จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า AI ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์?

เอาจริง ๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับว่า ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้าน AI ที่ก้าวล้ำไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เราได้เห็น model ทางการแพทย์ใหม่ ๆ ที่นำเอาอัลกอริธึมทางด้าน AI ไปประยุกต์ใช้ และประสบความสำเร็จอย่างสูง

ซึ่งในเบื้องต้น ยังต้องมีมนุษย์คอยช่วยพัฒนาวิธีการเหล่านี้อยู่ แต่ถ้าในอนาคตเราสามารถตัดมนุษย์ออกจากกระบวนการดังกล่าวได้ทั้งหมด แล้วปล่อยให้ AI มันทำงานแล้วสามารถค้นพบงานวิจัยระดับ breakthrough ของวงการได้ล่ะ AI ควรจะได้รับรางวัลโนเบลไหม?

เป็นบทความจาก the economist ที่ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว เมื่อมีการทำนายอนาคตว่าในปี 2036 นั้น รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์จะถูกมอบให้กับปัญญาประดิษฐ์

ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่ถูกสมมิตขึ้น

ลองจินตนาการว่า มันจะวุ่นวายขนาดไหนหากมันเกิดขึ้นจริง AI ที่มีชื่อว่า YULYA ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Machine Learning ที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการว่า System for Automated Lymphoma Diagnosis

มันสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีประสิทธิภาพในการต่อต้านแบคทีเรีย มันเกิดขึ้นเนื่องจากอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวของยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

YULYA ได้ช่วยชีวิตผู้คนได้ประมาณ 4 ล้านคน ทั้งที่ผ่านการรักษาโรคติดเชื้อโดยตรง รวมถึงในกระบวนการการผ่าตัดทั้งผ่าคลอด ซึ่งถือว่าอันตรายเกินไปหากไม่มียาปฏิชีวนะ

เดิมที YULYA ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาที่แตกต่างกัน : ค้นหาวิธีในการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบนี้เป็นหนึ่งในปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่ที่รวมเอาที่รวมเอาเทคโนโลยี Neural Network และ Deep Learning ขั้นสูง

มันทำงานโดยการตรวจสอบบันทึกจากฐานข้อมูลผู้ป่วย ร่วมกับคลังเอกสารจากวารสารทางการแพทย์และข้อมูลในอดีตจากบริษัทยา นอกจากนี้ยังได้รับการตั้งโปรแกรมให้ประเมินประสิทธิภาพของการรักษาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการรักษาแบบผสมผสาน เพื่อแนะนำสูตรการรักษาใหม่ที่สามารถทดสอบในผู้ป่วยได้

อย่างไรก็ตามมันได้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในปี 2034 โดยไม่ตั้งใจ ซึ่ง YULYA ได้เข้าถึงเอกสารล่าสุดทั้งหมดในวารสารทางการแพทย์แทนที่จะเป็นเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง

YULYA เริ่มเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาปฏิชีวนะ และได้เข้าไปเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และสามารถแนะนำแนวทางใหม่ในการรักษาได้สำเร็จ

YULYA ซึ่งถูกสร้างโดย Dr. Anisha Rai แต่มันบังเอิญไปเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่เคยได้รับอนุญาต แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันกลับน่าทึ่ง Dr.Rai จึงเลือกที่จะเสนองานวิจัยดังกล่าวออกสู่สาธารณะ

มันได้กลายเป็นข้อถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่า YULYA หรือ ผู้สร้างมัน ควรได้รับเครดิตสำหรับงานวิจัยนี้ แต่ Dr. Rai ยืนยันว่า YULYA สมควรได้รับเครดิตแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งท้ายที่สุดงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับรางวัลโนเบล

บทสรุป

โดยทั่วไปแล้ว AI จะใช้ทำนายการเริ่มมีอาการของโรค เช่น อัลไซเมอร์ ให้คำแนะนำการรักษาเฉพาะบุคคล และเพิ่มความสามารถในการวินิจฉัยของแพทย์ เช่น การอ่านผล X-RAY หรือ ช่วยในการค้นคว้ายาใหม่ ๆ

แต่ก็มีอีกหลากหลายเทคโนโลยีที่ตอนนี้เรียกได้ว่าก้าวล้ำไปมาก ๆ แล้ว แม้จะเป็นเรื่องที่สมมติขึ้น แต่อยู่บนพื้นฐานของการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง

และท้ายที่สุด YULYA จะไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์สุดท้ายที่ได้รับรางวัลโนเบล เพราะในแขนงอื่น ๆ ทั้งเคมี ฟิสิกส์ ระบบ AI กำลังถูกใช้เพื้อค้นหาวัสดุและสารประกอบเคมีใหม่ ๆ ที่เหมาะสำหรับใช้ในแบตเตอรี่ แผงโซลาเซลล์ และอื่นๆ อีกมากมาย

และสุดท้ายมนุษย์ก็แทบไม่จำเป็นในกระบวนการวิจัยเหล่านี้อีกต่อไปเหมือนสิ่งที่ YULYA ทำ อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับความจริงหรือไม่ว่าเราได้พ่ายแพ้ให้กับพวกมันแล้ว และต้องมอบรางวัลทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างรางวัลโนเบลให้กับพวกมันนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/what-if/2021/07/03/what-if-an-ai-wins-the-nobel-prize-for-medicine
https://www.worldquant.com/ideas/the-next-imitation-game-ai-wins-the-nobel/

Geek Story EP157 : Ecommerce x Culture กับความแตกต่างทางวัฒนธรรมการชอปปิ้งออนไลน์ระหว่างตะวันตกกับเอเชีย

เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ ที่เราได้เห็นการถอยทัพของยักษ์ใหญ่ ecommerce จากบ้านเราอย่าง shopee ที่ไปบุกยุโรป หรือ เคสของ TikTok Shop ที่เปิดบริการในยุโรปได้ไม่นาน ก็แทบจะต้องยกเลิกบริการนี้ไป

หรือเคสคลาสสิก อย่างการที่ ebay ที่ได้บุกมาประเทศจีน แล้วถูก taobao ของ jack ma ถล่มซะราบคาบเลยทีเดียว ซึ่งต้องบอกว่าวัฒนธรรมการชอปปิ้งนั้นถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญมาก ๆ ที่แพลตฟอร์มทั้งสองฝั่งยากที่จะเจาะตลาดอีกฝั่งหนึ่งได้ง่าย ๆ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3VNGUOW

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3SkzOhR

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3MLlr4Y

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3savsiz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/vAZjQEUSvRo

7 ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า EV

ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พุ่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2021 เมื่อเทียบกับปี 2020 และบริษัทยานยนต์ประกาศการลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ การเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ถึงกระนั้น ข้อมูลผิด ๆ ก็ยังมีอยู่มากมายในระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอันน่าตื่นเต้นนี้ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุด 7 ประการเกี่ยวกับรถยนต์ EV

1. รถยนต์ไฟฟ้ามักจะมีราคาแพงกว่าเสมอ ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนศตวรรษ จนถึงจุดที่ในตอนนี้ราคาใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนลดลง 97% ตั้งแต่ปี 1991 และมีแนวโน้มว่าจะถูกลงเรื่อยๆ เนื่องจากงานวิจัยด้านต่างๆ ยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีและการผลิตจำนวนมากให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การประมาณการบางส่วนจากกระทรวงพลังงานและ นิตยสาร Car and Driver Magazine ของสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า ตลอดอายุขัยของยานพาหนะ รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกกว่ารถยนต์แบบน้ำมันเมื่อเทียบเคียงในขนาดเดียวกันอยู่แล้ว และเมื่อคำนึงถึงค่าบำรุงรักษา การซ่อมแซม การเสียภาษี และค่าเชื้อเพลิง เรียกได้ว่า EV กินขาด

เจเนอรัล มอเตอร์ส เพิ่งประกาศว่าเชฟโรเลต โบลต์ EV ปี 2023 จะมีราคาเริ่มต้นที่ราคา 26,595 ดอลลาร์ และจิม ฟาร์ลีย์ ซีอีโอของฟอร์ดคาดการณ์ว่าสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะเกิดขึ้นซึ่งจะทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าตกลงอย่างรวดเร็ว

เชฟโรเลต โบลต์ EV ปี 2023 มีราคาเริ่มต้นที่ราคา 26,595 ดอลลาร์ (CR:Car and Driver)
เชฟโรเลต โบลต์ EV ปี 2023 มีราคาเริ่มต้นที่ราคา 26,595 ดอลลาร์ (CR:Car and Driver)

2. รถยนต์ไฟฟ้าจะโอเวอร์โหลดกริด มีแนวคิดที่กระจายไปอย่างผิด ๆ ว่าโครงข่ายไฟฟ้าที่เปราะบางและล้าสมัยของอเมริกาหรือในหลายๆ ประเทศจะไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์ไฟฟ้าได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากห้องปฏิบัติการชั้นนำของประเทศกล่าวว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หากรถยนต์และรถบรรทุกทั้งหมดของประเทศ (อเมริกา) ใช้ไฟฟ้าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 25% แต่การเพิ่มขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นทีละน้อยเท่านั้น

3. แบตเตอรี่ EV อยู่ได้ไม่นาน ในการสำรวจความคิดเห็นเมื่อเร็วๆนี้ ประมาณ 46% ของผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคิดว่าชุดแบตเตอรี่จะอยู่ได้ไม่เกิน 65,000 ไมล์ (ประมาณ 100,000 กิโลเมตร) ความคิดดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการดูถูกดูแคลนอย่างมาก ต่ำกว่าการรับประกันที่บริษัทส่วนใหญ่เสนอเกี่ยวกับแบตเตอรี่ของ EV 

ความจริงก็คือ เมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานบนท้องถนนมากว่าทศวรรษแล้ว คาดว่าแบตเตอรี่ EV จะรักษาความจุได้ 80% ขึ้นไปอย่างสบายๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 200,000 ไมล์ (ประมาณ 322,000 กิโลเมตร) ในการขับขี่ 

ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมจากรถยนต์ Tesla Model S บ่งชี้ว่าความจุเริ่มต้นลดลง 5% ในช่วง 50,000 ไมล์แรก (ประมาณ 80,000 กิโลเมตร) ตามด้วยอีก 5% ลดลงในอีก 150,000 ไมล์ (ประมาณ 240,000 กิโลเมตร)

Tesla Model S ที่ความจุเริ่มต้นลดลง 5% ในช่วง 50,000 ไมล์แรก (CR:Electrek)
Tesla Model S ที่ความจุเริ่มต้นลดลง 5% ในช่วง 50,000 ไมล์แรก (CR:Electrek)

4. ช่วงระยะการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้ายังน้อยเกินไป ระยะกลางของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 240 ไมล์ (ประมาณ 386 กิโลเมตร) เมื่อพิจารณาว่า 99% ของการเดินทางทั้งหมดอยู่ในระยะไม่เกิน 100 ไมล์ (ประมาณ 160 กิโลเมตร) และคนขับโดยเฉลี่ยเดินทางประมาณ 40 ไมล์ (ประมาณ 64 กิโลเมตร) ต่อวัน นั่นทำให้รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่มีอยู่จะครอบคลุมความต้องการรายวันของผู้ขับขี่เกือบทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย 

อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่จำกัดบนทางหลวงของสหรัฐอเมริกา และเมื่อพิจารณาจากความเร็วที่เกิน 70 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 113 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ประกอบกับอุณหภูมิที่เย็นจัด สามารถลดระยะการเดินทางของรถยนต์ EV ได้มากถึง 40% แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางบนถนนหลายวัน รถยนต์ EV ก็ยังทำได้ดีที่สุด อาจจะไม่สะดวกแต่ก็ไม่ได้แย่ 

ภาพรวมโดยรวม: ในครัวเรือนที่มีรถหลายคัน ระยะการใช้งานไม่เป็นอุปสรรคต่อการมี EV อย่างน้อยหนึ่งคัน

5. การชาร์จจะช้าเกินไปเสมอ เวลาในการชาร์จอย่างรวดเร็ว (Fast-charging) ของ EV ลดลงอย่างมาก จนถึงจุดที่รถที่ขายอยู่ในปัจจุบันสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 18 นาที 

การออกแบบแบตเตอรี่ใหม่ที่พร้อมจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ทำให้ลดเวลาในการชาร์จลงครึ่งหนึ่งเหลือไม่ถึงสิบนาที การลดลงนี้จะทำให้การชาร์จสะดวกยิ่งขึ้นในการเดินทางไกล 

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่สามารถชาร์จที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่จอดรถได้โดยไม่ต้องใช้ Fast-charging สำหรับความต้องการในการขับขี่ในแต่ละวัน

6. เราไม่สามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ได้ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในราวๆ ทศวรรษหรือประมาณนั้น แบตเตอรี่ลิเธียมที่ใช้แล้วจะเริ่มกลายเป็นขยะที่เริ่มล้นโลก และได้เรียกร้องให้มีการหาโซลูชันในการรีไซเคิล 

ปัจจุบันมีบริษัท ประมาณร้อยแห่งที่กำลังสำรวจและและค้นหาวิธีที่จะทำการรีไซเคิลขยะพวกนี้ ดังนั้นทางเลือกที่ดีและประหยัดจึงอาจอยู่ในระหว่างดำเนินการ เพราะมันจะกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างมหาศาลในอนาคต

7. รถยนต์ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพพื้นฐานมากกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน ในขณะที่เครื่องยนต์น้ำมันจะแปลงพลังงานที่เก็บไว้ของน้ำมันเบนซินเพียง 20% ให้เป็นพลังงานสำหรับการขับเคลื่อน ในขณะที่มอเตอร์ EV จะแปลงพลังงานสูงถึงประมาณ 60% ถึง 77% จากแบตเตอรี่ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ EV ได้โต้แย้งว่าเมื่อคุณคำนึงถึงการผลิตของรถยนต์ EV ซึ่งรวมถึงการขุดเหมืองแร่สำหรับวัตถุดิบแบตเตอรี่ ความได้เปรียบของ EV จะลดลง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด 

มีรายงานการวิเคราะห์ life cycle ของรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่แสดงให้เห็นว่า EV มีห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า สาเหตุหลักเป็นเพราะพวกเขาต้องการชิ้นส่วนน้อยกว่ามากในการสร้างรถยนต์ขึ้นมาในแต่ละคันนั่นเอง

References :
https://www.myev.com/research/ev-101/10-common-electric-car-myths-busted
https://auto.howstuffworks.com/myths-electic-cars-vehicles.htm
https://www.freethink.com/technology/myths-about-electric-vehicle
https://www.electrichybridvehicletechnology.com/news/industry-news/world-ev-day-biggest-myths-busted-about-owning-an-electric-car.html

Geek Daily EP151 : จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท Big Tech เมื่อเหล่าพนักงานกำลังเคลื่อนไหวก่อตั้งสหภาพแรงงาน

การเคลื่อนไหวของแรงงานเพื่อก่อตั้งสหภาพแรงงานกำลังได้รับแรงผลักดันครั้งสำคัญในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดย Apple ได้มีการลงคะแนนให้เกิดสหภาพแรงงานในวันศุกร์ที่ผ่านมา และเกิดความไม่สงบกระจายไปทั่ว ส่วน Amazon เกิดขึ้นคล้าย ๆ กันในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ซึ่งผู้จัดงานกล่าวว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ชัยชนะเหล่านี้เป็นตัวแทนของเหตุการณ์สำคัญสำหรับขบวนการแรงงานสหรัฐในธุรกิจด้านเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าการบรรลุข้อตกลงการเจรจาต่อรองที่แท้จริงอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3D7haFP

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3EWjgtz

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3MDJJOg

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3Tr3n22

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/jfkdhp7d57A

Credit Image : Fast Company

 

ทำไม TikTok Shopping อาจล้มเหลวในสหรัฐอเมริกา

ความนิยมของ TikTok ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนจะทำให้พวกเขามั่นใจที่จะนำเอาฟีเจอร์เด็ดอย่าง TikTok Shop ไปบุกโลกตะวันตก ดินแดนที่ Amazon ครองส่วนแบ่งการตลาดด้าน ecommerce ได้แบบเบ็ดเสร็จ

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมากในแถบเอเชีย เนื่องด้วยพฤติกรรมการชอปปิ้งของคนแถบนี้ ค่อนข้างที่จะถูกจริตกับฟีเจอร์อย่างการไลฟ์สด รวมถึงสินค้าราคาถูกจากจีนที่แห่กันมาลดราคาใน TikTok Shop ในตอนนี้

แต่ก็ต้องบอกว่า การขยายกิจการไปยังประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาที่มีพฤติกรรมการชอปปิ้งที่แตกต่างกันกับคนเอเชียนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่า การชอปปิ้งแบบไลฟ์สดยังไม่ได้รับการยอมรับในกระแสหลักในอเมริกาเหมือนที่อื่น ๆ เนื่องจากผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยังไม่คุ้นเคยกับการชอปปิ้งประเภทนี้

ชอปปิ้งแบบไลฟ์สดอาจจะบูมในจีน แต่ไม่ใช่กับโลกตะวันตก (CR:Pandaily)
ชอปปิ้งแบบไลฟ์สดอาจจะบูมในจีน แต่ไม่ใช่กับโลกตะวันตก (CR:Pandaily)

เรียกได้ว่า TikTok กำลังเข้ามาเขย่าตลาดโฆษณาดิจิทัลอย่างรุนแรง รายได้จากโฆษณาของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2022 เป็นมากกว่า 11 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ารายได้จากแพลตฟอร์มอย่าง Twitter และ Snap รวมกันเสียอีก

ในขณะที่ตลาดโซเชี่ยลคอมเมิร์ซคาดว่าจะมียอดขาย 53 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในปีนี้ และเกือบ 457 พันล้านดอลลาร์ในประเทศจีน ตามข้อมูลของ Insider Intelligence

แล้วทำไม TikTok Shop อาจจะล้มเหลวในอเมริกา

ในประเทศจีน การชอปปิ้งแบบไลฟ์สดบนแอปอย่าง Wechat , Taobao Live และ Douyin (TikTok เวอร์ชั่นจีน) เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยม และสร้างกำไรได้อย่างมหาศาล

รายงานจากบริษัทที่ปรึกษาอย่าง Accenture พบว่า ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 8 ใน 10 คนน ในจีนใช้โซเชียลมีเดียเพื่อซื้อสินค้า แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรยังไม่ได้ทำการซื้อด้วยวิธีดังกล่าวนี้

โซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งรวมถึงรูปแบบการขายอื่น ๆ บนโซเชียลมีเดียนอกเหนือจากการไลฟ์สด คาดว่าจะคิดเป็นประมาณ 5% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาในปีนี้ เทียบกับเกือบ 16% ในประเทศจีน

ตามข้อมูลของ Insider Intelligence พบว่า Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ในปัจจุบัน เป็นผู้นำด้านโซเชียลคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกา ด้วยความนิยมของฟีเจอร์อย่าง Facebook Marketplace และ Instagram Shopping

และข้อมูลที่น่าสนใจคือ ตลาดแรกที่ TikTok Shop ทำการเปิดตลาดนอกเอเชียอย่างสหราชอาณาจักรนั้น กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า มีปัญหาทั้งเรื่องวัฒนธรรมการชอปปิ้ง หรือแม้กระทั่งปัญหาสินค้าปลอมที่แพร่ระบาดหนักในแพลตฟอร์ม TikTok Shop เพราะเน้นของถูก และเคยมีปัญหากับแบรนด์ที่เป็นสัญชาติอังกฤษอย่าง Dyson มาแล้วด้วย

TikTok Shop เคยมีปัญหากับแบรนด์ที่เป็นสัญชาติอังกฤษอย่าง Dyson มาแล้วเพราะนำสินค้าจีนเลียนแบบราคาถูกเข้ามาขาย (CR: FT)
TikTok Shop เคยมีปัญหากับแบรนด์ที่เป็นสัญชาติอังกฤษอย่าง Dyson มาแล้วเพราะนำสินค้าจีนเลียนแบบราคาถูกเข้ามาขาย (CR: FT)

ความน่าสนใจอีกอย่างก็คือ เมื่อเทียบกับฝั่งเอเชียโดยเฉพาะในประเทศจีนแล้วนั้น อเมริกาเหนือและยุโรปดูล้าหลังกว่าในเรื่องของการเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างเห็นได้ชัด

ผู้คนในจีนนั้นคุ้นเคยกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบดิจิทัลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาแทบไม่ต้องใช้เงินสด บัตรเดบิตหรือเครดิตเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็เพียงแค่โทรศัพท์มือถือ

แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จเลยซะทีเดียวเพราะการชอปปิ้งแบบไลฟ์สดนนั้น ยังคงมีศักยภาพในอเมริกาเหนือและยุโรป แต่การที่อยู่ดี ๆ จะปล่อยแนวความคิดดังกล่าวที่ประสบความสำเร็จในจีนและคาดหวังว่ามันจะประสบความสำเร็จแบบเดียวกันนั้นมันเป็นก็เรื่องที่ไร้เดียงสาเอามาก ๆ

และที่สำคัญขวากหนามที่สำคัญอย่าง Amazon ที่พวกเขามีประสบการณ์และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างแท้จริงในสหรัฐอเมริกาคงไม่ยอมให้ TikTok มากลืนกินส่วนแบ่งการตลาดของพวกเขาอย่างแน่นอน

แต่ก็ประมาทไม่ได้ซะทีเดียว เพราะใครจะไปคาดคิดว่า TikTok จะมาท้าทายอำนาจเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่ครองตลาดแทบจะเบ็ดเสร็จอย่าง Facebook มาแล้ว ด้วยอัลกอริธึมที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาที่หาใครเทียบได้นั้น มันจะช่วยสร้างรากฐานใหม่ให้กับธุรกิจโซเชียลคอมเมิร์ซโดยเปลี่ยนการชอปปิ้งบนโซเชียลให้กลายเป็นนิสัยที่คุ้นเคยมากขึ้นของผู้คนบนโลกได้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://time.com/6222137/tiktok-shopping-us-ecommerce/
https://www.ft.com/content/07b75caf-b2ab-4ace-9bb8-68d42f1da823
https://www.cnbc.com/2021/11/16/chinese-livestreamers-can-rake-in-billions-of-dollars-in-hours-how-long-will-it-last.html
https://www.reuters.com/technology/tiktoks-ad-revenue-surpass-twitter-snapchat-combined-2022-report-2022-04-11/