Geek Monday EP191 : Superbatteries กับ Game Changer ของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า EV

เมื่อถามว่าเหล่าผู้ขับขี่ต้องการอะไรมากที่สุดจากรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ขับขี่รถยนต์หลายคนนั้นมักจะระบุความต้องการในสามสิ่ง ได้แก่ ระยะทางขับขี่ที่ยาวนาน ระยะเวลาในการชาร์จที่สั้น และราคาที่แข่งขันได้กับรถยนต์ที่มีอุปกรณ์คล้ายกันซึ่งใช้เครื่องยนต์สันดาป 

เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ผู้ผลิตรถยนต์จึงมองหาวิธีเปลี่ยนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Li-ion) แบบเดิมที่ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ ส่วนใหญ่ด้วยแบตเตอรี่โซลิดสเตต (solid-state) ที่ล้ำหน้ากว่า แบตเตอรี่ชนิดใหม่นี้รับประกันการชาร์จที่เร็วขึ้นและระยะการขับขี่ที่ไกลขึ้นมาก ซึ่งในที่สุดหลังจากหลายปีของการแก้ปัญหาทางเทคนิค ความพยายามที่จะทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้จริง ๆ กำลังบรรลุผล โดยแบตเตอรี่โซลิดสเตตก้อนแรกที่จะเข้าสู่การผลิตภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/39ccx6u9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/zdaeprtt

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/2s87bdnb

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3t23f2p3

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/V11wltjt-10

References Image : https://www.themotorombudsman.org/press-releases/customer-service-and-purchase-issues-lead-ev-complaints-in-2021

เปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครอสโอเวอร์เอสยูวีคุณภาพคุ้มค่าเหนือราคา ดีไซน์ใหม่เพิ่มความสปอร์ตพรีเมี่ยม อัดเทคโนโลยีเต็มคันกว่าเดิม

มาสด้าเปิดตัว New Mazda CX-3 ยนตรกรรมครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบใหม่ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมแนวคิด “Never Settle for Less ความท้าทายใหม่ไม่รู้จบ” ตกแต่งอย่างมีสไตล์ยกระดับความสปอร์ตพรีเมี่ยมให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มีให้เลือกถึง 4 รุ่นย่อย พร้อมรุ่นย่อยใหม่ กับ 2.0 Sport Luxe ครบครันด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและโคโดะดีไซน์อันสง่างามสปอร์ตโดดเด่นไม่เหมือนใคร เหนือชั้นด้วยเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 ลิตร ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน 16.4 กิโลเมตร/ลิตร ใส่ระบบความปลอดภัยครบครันมากกว่าเดิม

ราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 770,000 บาท กับคุณภาพล้นคัน คุ้มค่าเกินราคา สัมผัสคันจริงได้ที่งาน Big Motor Sale ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม 2566 – 3 กันยายน 2566 หรือทดลองขับพร้อมรับข้อเสนอพิเศษมากมายได้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้ามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้า เพื่อให้รถยนต์มาสด้าเป็นยานพาหนะที่สร้างความรักความผูกพันให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างไม่รู้จบ ซึ่ง Mazda CX-3 คือหนึ่งในรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นเริ่มต้น ภายใต้ตระกูล CX-Series ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย

โดยสามารถสร้างความสำเร็จด้านยอดขายให้กับมาสด้าอย่างต่อเนื่อง และยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้ามาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาเอสยูวีคันแรกที่ให้ความอเนกประสงค์ในการเดินทาง ตั้งแต่ Mazda CX-3 ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยถึงปัจจุบัน สามารถครองใจลูกค้าด้วยยอดขายสะสมสูงถึง 30,000 คัน 

การเปิดตัวครั้งนี้ เป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดซับคอมแพคท์ (B-SUV) ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง New Mazda CX-3 จึงได้ถูกพัฒนาไปอีกขั้น โดยเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานเข้ามาและเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ คือรุ่น 2.0 Sport Luxe ที่ได้รับการตกแต่งเสริมเอกลักษณ์ความสปอร์ตที่โดดเด่น รวมถึงเพิ่มอุปกรณ์และเทคโนโลยีมาอย่างครบครัน เพื่อมอบความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้มากที่สุด

ทำให้ New Mazda CX-3 มีให้เลือกถึง 4 รุ่นย่อย และมาพร้อมสีภายนอกใหม่ล่าสุดกับ สีเทา แอโร เกรย์ ซึ่งเป็นสีที่ได้รับการพัฒนาตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ที่เรียบง่ายแต่งดงาม และเพิ่งเปิดตัวแนะนำเป็นครั้งแรกไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งสะท้อนถึงภาพลักษณ์ความสปอร์ตที่ตรงใจลูกค้าที่ชื่นชอบความสปอร์ตได้อย่างลงตัว มาสด้ามั่นใจว่ารถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย กลายเป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกที่สามารถมอบความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าตลอดการเดินทาง

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว New Mazda CX-3 ครั้งนี้ มาพร้อมแนวคิด “Never Settle for Less ความท้าทายใหม่ไม่รู้จบ” เป็นครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกที่จะพาคุณออกไปเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ได้ไม่รู้จบ เพื่อจุดพลังความกล้าที่จะท้าทายจากสิ่งเดิมๆ ทำในสิ่งที่อยากทำ เติมเต็มชีวิตไปด้วยประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำ ทำให้ทุกวันเป็นไปได้มากกว่าที่เคยเป็น

โดยกลุ่มเป้าหมายยังคงเป็นวัยเริ่มต้นทำงานที่มองหารถครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรก หรือลูกค้าที่ต้องการซื้อรถเพิ่มเติมเพื่อเติมเต็มชีวิตของครอบครัว ด้วยดีไซน์สปอร์ตพรีเมี่ยม และโดดเด่น มีความคุ้มค่า คุ้มราคา เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จำหน่ายเริ่มต้นเพียง 770,000 บาท ซึ่งถูกลงกว่ารุ่นเดิมถึง 16,000 บาท ทำให้ New Mazda CX-3 ใหม่ กลายเป็นครอสโอเวอร์เอสยูวี ที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุดในตลาดเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่มาสด้าให้มาแบบเต็มคัน

กลุ่มลูกค้า New Mazda CX-3 ภายใต้แนวคิด “Never Settle for Less” จะให้ความสำคัญกับการค้นหาประสบการณ์เพื่อลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด จุดพลังความกล้าที่จะท้าทายสิ่งเดิมๆ ทำในสิ่งที่อยากทำ เติมเต็มชีวิตไปด้วยประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำ มีความมั่นใจ มีคติที่ต้องลงมือทำ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หรือเติมเต็มความต้องการให้ชีวิต ต้องการที่จะก้าวไปอีกขั้นในทุกด้านๆ ทั้งการงาน การใช้ชีวิต  เพื่อใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า สนใจเทคโนโลยี ความทันสมัย มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมิติ ทั้งออนไลน์และการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ชอบการพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน มองรถยนต์เป็นพาร์ทเนอร์ที่เดินทางไปสร้างประสบการณ์ด้วยกัน 

สมรรถนะความแรงกับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซินขนาด 2.0 ลิตร และ G-Vectoring Control

ในทุกรุ่นย่อยของ New Mazda CX-3 มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร (SKYACTIV-G 2.0) ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 156 แรงม้า ประหยัดน้ำมันถึง 16.4 กม./ลิตร* และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ หรือ G-Vectoring Control (GVC) เทคโนโลยีเฉพาะของมาสด้าภายใต้ Skyactiv-Vehicle Dynamics ที่ช่วยควบคุมสมรรถนะการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุล เพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

* ผลการทดสอบตามมาตรฐาน UN101 Combine Mode

เติมเต็มด้วยอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งเพิ่มเติมมาอย่างครบครัน รวมถึงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยกว่าให้กับผู้ขับขี่ ด้วยระบบ i-Activsense ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุและช่วยให้การขับขี่ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS) ระบบช่วยหยุดรถขณะถอยหลัง (SCBS-R) ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (SBS) ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (HBC) และติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go โดยระบบสามารถปรับความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง

ยกระดับภาพลักษณ์สปอร์ตพรีเมี่ยม ด้วยดีไซน์ภายนอกและภายในใหม่

การออกแบบดีไซน์ของ New Mazda CX-3 ได้รับการยกระดับความสปอร์ตพรีเมี่ยม มีเอกลักษณ์ในสไตล์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอก ที่มาพร้อมกระจังหน้าสีดำ กระจกมองข้างสีดำ ซุ้มล้อสีดำเงา และหลังคาสีดำเงา และมาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว ในขณะที่ภายในห้องโดยสารก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้วยความประณีต พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด และมาพร้อมความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ด้วยคอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังสีฟ้าเทา ตกแต่งด้วยด้ายสีคอปเปอร์ พร้อมกรอบช่องแอร์สีคอปเปอร์ ผสานกันอย่างลงตัวกับเบาะหนังสีดำและผ้า Grand Luxe Suede® พร้อมสีภายนอกใหม่ สีเทา แอโร เกรย์ ที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ความสปอร์ตหรูไปอีกระดับ

ภายในห้องโดยสารของ New Mazda CX-3 ยังคงความสะดวกสบายครบครัน โดยได้รับการพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ HMI (Human-Machine Interface) ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานและจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสมโดยยึดหลักปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนน มาพร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Sports Paddle Shift ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนานเร้าใจ และช่วยให้เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยหลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า 

เทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด Mazda Connect ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว

New Mazda CX-3 ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสนุกสนานเพลิดเพลินกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และไม่พลาดทุกการติดต่อ ด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัดกับ Mazda Connect ที่รองรับ Apple CarPlay® และ Android AutoTM โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 7 นิ้ว มอบความสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger รวมถึงเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง พนักพิงเบาะหลังสามารถแยกพับ 60:40 อิสระออกจากกัน พร้อมพนักวางแขนและที่วางแก้วแบบมีฝาปิด นอกจากนี้ ยังมอบความเหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันด้วยระบบเสียง Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 7 ตำแหน่ง เพิ่มสุนทรียภาพให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง

มอบความอุ่นใจให้กับทุกการขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย i-Activsense

New Mazda CX-3 ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมเข้ามา ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงป้องกัน i-Activsense ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและช่วยให้ขับขี่ได้อย่างสะดวกสะบายมากยิ่งขึ้น อาทิ

  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM)
  • ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS) 
  • ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (SCBS-R)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAA)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (HBC)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (SBS)
  • ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบ Stop & Go (MRCC with Stop & Go)

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี รวมถึงสีใหม่ล่าสุด สีเทา แอโร เกรย์

  • สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal)
  • สีเทา แมชชีน เกรย์ (Machine Gray)
  • สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl)
  • สีเทา โพลีเมทัล เกรย์ (Polymetal Gray)
  • สีดำ เจ็ท แบล็ก (Jet Black)
  • สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ (Platinum Quartz)
  • สีเทา แอโร เกรย์ (Aero Gray)* สีภายนอกใหม่

สำหรับรุ่น 2.0 Sport Luxe มีสีภายนอกให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเทา แอโร เกรย์, สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์, สีแดง โซล เรด คริสตัล และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์

New Mazda3 มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีราคาจำหน่ายดังต่อไปนี้

รายละเอียดรุ่นราคาจำหน่าย
รุ่น 2.0 Base770,000 บาท
รุ่น 2.0 Base Plus830,000 บาท
รุ่น 2.0 Comfort900,000 บาท
รุ่นย่อยใหม่รุ่น 2.0 Sport Luxe970,000 บาท

หมายเหตุ:

  • สีขาว Snowflake White Pearl เพิ่ม 7,000 บาท
  • สีเทา Machine Gray เพิ่ม 10,000 บาท
  • สีแดง Soul Red Crystal เพิ่ม 12,000 บาท 

พร้อมกันนี้ มาสด้ายังได้มอบข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัวให้กับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ ด้วยข้อเสนอดอกเบี้ย 1.79%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้ามาชมรถคันจริงพร้อมจองซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่งาน Big Motor Sale 2023 และที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.mazda.co.th 

นอกจากมาสด้าจะเปิดตัวแนะนำรถครอสโอเวอร์เอสยูวี New Mazda CX-3 ในงาน Big Motor Sale 2023 และจัดแสดงให้เลือกสรรอย่างครบครันทั้ง 4 รุ่นย่อย แล้ว ยังได้ขนทัพรถมาสด้าอีกถึง 4 รุ่น มาจัดแสดงให้เลือกสรรในงานพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษเมื่อออกรถทุกรุ่น ได้แก่

  • New Mazda2 ดอกเบี้ย 2.29%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 1.59%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2
  • New Mazda CX-3 ดอกเบี้ย 1.79%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2
  • Mazda3 ดอกเบี้ย 2.29%1, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร3 และขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร4
  • Mazda CX-30 ดอกเบี้ย 2.29%1, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร3 และขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร4 หรือ ดอกเบี้ย 1.19%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2

หมายเหตุ: 

1. Mazda2: ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 72 เดือน, New Mazda2: ดอกเบี้ย 2.29% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน สำหรับ ทุกรุ่น และ ดอกเบี้ย 1.59% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน ยกเว้นรุ่น 1.3 C/C Sports ราคา 599,000 บาท, 1.3 Clap Pop Sports ราคา 647,000 บาท และ 1.3 Rookie Drive Sports ราคา 662,000 บาท, Mazda CX-3: ดอกเบี้ย 0% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 60 เดือน และ New Mazda CX-3 ดอกเบี้ย 1.79% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน, Mazda3: ดอกเบี้ย 2.29% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน, Mazda CX-30: ดอกเบี้ย 2.29% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน หรือ ดอกเบี้ย 1.19% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน

2. บริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการ ได้แก่ (1) บมจ. วิริยะประกันภัย (2) บมจ. ธนชาตประกันภัย (3) บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์  (4) บมจ. กรุงไทยพานิชประกันภัย 

3. ฟรีค่าแรงการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 10 ครั้ง ทุก 6 เดือน หรือ ทุก 10,000 กม. ตั้งแต่ 10,000 – 100,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

4. ขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ตามเงื่อนไขโปรแกรม Mazda Added Protection

เงื่อนไขเพิ่มเติม: 

•เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามข้อกำหนดของ บมจ. ธนาคารทิสโก้ และ ทีเอ็มบีธนชาต เท่านั้น

•ข้อเสนอดังกล่าวสำหรับผู้เช่าซื้อที่ผ่านการอนุมัติตามเงื่อนไขของ บมจ. ธนาคารทิสโก้ และ ทีเอ็มบีธนชาต ที่จองและออกรถภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 – 30 กันยายน 2566 เท่านั้น

โปรดติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมของมาสด้าผ่านทางโซเชียลมีเดีย

เว็บไซต์ www.mazda.co.th และ MazdaThailandOfficial: Facebook/YouTube/Instagram/LINE

Vishal Garg & Better.com ชายผู้ไล่พนักงานออก 900 คนผ่าน Zoom กับการต่อสู้ดิ้นรนหลังยุค COVID-19

“HELLO — WAKE UP BETTER TEAM,” Vishal Garg ซีอีโอของ Better.com ได้เขียนในอีเมลถึงพนักงาน “พวกคุณมันเชื่องช้า พวกคุณคือกลุ่มปลาโลมาโง่ ๆ และ…ปลาโลมาโง่ ๆ ติดแหจนถูกฉลามกิน ดังนั้นจงหยุดมัน หยุดมันซะ พวกคุณกำลังทำให้ผมอับอายขายขี้หน้า”

Vishal Garg ได้ย้ายจากประเทศอินเดียไปอยู่กับครอบครัวที่ควีนส์ นิวยอร์ก เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้ฉายแววในการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่วัยเยาว์ ตอนที่เรียนมัธยมต้นที่ Stuyvesant High School เขาได้ทำการลงทุนซื้อ CliffsNotes จากนั้นเขาก็นำมาขายให้กับเหล่านักเรียนภายในคลาสเพื่อทำกำไร

และที่ Stuyvesant นี่เอง Garg ได้พบกับ Raza Khan ที่เป็นผู้อพยพจากอินเดียอีกคนหนึ่ง ในปี 1995 ทั้งคู่ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กโดย Garg ศึกษาการเงินและธุรกิจระหว่างประเทศ ในขณะที่ Khan สนใจการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์

ด้วยการผสานความฉลาดทางเทคโนโลยีของ Khan เข้ากับความเฉียบแหลมทางธุรกิจของ Garg พวกเขาจึงก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 2000 และเติบโตเป็น MyRichUncle ผู้ให้บริการสินเชื่อนักเรียนออนไลน์ที่ใช้อัลกอริทึมเพื่อช่วยตัดสินใจเงื่อนไขการกู้ยืมเงินสำหรับนักเรียน

Vishal Garg และ Raza Khan (CR: X.com)
Vishal Garg และ Raza Khan (CR: X.com)

ธุรกิจดังกล่าวเริ่มต้นด้วยเงินทุน 30,000 ดอลลาร์จากพี่ชายของ Khan และในปี 2007 ได้เติบโตขึ้นเป็นบริษัทมหาชนซึ่งมีแหล่งเงินทุนสำหรับให้กู้สูงถึง 320 ล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสินเชื่อนักเรียนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ

แต่การที่ต้องเจอกับวิกฤตการณ์ทางการเงินและภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ MyRichUncle หมดเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการให้กู้ต่อ สุดท้ายพวกเขาก็ถูกบังคับให้ล้มละลายในปี 2009 โดยทั้ง Garg และ Khan ได้แยกทางกันและปัญหาฟ้องร้องกันในภายหลัง

ในปี 2014 Garg ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่หลังความพยายามในการซื้อบ้านของเขาล้มเหลว

“ภรรยาของผมตั้งท้องลูกคนที่สองของเรา และเรายังคงเช่าบ้านอยู่” Garg กล่าว “ในที่สุดบ้านที่เราต้องการก็หลุดลอยไปให้กับผู้ซื้อที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินสดเต็มจำนวน เพราะกระบวนกู้เงินซื้อบ้านในยุคนั้นมันใช้เวลายาวนานมากและไม่มีประสิทธิภาพ”

เขาได้ออกแบบแนวคิดที่น่าสนใจ ลดระยะเวลาในกระบวนการกู้ซื้อบ้านและนำเสนอวิธีการอนุมัติล่วงหน้าบนโทรศัพท์มือถือในเวลาประมาณ 3 นาที โดยใช้อัลกอริทึมและข้อมูลจาก 3rd parties รวมถึงลดค่าธรรมเนียมที่ยุ่งยากลง ทำให้ราคาถูกกว่าคู่แข่ง

ผลิตภัณฑ์ของ Better.com ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคทันที ด้วยการตลาดเชิงรุก และการร่วมมือกับแพลตฟอร์มอย่าง Airbnb และ Ally Financial นั่นทำให้ Better.com ได้รับเงินลงทุนจากเหล่านักลงทุนและปิดรอบการระดมทุนใน Series A มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ได้ในปี 2016

มูลค่าของบริษัทพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไต่จาก 200 ล้านดอลลาร์ -> 600 ล้านดอลลาร์ และ 4 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสองปี

Better.com ได้นำเสนอวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ ให้กับคนรุ่นมิลเลนเนียมที่ต้องการที่จะซื้อบ้าน รูปแบบของแพลตฟอร์มที่อนุมัติสินเชื่อได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความต้องการสินเชื่อที่เพิ่งสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

แนวคิดง่าย ๆ ที่ผลักดันให้บริษัทสามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว และไปเตะตานักลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Softbank และ Goldman Sachs ซึ่งทุ่มเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ใน Better.com และพุ่งสู่การเป็น unicorn ด้านฟินเทค ซึ่งสุดท้ายสามารถพิชิตเป้าหมายในการทำ IPO ได้สำเร็จด้วยการประเมินมูลค่าสูงถึง 7.7 พันล้านดอลลาร์

มันคล้าย ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มทางด้านเทคโนโลยีทั้งหลายที่พุ่งขึ้นมาจาก demand เทียม ๆ ในยุคการแพร่ระบาด เมื่อการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง นั่นทำให้ช่วงเวลาที่เฟื่องฟูของ Better.com ได้สิ้นสุดลงแล้ว

นั่นเองที่เหล่านักลงทุนหมายหัวไปที่ Garg ทันที เพราะเขาเป็นผู้นำที่มีข่าวเชิงลบมาตลอด การเยาะเย้ยพนักงานของเขาว่าเป็น “ปลาโลมาโง่” หรือแม้กระทั่งในปี 2021 ที่เขาไล่พนักงาน 900 คนออกผ่าน Zoom และตำหนิพวกเขาเหล่านี้ว่าเป็นพวกขี้เกียจ

Garg ไล่พนักงาน 900 คนออกผ่าน Zoom และตำหนิพวกเขาเหล่านี้ว่าเป็นพวกขี้เกียจ (CR:Newsweek)
Garg ไล่พนักงาน 900 คนออกผ่าน Zoom และตำหนิพวกเขาเหล่านี้ว่าเป็นพวกขี้เกียจ (CR:Newsweek)

ซึ่งเหตุการณ์หลังจากมีการไล่พนักงานออกทาง Zoom นั้น Garg เองถูกบังคับให้ลางานเป็นเวลาหนึ่งเดือน และเมื่อเขาได้กลับเข้ามารับตำแหน่ง คณะกรรมการบริษัทก็ได้สั่งให้เขาไปอบรมในเรื่องการบริหารองค์กรเพื่อให้มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีขึ้น แต่การกลับมาอีกครั้งของ Garg นั้นก็ยังทำให้อัตราการลาออกของพนักงานพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เพราะทุกคนต่างเข็ดขยาดกับพฤติกรรมของ Garg

ต้องบอกว่าไม่เพียงแต่รูปแบบการนำองค์กรของ Garg เท่านั้นที่เป็นปัญหา แต่เขายังทำให้ Better.com ขาดการควบคุมทางการเงินที่ดีพอ บริษัทเผชิญกับการฟ้องร้องของผู้บริหารที่กำลังจะหมดวาระ โดยอ้างว่า Better.com ได้บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของบริษัทก่อนการทำ IPO ผ่าน SPAC

ในขณะที่ Garg เองยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัท และยังคงควบคุมการลงคะแนเสียงไว้ 37% Better.com สูญเสียเงินมากกว่า หนึ่งพันล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งขาดทุนต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2023 ซึ่งบริษัทสร้างรายได้เพียงแค่ 21 ล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น และกำลังถูกดำเนินคดีที่ร้ายแรงจาก ก.ล.ต. ของสหรัฐอเมริกา

References :
https://www.forbes.com/sites/davidjeans/2023/08/24/better-mortgage-ceo-vishal-garg-spac/?sh=6cd0bbf15cb5
https://www.forbes.com/sites/davidjeans/2020/11/20/mortgages-fraud-claims-and-dumb-dolphins-a-tangled-past-haunts-bettercom-ceo-vishal-garg/?sh=79f5b23c10f4
https://www.inc.com/magazine/202305/brit-morse/what-bettercoms-vishal-garg-thinks-he-got-wrong-about-those-infamous-layoffs.html

ยุครุ่งเรืองของคอนเทนต์ขยะ เมื่อบทความที่ถูกสร้างด้วย AI กำลังบุกโลกออนไลน์เพื่อสูบเงินจากค่าโฆษณา

ผมคิดว่าในอนาคต มนุษย์เราจะเริ่มแยกกันไม่ออกว่าเนื้อหาใดที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์จริง ๆ หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Generative AI ที่คอยมาปั่นหัวพวกเราบนโลกออนไลน์

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำเนื้อหาคุณภาพ ด้วยการเรียบเรียงผลงานอย่างสวยหรู แล้วจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากโดยเฉพาะเหล่าเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่เน้นไปที่ความฉาบฉวย คลิกเบท หรือการพาดหัวแบบไม่ตรงปกที่มักเรียกยอดคลิกได้อยู่เสมอ

ก่อนหน้านี้ปัญหาเหล่านี้มันก็หนักมากพอแล้ว เราจะเห็นเว็บไซต์คุณภาพหลาย ๆ แห่งที่มีเนื้อหาที่ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี หรือ ใช้เวลาในการเตรียมข้อมูลต่าง ๆ มากมาย ได้เริ่มสูญหายไปจากโลกของโซเชียลมีเดีย เพราะมันไม่ได้ถูกผลักดันโดยอัลกอริทึมเหล่านี้

ไปไล่ดูเว็บไซต์อันดับต้น ๆ ของประเทศไทยที่มีผู้รับชมสูงสุด เราก็จะได้เห็นถึงการเน้นกับการทำข่าวที่ฉาบฉวย เรียกยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดคอมเมนต์ สร้างดราม่าออนไลน์ ซึ่งถูกจริตกับอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าสิ่งนึงที่เป็นปัจจัยสำคัญก็คือเรื่องรายได้จากการโฆษณานั่นเอง เพราะเนื้อหาพวกนี้ทำไม่ยาก และใช้ต้นทุนต่ำ แต่กลับสร้างรายได้อย่างงดงามเลยทีเดียว ซึ่งกลายเป็นว่า สำนักข่าวใหญ่ ๆ ของไทย ก็ไปเล่นข่าวทำนองนี้กันหมดแล้ว ข่าวหนัก ๆ ที่มีเนื้อหาดีๆ เหมือนในยุคอดีตนั้นได้เริ่มจากหายไป

ที่อเมริกาเองก็ประสบพบเจอกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้ Generative AI ได้นำเสนอวิธีใหม่ในการทำให้กระบวนการฟาร์มเนื้อหาเหล่านี้ ทำได้แบบอัตโนมัติ

สร้างรายได้จากขยะ

“ดูเหมือนว่าการโฆษณาเป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับเว็บไซต์ที่สร้างโดย AI” Lorenzo Arvanitis นักวิเคราะห์จาก NewGuard ซึ่งติดตามเนื้อหาที่สร้างโดย AI กล่าว “บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ติดอันดับ Fortune 500 และแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหลายร้อยแห่งที่กำลังโฆษณาบนเว็บไซต์เหล่านี้และกำลังสนับสนุนพวกเขาโดยไม่รู้ตัว”

โฆษณาที่มีการแสดงผลนั้นมาจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน ค้าปลีก รถยนต์ การดูแลสุขภาพ และ ecommerce ซึ่งต้นทุนโดยเฉลี่ยของการแสดงผลโฆษณาพันครั้งนั้นอยู่ที่ราว ๆ 1.21 เหรียญสหรัฐฯ

และดูเหมือนเรื่องรายได้มันจะอยู่เหนือจริยธรรม เมื่อเว็บไซต์เหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกแสดงโดย Google แม้ว่าพวกเขาจะมีนโยบายที่ชัดเจนว่าห้ามไม่ให้มีการแสดงโฆษณาในหน้าเว็บที่มีเนื้อหาที่สร้างโดยอัตโนมัติที่เป็นสแปม

แต่กลับกลายเป็นว่าจากข้อมูลของ NewGuard นั้น พบว่าโฆษณาที่ถูกแสดงหลัก ๆ จากทั้งหมด 393 รายการที่แบรนด์ใหญ่ๆ มาลงโฆษณานั้น มีถึง 356 รายการที่ถูกแสดงโดย Google

Fake News ยุคไฮบริด

แม้เครือข่ายโซเชียลมีเดียจะพยายามปราบปรามข่าว fake news ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหลังปัญหาที่เกิดขึ้นกับกรณีของ cambridge analytica และ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2016

แต่ข้อมูลจาก NewGuard นั้นพบว่าเว็บไซต์ที่สร้างเนื้อหาโดย AI ส่วนใหญ่ มีคุณภาพต่ำ และมักจะเผยแพร่ข้อมูลผิด ๆ ซึ่งแต่เดิมนั้นถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ที่มีเจตนาที่ไม่ดีในการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้มันยกระดับโดย AI ที่สร้าง Fake News กันสนุกมือ โดยแทบไม่มีความเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด

ตัวอย่างเว็บไซต์หนึ่งที่เขียนโดย AI ชื่อ MedialOutline.com มีบทความที่เผยแพร่ข้อมูลที่ผิดเกี่ยวกับสุขภาพที่เป็นอันตราย โดยมีหัวข้อข่าวเช่น “มะนาวรักษาโรคภูมิแพ้ด้านผิวหนังได้หรือไม่?” “5 วิธีรักษาโรคสมาธิสั้นแบบธรรมชาติมีอะไรบ้าง” และ “ป้องกันมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติได้อย่างไร” และกลายเป็นว่าบนเว็บไซต์เหล่านี้ได้ปรากฏโฆษณาของแบรนด์ใหญ่ ๆ เช่น Citigroup , ผู้ผลิตรถยนต์ Subaru หรือบริษัทด้านสุขภาพ GNC และโฆษณาเหล่านี้แสดงผ่านเครือข่ายโฆษณาของ Google แทบจะทั้งสิ้นน

บทสรุป

จากข้อมูลข้างต้นมันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องระหว่าง Google , บริษัทโฆษณาและการผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดของเว็บไซต์ Fake News ยุคใหม่ ซึ่งปลอมตัวเป็นเว็บไซต์ข่าวที่น่าเชื่อถือที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI

มันเป็นภูมิทัศน์ใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ ของโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการท่องเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วในเนื้อหาที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยี Generative AI ทำได้ดีกว่า

ซึ่งสิ่งที่จะตามมาคือ รูปแบบเนื้อหาเหล่านี้ที่เป็นภาษาไทยที่จะเกิดขึ้นแน่ในอนาคต ซึ่งแม้ในปัจจุบันข่าวเหล่านี้ ข้อมูลผิด ๆ เหล่านี้โดยเฉพาะข้อมูลด้านสุขภาพผิด ๆ จะมีอยู่เยอะมากอยู่แล้ว สังเกตได้จากในกลุ่ม Line ซึ่งมีการแชร์เนื้อหาทำนองนี้กันเยอะมาก

แต่ในอนาคตข้อมูล Fake News ยุคไฮบริดเหล่านี้จะผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความท้าทายมาก ๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะมาจัดการกับเรื่องดังกล่าวนี้อย่างไรในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.technologyreview.com/2023/06/26/1075504/junk-websites-filled-with-ai-generated-text-are-pulling-in-money-from-programmatic-ads/
https://www.newsguardtech.com/misinformation-monitor/june-2023/
https://digiday.com/media/the-programmatic-open-marketplace-is-faltering-but-publishers-see-a-bright-spot-in-private-programmatic-deals/

Geek Daily EP190 : เมื่อกองทุน AI กำลังพลาดโอกาสจาก AI Stock Boom

จนถึงตอนนี้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังช่วยผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอด้านการลงทุนได้ไม่มากนัก กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) อย่างน้อย 13 กองทุนได้นำแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยเหลือในการจัดการพอร์ตการลงทุนของตน 

แต่เกือบทุกกองทุนที่ใช้ AI ได้พลาดการเข้าซื้อหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังอยู่ในแนวหน้าของการแข่งขันด้าน AI ที่กำลังบูมขึ้นในปีนี้ และดูเหมือนนกองทุนด้าน AI จะให้ผลตอบแทนตามหลังดัชนี เช่น S&P 500 ซึ่งเหมือนเป็นการเคาะกะลาให้กับนักลงทุนที่ไปเชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI มากจนเกินไป และน่าจะเป็นสัญญาณของข้อจำกัดของเทคโนโลยีในโลกแห่งการเลือกหุ้นที่มีการแข่งขันสูง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/49p28842

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bddfv3wr

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/3bj88f6m

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/y25tm5nc

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/ev5uYW5jfIE