เกิดอะไรขึ้นกับ Kiva เมื่อแนวคิด Peer-to-Peer Lending เพื่อช่วยเหลือคนชายขอบกำลังแปรเปลี่ยนไป

Kiva ใช้แพลตฟอร์ม Crowd Lending แบบ peer-to-peer ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วโลกสามารถเข้าถึงเงินทุนที่พวกเขาต้องการเพื่อช่วยเหลือตนเองจากความยากจนได้

Kiva นั้นเกิดจากแนวคิดของ Premal Shah หนึ่งในสมาชิกของ Paypal Mafia โดยจุดเริ่มต้นของโครงการดังกล่าว เกิดจากการถูกมอบหมายให้ไปสร้างต้นแบบของแนวคิดด้าน micro-lending แบบบุคคลต่อบุคคล ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ Shah นั้นสนใจมาตั้งแต่เรียนใน stanford

ซึ่งหลังจากทีได้ไปคลุกคลีทำงานในอินเดียถึง 2 ปี ทำให้เขาอยากเอาแนวคิดดังกล่าวมาช่วยเหลือคนที่เข้าถึงแหล่งทางการเงินยากๆ  ในประเทศอเมริกาบ้าง 

และเมื่อเขากลับมายัง Silicon Valley อีกครั้งในปี 2005 ก็ได้ไปเจอกับ Matt Flannery และ Jessica Jackley ที่กำลังก่อตั้งบริการด้าน micro-lending พอดี ซึ่งตรงกับความต้องการของ Shah ที่ต้องการมาสร้างบริการแบบนี้ที่อเมริกา

Kiva ใช้เว็บไซต์เพื่อแสดงคุณสมบัติผู้ประกอบการทั่วโลกพร้อมด้วยรูปภาพของผู้ประกอบการจำนวนเงินกู้ที่ขอและคำอธิบายว่าจะใช้เงินกู้อย่างไร โดยสามารถเข้าสู่เว๊บไซต์ Kiva เรียกดูโปรไฟล์ผู้ประกอบการแต่ละรายได้

ด้วยความสามารถในการกรองข้อมูลของ อุตสาหกรรมในแต่ละภูมิภาค และคุณลักษณะอื่น ๆ และยังสามารถเลือกผู้ประกอบการที่พวกเขาต้องการให้ยืม ผู้ให้กู้สามารถมีส่วนร่วมโดยใช้เงินเพียงแค่ 25 ดอลลาร์ ในการเข้าร่วม

Matt Flannery และ Jessica Jackley ผู้ริเริ่ม Micro-lending (CR:Beliefnet)
Matt Flannery และ Jessica Jackley ผู้ริเริ่ม Micro-lending (CR:Beliefnet)

Kiva ดำเนินงานใน 83 ประเทศผ่านพันธมิตรกว่า 300 ราย เช่น สถาบันการเงินรายย่อย Microfinance Institutions(MFIs) ซึ่ง Kiva ได้สร้างพันธมิตรด้วย MFIs เหล่านี้ จะทำการกลั่นกรองผู้กู้เพื่อรับความเสี่ยงและความตั้งใจและเงินทุนที่ได้รับจากผู้ให้กู้

โดยเงินทุนของ Kiva จะถูกส่งไปยังผู้ประกอบการผ่านทาง MFI ในท้ายที่สุด โดยทั่วไปหุ้นส่วนของ Kiva จะปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติแบบดั้งเดิมและเรียกเก็บดอกเบี้ยให้กับลูกค้าของพวกเขาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของพวกเขา (แม้ว่า Kiva เองจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ จากจำนวนเงินกู้ในช่วงแรก) 

ซึ่งแตกต่างจากเว็บไซต์ระดมทุนอื่น ๆ เช่น Kickstarter หรือ GoFundMe โดยแง่มุมที่แตกต่างของ Kiva คือมันเป็นแพลตฟอร์มการให้ยืม ไม่ใช่แพลตฟอร์มการลงทุนทางการเงิน

ดังนั้นผู้ให้กู้สามารถคาดหวังว่าไม่เพียงช่วยคนที่ต้องการเงินทุนเท่านั้น แต่ยังสามารถรับเงินปันผลคืนได้ โดยได้รับการพิสูจน์มาแล้ว เนื่องจาก Kiva มีอัตราการชำระหนี้สูงถึง 98.5% จากสินเชื่อทั้งหมด

ในปี 2023 Kiva ระบุว่ามีผู้คน 2.4 ล้านคนจากมากกว่า 190 ประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเข้าถึงผู้กู้มากกว่า 5 ล้านคนใน 95 ประเทศ การศึกษาในปี 2022 ของลูกค้า micro-finance 18,000 ราย โดย 88% กล่าวว่า คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นตั้งแต่เข้าถึงสินเชื่อหรือบริการทางการเงินอื่น ๆ และหนึ่งในสี่กล่าวว่าสินเชื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เพิ่มความสามารถในการลงทุนและขยายธุรกิจขนาดเล็กของพวกเขา

เมื่อ Kiva แปรเปลี่ยนไป

เหล่าผู้ใช้ Kiva เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อค่าตอบแทนแก่พนักงานระดับสูงของ Kiva เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2020 CEO ได้รับเงินไปทั้งสิ้นมากกว่า 800,000 ดอลลาร์ เมื่อรวมกันแล้ว ผู้บริหาร 10 อันดับแรกของ Kiva ทำรายได้เกือบ 3.5 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 และในปี 2021 รายได้เกือบครึ่งหนึ่งของ Kiva ถูกใช้ไปกับการจ่ายเงินเดือนพนักงาน

มันกลายเป็นว่าองค์กรซึ่งพึ่งพาเงินช่วยเหลือและการบริจาคเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้อยู่รอดได้ ตอนนี้ดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่วิธีการทำเงินมากกว่าอุดมการณ์อันแรงกล้าเมื่อย้อนกลับไปในยุคก่อตั้ง

Kiva เผชิญกับคำวิจารณ์มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความโปร่งใส มันมีปัญหาชัดเจนว่าข้อมูลผู้กู้แต่ละรายที่แสดงบนเว็บไซต์ บางส่วนที่แสดงผลนั้นมันไม่มีอยู่จริง มันถูกเสกสรรค์ปันแต่งขึ้นมา

และที่สำคัญตัวละครที่เข้ามาร่วมในภายหลังอย่าง Google โปรแกรมใหม่ที่เรียกว่า Kiva Capital ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนใหม่ที่ Google ได้เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต้องการผลตอบแทนทางด้านการเงิน

ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้นมาจากค่าธรรมเนียมโดยตรง ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลดีต่ออุดมการณ์หลักของ Kiva ที่ต้องการกระจายเงินให้กับเหล่าคนชายขอบที่ยากจน

แน่นอนว่า Kiva เองนั้นก็เปรียบเสมือนตัวกลาง และมีแหล่งทุนจากหลายแหล่งที่เพิ่มขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งนั่นทำให้ต้นทุนของเงินทุนนั้นเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดดอกเบี้ย

ทางโฆษกของ Kiva ได้กล่าวว่า ค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.53% และอาจจะมีค่าธรรมเนียมบางรายการที่สูงถึง 8% ที่มีการเรียกเก็บจากกลุ่มที่เป็นสินเชื่อระยะยาวที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น

Kiva เองมีค่าใช้จ่ายในการ Operation ซึ่งค่าธรรมเนียมเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ

การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารก็เป็นปัจจัยสำคัญ Neville Crawley ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ในปี 2017 และออกจากตำแหน่งในปี 2021 โดย Crawley ทำเงินได้ประมาณ 800,000 ดอลลาร์ในปี 2020 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่เขาได้เข้ามาบริหารงาน Kiva ซึ่งเขาได้ทำงานต่อในปี 2021 อีกราวๆ หกเดือนและได้รับค่าจ้างไปกว่า 750,000 ดอลลาร์

Neville Crawley ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ในปี 2017 และออกจากตำแหน่งในปี 2021 (CR:Medium)
Neville Crawley ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ในปี 2017 และออกจากตำแหน่งในปี 2021 (CR:Medium)

เมื่อเปรียบเทียบกับ CEO ของ BRAC USA ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ Kiva และเป็นหนึ่งในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีรายรับแค่เพียง 300,000 ดอลลาร์ในช่วงปี 2020 ซึ่งไม่เพียงแค่น้อยกว่า CEO ของ Kiva ได้รับเท่านั้น แต่ยังต่ำกว่าตำแหน่งที่ปรึกษาทั่วไปของ Kiva อีกด้วย

และเมื่อเทียบกับบรรดาองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอื่น ๆ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองที่มีค่าครองชีพสูงของอเมริกา รายได้ของ CEO ของ Kiva ก็ยังอยู่ในระดับสูง

ตัวอย่างเช่น ประธานของ Sierra Club ซึ่งตั้งอยู่ในโอ๊คแลนด์ ทำเงินได้ 500,000 ดอลลาร์ในปี 2021 ในขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการบริหารของ Doctors Without Borders USA ซึ่งตั้งอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ มีรายได้อยู่ที่ 237,000 ดอลลาร์ในปี 2020 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ผู้บริหารระดับสูงของ Kiva ทำรายได้ประมาณ 800,000 ดอลลาร์

มันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ Kiva นั้นได้ส่งเสริมความรู้สึกที่มีการเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้กู้และผู้ที่เข้ามายืมผ่านแพลตฟอร์ม คนอเมริกันสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ได้

มันเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่การแปรเปลี่ยนไปของ Kiva มันเปรียบเสมือนการดูหมิ่นเหล่าผู้ให้กู้รายย่อยที่เป็นกลุ่มที่ช่วยผลักดันองค์กรนี้ให้อยู่ในแนวหน้าและได้รับการสรรเสริญมากมายจากอุดมการณ์อันแรงกล้าของผู้ก่อตั้งในยุคเริ่มต้น

ตอนนี้ Kiva ได้กลายพันธุ์ไปเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จักอีกต่อไป มันได้แปรเปลี่ยนเป็นสถานบันการเงินที่ไม่ต่างจาก แหล่งปล่อยสินเชื่อเงินด่วน ที่มีอยู่ดาษดื่นทั่วไป

Janice Smith หนึ่งในผู้ร่วมอุดมการณ์ของ Kiva มาตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม ได้ทำการเปิดตัวกลุ่ม Together for Women ซึ่งมีสมาชิก 2,500 และทำการประท้วงแพลตฟอร์มด้วยการหยุดให้ยืมผ่าน Kiva รวมถึงผู้ให้กู้คนอื่น ๆ อีกหลายสิบคน

แม้ว่าผู้แปรพักตร์เหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของคนกว่า 2 ล้านคนที่ใช้เว็บไซต์นี้ แต่พวกเขาก็เป็นกลุ่มผู้ให้กู้ที่ทุ่มเทที่สุด และเกือบทั้งหมดมีส่วนร่วมกับแพลตฟอร์มมาเกือบทศวรรษ บางคนให้ยืมไปหลายหมื่นดอลลาร์

สำหรับพวกเขาแล้ว ตอนนี้อุดมการณ์ของ Kiva ที่แต่เดิมนั้นต้องการเปลี่ยนชีวิตของคนชายขอบมันได้เปลี่ยนไปแล้ว และตอนนี้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดมาก ๆ ที่สิ่งเหล่านี้มันได้เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มที่พวกเขาคอยฟูมฟักมาอย่างยาวนานอย่าง Kiva นั่นเองครับผม

References :
https://www.technologyreview.com/2023/08/14/1077351/microfinance-money-making
http://www.kiva.org/about/stats
http://www.kiva.org/zip
http://www.cnbc.com/2015/08/06/alternative-small-business-loans.html
http://www.nation.co.ke/lifestyle/smartcompany/How-online-lender-is-transforming-lives-through-small-loans/-/1226/2818906/-/pde99w/-/index.html
http://www.theatlantic.com/business/archive/2015/08/crowdfunding-success-kickstarter-kiva-succeed/400232/
https://openmicroc.com/how-a-kiva-loan-could-get-your-business-off-the-ground/
https://www.sfchronicle.com/visionsf/article/Premal-Shah-co-founder-of-Kiva-enables-the-poor-12496299.php