จากความรุ่งโรจน์สู่ความล่มสลายของ Blockbuster

ชาวอเมริกันหลาย ๆ คนคงจดจำภาพวันเก่า ๆ เมื่อได้เลือกหยิบภาพยนตร์สุดโปรด จากร้านดังอย่าง Blockbuster ? มันคือความสุขจากการเลือกภาพยนตร์ยอดฮิต ในการนำกลับไปดูที่บ้านของพวกเขา  

Blockbuster เป็นบริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ บริษัทที่เคยมีมูลค่ามากกว่า 2.5 พันล้านเหรียญ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Blockbuster?

ช่วงตั้งไข่

Blockbuster ก่อตั้งโดย David Cook ในปี 1985 และเข้าสู่ตลาดในอีกหนึ่งปีต่อมา Blockbuster สามารถดึงดูดนักลงทุนหลาย ๆ คนในช่วงปีแรก ๆ ตัวอย่างเช่น Viacom ซึ่งได้เข้าซื้อ Blockbuster ซึ่งเป็นกลุ่มการลงทุนของอดีตผู้บริหาร 

ในเดือน สิงหาคม ปี 1999 Viacom ได้ขายหุ้น 18% ใน Blockbuster เพื่อทำการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนจำนวน 465 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้มูลค่าของ Blockbuster มีมูลค่ามากกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก

รูปแบบธุรกิจ

จากจุดเริ่มต้น Blockbuster ติดอยู่กับรูปแบบธุรกิจหลัก การปล่อยให้เช่าวิดีโอในราคาคงที่ ในร้านค้าของพวกเขา จนถึงจุดหนึ่ง Blockbuster ได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดด้วยการขยายสาขามากกว่า 9,000 สาขา ในปี 2004  ซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขันครั้งนี้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักสำหรับการล่มสลายของ Blockbuster เนื่องจากในขณะนั้นการสตรีมออนไลน์เริ่มได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น

การแข่งขัน

Netflixเป็นคู่แข่งหลักที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของ Blockbuster Netflix นำเสนอภาพยนตร์แบบไม่จำกัด สำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ต่ำมาก ๆ  ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ John Antioco ผู้บริหารสูงสุดของ Blockbuster มีโอกาสในการเข้าซื้อ Netflix ในราคาเพียง 50 ล้านเหรียญในปี 2000 แต่ข้อตกลงก็ได้เกิดขึ้นเพราะ John มองว่า Netflix เป็นธุรกิจเฉพาะขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถขยายกิจการไปได้มากกว่านี้ แต่ ณ วันนี้มูลค่าตลาดของ Netflix นั้นสูงมากกว่าแสนล้านเหรียญ

ธุรกิจเช่าวีดีโอ ที่ขยายสาขาไปทั่วอเมริกาของ Blockbuster
ธุรกิจเช่าวีดีโอ ที่ขยายสาขาไปทั่วอเมริกาของ Blockbuster

ซึ่งหากในวันนั้น Blockbuster ยอมรับข้อตกลงมัน ก็อาจจะทำให้พวกเขายังคงเป็นหนึ่งในอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือ ซึ่งนี่คือตัวอย่างว่า Blockbuster ไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงและไม่ปรับให้เข้ากับการสตรีมออนไลน์

การเจริญเติบโตที่ชะลอตัว

Blockbuster สูญเสียมูลค่าตลาดถึง 75% จากปี 2003-2005 ต่อคู่แข่ง (ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความนิยมของ Netflix) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงดังกล่าวนี้ Carl Icahn นักลงทุนชื่อดังได้ทำการซื้อหุ้น 5.8% ในบล็อกบัสเตอร์มูลค่า 83.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้แสดงให้เห็นว่า บริษัทนั้นเริ่มมีมูลค่าลดลงเหลือประมาณ 1.4 พันล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น

หากไม่คำนึงถึงการลงทุนของ Carl ความล่มสลายของ Blockbuster ก็ยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจาก บริษัท ไม่สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งออนไลน์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้เลย 

และความตกต่ำนั้นเป็นผลมาจากยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับ Blockbuster ในการชำระหนี้คืนให้กับเจ้านหี้ โดย CEO คนเดียวกันที่ปฏิเสธโอกาสที่จะซื้อ Netflix อย่าง John Antioco ได้ลาออกในปี 2007 อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารในธุรกิจ Retail ยักษ์ใหญ่อย่าง 7-Eleven อย่าง Jim Keyes เข้ารับตำแหน่งประธานและ CEO คนใหม่

Jim Keyes เข้ามาเพื่อกู้วิกฤติ Blockbuster
Jim Keyes เข้ามาเพื่อกู้วิกฤติ Blockbuster

ความพยายามในการปรับโครงสร้างบริษัทโดย Jim Keyes ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น  ในช่วงปี 2010 Blockbuster ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลาย ด้วยมูลค่า 930 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน 

ในปี 2010 หุ้น Blockbuster ลดลง 91% ตั้งแต่การเข้ามาบริหารของ Keyes สิ่งนี้นำไปสู่ ​​การที่ NYSE (คณะกรรมการกำกับในตลาดหลักทร้พย์ของนิวยอร์ก) ออกคำเตือนเนื่องจากมูลค่าตลาดของ Blockbuster อยู่ที่ 55 ล้านดอลลาร์ ซึ่่งต่ำกว่าความต้องการมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 75 ล้านดอลลาร์  และ Icahn ได้เทขายหุ้น Class A ทั้งหมด 10.5 ล้านหุ้นของเขา (มูลค่าตลาด: 7.1 ล้านดอลลาร์)  Icahn ออกมากล่าวในภายหลังว่า Blockbuster เป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดที่เขาเคยทำ

อย่างไรก็ตาม Icahn ยังคงรักษาหุ้นคลาส B ไว้ 3.3 ล้านหุ้นมูลค่า 619,000 ดอลลาร์ (2010) และซื้อหนี้ก้อนใหญ่ของบล็อคบัสเตอร์เพื่อควบคุมหนี้สินของบริษัท

วันนี้ของ Blockbuster

เป็นผลมาจากการที่ Blockbuster ไม่สามารถชำระหนี้ได้ Blockbuster จึงถูกซื้อโดย DISH Network ในราคา 320 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ Blockbuster On Demand ได้ย้ายไปที่ Sling TV ซึ่งมีช่องรายการมากกว่า 20 ช่อง สำหรับค่าบริการ 20 ดอลลาร์ ต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่ราคาที่แข่งขันได้เลย เมื่อเทียบกับคู่แข่งของ Netflix ซึ่ง package ที่แพงที่สุดของ Netflix นั้นมีราคาเพียง 11.99 ดอลลาร์เท่านั้น และนั่นรวมเนื้อหาภายในแพลตฟอร์มของ Netflix ที่มีมากกว่า 100 ล้านชั่วโมง

ข้อสรุป

ร้านค้า หรือ สาขาต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วอเมริกา สิ่งที่เคยเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันของ Blockbuster กลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ซึ่งในกรณีที่ CEO ของ Blockbuster ยอมรับข้อตกลงซื้อ Netflix นั้น เกมธุรกิจของพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยน

Blockbuster ก็มีโอกาสที่จะสามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ตามการปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่า Blockbuster สามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไรนั่นเอง

การไม่ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง ทำให้สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับ Netflix
การไม่ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง ทำให้สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับ Netflix

เมื่อสตรีมมิ่งออนไลน์ได้รับความนิยม Blockbuster ยังคงมุ่งเน้นที่ร้านที่เป็นสาขาต่าง ๆ อยู่ ซึ่งมียอดขายลดลงไปเรื่อย ๆ ความรุ่งโรจน์ และ การล่มสลายของ Blockbuster เป็นตัวอย่างว่า ทำไมเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ควรลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องและสร้างความมั่นใจว่ารูปแบบธุรกิจของพวกเขานั้นยั่งยืนเพียงพอที่จะต่อสู้ได้กับโลกที่มีการ Disruption อย่างรวดเร็วอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

References : http://www.baystreetblog.com


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube