Ginormous กับกล้องโทรทัศน์ค้นหา Alien จากจีน

หลังจากการทดสอบเป็นเวลาสามปีจีนได้เปิดกล้องโทรทรรศน์ทรงกลม Aperture Spherical ขนาด 500 เมตรให้กับนักดาราศาสตร์จากทั่วโลก จากการรายงานของ Nature.com ซึ่งจีนได้กล่าวว่าเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบจานเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

กล้องโทรทรรศน์จะถูกสแกนไปบนท้องฟ้ามากที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีขนาดเป็นสองเท่าของกล้องโทรทรรศน์จานเดียว Arecibo Observatory ในเปอร์โตริโก มันจะสามารถตรวจจับได้แม้กระทั่งคลื่นวิทยุที่แผ่วเบาที่สุดที่แผ่ออกมาจากวัตถุบนท้องฟ้า เช่นพัลซาร์ และกาแลคซีทั้งหมด และอาจถูกนำมาใช้เพื่อค้นหาโลกที่ห่างไกลซึ่งอาจเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ต่างดาว

ด้วยการก่อสร้างในสถานที่ที่ไกลมาก ๆ ของกล้องโทรทรรศน์ในจีน ซึ่งอยู่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้การก่อสร้างมีความท้าทายเป็นอย่างมาก วิศวกรใช้เวลาห้าปีในการสร้างจาน 500 เมตรซึ่งประกอบด้วยแผงอลูมิเนียมประมาณ 4,400 แผ่น

กล้องโทรทรรศน์สามารถเร่งการค้นพบปรากฏการณ์จักรวาลอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่นมันพบมากกว่า 100 พัลซาร์ในระหว่างการทดสอบเพียงครั้งเดียว จนมาถึงปี 2017 นักวิทยาศาสตร์นั้นสามารถเข้าใจได้เพียง 2,000 พัลซาร์ ตามข้อมูลขององค์การ Nasa

กล้องโทรทรรศน์ยังได้ตรวจพบการระเบิดหลายร้อยจุดผ่านทางคลื่นวิทยุ โดยกล้องโทรทัศน์ตัวใหม่นี้ สามารถตรวจพบดาวเคราะห์นอกระบบที่อยู่ไกลออกไปจากการปล่อยคลื่นวิทยุเพียงอย่างเดียว ซึ่งตอนนี้แม้มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของวงการดาราศาสตร์โลก ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกนั่นเองครับ

ซึ่งความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่เหลืออยู่คือการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อที่กล้องโทรทรรศน์ตัวนี้จะรวบรวมข้อมูลไว้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อนั้นเราอาจจะไขปัญหาสิ่งชีวิตนอกโลก ที่ยังไม่มีคำตอบมาอย่างยาวนาน ได้สำเร็จ ก็เป็นได้ครับ

*** พัลซาร์ (Pulsar; มาจากการรวมกันของ 2 คำ คือ pulsating และ star) คือดาวนิวตรอนที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงมาก และแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเป็นจังหวะ คาบการหมุนที่สังเกตได้อยู่ระหว่าง 1.4 มิลลิวินาที ถึง 8.5 วินาที เราสามารถสังเกตเห็นการแผ่รังสีได้จากลำรังสีที่ชี้มาทางโลกเท่านั้น ลักษณะปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า ปรากฏการณ์ประภาคาร (lighthouse effect) และการที่สังเกตเห็นรังสีเป็นช่วงๆ (pulse) นี้เองเป็นที่มาของชื่อพัลซาร์ พัลซาร์บางแห่งจะมีดาวเคราะห์โคจรอยู่รอบๆ ***

References : https://www.nature.com
https://th.wikipedia.org/wiki/

ประวัติ TED กับสุดยอดแรงบันดาลใจและการเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

TED เกิดขึ้นในปี 1984 จาก Richard Saul Wurman เกี่ยวกับการรวมพลังในศาสตร์ต่าง ๆ 3 สาขา ได้แก่ เทคโนโลยี ความบันเทิง และการออกแบบ โดยการประชุม TED ในครั้งแรกนั้น เขาและผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Harry Marks ได้แสดงการสาธิเทคโนโลยีอย่าง Compact disc , e-book และการใช้เทคโนโลยี cutting-edge 3D graphics จากลูคัสฟิล์ม โดยในขณะที่นักคณิตศาสตร์อย่าง Benoit Mandelbrot แสดงให้เห็นถึงวิธีการทำแผนที่ชายฝั่งโดยใช้ทฤษฎีใหม่ของเขาอย่าง fractal geometry

แต่แม้ช่วงแรก ๆ นั้น จะเป็นองค์กรที่มีแต่ค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 6 ปีก่อนที่ Wurman และ Marks จะพยายามอีกครั้ง ในปี 1990 ในขณะที่โลกพร้อมแล้วนั้น การประชุม TEDได้กลายเป็นงานประจำปีที่เมืองมอนเทอเรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมที่เพิ่มมากขึ้นและมีอิทธิพลจากสาขาวิชาต่าง ๆ ที่มาจากความอยากรู้อยากเห็นและความใจกว้างของเหล่าผู้ที่มาพูด ซึ่งรวมถึงการค้นพบความลับที่น่าตื่นเต้นในหลาย ๆ เรื่องผ่านเวทีนี้ 

ในขณะเดียวกันบัญชีรายชื่อของผู้นำเสนอก็รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักกดนตรีผู้นำทางธุรกิจและผู้นำศาสนาผู้ใจบุญและคนอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับผู้เข้าร่วมที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

TED ได้กลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์ทางด้านการแสดงออกทางปัญญาของปี และการที่ผู้ประกอบการสื่อ Chris Anderson ที่ได้พบกับ Wurman ในปี 2000 เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของการประชุม TED ซึ่งได้มีข้อตกลงเกิดขึ้นและในปี 2001 มูลนิธิ Sapling ที่ไม่แสวงหากำไรของ Anderson ได้รับ TED เข้ามาดูแล และ Anderson ก็กลายเป็นผู้ดูแลกิจการทั้งหมดของ TED ในที่สุด

Richard Saul Wurman ผู่ก่อตั้ง TED
Richard Saul Wurman ผู่ก่อตั้ง TED

ในการประชุมที่ไม่แสวงหาผลกำไร Anderson ยืนหยัดด้วยหลักการที่ทำให้ TED มีความยอดเยี่ยมที่สุด: ซึ่งรูปแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจ และด้วยปริมาณของเนื้อหาที่มีอยู่มากมาย รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผู้คนที่น่าสนใจที่สุดบนโลก เพื่อมาพูดในเวทีนี้ ในไม่ช้ามันก็ชัดเจนว่าความคิดและแรงบันดาลใจที่สร้างขึ้นที่ TED นั้นน่าจะส่งผลดีออกไปได้ไกลเกินกว่า เพียงในเมืองของมอนเทอเรย์ อีกต่อไป

ดังนั้นปี 2001-2006 เราจึงได้เห็นการเพิ่มเติมที่สำคัญสามประการในตระกูล TED:

  • การประชุม TEDGlobal ที่จัดขึ้นในสถานที่ต่างๆทั่วโลก
  • รางวัล TED Prize ซึ่งให้รางวัลกับผู้ชนะ ที่ต้องการที่จะเปลี่ยนโลก
  • TED Talks ซีรีย์เสียงและวิดีโอซึ่งเป็นเนื้อหา TED ที่ดีที่สุดโดยปล่อยออกมาในโลกออนไลน์แบบฟรี

โดยตอนแรกของ TED Talks ถูกโพสต์ออนไลน์ในวันที่ 27 มิถุนายน 2006 เมื่อผ่านไปถึงเดือนกันยายนมีผู้คนเข้ามาชมมากกว่าหนึ่งล้านวิว TED Talks ได้รับความนิยมอย่างมากจนในปี 2007 เว็บไซต์ของ TED ได้เปิดตัวรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ชมทั่วโลกสามารถเข้าถึงนักคิด ผู้นำและ ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ขึ้นเวที ที่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้

ในปี 2008 ได้เปิดตัวการ Broadcast รูปแบบใหม่ที่สร้างขึ้นโดย TED Talks โดยมีการเปิดตัว TEDActive ซึ่งเป็นการออกอากาศสดแบบคู่ขนานของการประชุม TED ในฤดูใบไม้ผลิซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากสามารถเข้าร่วม join ได้ในราคาที่ถูกลง 

ในปี 2009 จำนวนการดู TED Talk ได้เพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านครั้ง และได้ทำให้มีการแจ้งเกิด Internet Heroes อย่าง Jill Bolte Taylor และ Sir Ken Robinson

ในปีเดียวกันนั้น โปรแกรม TED Fellows ได้เปิดตัวขึ้น เพื่อนำเสนอนวัตกรรมที่กำลังมาแรงจากทั่วโลกไปสู่การประชุมแบบฟรี ในปีเดียวกันนั้นก็ได้มีการสร้าง TEDx ซึ่งเป็นรูปแบบที่เปิดกว้างของ TED สำหรับกิจกรรมในท้องถิ่นที่จัดขึ้นได้อย่างอิสระ และในเวลาเดียวกันได้เริ่มโปรแกรม TED Translator เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ TED Talks เพื่อแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กว่า 100 ภาษา

ในเดือนมีนาคม 2012 TED-Ed ได้เปิดตัวขึ้นเพื่อสร้างบทเรียนวิดีโอสั้น ๆ ที่มุ่งเป้าไปที่นักการศึกษา และในเดือนเมษายน 2012 ได้เปิดตัว TED Radio Hour ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่นำความคิดและเรื่องราวจาก TED Talks ไปยังผู้ฟังผ่านทางวิทยุสาธารณะ โครงการทั้งหมดเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการเข้าถึงแนวคิดที่มากขึ้นและเป็นการเข้าถึงแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2012 TED Talks ได้ฉลองการเข้าดูวิดีโอถึงหนึ่งในพันล้านครั้ง ในขณะที่ TED Talks ได้รับการเฝ้าจับตามองจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยมีเหล่าผู้คนหน้าใหม่ที่มีการเข้าดูเฉลี่ยถึง 17 ครั้ง

มีคนชื่อดังมากมายขึ้นเวทีพูดเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ
มีคนชื่อดังมากมายขึ้นเวทีพูดเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ

การประชุมและกิจกรรมของ TED จะสร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกตื่นเต้นกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา และในปี 2014 การประชุม TED ประจำปีฉลองครบรอบ 30 ปี ในเมืองแวนคูเวอร์ประเทศแคนาดา สาระสำคัญของการประชุมครั้งสำคัญครั้งนั้นก็คือ: ซึ่งเป็นการกล่าวถึงบทบาทต่อไป ของ TED ซึ่ง เป็นภาพสะท้อนของการพัฒนาในรอบ 30 ปีที่ผ่านมารวมถึงการมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าในอนาคตนั่นเองครับ

References : https://www.ted.com
wikipedia.org

Quantum Supremacy กับอนาคตการประมวลผลของ Google

จากรายงาน โดย Financial Times ที่ได้รายงานเกี่ยวกับเรื่องทางเทคนิคของนาซ่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวิจัยของ Google ได้ประสบความสำเร็จในการสร้าง “quantum supremacy” กล่าวอีกนัยหนึ่งมันคือเทคโนโลยีควนตัมคอมพิวเตอร์ของพวกเขา ซึ่งสามารถให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วกว่าโปรเซสเซอร์คอมพิวเตอร์ทั่วไป 

“ สำหรับความรู้ของเราในการทดลองนี้นับเป็นการคำนวณโดยควอนตัมคอมพิวเตอร์ครั้งแรก ที่สามารถทำได้บนตัวประมวลผลเชิงปริมาณเพียงเท่านั้น” ซึ่งเอกสารยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Google

การแข่งขันระหว่างควอนตัมคอมพิวเตอร์และคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมนั้นไม่ได้มีความใกล้เคียงกันเลย โดยหน่วยประมวลผลสมรรถนะสูงอย่าง “ Sycamore” ซึ่งเป็นของ Google นั้นมีความเร็วถึง 53 qubits ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาที่หากใช้คอมพิวเตอร์แบบเดิม ๆ นั้นต้องใช้เวลานานเป็น 10,000 ปี ถึงจะแก้ได้สำเร็จ

หลังจากมีข่าวออกมาถึงเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว Andrew Yang ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้เตือนบน Twitter ว่าคอมพิวเตอร์ของ Google สามารถใช้ในการทำลายการเข้ารหัสของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้ทั้งหมด แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเข้ารหัสระดับสูงนั้นยังต้องใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเพื่อถอดรหัสเป็นเวลาอีกหลายปี

ปัญหาคอมพิวเตอร์ควอนตัมของ Google ที่แก้ไขได้สำเร็จแล้วนั้น ก็อาจจะยังไม่เป็นประโยชน์แบบเห็นได้ชัดเจนมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกแห่งความเป็นจริงตามรายงานของ Physics World เนื่องจากงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการสุ่มของเลขฐานสอง ( Randomness of binary numbers ) ที่จะใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์มาแก้ไขปัญหานั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีกรณีการใช้งานจริงมากมายนักในปัจจุบัน

แต่มันก็ยังถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญสำหรับพลังของการคำนวณโดยเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์

References : https://physicsworld.com

ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 11 : Glorious Failure

แม้สถานการณ์ในช่วงที่การแข่งขันด้านมือถือ smartphone กำลังขับเคี่ยวกันอย่างสนุก และ ณ ช่วงเวลาดังกล่าว Steve Ballmer ได้ขึ้นมากุมบังเหียนใหญ่เป็น CEO ของ Microsoft อยู่ในขณะนั้น แต่ต้องบอกว่า Bill Gates ในฐานะประธานบริษัท ก็ยังคงมีบทบาทที่สำคัญในการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์แทบจะทั้งหมดของ Microsoft อยู่

ฟากฝั่ง Android จาก Google นั้นเริ่มต้นใหม่ด้วยแนวคิดแบบจอสัมผัส ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ Apple ประสบความสำเร็จกับ iPhone ซึ่ง Android ได้ทำการเปิดตัวมือถือรุ่นแรกคือ HTC G1 โดยเปิดตัวไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2008 

HTC G1 มือถือ Android รุ่นแรกของ Google ที่ดูไม่มีแววว่าจะรุ่ง
HTC G1 มือถือ Android รุ่นแรกของ Google ที่ดูไม่มีแววว่าจะรุ่ง

มันแทบจะไม่มีอะไรพิเศษในแง่ของ Hardware แุถมยังมีแป้นพิมพ์แบบเลื่อนได้คล้าย ๆ มือถือของ Nokia ด้วยซ้ำ และความสามารถในการใช้จอแบบสัมผัสก็ดูต่างจาก iPhone ราวฟ้ากับเหว มันเหมือนรุ่น เบต้า ของ iPhone เสียมากกว่าที่จะมาเป็นคู่แข่งกับ iPhone

แม้จ๊อบส์ จะโมโหมากที่ Google มาทำ Android ออกมาเพื่อแข่งกับ iPhone เพราะตอนแรกทั้งสองเหมือนจะเป็น พาร์ทเนอร์กันมากกว่า แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้ขาดสะบั้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Google ก็ต้องการที่ยืนในตลาด smartphone เช่นเดียวกัน ดีกว่าการไปผูกชะตาชีวิตไว้กับ iPhone ของ Apple ที่จะนำบริการของพวกเขาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้

แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Android ที่ทำให้พวกเขาสามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จในวงการมือถือโลก น่าจะมาจาก Samsung ที่ได้ลองเปลี่ยนจาก Symbian มาใช้ Android โดยรุ่นแรกที่ได้ใช้ชื่อตระกูล Samsung Galaxy คือรุ่น “Samsung I7500 Galaxy” ที่ได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2009

โดยกลายเป็น smartphone รุ่นแรกของค่ายที่รันบนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 1.5 (Cupcake) ซึ่งต่อมาทาง Samsung ยังคงพัฒนา smartphone ของตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy รุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy S

และช่วยให้ผู้คนเริ่มหันมามอง Android เพราะเริ่มมี Features ที่ดูคล้าย iPhone เข้าไปทุกที ในสนนราคาที่ต่ำกว่า และ Galaxy S ก็กลายเป็นมือถือที่ทำให้เห็นศักยภาพของ Android อย่างแท้จริงนั่นเอง

และความชัดเจนมันได้เริ่มเกิดขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 2009 Android เริ่มเติบโตขึ้นทั่วโลก มีการขายโทรศัพท์ Android ไปได้กว่า 4 ล้านเครื่อง ซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นมาทาบรัศมีของ Windows Mobile ที่ยอดขายใกล้เคียงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่น่ากลัวมาก ๆ ของ Android ในช่วงนั้น

ในขณะที่ Android กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ฝั่ง Microsoft ก็ได้เริ่มตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ของ Windows Mobile เริ่มจะมีปัญหาครั้งใหญ่ เหล่าผู้บริหารของ Microsoft เริ่มรู้ตัวว่า Windows Mobile นั้นไม่สามารถแข่งขันกับ smartphone รุ่นใหม่ ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น iPhone จอสัมผัส หรือ ระบบปฏิบัติการน้องใหม่อย่าง Android

จึงได้เริ่มมีความคิดที่จะสร้าง แพลตฟอร์ม มือถือใหม่ ที่เป็นจอสัมผัสบ้าง โดยจะใช้ code name ว่า “Windows Phone” ซึ่งจะมีการ Design Interface ของหน้าจอรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Metro” และหันมาใช้เทคโนโลยีของตัวเองในการสร้างระบบปฏิบัติการใหม่นี้ขึ้นมาแทน

Metro UI ของ Windows Phone ที่เหล่านักพัฒนาร้องยี้
Metro UI ของ Windows Phone ที่เหล่านักพัฒนาร้องยี้

และสถานการณ์ของ Nokia ที่แม้จะยังคงเป็นผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ แต่กราฟการเติบโตของพวกเขาเริ่มดิ่งลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในตลาด smartphone ที่ Symbian โดนแย่งชิงตลาดจากทั้ง Android และ iOS ของ Apple อย่างหนัก จนต้องมีการปลด CEO คนเก่าออกแล้วตั้ง Stephen Elop ที่เป็นอดีตลูกหม้อของ Microsoft ขึ้นมากุมบังเหียนแทน

ซึ่งสุดท้าย Elop ที่ด้วยความเป็นลูกหม้อเก่าของ Microsoft ก็ได้ตัดสินใจว่าจะร่วมวงกับ Microsoft ในการผลักดัน Windows Phone และรอให้ Windows Phone นั้นสมบูรณ์พร้อมซึ่งคาดว่าน่าจะภายในปี 2012

โดยทั้ง 2 บริษัทจะใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone เป็นแพลทฟอร์มหลักของ smartphone ของ Nokia โดย Nokia จะอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ การเลือกสรรซอฟต์แวร์ ภาษาที่รองรับและขีดความสามารถในการผลิตและการเข้าถึงตลาด

นอกจากนี้จะร่วมกันให้บริการเพื่อขับเคลื่อนสินค้าใหม่ ๆ เช่น Nokia Maps ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของบริการเด่นของ Microsoft อย่าง Bing และ AdCenter แอพพลิเคชั่นและคอนเทนท์ของ Nokia จะรวมเข้ากับ Microsoft Marketplace ด้วยเช่นกัน

แต่ดูเหมือนกลยุทธ์ดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้ Nokia สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด จนสุดท้าย Microsoft ก็ได้เดินเกมเดิมพันครั้งสุดท้ายในตลาดมือถือ smartphone ด้วยการเข้า Take Over เอา Nokia มาครอบครองได้สำเร็จในช่วงปลายปี 2013 

แต่เนื่องด้วยความล่าช้า และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของทั้ง android และ iOS ของ iPhone รวมถึงการที่ตัว Windows Phone ไม่ได้รับความสนใจจากเหล่านักพัฒนา App ให้มาสนใจ Windows Phone เลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญด้วย UI ใหม่แบบ Metro นั้นทำให้เหล่านักพัฒนาแขยงที่จะร่วมวงด้วยเพราะมันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับ iOS และ Android ที่พวกเขาแทบจะต้องพัฒนาแอปต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่หมด

ทำให้ App ดี ๆ ที่คนใช้งานทั่วไปในทั้ง Android และ iOS ไม่มีการมาพัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Windows Phone และมันก็ได้ทำให้ผู้ใช้งานแทบจะไม่สนใจ Windows Phone เลย จนท้ายที่สุด Windows Mobile ก็ต้องปิดฉากตัวเองไปจากวงการมือถือโลก อย่างที่เราได้เห็นจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 12 : Hit Refresh (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

จากความรุ่งโรจน์สู่ความล่มสลายของ Blockbuster

ชาวอเมริกันหลาย ๆ คนคงจดจำภาพวันเก่า ๆ เมื่อได้เลือกหยิบภาพยนตร์สุดโปรด จากร้านดังอย่าง Blockbuster ? มันคือความสุขจากการเลือกภาพยนตร์ยอดฮิต ในการนำกลับไปดูที่บ้านของพวกเขา  

Blockbuster เป็นบริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ บริษัทที่เคยมีมูลค่ามากกว่า 2.5 พันล้านเหรียญ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Blockbuster?

ช่วงตั้งไข่

Blockbuster ก่อตั้งโดย David Cook ในปี 1985 และเข้าสู่ตลาดในอีกหนึ่งปีต่อมา Blockbuster สามารถดึงดูดนักลงทุนหลาย ๆ คนในช่วงปีแรก ๆ ตัวอย่างเช่น Viacom ซึ่งได้เข้าซื้อ Blockbuster ซึ่งเป็นกลุ่มการลงทุนของอดีตผู้บริหาร 

ในเดือน สิงหาคม ปี 1999 Viacom ได้ขายหุ้น 18% ใน Blockbuster เพื่อทำการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนจำนวน 465 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้มูลค่าของ Blockbuster มีมูลค่ามากกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก

รูปแบบธุรกิจ

จากจุดเริ่มต้น Blockbuster ติดอยู่กับรูปแบบธุรกิจหลัก การปล่อยให้เช่าวิดีโอในราคาคงที่ ในร้านค้าของพวกเขา จนถึงจุดหนึ่ง Blockbuster ได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดด้วยการขยายสาขามากกว่า 9,000 สาขา ในปี 2004  ซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขันครั้งนี้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักสำหรับการล่มสลายของ Blockbuster เนื่องจากในขณะนั้นการสตรีมออนไลน์เริ่มได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น

การแข่งขัน

Netflixเป็นคู่แข่งหลักที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของ Blockbuster Netflix นำเสนอภาพยนตร์แบบไม่จำกัด สำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ต่ำมาก ๆ  ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ John Antioco ผู้บริหารสูงสุดของ Blockbuster มีโอกาสในการเข้าซื้อ Netflix ในราคาเพียง 50 ล้านเหรียญในปี 2000 แต่ข้อตกลงก็ได้เกิดขึ้นเพราะ John มองว่า Netflix เป็นธุรกิจเฉพาะขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถขยายกิจการไปได้มากกว่านี้ แต่ ณ วันนี้มูลค่าตลาดของ Netflix นั้นสูงมากกว่าแสนล้านเหรียญ

ธุรกิจเช่าวีดีโอ ที่ขยายสาขาไปทั่วอเมริกาของ Blockbuster
ธุรกิจเช่าวีดีโอ ที่ขยายสาขาไปทั่วอเมริกาของ Blockbuster

ซึ่งหากในวันนั้น Blockbuster ยอมรับข้อตกลงมัน ก็อาจจะทำให้พวกเขายังคงเป็นหนึ่งในอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ ซึ่งนี่คือตัวอย่างว่า Blockbuster ไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงและไม่ปรับให้เข้ากับการสตรีมออนไลน์

การเจริญเติบโตที่ชะลอตัว

Blockbuster สูญเสียมูลค่าตลาดถึง 75% จากปี 2003-2005 ต่อคู่แข่ง (ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความนิยมของ Netflix) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงดังกล่าวนี้ Carl Icahn นักลงทุนชื่อดังได้ทำการซื้อหุ้น 5.8% ในบล็อกบัสเตอร์มูลค่า 83.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้แสดงให้เห็นว่า บริษัทนั้นเริ่มมีมูลค่าลดลงเหลือประมาณ 1.4 พันล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น

หากไม่คำนึงถึงการลงทุนของ Carl ความล่มสลายของ Blockbuster ก็ยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจาก บริษัท ไม่สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งออนไลน์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้เลย 

และความตกต่ำนั้นเป็นผลมาจากยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับ Blockbuster ในการชำระหนี้คืนให้กับเจ้านหี้ โดย CEO คนเดียวกันที่ปฏิเสธโอกาสที่จะซื้อ Netflix อย่าง John Antioco ได้ลาออกในปี 2007 อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารในธุรกิจ Retail ยักษ์ใหญ่อย่าง 7-Eleven อย่าง Jim Keyes เข้ารับตำแหน่งประธานและ CEO คนใหม่

Jim Keyes เข้ามาเพื่อกู้วิกฤติ Blockbuster
Jim Keyes เข้ามาเพื่อกู้วิกฤติ Blockbuster

ความพยายามในการปรับโครงสร้างบริษัทโดย Jim Keyes ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น  ในช่วงปี 2010 Blockbuster ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลาย ด้วยมูลค่า 930 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน 

ในปี 2010 หุ้น Blockbuster ลดลง 91% ตั้งแต่การเข้ามาบริหารของ Keyes สิ่งนี้นำไปสู่ ​​การที่ NYSE (คณะกรรมการกำกับในตลาดหลักทร้พย์ของนิวยอร์ก) ออกคำเตือนเนื่องจากมูลค่าตลาดของ Blockbuster อยู่ที่ 55 ล้านดอลลาร์ ซึ่่งต่ำกว่าความต้องการมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 75 ล้านดอลลาร์  และ Icahn ได้เทขายหุ้น Class A ทั้งหมด 10.5 ล้านหุ้นของเขา (มูลค่าตลาด: 7.1 ล้านดอลลาร์)  Icahn ออกมากล่าวในภายหลังว่า Blockbuster เป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดที่เขาเคยทำ

อย่างไรก็ตาม Icahn ยังคงรักษาหุ้นคลาส B ไว้ 3.3 ล้านหุ้นมูลค่า 619,000 ดอลลาร์ (2010) และซื้อหนี้ก้อนใหญ่ของบล็อคบัสเตอร์เพื่อควบคุมหนี้สินของบริษัท

วันนี้ของ Blockbuster

เป็นผลมาจากการที่ Blockbuster ไม่สามารถชำระหนี้ได้ Blockbuster จึงถูกซื้อโดย DISH Network ในราคา 320 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ Blockbuster On Demand ได้ย้ายไปที่ Sling TV ซึ่งมีช่องรายการมากกว่า 20 ช่อง สำหรับค่าบริการ 20 ดอลลาร์ ต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่ราคาที่แข่งขันได้เลย เมื่อเทียบกับคู่แข่งของ Netflix ซึ่ง package ที่แพงที่สุดของ Netflix นั้นมีราคาเพียง 11.99 ดอลลาร์เท่านั้น และนั่นรวมเนื้อหาภายในแพลตฟอร์มของ Netflix ที่มีมากกว่า 100 ล้านชั่วโมง

ข้อสรุป

ร้านค้า หรือ สาขาต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วอเมริกา สิ่งที่เคยเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันของ Blockbuster กลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ซึ่งในกรณีที่ CEO ของ Blockbuster ยอมรับข้อตกลงซื้อ Netflix นั้น เกมธุรกิจของพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยน

Blockbuster ก็มีโอกาสที่จะสามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ตามการปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่า Blockbuster สามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไรนั่นเอง

การไม่ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง ทำให้สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับ Netflix
การไม่ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง ทำให้สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับ Netflix

เมื่อสตรีมมิ่งออนไลน์ได้รับความนิยม Blockbuster ยังคงมุ่งเน้นที่ร้านที่เป็นสาขาต่าง ๆ อยู่ ซึ่งมียอดขายลดลงไปเรื่อย ๆ ความรุ่งโรจน์ และ การล่มสลายของ Blockbuster เป็นตัวอย่างว่า ทำไมเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ควรลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสร้างความมั่นใจว่ารูปแบบธุรกิจของพวกเขานั้นยั่งยืนเพียงพอที่จะต่อสู้ได้กับโลกที่มีการ Disruption อย่างรวดเร็วอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

References : http://www.baystreetblog.com