่งแบบคู่ขนานไปพร้อม ๆ กัน การหาวิธีเขียนโค้ด AI ใหม่เพื่อรันบน GPU เป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของการบูมด้าน AI ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม GPU ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่องความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล โมเดล AI รุ่นใหม่ ๆ จะรันบน GPU และชิปหน่วยความจำเป็นจำนวนมากที่มีการเชื่อมต่อถึงกัน

การเคลื่อนย้ายข้อมูลอย่างรวดเร็วระหว่างชิปเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ เมื่อทำการฝึกฝนโมเดลขนาดใหญ่มาก ๆ บางคอร์ของ GPU อาจว่างงานถึงครึ่งหนึ่งของเวลาทำงานจริง

Andrew Feldman ซีอีโอของ Cerebras สตาร์ทอัพจากซันนีเวล แคลิฟอร์เนีย เปรียบเทียบว่า “มันเหมือนการจราจรติดขัดในซูเปอร์มาร์เก็ตในช่วงก่อนวันขอบคุณพระเจ้า ทุกคนต้องต่อแถวเพื่อรอคอย จึงมีการติดขัดในที่จอดรถ ติดขัดในการแย่งชิงสินค้า และติดขัดที่จุดชำระเงิน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ GPU”

วิธีแก้ปัญหาของ Cerebras คือการรวมเอาคอร์ 900,000 ตัว พร้อมหน่วยความจำจำนวนมากยัดส่งลงบนชิปขนาดยักษ์เพียงชิปเดียว เพื่อลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อของชิปหลายตัวและการส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งชิปรุ่น CS-3 ของบริษัทมีขนาดใหญ่กว่าชิปอื่นๆ ถึง 50 เท่า

“ชิปของเรามีขนาดเท่าจานอาหาร แต่ GPU มีขนาดเล็กเท่าสแตมป์” Feldman กล่าว Cerebras อ้างว่าการเชื่อมต่อระหว่างคอร์บนชิปมีความเร็วสูงกว่าการเชื่อมต่อระหว่าง GPU ถึงร้อยเท่า ขณะที่วิธีการของพวกเขาช่วยลดการใช้พลังงานกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับ GPU ที่ทรงพลังที่สุดของ Nvidia

Andrew Feldman ซีอีโอของ Cerebras (CR:Eclipse VC)
Andrew Feldman ซีอีโอของ Cerebras (CR:Eclipse VC)

Groq สตาร์ทอัพอีกรายหนึ่ง กำลังใช้วิธีที่แตกต่าง ชิป AI ของบริษัทเรียกว่า Language Processing Units (LPUs) ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับการรันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ

นอกจากจะมีหน่วยความจำภายในตัวแล้ว ชิปเหล่านี้ยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนเราเตอร์ส่งผ่านข้อมูลระหว่าง LPU ที่เชื่อมต่อกัน ซอฟต์แวร์การเราท์ที่ชาญฉลาดจะช่วยลดระยะเวลาที่ใช้รอข้อมูล ทำให้ระบบทั้งหมดสามารถทำงานไปพร้อม ๆ กันได้ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วเป็นอย่างมาก

Groq ระบุว่า LPU ของพวกเขาสามารถรันโมเดล LLM ขนาดใหญ่ได้เร็วกว่าระบบปัจจุบันถึง 10 เท่า

อีกวิธีหนึ่งคือวิธีของ MatX ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนียเช่นเดียวกัน ตามที่ Reiner Pope ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทได้กล่าวถึง GPU มีคุณสมบัติที่ให้ความยืดหยุ่นสำหรับงานกราฟฟิก แต่ไม่จำเป็นสำหรับ LLM ชิปคล้าย GPU ที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่จึงตัดส่วนที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ทิ้งไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการทำสิ่งที่จำเป็นให้ดียิ่งขึ้น

สตาร์ทอัพด้านชิป AI รายอื่น ๆ ได้แก่ Hailo จากอิสราเอล Taalas จากโตรอนโต Tenstorrent บริษัทจากสหรัฐฯ ที่ใช้สถาปัตยกรรมโอเพนซอร์ส RISC V ในการสร้างชิป AI และ Graphcore จากสหราชอาณาจักร ซึ่งคาดว่าจะถูกซอฟต์แบงก์เข้าซื้อกิจการ

บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่น ๆ ก็กำลังพัฒนาชิป AI เช่นเดียวกัน Google ได้ทำการสร้าง “tensor processing units” (TPUs) ของตัวเองและเปิดให้บริการบนคลาวด์ Amazon , Meta และ Microsoft ก็มีชิปที่ออกแบบเฉพาะสำหรับบริการ AI บนคลาวด์ ในขณะที่ OpenAI ก็มีแผนที่ะจะพัฒนาด้วยเช่นกัน ส่วน AMD และ Intel ผู้ผลิตชิปรายใหญ่เองก็มีการผลิตชิปในลักษณะเดียวกับ GPU อยู่แล้ว

หนึ่งในความเสี่ยงสำหรับผู้เล่นรายใหม่คือความพยายามออกแบบชิปเฉพาะทางของพวกเขาเองอาจใช้เวลานานเกินไป Christos Kozyrakis นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดกล่าวว่า การออกแบบชิปโดยปรกติใช้เวลา 2-3 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปเมื่อเทียบกับอัตราเร็วในการพัฒนาของโมเดล AI

โอกาสของสตาร์ทอัพหน้าใหม่เหล่านี้คือพวกเขาอาจจะสร้างชิปที่เหมาะสมกับการรันโมเดลในอนาคตมากกว่า GPU ของ Nvidia ที่มีความเฉพาะทางในด้านการรันโมเดลเหล่านี้น้อยกว่า

Nvidia จะถูกล้มบัลลังก์?

ต้องบอกว่าหนึ่งในความท้าทายของอุตสาหกรรมนี้คือเรื่องของซอฟต์แวร์สำหรับการเขียนโปรแกรม เพราะ CUDA ของ Nvidia ได้กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Kozyrakis จากสแตนฟอร์ดกล่าวว่า Nvidia มีข้อได้เปรียบอย่างมากเนื่องจากได้สร้าง ecosystem ของซอฟต์แวร์มาเป็นเวลานาน

สตาร์ทอัพด้านชิป AI ที่คิดจะสู้ก็ต้องมีการสร้างแรงจูงใจเหล่านักพัฒนาปรับโค้ดเพื่อรันบนชิปใหม่ของพวกเขา ซึ่งมันเป็นงานที่มีความยากและซับซ้อนสูง นั่นเป็นเหตุผลอีกประการที่ยากจะล้มบัลลังก์ของ Nvidia ได้ง่าย ๆ

CUDA ของ Nvidia ได้กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม (CR:Vultr Docs)
CUDA ของ Nvidia ได้กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม (CR:Vultr Docs)

เหล่าลูกค้ารายใหญ่ที่สุดสำหรับชิป AI ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่สร้างโมเดล เช่น OpenAI , Anthropic และ Mistral หรือกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดยักษ์ เช่น Amazon , Meta , Microsoft และ Google

บริษัทเหล่านี้อาจตัดสินใจซื้อกิจการสตาร์ทอัพด้านชิป AI และเก็บเทคโนโลยีนั้นไว้เพื่อตนเอง และแทนที่จะแข่งกับ Nvidia สตาร์ทอัพด้านชิป AI อาจวางตำแหน่งของตัวเองให้เป็นเป้าหมายในการถูกเข้าซื้อกิจการแทน

บริษัทอย่าง MatX มุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าระดับบนสุดของตลาด โดยหวังที่จะขายชิปในลักษณะเดียวกับที่ Nvidia ทำ

Pope หนึ่งในผู้ก่อตั้งของ MatX กล่าวว่า “เราคิดว่าพวกเรามีธุรกิจที่มีความยั่งยืนในฐานะบริษัทที่มีความเป็นเอกเทศ” ซึ่งต้องรอดูกันต่อไป ส่วน Cerebras นั้นก็มีรายงานว่ากำลังเตรียมเสนอขายหุ้นสู่สาธารณะเป็นครั้งแรกอยู่

ก็ต้องบอกว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสตาร์ทอัพรายใดที่มีแววว่าจะลุกขึ้นมาท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Nvidia ได้ แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีสตาร์ทอัพเจ๋ง ๆ สักรายสามารถทำได้สำเร็จ

การแข่งขันในอุตสาหกรรมชิป AI กำลังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่ต่างมุ่งมั่นที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเอาชนะผู้นำตลาดเดิมอย่าง Nvidia ด้วยความต้องการชิปที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับโมเดล AI ที่ซับซ้อนและขนาดใหญ่ที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ได้แสดงศักยภาพและคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว

ดังนั้นแม้ปัจจะบัน Nvidia จะยังครองความเป็นผู้นำในตลาดชิป AI แต่ก็ไม่ควรมองข้ามศักยภาพของคู่แข่งรายใหม่ เพราะพวกเขากำลังผลักดันนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และหากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีชิปที่ดีกว่า และตรงกับการใช้งานมากกว่าได้สำเร็จ ก็มีโอกาสสูงที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดหรือแม้กระทั่งการโค่นล้มล้มบัลลังก์ของยักษ์ที่น่าเกรมขามอย่าง Nvidia ได้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2024/05/19/can-nvidia-be-dethroned-meet-the-startups-vying-for-its-crown
https://www.businessinsider.com/nvidia-jensen-huang-chipmaker-cofounder-ceo-wealth-net-worth-ai-2023-5#huang-founded-nvidia-on-over-a-meal-at-dennys-4
https://www.tradingview.com/news/invezz:8cb750033094b:0-microsoft-apple-nvidia-google-are-now-bigger-than-the-dax-index

Geek Talk EP42 : บทเรียนความเป็นผู้นำของ Roy Kean จากสารคดี 99 (ManUtd Treble Winners)

แม้ว่าฤดูกาล 1998-99 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ แต่เรื่องราวเบื้องหลังมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หลายคนคิด

แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของทีมก็คือ งานปาร์ตี้คริสต์มาสในช่วงปลายปี 1998 โดย Roy Keane ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำที่คิดจะจัดงานงานปาร์ตี้ ซึ่ง Gary Neville ได้กล่าวว่าถึงสุนทรพจน์ของ Kean ในค่ำคืนนั้นว่ามันเป็นการสร้างแรงกระตุ้นครั้งสำคัญให้กับทุกคนในทีม มันเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับขวัญและกำลังใจของทีมอย่างแท้จริงก่อนที่ทีมจะพลิกสถานการณ์มาสร้างประวัติศาสตร์คว้า Treble Champ ได้สำเร็จ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3mw7836a

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdcv854x

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yc37jhae

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
 https://tinyurl.com/2wja8tmf

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/t-ic_lyySyw