Bitcoin มีความโชคดีในการเข้ามาสู่โลกในช่วงเวลาที่เป็นยุคยูโทเปียหลังจากเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ที่ทำให้เกิดข้อบกพร่องหลายประการของระบบการเงินและการเมืองที่มีอยู่ของเรา นั่นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความปรารถนาในการแสวงหาทางเลือกอื่น
ในขณะที่กลุ่ม Tea Party กำลังครอบครองวอลล์สตรีท ฟากฝั่งของ WikiLeaks ก็มีเป้าหมายที่แตกต่างออกไป พวกเขาต้องการที่จะยึดอำนาจคืนจากชนชั้นสูงที่ได้รับสิทธิพิเศษและมอบคืนให้กับคนธรรมดาเดินดิน
Bitcoin เป็นโซลูชันทางเทคโนโลยีที่ชัดเจนสำหรับความต้องการเหล่านี้ เห็นได้ชัดจากผู้คนมากมายที่ทิ้งชีวิตเก่า ๆ ไว้เบื้องหลังเพื่อไล่ตามเทคโนโลยีนี้
สำหรับโครงการที่โดดเด่นที่สุดที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน Bicoin ให้กลายเป็นเงินจริง ๆ โครงการแรก คือ Bitcoin faucet ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่แจก Bitcoins ฟรี 5 เหรียญสำหรับทุกคนที่ลงทะเบียน
ผู้สร้างโครงการคือ Gavin Andresen โปรแกรมเมอร์ในแมสซาชูเซตส์ซึ่งยินดีจ่ายเงิน 50 เหรียญเพื่อแลกกับ 10,000 Bitcoins
เขาได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยีครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมจากเว็บไซต์ของ InfoWorld โดย Gavin เขียนไว้ในฟอรัมว่า “ผมต้องการให้โครงการ Bitcoin ประสบความสำเร็จและผมคิดว่ามันมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นหากผู้คนสามารถหาเหรียญจำนวนหนึ่งมาทดลองใช้ แน่นอนว่าอาจเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ต้องรอจนกว่าโหนดของคุณจะสร้างเหรียญขึ้นมา และดูเหมือนว่าการซื้อ Bitcoins นั้นก็ยังค่อนข้างยุ่งยาก”
ในการเริ่มเข้าร่วมโครงการ Bitcoin Gavin ได้เริ่มส่งอีเมลถึง Satoshi Nakamoto ชายลึกลับผู้เริ่มต้นโปรเจกต์ Bitcoin อย่างรวดเร็วเพื่อแนะนำการปรับปรุงโค้ดของตัวเองและในเวลาไม่นานก็กลายเป็นบุคคลแรกนอกเหนือจาก Satoshi ที่ทำการเปลี่ยนแปลง Source Code ของ Bitcoin อย่างเป็นทางการ
สิ่งที่มีค่ามากกว่าการเขียนโปรแกรมของ Gavin คือความปรารถนาดีและความซื่อสัตย์ของเขาซึ่งทั้งสองอย่างนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับโครงการ Bitcoin เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้รายใหม่
เนื่องจาก Satoshi เปรียบเสมือนบุคคลนิรนามที่ไร้ตัวตน เขาได้ออกแบบซอฟต์แวร์ของเขาให้เป็นโอเพ่นซอร์สเพื่อให้เหล่าผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเชื่อใจเขา แต่ในยุคนนั้นต้องบอกว่าผู้คนก็ไม่ได้เต็มใจที่จะมอบเงินจริง ๆ ให้กับเครือข่ายที่ดำเนินการโดยกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ออกนามจำนวนมาก
จุดเปลี่ยนของครั้งสำคัญที่สุด
สถานการณ์ของ Project Bitcoin ได้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจริง ๆ เมื่อเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Slashdot ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวสำหรับเหล่าเนิร์ดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกกำลังจะโพสต์บทความเกี่ยวกับโครงการ Bitcoin ซึ่งจะทำให้ Bitcoin ได้รับความสนใจจากทั่วโลก
“Slashdot ที่มีผู้อ่านที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลายล้านคน น่าจะยอดเยี่ยม บางทีอาจจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!” Martti Malmi ซึ่งเป็นหนึ่งนักพัฒนาในกลุ่ม Bitcoins เขียนในฟอรัม “ผมแค่หวังว่าเซิร์ฟเวอร์จะไม่ล่มไปซะก่อน เพื่อรองรับกลุ่มผู้คนที่จะแห่กันเข้ามาจาก ‘slashdotted’”
หลังจากที่ Martti ได้แก้ไขบทความเวอร์ชันสุดท้าย โดยเป็นการกล่าวอย่างถ่อมตัวมากขึ้นว่า “ชุมชนมีความหวังว่าสกุลเงินใหม่นี้จะอยู่นอกเหนือการเข้าถึงของรัฐบาลใด ๆ ”
เมื่อบทความออนไลน์ได้ไม่นานหลังเที่ยงคืนในเฮลซิงกิไม่มีอะไรมากไปกว่าย่อหน้าเดียวของบทความที่พาดหัวไว้ว่า
“Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลบนเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ที่ไม่มีธนาคารเป็นตัวกลางและไม่มีค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรม”
Martti ได้มองไปที่ตัวนับ ซึ่งใช้ติดตามจำนวนผู้ใช้ในฟอรัมและช่องแชท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งหลังจากบทความได้ถูกปล่อยออกไป มีคำถามเกิดขึ้นมากมายรวมถึงการถกเถียงที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนาของพวกเขา
และเว็บไซต์ Bitcoin ซึ่งทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่สามารถรองรับผู้ชมได้มากกว่าหนึ่งร้อยคนในแต่ละครั้งก็เริ่มสะดุด ภายในหนึ่งชั่วโมงก็ถึงขีดจำกัด และไซต์ทั้งหมดก็ล่มไปในที่สุด
Martti พยายามขยายขีดความสามารถของไซต์กับบริษัท hosting แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนา ทั้งความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบที่ปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากบทความของ Slashdot ออนไลน์นั้น ไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของเขาลดลงไปเลย เพราะนี่คือสิ่งที่เขาและทีมงาน Bitcoin รอคอยมาหลายเดือนแล้วนั่นเอง
หลังจากโพสต์ที่ Slashdot ออนไลน์ Martti เห็นว่าผู้คนไม่เพียงแค่เข้ามาดูข้อมูลที่ไซต์ของ Bitcoin เพียงเท่านั้น พวกเขายังดาวน์โหลดและใช้งานซอฟต์แวร์ Bitcoin อีกด้วย จำนวนการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นจากประมาณสามพันครั้งในเดือนมิถุนายนเป็นมากกว่าสองหมื่นครั้งในเดือนกรกฎาคม ปี 2010
แต่ในขณะที่ซอฟต์แวร์ Bitcoin ใช้งานได้ดีผู้ใช้ใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากระบบของ Bitcoin ผู้ที่ต้องการเหรียญ Bitcoins เพิ่มเติม ก็มักจะพุ่งตรงไปที่ faucet ของ Gavin เพราะในตอนนั้นมันเป็นเพียงไม่กี่ตัวเลือกที่กลุ่มคนหน้าใหม่จะได้ครอบครอง Bitcoin
การถือกำเนิดของ Exchange Platform แห่งแรก
Jed McCaleb เป็นหนึ่งในคนที่พบจุดอ่อนนี้ Jed ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอาร์คันซอได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักข่าว ตั้งแต่ยังเด็ก Jed เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์และสิ่งนี้ทำให้เขาได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เบิร์กลีย์
และในไม่ช้าเขาก็ลาออกจากเบิร์กลีย์และย้ายไปนิวยอร์ก ที่นั่นเขาและหุ้นส่วนได้สร้างสิ่งที่กลายเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดหลักของ Napster ซอฟต์แวร์ของเขาอย่าง eDonkey ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนไฟล์ขนาดใหญ่เช่นภาพยนตร์ได้และพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากจนสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงแห่งอเมริกาต้องฟ้องร้องเขา
Jed และหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขาต้องจ่ายเงิน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีและปิด eDonkey ลง แต่พวกเขาก็มีรายได้อีกหลายล้านไปพร้อมกันหลังจากคดียุติ
เมื่อ Jed เจอโพสต์ Slashdot เกี่ยวกับ Bitcoin เขาก็รู้สึกทึ่งในทันที ดูเหมือนจะตอบสนองสิ่งที่คล้าย ๆ แนวคิดเบื้องหลังของทั้ง Napster และ eDonkey – การยึดอำนาจจากหน่วยงานรัฐและมอบมันให้กับคนธรรมดาสามัญ แต่เมื่อ Jed พยายามซื้อ Bitcoins เขาก็พบข้อจำกัดของเว็บไซต์ที่มีอยู่ไม่กี่แห่งที่ขายได้
Jed กล่าวว่าเขาต้องการสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองซึ่งเขาสามารถซื้อเหรียญได้ตลอดเวลา ด้วยประสบการณ์ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศแบบสมัครเล่น Jed จึงรู้พื้นฐานของการแลกเปลี่ยน แต่เขาไม่เคยสร้างเว็บไซต์มาก่อนโดยก่อนหน้านี้ได้ทำงานกับซอฟต์แวร์แบ็คเอนด์เพียงเท่านั้น เว็บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่ของเขาดูเหมือนจะเป็นสนามเด็กเล่นให้เขาได้ทดลองอะไรบางอย่าง
เขาคิดถึงชื่อที่เป็นไปได้ของเว็บไซต์ เขาเคยมีโดเมนเก่าที่เขาเป็นเจ้าของและไม่ได้ใช้งาน –mtgox.com
Jed ได้ซื้อเว็บไซต์ในปี 2007 เพื่อใช้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนออนไลน์เพื่อซื้อและขายบัตรที่ใช้ในการเล่นเกมแนวเวทมนตร์ ซึ่งได้เปิดดำเนินการเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ Jed จะปิดตัวมันลงไปและเว็บไซต์ก็ว่างลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เจ็ดวันหลังจากโพสต์ Slashdot Jed ได้โฆษณาเว็บไซต์ใหม่ของเขาบนฟอรัม Bitcoin อย่างไม่เป็นทางการ:
สวัสดีทุกคน,
ผมเพิ่งทำเว็บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่
โปรดแจ้งให้เราทราบว่าคุณคิดอย่างไร
Mt. Gox เป็นการปฏิวัติจากการแลกเปลี่ยนที่มีอยู่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก Jed เสนอให้นำเงินจากลูกค้าเข้าสู่บัญชี PayPal ของเขา และด้วยเหตุนี้จึงเสี่ยงต่อการละเมิดกฎข้อห้ามของ PayPal ในการซื้อและขายสกุลเงิน นั่นหมายความว่า Jed สามารถรับเงินได้จากเกือบทุกแห่งในโลก
ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้าไม่ต้องส่งเงินให้ Jed ทุกครั้งที่ต้องการทำการขาย แต่พวกเขาสามารถถือเงินได้ทั้งดอลลาร์และ Bitcoin ในบัญชีของ Jed จากนั้นเทรดในทิศทางใดก็ได้ตราบเท่าที่พวกเขามีเงินเพียงพอเช่นเดียวกับรูปแบบของบัญชีนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม
ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้การซื้อและขาย Bitcoin สะดวกขึ้นอย่างมาก แต่ยังนำมาซึ่งอันตรายใหม่ ๆ ที่ดูเหมือนจะขัดหลักการพื้นฐานของสกุลเงินที่ Satoshi ได้ออกแบบมาเพื่อขจัดคนกลางเฉกเช่นแพลตฟอร์มของ Jed
มันควรจะเป็นสกุลเงินรูปแบบใหม่ที่ผู้คนสามารถถือครองได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีธนาคาร มีความปลอดภัยด้วยคีย์ส่วนตัวที่มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่รู้ Mt.Gox ได้เปลี่ยนแนวคิดกลับไปใช้โมเดลแบบเดิม ๆ ที่มีสถาบันเป็นตัวกลาง
บริษัทของ Jed เป็นผู้ดูแลเงินของทุกคน หาก Jed เสนอมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีสิ่งนี้อาจพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยกว่าการถือเหรียญเก็บไว้กับคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้ใช้เอง
แต่ Jed ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและถ้าเขาทำคีย์ส่วนตัวในกระเป๋าเงินดิจิทัลของ Exchange หายไป ลูกค้าของเขาก็แทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่เหมือนธนาคารที่ยังมีความรับผิดชอบอยู่บ้าง
Mt. Gox ไม่มีการประกันเงินฝากและไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลดูแลด้านความปลอดภัย และวิธีการของ Jed ต้องเลือกความ balance ระหว่างความปลอดภัย , หลักการของ Bitcoin และความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน
เมื่อสมาชิกฟอรัมถามว่าทำไมจึงควรเลือก Mt. Gox เหนือทางเลือกอื่น Jed ตอบกลับด้วยวิธีที่สุภาพ แต่มั่นใจ
“มันออนไลน์อยู่เสมอโดยอัตโนมัติไซต์เร็วขึ้นและบนโฮสติ้งแบบเฉพาะและผมคิดว่าอินเทอร์เฟซนั้นดีเลิศ”
แม้กระทั่ง Jed เองก็ยังประหลาดใจที่ผู้คนเชื่อถือคำกล่าวของเขา และส่งเงินไปยังบัญชี PayPal ของเขาได้อย่างง่ายดายมาก ๆ ในวันแรกของการทำธุรกิจวันที่ 18 กรกฎาคมปี 2010 มีการซื้อขาย Bitcoin ยี่สิบเหรียญในราคาห้าเซ็นต์บน Mt. Gox
แต่ภายในสัปดาห์แรกมีบางวันที่มีการซื้อขายหลักร้อยดอลลาร์ และเมื่อถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม Mt. Gox แซงหน้าบริการของ Martti และแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในด้านปริมาณการซื้อขายจนกลายเป็นธุรกิจ Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ความกังวลใหญ่ที่ก่อให้เกิดปัญหาในฟอรัม Bitcoin คือวิธีดึงดูดผู้ใช้ใหม่ แต่ปัญหาใหม่ก็คือวิธีจัดการกับการไหลเข้าของผู้ใช้ใหม่กับพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายได้
ปัญหาเหล่านี้เริ่มเด่นชัดโดยเฉพาะหลังจาก Bitcoin พุ่งเข้าสู่สปอตไลท์ครั้งใหญ่ครั้งต่อไป ในเดือนพฤศจิกายน WikiLeaks ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยผู้มีส่วนร่วมในขบวนการ Cypherpunk เก่าอย่าง Julian Assange ได้เปิดเผยความลับมากมาย โดยเฉพาะเอกสารทางการทูตอเมริกันที่มีปฏิบัติการลับไปทั่วทุกมุมโลก
บริษัทบัตรเครดิตขนาดใหญ่และ PayPal ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองในทันทีให้ตัดการบริจาคให้กับ WikiLeaks ซึ่งพวกเขาทำในช่วงต้นเดือนธันวาคมในสิ่งที่เรียกว่าการปิดล้อม WikiLeaks
ความเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่อาจเป็นปัญหาระหว่างอุตสาหกรรมการเงินและรัฐบาล หากนักการเมืองไม่ชอบแนวคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอให้ธนาคารและเครือข่ายบัตรเครดิตปฏิเสธการเข้าถึงระบบการเงินของกลุ่มที่ไม่เป็นที่นิยม โดยแทบไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากศาล อุตสาหกรรมการเงินดูเหมือนจะให้วิธีการนอกกฎหมายแก่นักการเมืองในการปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วย
การปิดล้อม WikiLeaks เป็นหัวใจหลักของข้อกังวลบางประการที่กระตุ้นให้เกิด Cypherpunks ในทางกลับกัน Bitcoin ดูเหมือนจะมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหา แต่ละคนในเครือข่ายควบคุมเหรียญของตนด้วยคีย์ส่วนตัว ไม่มีองค์กรกลางที่สามารถตรึงที่อยู่ Bitcoin ของบุคคลหรือหยุดการส่งเหรียญจากที่อยู่ใดที่อยู่หนึ่งได้
ไม่กี่วันหลังจากการปิดล้อม WikiLeaks เริ่มขึ้น PCWorld ได้เขียนเรื่องราวที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางซึ่งระบุถึงประโยชน์ที่ชัดเจนของ Bitcoin :“ ไม่มีใครสามารถหยุดระบบ Bitcoin หรือเซ็นเซอร์มันได้เนื่องจากไม่มีใครสามารถปิดกั้นอินเทอร์เน็ตได้ทั้งหมด หาก WikiLeaks ร้องขอ Bitcoin พวกเขาก็จะได้รับเงินบริจาคโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย”
ยังไม่ชัดเจนว่า Bitcoin สามารถใช้ในกรณีนี้ได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติการปิดล้อม WikiLeaks ช่วยยกระดับการถกเถียงเกี่ยวกับ Bitcoin นอกเหนือจากประเด็นที่ค่อนข้างแคบในเรื่องความเป็นส่วนตัวและการพิมพ์เงินของรัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญในช่วงแรก และนี่คือประเด็นทางปรัชญาที่มีความลึกซึ้งขึ้นซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมได้กว้างขึ้น และฟอรัมก็เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่ที่เริ่มหันมาสนใจ
หนึ่งผู้ใช้รายใหม่คือหนุ่มชาวอังกฤษที่ชื่อ Amir Taaki เสนอให้บริจาค Bitcoin ให้กับ WikiLeaks Amir ได้กล่าวว่า สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโปรไฟล์ของ Bitcoin ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วย WikiLeaks หาเงินได้เช่นเดียวกัน
สิ่งนี้ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงในฟอรัม โปรแกรมเมอร์จำนวนมากกังวลว่าเครือข่าย Bitcoin ไม่พร้อมสำหรับการรับส่งข้อมูลทั้งหมดและการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาลซึ่งอาจเกิดขึ้นหากเริ่มใช้เพื่อการบริจาคให้กับ WikiLeaks
ในที่สุด Satoshi ก็เข้ามายุติการถกเถียง เมื่อมีคนในฟอรัมเขียนว่าให้ Satoshi เข้ามาตอบอย่างจริงจัง:
“ไม่!!! อย่าเปิดรับการบริจาคให้ WikiLeaks”
โครงการต้องค่อยๆเติบโตเพื่อให้ซอฟต์แวร์มีความเข้มแข็งไปพร้อมกัน
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะโน้มน้าว Amir
นี่เป็นหนึ่งในจำนวนการสื่อสารที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ จาก Satoshi ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 ข้อความจากทั้ง Satoshi เริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ
Final Messages
การค่อยๆหายตัวไปของ Satoshi นั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเขายังคงโพสต์ในฟอรัมเป็นครั้งคราวเมื่อมีคำถามเฉพาะ แต่เขาไม่เคยปรากฏตัวในช่องแชทและเปลี่ยนไปใช้การสื่อสารส่วนตัวที่ไม่บ่อยนักกับ Gavin และนักพัฒนาอื่น ๆ เพียงไม่กี่คน
ในเดือนธันวาคม Satoshi ถาม Gavin ว่าเขาต้องการให้ที่อยู่อีเมลของเขาโพสต์บนเว็บไซต์ Bitcoin สำหรับใช้ในการติดต่อหรือไม่ Gavin ก็สังเกตว่าอีเมลของ Satoshi ได้หายไป
และโพสต์ในฟอรัมสาธารณะครั้งสุดท้ายที่เป็น Final Message ที่มาจาก Satoshi ในวันที่ 12 ธันวาคม 2010 เป็นการประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดเวอร์ชัน 0.3.19
โพสต์ดังกล่าวมีน้ำเสียงที่แตกต่างจากโพสต์แรก ๆ อย่างเห็นได้ชัดที่เดิมนั้นเน้นขายศักยภาพของ Bitcoin ในระดับโลก แต่ในโพสต์สุดท้ายของ Satoshi คือคำเตือนว่า Bitcoin ยังคงมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อการโจมตี
“ยังมีอีกหลายวิธีในการโจมตี Bitcoin มากกว่าที่ผมจะนับได้” Satoshi เขียนในบันทึกย่อ
หลังจากนั้นก็เริ่มมีการตามล่า Satoshi ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ผู้คนในช่องแชทเริ่มถกเถียงกันถึงรายละเอียดที่มีอยู่เกี่ยวกับ Satoshi และความสำคัญของเขา
มีข้อสังเกตว่าบางครั้ง Satoshi ใช้การสะกดและคำภาษาอังกฤษเช่น “bloody” นอกจากนี้ยังมีงานเขียนจากข่าวของอังกฤษที่เขียนลงในบล็อกแรกของ Bitcoins ที่ถูกสร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ของ Satoshi
ผู้ใช้ Bitcoin ในญี่ปุ่นตั้งข้อสังเกตว่า Satoshi เป็นชื่อสามัญในญี่ปุ่น แต่เขาแย้งว่า Satoshi ไม่น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นเนื่องจาก Satoshi ไม่เคยใช้คำภาษาญี่ปุ่นและมักจะเขียนชื่อของเขาด้วยนามสกุลซึ่งขัดกับธรรมเนียมของญี่ปุ่น
นั่นทำให้ Gavin ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดใน Bitcoin เพราะเขาและ Satoshi เพียงเท่านั้นที่สามารถลงนามในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ใน Bitcoin ได้
สาเหตุหลักของความไม่ไว้วางใจ Bitcoin จากคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ไม่ใช่เรื่องความลึกลับของ Satoshi แต่การไม่เปิดเผยตัวตนได้ชี้ให้เห็นว่า Bitcoin ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่แสวงหาชื่อเสียงหรือความสำเร็จส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นการไม่มีอยู่ของ Satoshi ทำให้ผู้คนสามารถแสดงวิสัยทัศน์ของตนเองบน Bitcoin ได้
เมื่อตัดภาพมาในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายทั้งการฉ้อโกง การหลอกลวง หรืออีกมากมายซึ่งมันแทบจะไม่ได้เกี่ยวกับ Bitcoin แต่อย่างใดแต่มักจะถูกเหมารวมไปด้วย
ซึ่งมันได้กลายเป็นว่าเหล่าผู้คนในกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาในยุคหลังที่อาศัยความโลภของมนนุษย์ ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อ Bitcoin แทน ซึ่งมันค่อนข้างที่จะคล้ายกับคำเตือนสุดท้ายที่ Satoshi Nakamoto ได้กล่าวไว้นั่นเองครับผม
References :
หนังสือ Bitcoin Millionaires โดย Ben Mezrich
หนังสือ Digital Gold โดย Nathaniel Popper
https://www.pexels.com/photo/a-close-up-shot-of-a-bitcoin-commemorative-coin-11070638/