Vision EQS กับอนาคตรถยนต์ EV ของ Mercedes

EV แบรนด์ย่อยของ Mercedes อย่าง EQ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 2-3 เดือน นั่นเป็นข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ของยานพาหนะหรูหราอย่าง Mercedes ที่ต้องการความรู้สึกผ่อนคลายเมื่อยามขับรถ แต่สำหรับ Concept Car ตัวใหม่ ดูเหมือนมันจะดูแตกต่างออกไป

Vision EQS คือ รถยนต์ที่มองอนาคตใหม่ของรถยนต์ซีดาน แม้ว่ามีคนบางกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่พอใจกับการออกแบบของ EQS เนื่องจากตัว Concept Car เปิดตัวในงานแฟรงค์เฟิร์ตออโต้โชว์มันดูเหมือนจะสูญเสียสไตล์ทั้งหมดของ Mercedes ไป

EQS แบบขับเคลื่อนสี่ล้อนั้นมีการออกแบบสีเงินและสีฟ้าตามแบบฉบับที่เราเคยเห็นในรถ Vision EQ รุ่นอื่น ๆ นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยขอบโค้งมนที่เหล่าแฟน ๆ นั้นคาดหวังจากสตูดิโอออกแบบของ Mercedes 

ในขณะที่รูปแบบที่ดูคล้ายกับเมล็ดถั่ว แต่ก็ยังคงภาพรวมของยานพาหนะแบบ Mercedes โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดในการออกแบบซึ่งมองไปถึงอนาคตของวงการ EV  และนอกจากความเท่ห์แล้ว ยังมีสเปคของเครื่องยนต์ที่ดูน่าประทับใจอีกด้วย

Vision EQS จะให้กำลัง 469 แรงม้าและแรงบิด 560 ปอนด์ โดยสามารถทำความเร็ว 0-100 KM/h ได้ในภายใต้ 4.5 วินาที

โดย Mercedes ได้ใช้ชุดแบตเตอรี่ที่มีระยะวิ่งประมาณ 700 กิโลเมตร (435 ไมล์) และรองรับการชาร์จได้สูงสุด 350kw จึงสามารถชาร์จจาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ในเวลาน้อยกว่า 20 นาที ซึ่งถือเป็นเวลาที่น่าเซอร์ไพรซ์มาก ๆ

เมอร์เซเดส – เบนซ์ กล่าวว่าภายในสิ้นปีจะมีรถยนต์ไฟฟ้า 20 คันวางจำหน่ายภายใต้แบรนด์หลัก และ แบรนด์ย่อยของ Mercedes

แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีกำหนดการอย่างแน่นอนว่า Vision EQS คันนี้จะพร้อมจำหน่ายในโชว์รูมเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันดูดีพอ ๆ กับรถ Concept ที่ได้แสดงในงาน เหล่าแฟน ๆ Mercedes คงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว

References : https://www.engadget.com

AI สามารถวัดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ

ความสามารถของ AI ในการทำนายภัยคุกคามต่อสุขภาพของคุณในไม่ช้าอาจรวมถึงภาวะหัวใจวาย นักวิจัยของ CSAIL จาก MIT ได้พัฒนาระบบ Machine Learning ที่ชื่อว่า RiskCardio ที่สามารถประเมินความเสี่ยงของการเสียชีวิตเนื่องจากปัญหาหัวใจและหลอดเลือดที่ปิดกั้นหรือลดการไหลเวียนของเลือดได้

ข้อมูลอินพุตที่ RiskCadio ต้องการคือ การอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจประมาณ 15 นาที – จากนั้นระบบจะวัดอันตรายจากข้อมูลของจังหวะต่อเนื่องของการเต้นของหัวใจ ซึ่งเมื่อข้อมูลถูกบันทึกได้ภายใน 15 นาที RiskCardio ก็สามารถทำนายได้ว่าจะมีใครเป็นผู้โชคร้าย ต้องตายภายใน 30 วันหรือไม่เกินหนึ่งปีหลังจากนั้น

โดยวิธีการของ RiskCardio จะขึ้นอยู่กับความคิดที่ว่าความแปรปรวนที่มีค่ามากขึ้นระหว่างการเต้นของหัวใจสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการ Training ระบบ Machine Learning โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังเพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำต่อผู้ป่วย 

ซึ่งหากทำนายว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะรอดชีวิตแสดงว่าการเต้นของหัวใจของพวกเขาถือเป็นปกติ หากระบบทำนายว่าผู้ป่วยจะเสียชีวิตแสดงว่าลักษณะการเต้นของหัวใจของพวกเขาถือว่ามีความเสี่ยงนั่นเอง 

ซึ่งคะแนนความเสี่ยงขั้นสุดท้ายมาจากค่าเฉลี่ยการทำนายจากการเต้นของหัวใจแต่ละชุดที่มีความต่อเนื่องกัน

แต่นักวิจัยยังมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงข้อมูลการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มในส่วนของ อายุ คุณลักษณะของชาติพันธุ์ รวมถึงเพศ ชัดเจนว่าระบบดังกล่าวต้องมีความแม่นยำสูง เพราะเมื่อเกิดความผิดพลาดอาจมีผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ 

ซึ่งงานวิจัยของ RiskCardio นั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย โดยแพทย์สามารถประเมินสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจในระดับการรักษาที่เหมาะสมนั่นเอง

References : https://www.engadget.com https://cdn.bdc-tv.com/2019/05/Artificial-Intelligence-960×585.jpghttps://cdn.bdc-tv.com/2019/05/Artificial-Intelligence-960×585.jpg

เมื่อเหล่าโจรใช้เทคโนโลยี AI Deepfakes ช่วยในการโจรกรรม

ดูเหมือนว่าในทุกวันนี้จะมีตัวอย่างของซอฟต์แวร์ฟรีที่ใช้งานง่าย ๆ ที่สามารถสร้างวิดีโอหรือเสียงที่น่าเชื่อถือซึ่งออกแบบมาเพื่อหลอกคนให้เชื่อได้  แต่จากรายงานของ The Wall Street Journal ณ ปัจจุบัน เราอาจจะได้เห็นการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ทางด้านการเงินและทางกฎหมายอย่างจริงจังด้วยเทคโนโลยีอย่าง Deepfake

รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท พลังงานของสหราชอาณาจักรถูกหลอกให้โอนเงิน 200,000 ยูโร (หรือประมาณ 220,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ไปยังซัพพลายเออร์ชาวฮังการีเพราะเขาโดนหลอกให้เชื่อว่าเจ้านายของเขากำลังสั่งให้เขาทำเช่นนั้น 

แต่ บริษัท ประกันภัยของบริษัทพลังงานอย่าง Euler Hermes Group SA บอกกับ WSJ ว่า โจรร้ายได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์ AI และใช้ซอฟต์แวร์ Deepfake เพื่อเลียนแบบเสียงของผู้บริหารและทำการหลอกให้จ่ายเงินให้เขา

“ซอฟแวร์สามารถที่จะเลียนแบบเสียงและไม่เพียงแต่เสียงเท่านั้น: โทนในการพูดแบบสำเนียงเยอรมันอีกด้วย,” โฆษกของ ออยเลอร์ Hermes บอกกับวอชิงตันโพสต์ โดยโทรศัพท์ถูกจับคู่กับอีเมลเพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นตัวจริง และตอนนี้เงินที่โอนได้หายไปหลังจากถูกย้ายบัญชีไปในฮังการีและเม็กซิโกและกระจายไปทั่วโลก จากรายงานของ วอชิงตันโพสต์

นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์นี้ ตามที่ วอชิงตันโพสต์ รายงาน , บริษัท ไซเบอร์ไซแมนเทคกล่าวว่าได้เจออย่างน้อยสามกรณี ที่เกี่ยวกับการปลอมแปลงเสียงโดยใช้เทคโนโลยี deepfake ในการหลอกลวงให้บริษัทส่งเงินไปยังบัญชีที่หลอกลวง ไซแมนเทคบอกกับ วอชิงตันโพสต์ ว่ามีอย่างน้อยหนึ่งกรณีที่ดูจะคล้ายกับกรณีดังกล่าวและส่งผลให้เกิดการสูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์

ซึ่งการโจรกรรมดังกล่าวเน้นให้เห็นถึงภัยอันตรายจากงานวิจัยของ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการประดิษฐ์วิดีโอและเสียง ที่กำลังพัฒนาไปอย่างมากในปัจจุบัน

บริการดูเพล็กซ์ของ Googleใช้ AI เพื่อเลียนแบบเสียงของมนุษย์จริงเพื่อให้สามารถโทรออกแทนผู้ใช้จริงได้ มีบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศจีนเสนอบริการที่คล้ายกันฟรีบนสมาร์ทโฟน ซึ่งบางครั้งก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขความเป็นส่วนตัว

ขณะเดียวกันนักวิจัยในบริษัทที่มีเทคโนโลยีและในสถาบันการศึกษากำลังมีความพยายามที่จะพัฒนา deepfake ตรวจจับซอฟต์แวร์ที่เป็นของปลอม ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งว่านักวิจัยต้องการเครื่องมือที่ดีกว่าเพื่อคัดแยกของจริงออกจากของปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง

References : https://www.theverge.com
https://www.conservativedailynews.com/wp-content/uploads/2019/06/Hacker-3-1280×720.jpg