การต่อสู้ที่ร้อนเป็นไฟ ระหว่างคนงานอเมริกันกับภัยคุกคามจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

เป็นอีกครั้งที่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง แม้แต่ในหมู่ชนชั้นสูงก็กำลังตกอยู่ในอันตรายที่อาจจะปราชัยต่อความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี

ในอเมริกาข้อพิพาทด้านแรงงานในหัวข้อใหญ่สองข้อคือการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วที่อาจเกิดขึ้นจากการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมรถยนต์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

สหภาพแรงงาน United Auto Workers (UAW) ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานจากบริษัท Ford , General Motors และ Stellantis (ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ Chrysler และ Fiat) กำลังขู่นัดหยุดงาน และกำลังต่อสู้เพื่อเรียกร้องค่าจ้างที่สูงขึ้นให้กับผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ต้องบอกว่าการผลิตรถยนต์ยุคใหม่โดยเฉพาะในยุค EV นั้นเริ่มใช้หุ่นยนต์มากขึ้นแบบก้าวกระโดดและใช้แรงงานที่เป็นมนุษย์น้อยลงไปมาก

ทางฝั่งของฮอลลีวู้ดเหล่านักเขียนและนักแสดงต่างอยู่ในภาวะจำยอมในเรื่องค่าจ้างและเงื่อนไขต่าง ๆ ในยุคของการสตรีมมิ่งที่กำลังเข้าครอบงำฮอลลีวู้ดอยู่ในขณะนี้

มันเกิดการถกเถียงเป็นวงกว้างว่า AI จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมได้หรือไม่ หากสามารถใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ในการเขียนสคริปต์หรือแม้กระทั่งจำลองตัวนักแสดงได้แบบแนบเนียน ก่อรต่อสู้ดังกล่าวนี้อาจเป็นตัวอย่างที่สำคัญที่ชี้เห็นภาพที่ชัดเจนมาก ๆ ต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ควรจะเริ่มมองผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่มีต่องานของพวกเขา

สมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา และ SAG-AFTRA ซึ่งเป็นตัวแทนของเหล่านักแสดงในฮอลลีวู้ดได้นัดหยุดงานพร้อมกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี

Fran Drescher ในฐานะผู้นำของสมาคมนักแสดง (ดาราซิตคอมเรื่อง “The Nanny” ในยุค 1990) ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าการเผชิญหน้ากันเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ครั้งใหญ่ในครั้งนี้

Fran Drescher ในฐานะผู้นำของสมาคมนักแสดง ออกมาเรียกร้องในนการต่อสู้กับเทคโนโลยี (CR:Yahoo News)
Fran Drescher ในฐานะผู้นำของสมาคมนักแสดง ออกมาเรียกร้องในการต่อสู้กับเทคโนโลยี (CR:Yahoo News)

สิ่งที่น่าสนใจคือ การต่อสู้ของเหล่าแรงงานในอุตสาหกรรมของอเมริกาที่เกิดขึ้นได้รับการสนับสนุนอย่างผิดปรกติ โดยในปลายเดือนที่แล้ว สว.มากกว่าครึ่งหนึ่งของพรรคเดโมแครตได้ลงในนามในจดหมายถึงผู้ผลิตรถยนต์ Big Three เพื่อสนับสนุนคนงานในโรงงานแบตเตอรี่รถยนต์

แม้แต่พรรครีพับรีกันที่ต่อต้านสหภาพแรงงานอย่างรุนแรง ก็ยังพยายามสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับคนงาน โดย American Compass ซึ่งเป็น think-tank แนวอนุรักษ์นิยมจ๋า เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการบริหารคนงาน ซึ่งจะมีรูปแบบคล้าย ๆ กับในยุโรปเพื่อให้พนักงานมีสิทธิ์มีเสียงในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น

แต่ก็ยังมีการมองในแง่ดีว่า UAW และ บริษัทรถยนต์กลุ่ม Big Three จะสามารถหาวิธีเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนไปใช้ EV จะไม่นำไปสู่การสูญเสียตำแหน่งงานและกระทบกับผู้คนในวงกว้าง

เพราะมีตัวอย่างที่น่าสนใจจากสหภาพแรงงานของการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งตอนนี้หุ่นยนต์ได้เข้ามายึดครองแทบจะเบ็ดเสร็จ แต่มันก็ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานที่ท่าเรือได้นับไม่ถ้วน ทำให้ปริมาณสินค้าที่ผ่านเข้ามาเป็นจำนวนมาก สุดท้ายมันก็ช่วยรักษาผลประโยชน์ของเหล่าแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ได้

ซึ่งเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ EV หากคิดในทำนองเดียวกัน หากใช้หุ่นยนต์เพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ราคาก็จะลดลง และผู้ขับขี่ก็จะหันมาซื้อรถยนต์ EV กันมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายอาจให้ประโยชน์กับเหล่าแรงงานในอุตสาหกรรม EV เฉกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์

ในทางตรงกันข้าม เหล่านักเขียนและนักแสดงในยุค AI นั้นดูเหมือนจะมีอนาคตที่มืดมนกว่า การเร่งกระบวนการที่ใช้ AI เหล่านี้ สามารถลดค่าใช้จ่ายและทำให้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งสามารถสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ใหม่ ๆ ได้มากขึ้นโดยพึ่งพาแรงงานที่เป็นมนุษย์น้อยลง

บทสรุป

การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกนั้นมักจะเกิดขึ้นก่อน เราได้เห็นในหลากหลายอุตสาหกรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ ทีวี วิทยุ ที่ถูกพายุ disruption โหมกระหน่ำก่อนที่จะตามมาเกิดขึ้นในประเทศไทย

มันเป็นโจทย์ที่น่าสนใจมาก ๆ ของอนาคตของประเทศประเทศเราในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในประเทศของเรา และด้วยจำนวนแรงงานที่มหาศาลโดยเฉพาะในแถบชายทะเลฝั่งตะวันออกของไทย

ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็จะเกิดสิ่งเดียวกับที่แรงงานของสหรัฐอเมริกากำลังประสบพบเจออยู่ตอนนี้ มันเป็นเพียงแค่เวลาเท่านั้น ที่พายุ disruption นี้จะโหมกระหน่ำไปยังโลกตะวันตกก่อน และสุดท้ายมันก็จะถูกพัดพามายังประเทศของเราในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/08/15/american-workers-v-technological-progress-the-battle-heats-up
https://www.greencarreports.com/news/1133175_biden-wants-union-made-us-built-electric-cars-this-is-the-only-one-available-today

“สิงห์ เลมอนโซดา” คว้ารางวัล Top Outstanding Brand แบรนด์กลุ่มน้ำอัดลมโดดเด่นที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสูงสุด

“สิงห์ เลมอนโซดา” คว้ารางวัลแบรนด์ที่มีความโดดเด่น หรือ Top Outstanding Brand ประจำปี 2566 จากรายงาน Brand Footprint Thailand 2023 โดยคันทาร์ (Kantar) บริษัทข้อมูลการตลาดและการวิเคราะห์ชั้นนำของโลก วัดจากการเข้าถึงจริงของผู้บริโภค 26.4 ล้านครัวเรือนในประเทศไทย

สะท้อนความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวของแบรนด์ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย โดยผลการสำรวจจากผู้บริโภคพบว่าแบรนด์ “สิงห์ เลมอนโซดา” มีการเลือกซื้อมากกว่า 27 ล้านครั้ง จนชนะใจกลายเป็น “แบรนด์สินค้า” ที่คนไทยเลือกซื้อมากที่สุดในหมวดเครื่องดื่มน้ำอัดลม จากกลุ่มเครื่องดื่มบริโภคนอกบ้าน (OOH Beverage) ประจำปี 2566   

คุณพรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า รางวัล Top Outstanding Brand ประจำปี 2566 ของสิงห์ เลมอนโซดา สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการยอมรับของผู้บริโภค ท่ามกลางตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง

แบรนด์สิงห์ เลมอนโซดา สามารถนำเสนอความแตกต่าง ทันสมัย และไม่หยุดนิ่งพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อยู่เสมอ ทั้งการสร้างการรับรู้และภาพจำที่ชัดเจนให้แบรนด์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จนกลายเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ ทำให้สามารถครองใจกลุ่มเป้าหมายได้

สิงห์ เลมอนโซดา ถือเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาลที่สามารถประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นทางเลือกที่แตกต่างให้กับตลาด Carbonated Soft Drink ได้สำเร็จ ด้วยรสชาติที่โดดเด่น แปลกใหม่ เปรี้ยวซ่าไม่ซ้ำใคร ที่สำคัญคือ ไม่มีน้ำตาลและไม่มีแคลอรี่ ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

สำหรับข้อมูล Brand Footprint Thailand 2023 Awards ของคันทาร์ (Kantar)  ในการประเมินสุดยอดแบรนด์ที่คนไทยเลือกซื้อสูงสุด มีการคำนวณจากมาตรวัดอัตราการเข้าถึงผู้บริโภคหรือ Consumer Reach Points (CRPs) โดยวิเคราะห์มากกว่า 570 แบรนด์ในหมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG)

สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย 26.4 ล้านครัวเรือน โดยวิเคราะห์จากจำนวนประชากร การเจาะตลาดและทางเลือกของผู้บริโภค ทำให้เห็นว่าผู้บริโภคเลือกซื้อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งบ่อยเพียงใด ส่งผลให้การจัดอันดับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในตลาด 

โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเภทรางวัล ได้แก่ 1.Most Chosen Brands รางวัลแบรนด์ยืนหนึ่งที่ผู้บริโภคเลือกซื้อมากที่สุด 2.Top Growing Brands รางวัลแบรนด์ดาวรุ่งที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเติบโตสูงสุด 3.Top Outstanding Brands รางวัลแบรนด์ม้ามืดที่มีความโดดเด่น 4.Top Outstanding Retailer รางวัลค้าปลีกที่มีความโดดเด่น และ 5.Most Resilient Brand รางวัลแบรนด์ที่ปรับตัวต่อตลาดได้ดีที่สุด ครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภค 6 กลุ่ม ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์นม, สินค้าเครื่องใช้ภายในบ้าน, สินค้าเครื่องใช้ส่วนบุคคล, ผลิตภัณฑ์ความงาม และค้าปลีก