DeFi x Hackers กับการโจรกรรมกว่าหมื่นล้าน และวิธีป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงผ่าน crypto scams

ต้องบอกว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นและการยอมรับในกระแสหลักมากขึ้น มูลค่าของตลาดสกุลเงินดิจิทัลจึงทะลุ 3 ล้านล้านดอลล่าร์ในเดือนพฤศจิกายนผ่านมา และเหรียญชั้นนำอย่าง bitcoin และ ether ก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

แต่ด้วยความคลั่งไคล้ นักต้มตุ๋นและเหล่าแฮ็กเกอร์จึงมองเห็นโอกาส ในช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม มีนักลงทุนถูกขโมยเงินไปกว่า 681 ล้านดอลลาร์ ผ่านการแฮ็กและการฉ้อโกงในวิธีการต่าง ๆ ตามรายงานของ CipherTrace

ในปีที่ผ่านมามีการ hack หลายครั้งที่มีความน่าสนใจโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ DeFi หลากหลายโครงการ ที่สร้างความสูญเสียรวมกว่าหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์ มีทั้งการขโมย DeFi และการฉ้อโกง

แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาทางออกที่มีความปลอดภัยแบบ 100%  คุณต้องเข้าใจความเสี่ยงในการลงทุนกับ cryptocurrency และ DEFI

นี่คือเคล็ดลับบางประการที่จะปกป้องคุณไม่ให้เกิดความเสี่ยงกับการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้

1. ทำการวิจัยโครงการอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ในเดือนมิถุนายนมหาเศรษฐีนักลงทุน Mark Cuban ได้สูญเสียเงินครั้งใหญ่เมื่อทำการลงทุนใน DeFi โทเค็น บทเรียนที่สำคัญของเขา? “จงทำการวิจัยด้วยตัวของคุณเอง” 

Mark Cuban ได้สูญเสียเงินครั้งใหญ่เมื่อทำการลงทุนใน DeFi (CR:Bitcoin News)
Mark Cuban ได้สูญเสียเงินครั้งใหญ่เมื่อทำการลงทุนใน DeFi (CR:Bitcoin News)

นักลงทุนควรใช้เวลาในการวิจัยก่อนที่จะเข้าลงทุนในโครงการ crypto หรือโทเค็น ซึ่งนักลงทุนควรเริ่มต้นด้วยการดูโครงการหรือเว็บไซต์ของโทเค็นที่มีให้ซื้อ White Paper และนักพัฒนาหรือผู้ก่อตั้งที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

แม้ว่าคุณลักษณะเหล่านี้จะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติหรือไม่ แต่ก็มีประโยชน์เมื่อคุณกำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนอะไร

2. ตรวจสอบ Smart Contract

Smart Contract หรือชุดรหัสที่ดำเนินการตามชุดคำสั่งบนบล็อคเชน มีความจำเป็นสำหรับโครงการที่ใช้การเข้ารหัสลับส่วนใหญ่ในการทำงาน

แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องค่อนข้างเทคนิค แต่ก็คุ้มค่าที่จะตรวจสอบ Smart Contract ที่อยู่เบื้องหลังโครงการหรือขอให้ผู้มีความรู้เกี่ยวกับ Smart Contract ทำเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะว่าหากมีปัญหากับโค้ดของนักพัฒนา แสดงว่าอาจมีจุดอ่อนภายในโปรเจ็กต์ได้

เมื่อ Poly Network ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม DeFi ที่เชื่อมต่อบล็อคเชนต่างๆ ถูกแฮ็กในเดือนสิงหาคม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าแฮ็กเกอร์สามารถใช้ประโยชน์จากปัญหาการเข้ารหัสของเครือข่ายได้ แม้ว่าแฮ็กเกอร์จะคืนเงินที่ถูกขโมยไปในที่สุดแต่ก็เป็นหนึ่งในการขโมยเงินดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงคุ้มค่าที่จะมองหาโครงการที่ใช้มาตรการป้องกันความปลอดภัยและได้รับการตรวจสอบอย่างดี

John Wu ประธาน Ava Labs ซึ่งเป็นทีมที่สนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชัน DeFi บนบล็อกเชนของ Avalanche ได้กล่าวถึงการตรวจสอบที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาว่ามีปัญหาในการพัฒนาโครงการหรือไม่ รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะมีคนกุล่มหนึ่งกลุ่มใดคอยควบคุมเครือข่ายหรือเงินทุนของเครือข่ายหรือไม่

และถ้ามีอะไรทำให้รู้สึกไม่สบายใจ อย่าเพิ่งไปลงทุนกับมันเด็ดขาด ควรมองหาสมาชิกที่เป็นกลางในชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคเพื่อตรวจสอบโค้ดอย่างละเอียด” Wu กล่าว

แม้ว่าโครงการจะได้รับการตรวจสอบแล้ว แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่โครงการเหล่านี้จะล้มเหลวหรือถูกแฮ็กได้ ดังนั้น: คุณควรลงทุนให้มากเท่าที่คุณสามารถจะสูญเสียได้

3. เข้าใจความเสี่ยงด้านชื่อเสียง

Meltem Demirors, เจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์ของ CoinShares กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องพยายามพิจารณาว่าผู้ก่อตั้งโครงการมีความน่าเชื่อถือพอที่คุณจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่

“โครงการที่ดีที่สุดบางโครงการนำโดยผู้ก่อตั้งนิรนามหรือนามแฝงที่ไม่ระบุชื่อซึ่งปกป้องความเป็นส่วนตัวของพวกเขา แต่ผมคาดหวังความโปร่งใสภายในแอปพลิเคชันมากกว่า” Wu กล่าว

รูปแบบของ “Pump and dump” และ  “rug pull” ที่นักพัฒนาละทิ้งโครงการและออกไปพร้อมกับเงินทุนของนักลงทุน มักเกิดขึ้นในการลงทุนเหล่านี้อยู่เสมอ

ในเดือนพฤศจิกายนโทเค็นที่ตั้งชื่อตามซีรีส์ที่เป็นที่นิยมของเกาหลีใต้ใน Netflix ชุดSquid Game” ได้มีมูลค่าลดลงใกล้ศูนย์ ทำให้มีผู้สูญเสียมากมาย

ผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดีย คนดังและแม้แต่ผู้บริหารหลายคนได้รับเงินเพื่อปั๊มโทเค็นหรือโครงการออนไลน์เหล่านี้ 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโครงการเหล่านี้มันมีคุณค่าหรือเป็นการลงทุนที่ดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการป้อนโฆษณาในโซเชียลมีเดียมักจะส่งผลให้ผู้คนสูญเสียเงินมากกว่า

ตามที่  สำนักงาน ก.ล.ต. เตือนในปี 2017 ”ไม่ควรตัดสินใจลงทุนเพียงเพราะมีคนที่มีชื่อเสียงกล่าวว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นการลงทุนที่ดี”

4. รักษากระเป๋าสตางค์ของคุณให้ปลอดภัย

เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คีย์ส่วนตัวของคุณ ชุดตัวอักษรและตัวเลขที่คล้ายกับรหัสผ่านที่ใช้ในการปลดล็อกการเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัล จะไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ

มีตัวเลือกกระเป๋าเงินมากมายเพื่อปกป้องการลงทุนและคีย์ส่วนตัวของคุณ  คุณสามารถควบคุมคีย์ส่วนตัวของคุณ และคุณเป็นเจ้าของการถือครองสกุลเงินดิจิทัลของคุณ 

แม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงอยู่ แต่กระเป๋าแบบ hardware wallet นั้นถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในการจัดเก็บคีย์ส่วนตัวเหล่านี้

กระเป๋าแบบ hardware wallet นั้นถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด (CR:MyGold)
กระเป๋าแบบ hardware wallet นั้นถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด (CR:MyGold)

แต่รูปแบบการหลอกลวงเริ่มมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสลับซิมโดยที่แฮกเกอร์โทรหาบริษัทโทรศัพท์ของคุณ และโน้มน้าวให้พวกเขาโอนหมายเลขโทรศัพท์ของคุณไปยังบัญชีของพวกเขา เพื่อผ่านการยืนยันตัวตนสองชั้นในบัญชีของคุณ

หรือแฮ็กเกอร์ที่พยายามส่งโทเค็นปลอมไปยังกระเป๋าสตางค์ของคุณเพื่อพยายามให้เหยื่ออนุมัติการทำธุรกรรมหรือนำพวกเขาไปยังเว็บไซต์ของโครงการหลอกลวง

ผู้โจมตีบางคนซื้อโฆษณา Google เมื่อผู้ใช้ค้นหา Digital Wallet ยอดนิยม เมื่อเหยื่อคลิกที่โฆษณา โดยคิดว่าเป็นลิงก์ไปยังไซต์ Digital Wallet แต่จะถูกนำไปยังไซต์ฟิชชิ่งที่ดูเหมือนจริง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อป้อนข้อมูลประจำตัวโดยมอบกุญแจส่วนตัวให้กับแฮ็กเกอร์

“ถ้ามันดูเว่อร์เกินไปที่จะเป็นจริง แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่หลอกลวง” Philip Martin, หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย Coinbase, กล่าว “ไม่มีใครใน Twitter จะส่งจำนวนเหรียญให้คุณกลับเป็นสองเท่าของสิ่งที่คุณส่งให้พวกเขาอย่างแน่นอน”

References : https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-06-17/mark-cuban-defi-iron-finance-crashed-100
https://www.sec.gov/oiea/investor-alerts-and-bulletins/ia_celebrity
https://blog.coinbase.com/security-psa-airdrop-phishing-campaign-38b880c0298a
https://www.cnbc.com/2021/12/14/common-defi-crypto-related-scams-and-how-to-protect-your-wallet.htm
https://www.theverge.com/2021/11/4/22763015/cryptocurrency-fake-wallet-phishing-scam-google-ads-phantom-metamask

Geek Daily EP98 : Apple x กวานซี่ กับความลับภายในข้อตกลงมูลค่า 275 พันล้านดอลลาร์ของ Tim Cook กับทางการจีน

Guanxi (关系) หรือที่อ่านออกเสียงในภาษาไทยกันว่า “กวานซี่” นั้นเป็นคำในภาษาจีนกลางที่มีความหมายว่า สายสัมพันธ์ ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมและประเพณีในอีกรูปแบบหนึ่งของชาวจีนที่สืบต่อกันมา อย่างยาวนานในภูมิภาคโลกตะวันออกอันลึกลับและซับซ้อนยากเกินกว่าที่ฝรั่ง ตาน้ำข้าวจะเข้าใจได้ภายในวันเดียว

The Information ได้เผยแพร่รายงานฉบับยาวที่มีรายละเอียดความพยายามของ Tim Cook CEO ของ Apple ในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่าง Apple กับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐบาลจีน

โดยอ้างทั้งบทสัมภาษณ์และการเข้าถึงโดยตรงไปยังเอกสารภายในของ Apple เกี่ยวกับการที่ Cook ไปประเทศจีนซ้ำหลายครั้งในช่วงกลางปี ​​2010 รายงานดังกล่าวอธิบายถึงข้อตกลงมูลค่า 275 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง Apple มุ่งมั่นที่จะลงทุนอย่างหนักในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการฝึกอบรมในประเทศจีน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/30R6Ykt

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3EiIFJF

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3JbGHhT

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3FkT09m

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/2Y_K6m1md20

References : https://www.theinformation.com/articles/facing-hostile-chinese-authorities-apple-ceo-signed-275-billion-deal-with-them

Stalkers x อาชญากร สามารถติดตามคุณโดยใช้ Apple AirTags ได้หรือไม่?

Apple AirTags เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมในการติดตามสิ่งของที่คุณอาจจะวางผิดที่ แต่ในแง่ร้ายมันก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้ที่คิดจะสะกดรอยหรือเหล่า Stalkers คอยติดตามคุณได้เช่นกัน

ด้วยการเปิดตัว Apple AirTags เมื่อต้นปี ทำให้เราค้นพบวิธีแก้ปัญหาความหลงลืม อย่างไรก็ตาม ก็มีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าผู้สะกดรอยตามและอาชญากรสามารถใช้ AirTags เพื่อติดตามผู้คนได้เช่นเดียวกัน

สัปดาห์ที่ผ่านมา มันได้กลายเป็นเรื่องไวรัลบนทวิตเตอร์เกี่ยวกับแอปเปิ้ล AirTag ของ Jeana ซึ่งเธอค้นพบว่ามี AirTag ติดอยู่ใต้ช่องล้อหน้าของรถเธอ นั่นทำให้ Jeana รู้สึกตัวสั่นและกังวลว่าจะมีใครบางคนแอบตามเธออยู่อย่างลับๆ

รวมถึงข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีรายงานว่า AirTags เกี่ยวข้องกับการขโมยรถหรูซึ่งอาชญากรจะติดแท็กไว้กับยานพาหนะราคาแพงที่พวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถบุกเข้าไปได้ และใช้ AirTags เพื่อติดตามพวกเขากลับบ้าน

มันก็ได้เกิดคำถามที่ว่า อาชญากรสามารถสะกดรอยตามผู้คนโดยใช้ AirTags ได้หรือไม่ และ Apple กำลังพยายามรักษาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้ปลอดภัยหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีเคล็ดลับที่สำคัญในการป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อการสะกดรอยตามผ่าน AirTags

Jeana ซึ่งเธอค้นพบว่ามี AirTag ติดอยู่ใต้ช่องล้อหน้าของรถเธอ (CR:equestredeals.com)
Jeana ซึ่งเธอค้นพบว่ามี AirTag ติดอยู่ใต้ช่องล้อหน้าของรถเธอ (CR:equestredeals.com)

Stalkers สามารถติดตามโดยใช้ AirTags ได้หรือไม่

เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามที่ไม่ต้องการ Apple ได้รวมคุณสมบัติการป้องกันบางอย่างไว้ใน AirTags เช่น การแจ้งเตือน “AirTag Found Moving With You” กับ iPhone ที่มีการอัปเดต แต่ความจริงก็คือ AirTags เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก และทุกคนสามารถเก็บไว้ในข้าวของหรือยานพาหนะของคุณเพื่อติดตามตำแหน่งของคุณโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือการยอมรับจากคุณ

และต่อไปนี้คือบางวิธีที่ผู้สะกดรอยตามสามารถใช้ AirTags ให้เกิดประโยชน์ได้:

การถูกซ่อน Airtags ในบริเวณที่ลับตา

เหล่า Stalkers สามารถสอด AirTag เข้าไปในกระเป๋าในช่องลับต่าง ๆ ของยานพาหนะของเหยื่อ ซึ่งเหล่า Stalkers สามารถสะกดรอยตามเหยื่อได้นานถึงสามวันก่อนที่ AirTag จะสั่นหรือมีการแจ้งเตือน

ในขณะที่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อด้วย iPhone ที่อัปเดตจะได้รับการแจ้งเตือน “AirTag Found Moving With You” ผู้ที่ใช้โทรศัพท์ Android หรือไม่ได้ใช้ iOS 14.5 หรือเวอร์ชันที่ใหม่กว่านั้นจะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีคนติดตามคุณอยู่ 

วิธีเดียวสำหรับพวกเขาที่จะพบว่ามีคนกำลังติดตามพวกเขาคือถ้า AirTag ถูกย้ายไปมาเป็นเวลาสามวันหลังจากนั้นจะเริ่มส่งเสียงบี๊บเตือน และสามวันเป็นกรอบเวลาที่ยาวนานสำหรับผู้สะกดรอยตามในการค้นหารายละเอียดของเหยื่อของพวกเขา

ใช้ประโยชน์จาก iPhone รุ่นเก่าและโทรศัพท์ Android

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การป้องกันเพียงอย่างเดียวสำหรับผู้ใช้ Android และ iPhone รุ่นเก่าคือเสียงเตือน

แต่ถ้าโทรศัพท์ของเหยื่อปิดลำโพงล่ะ? AirTag จะมีเสียงเตือนหลังจากถูกแยกจาก iPhone ที่จับคู่กันเป็นเวลาสามวัน ซึ่งหมายความว่าผู้สะกดรอยตามมีเวลาเหลือเฟือในการรีเซ็ตตัวจับเวลา AirTag และขัดขวางไม่ให้การแจ้งเตือนเกิดขึ้น

นอกจากนี้ โปรดทราบว่าระยะห่างที่มากถึง 50 ฟุตก็เพียงพอสำหรับ AirTag เพื่อสื่อสารกับ iPhone ผ่าน Bluetooth

แต่จากข่าวล่าสุด Apple ได้พัฒนาแอป ‘Tracker Detect’ สำหรับ Android เพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ใช้สแกนหาอุปกรณ์ได้  ซึ่งหาก AirTag อยู่ใน ‘โหมดสูญหาย’ ทุกคนที่มีอุปกรณ์ที่รองรับ NFC สามารถแตะและรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการส่งคืนให้เจ้าของได้เช่นเดียวกัน 

Apple ได้พัฒนาแอป 'Tracker Detect' สำหรับ Android เพิ่มเติม (CR:AppleFarward)
Apple ได้พัฒนาแอป ‘Tracker Detect’ สำหรับ Android เพิ่มเติม (CR:AppleFarward)

การใช้ AirTags เป็นอุปกรณ์ติดตาม

อุปกรณ์ติดตามอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อผู้คนจากการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว ย้อนกลับไปในปี 2018 แฟนเก่าของเธอติดตามผู้หญิงคนหนึ่งในฮูสตันมาหลายวัน ก่อนที่เธอจะรู้ว่าอุปกรณ์ติดตามที่วางไว้ในรถของเธอเอง

แม้ว่า AirTags ของ Apple จะเป็นวิธีที่ง่ายและราคาไม่แพงในการติดตามสิ่งของที่สูญหายหรือถูกขโมยของคุณ แต่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังโดยคู่สมรสที่ไม่พอใจหรือใครก็ตามที่มีความแค้นอยู่ในใจกับคุณได้เช่นกัน

ความจริงก็คือผู้สะกดรอยตามสามารถใช้ AirTags เพื่อติดตามเหยื่อของพวกเขาได้อย่างสะดวกเช่นเดียวกัน

Apple ใส่ใจกับข้อกังวลเรื่องการสะกดรอยตามหรือไม่?

เพื่อตอบสนองต่อความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นและการคุกคาม ทาง Apple ได้อัปเดต AirTags เมื่อเร็วๆ นี้

นี่คือสิ่งที่การปรับปรุงเหล่านี้นำมาซึ่ง:

  • การอัปเดตใหม่นี้ช่วยลดเวลาที่ AirTag ใช้ในการส่งการแจ้งเตือนหลังจากอยู่ห่างจาก iphone ที่ถูกจับคู่ไว้
  • AirTags สามารถส่งเสียงแบบสุ่มได้ทุกที่ระหว่างแปดถึง 24 ชั่วโมง แทนที่จะเป็นสามวันหลังจากการย้ายที่ของ AirTag ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ Android เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนบนหน้าจอเหมือนกับผู้ใช้ iPhone
  • ขณะนี้ Apple กำลังทำงานบนแอป Android ที่สามารถตรวจจับ AirTags ใกล้เคียงได้ Apple อ้างว่าแอปจะตรวจจับการมีอยู่ของอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Find My ได้

4 เคล็ดลับในการป้องกัน AirTag ไม่ให้สะกดรอยตามคุณ

AirTag เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ แต่เป็นสิ่งที่สามารถถูกใช้โดยผู้สะกดรอยตามได้ง่ายเช่นเดียวกัน ดังนั้นเคล็ดลับต่อไปนี้เป็นวิธีการที่จะทำให้คุณสามารถป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของการสะกดรอยตามผ่าน AirTag:

1. ใช้แอป Bluetooth Scanner

แม้ว่า AirTags จะใช้สัญญาณบลูทูธเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Find My ของ Apple คุณไม่จำเป็นต้องจับคู่สมาร์ทโฟนเพื่อค้นหาสิ่งที่น่าสงสัยเสมอไป

คุณสามารถใช้แอปสแกน Bluetooth เพื่อสแกนพื้นที่ที่คุณอยู่แทนได้ คุณสามารถทำได้โดยเพียงแค่เดินไปรอบๆ ภายในบ้านหรือในรถของคุณโดยเปิดแอปไว้ แม้ว่าแอปเหล่านี้อาจไม่เปิดเผยชื่อ AirTags ในบริเวณใกล้เคียง แต่ก็อาจช่วยให้คุณระบุอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักในบริเวณใกล้เคียงได้

ตัวค้นหาอุปกรณ์ Bluetooth BLE และ BLE Scanner เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับวิธีการนี้

Apple ยังได้เปิดตัว ‘Tracker Detect’ ซึ่งเป็นแอป Android เพื่อสามารถค้นหา Airtags ที่อยู่ใกล้ตัวคุณได้เช่นกัน

หมายเหตุ: การสแกนเหล่านี้อาจไม่ได้ผลหากคุณอาศัยอยู่ในอาคารอพาร์ตเมนต์ เนื่องจากคุณอาจไปเจออุปกรณ์ของเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน

2. กำจัดบริเวณที่คุณคิดว่าจะถูกซ่อนอุปกรณ์ติดตาม

หากคุณสงสัยว่ามีคนกำลังติดตามคุณผ่าน AirTag คุณควรกำจัดบริเวณต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก พยายามคิดจากมุมมองของนักสะกดรอยตามและสิ่งที่พวกเขาอาจมีเกี่ยวกับคุณ

การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น ลดจำนวนสิ่งของส่วนตัวที่คุณพกติดตัว เปลี่ยนกระเป๋า หรือใช้ Uber แทนรถ คุณสามารถช่วยลดตำแหน่งของ AirTag ที่ซ่อนอยู่ได้

3. ค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag

หากคุณพบ AirTag ของ stalker ในสิ่งของของคุณ สิ่งแรกที่ต้องทำคือค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของที่แท้จริงของ AirTag จะไม่ได้รับการแจ้งเตือน

ค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag (CR:Apple Support)
ค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag (CR:Apple Support)

หากคุณเป็นเจ้าของอุปกรณ์ iOS ให้ดาวน์โหลดแอป Find My และถือ AirTag ข้างอุปกรณ์ของคุณ นี่จะแสดงชื่อของ AirTag บนหน้าจอ และเมื่อคุณแตะที่ชื่อ แอปจะแสดงหมายเลขซีเรียลแก่คุณ

4. ปิดการใช้งาน AirTags อย่างถาวร

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณพบ AirTag ที่ใช้ในการสะกดรอยตามคุณ แต่คุณไม่ต้องการที่จะตกเป็นเหยื่อของการติดตาม ทางออกที่ดีที่สุดของคุณก็คือปิดการใช้งานอย่างสมบูรณ์

วิธีที่ง่ายที่สุดในการปิด AirTag คือการนำแบตเตอรี่ออก สิ่งที่คุณต้องทำคือกดลงแล้วบิดฝาครอบแบตเตอรี่เพื่อเข้าถึงแบตเตอรี่แบบถอดได้ การดำเนินการนี้จะหยุด AirTag ไม่ให้ติดตามคุณและแจ้งเตือนเจ้าของแบตเตอรี่ว่าแบตเตอรี่ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป

เหยื่อที่ตื่นตัวคือฝันร้ายที่สุดของ Stalkers

เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มักมาพร้อมกับผลที่ไม่คาดคิด แม้ว่าคุณจะไม่ทำกุญแจหายอีกต่อไป แต่ Apple AirTags ก็ก่อให้เกิดปัญหาด้านการสะกดรอยและความปลอดภัยอย่างร้ายแรง

ตั้งแต่การติดตามอย่างลับๆ ที่ทำโดยคู่สมรสของคุณ ไปจนถึงการระบุตำแหน่งที่อยู่ของใครบางคน มีหลายสาเหตุที่ผู้สะกดรอยตามสามารถใช้ AirTags ให้เกิดประโยชน์ได้

อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการเชิงรุก เช่น ตื่นตัวตลอดเวลา อัปเดต iPhone iOS ของคุณ ใช้แอปสแกนบลูทูธ และระมัดระวังในที่สาธารณะ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงผู้สะกดรอยตามจาก AirTag และปกป้องคุณจากการตกเป็นเหยื่อรายต่อไปได้นั่นเอง

References : https://9to5mac.com/2021/12/13/apple-alleviates-android-user-concerns-with-tracker-detect-app-to-locate-nearby-airtags/
https://www.washingtonpost.com/technology/2021/05/05/apple-airtags-stalking/
https://www.makeuseof.com/apple-airtags-can-stalkers-track/

Geek Talk EP14 : 14 Peaks (Nothing Is Impossible) กับการก้าวข้ามขีดจำกัดขั้นสูงสุดของนักกีฬา

มีเหตุผลหนึ่งที่เราใช้เรื่องการปีนภูเขาสูง ๆ เพื่อพูดถึงงานที่อยู่นอกเหนือขีดจำกัดของมนุษย์ที่สามารถทำได้ โดยอธิบายว่ามันเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้ มีเพียงไม่กี่คนที่ปีนขึ้นไปทั้งหมด 14 จากภูเขา 8,000 เมตร คนแรกคือ Reinhold Messner และเขาใช้เวลา 16 ปีในการดำเนินการทั้งหมด แต่ชายปริศนาชาวเนปาลที่ชื่อ Nirmal Purja ตัดสินใจว่าเขาจะทำมันในเจ็ดเดือน

Purja กล่าวว่า ไม่มีใครเคยนับถือชาวเนปาล เขารู้ว่าถ้าชาวตะวันตกปีนป่ายได้สำเร็จ มันจะเป็นข่าวไปทั่วโลก สารคดีชุดนี้แสดงให้เราเห็นถึงการทำงานเป็นทีม ความทุ่มเท ความภาคภูมิใจของชาติ ทิวทัศน์ที่น่าอัศจรรย์ และเหตุผลที่ Purja และทีมของเขาสมควรที่จะได้รับชื่อเสียงเทียบเท่ากับ Sir Edmund Hillary ตำนานนักปีนเขาระดับโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3pdTnwV

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3e6teKa

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3IYbFKm

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3mkcHXv

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/L3U3Jke3PY0

ประวัติ Ethereum ตอนที่ 13 : The Infinite Machine

เมื่อถึงสิ้นปี 2017 crypto กำลังจะได้รับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นข่าวดีที่สุด อย่างน้อยก็จากมุมมองของนักลงทุน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม CME Group ซึ่งดำเนินการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ประกาศแผนที่จะเสนอ bitcoin futures ภายในสิ้นปี เช่นเดียวกับ Cboe ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนออปชั่นที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ

หลังจากการประกาศของ CME นั่นหมายความว่าเหล่านักลงทุนใน Wall Street สามารถสัมผัสกับ bitcoin ได้อย่างง่ายดายเหมือนกับที่พวกเขาซื้อขายอนุพันธ์ที่เชื่อมโยงกับราคาทองคำหรือน้ำมัน พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลใด ๆ เนื่องจากสัญญาเป็นเงินสด ไม่ใช่การส่งมอบจริง

แน่นอนว่าในไม่ช้าโอกาสของ Ethereum ก็จะมาถึงเช่นกัน นักลงทุนสถาบันกำลังเข้ามาร่วมวง เงินจำนวนมากจะไหลเข้าสู่วงการ crypto และราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าผู้ที่ซื้อสกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญมีวิวัฒนาการมาจากกลุ่มผู้นิยมอนาธิปไตยและแฮ็กเกอร์ที่ซื้อ crypto เพื่อประท้วงต่อต้านสถาบันการเงิน แต่ตอนนี้พวกเขาต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ปล่อยให้เหล่าสถาบันผู้หิวเงินโดดเข้ามาร่วมวง

จำนวนกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เน้นสกุลเงินดิจิทัลและกองทุนร่วมลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2017 กองทุนมากกว่า 200 แห่งถูกสร้างขึ้นในปีนั้น ซึ่งมากกว่าจำนวนเงินทุนที่เปิดตัวในปี 2016 ถึงกว่า 4 เท่า พวกเขาเสนอทุกอย่างตั้งแต่การลงทุนใน 10 อันดับแรกของ crypto ไปจนถึงซื้อขายอัลกอริธึมที่มีความซับซ้อน

Vitalik เริ่มมุ่งเน้นไปที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและเริ่มสนับสนุนชุมชน Ethereum ที่เกิดขึ้นใหม่ในภาคตะวันออกของโลก เขาได้ก่อตั้ง Ethereum Asia Pacific Ltd. ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งจะเน้นที่การวิจัยเป็นหลัก บริษัท startup ด้าน crypto ที่เขาสนิทด้วยนั้นก็ตั้งอยู่ในภูมิภาคเหล่านี้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น OmiseGo ในประเทศไทยและ Kyber Network ในสิงคโปร์

ราคาของ ether เงินที่ได้จากการทำ ICO จำนวนธุรกรรมต่อวินาที แทบทุกตัวแปร ชี้ไปที่การเติบโตแบบทวีคูณ ในงาน Devcon3 มีการรวมพลของเหล่า Ethereans อีกครั้ง ในงานเต็มไปด้วยเหล่านักพัฒนา Ethereum ในเสื้อยืดหลากสี ที่คาดผมยูนิคอร์นหรือแม้แต่พรีเซ็นเตอร์ที่สวมชุดไดโนเสาร์บนเวที

สมาชิก Ethereum คนแรก ๆ หลายคน รวมถึงกลุ่ม co-founder 8 คนแรกก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานบนโปรโตคอล Ethereum อีกต่อไป พวกเขาได้มุ่งความสนใจไปที่โครงการของตนเอง

Joe Lubin โฟกัสอยู่กับ ConsenSys , Gavin Wood ได้เปิดบริษัท Parity Technology ของตนเอง (ต่อมาภายหลังก่อตั้ง Polkadot) , Jeff Wilcke เริ่มถอยตัวออกไปและใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากยิ่งขึ้น , Charles Hoskinson กำลังพัฒนา blockchain ของตัวเองที่ชื่อ Cardano ในขณะที่ Anthony กำลังมุ่งเน้นไปที่กระเป๋าเงินดิจิทัล Jaxx ของเขา

Gavin Wood กับ Polkadot โครงการใหม่ของเขา (CR:Crypto Economy)
Gavin Wood กับ Polkadot โครงการใหม่ของเขา (CR:Crypto Economy)

Mihai Alisie กำลังทำงานบนเครือข่ายสังคมแบบกระจายอำนาจที่เรียกว่า Akasha , Amir Chetrit ยังคงยินดีที่ช่วยเก็บรายละเอียดงานของ Ethereum แม้แทบไม่มีใครจำได้ว่าเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ในขณะที่เขาอยู่ในงานประชุมครั้งนี้ มีเพียงคนเดียวที่ทำงานกับ Ethereum ตลอดมานับตั้งแต่การเปิดตัวที่ไมอามีก็คือ Vitalik

ในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมราคาของ Bitcoin พุ่งทะลุ 13,000 ดอลลาร์ , 14,000 ดอลลาร์ , 15,000 ดอลลาร์ และ 16,000 ดอลลาร์ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน

เมื่อถึงช่วงสิ้นปี 2017 ราคา ether ก็พุ่งไปที่ประมาณ 750 ดอลลาร์ และพุ่งขึ้นมากกว่า 900 ดอลลาร์ ในวันที่ 2 มกราคม และพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทะลุ 1,000 ดอลลาร์ในอีกสองวันต่อมา และแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,400 ดอลลาร์ในวันที่ 12 มกราคม สกุลเงินดิจิทัลพุ่งขึ้นมากกว่า 70% ในเกือบสองสัปดาห์ ซึ่งหนึ่งปีก่อนหน้ามีการซื้อขายกันที่ต่ำกว่า 10 ดอลลาร์เพียงเท่านั้น

Ethereum ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่โดดเด่นสำหรับ startup ในการระดมทุนผ่าน crypto ด้วยการระดมทุน ICO มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ มีแอปพลิเคชันถูกสร้างขึ้นบน Ethereum เพิ่มมากขึ้นเป็นดอกเห็ด มีนักพัฒนาจำนวนมากเข้ามาร่วมวง ทั้ง องค์กรขนาดใหญ่ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และหน่วยงานภาครัฐก็เข้ามาร่วมทดสอบเครือข่ายแห่งนี้

อีกเทรนด์ใหญ่สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นใน Ethereum ในปี 2018 เป็นเวลา 5 ปีหลังจาก Alvaro Yermak พนักงานธนาคารชาวอาร์เจนติน่า ซื้อ bitcoin เหรียญแรกของเขา เขาแต่งงานและจะไปพักผ่อนกับภรรยาและลูกในเมือง Natal ซึ่งเป็นเมืองชายหาดของประเทศบราซิล พวกเขาเก็บเงินเป็นเดือน ๆ สำหรับทริปการเดินทางครั้งนั้น

แต่ในปี 2018 ค่าเงินเปโซร่วงลงอย่างรุนแรง และอัตราเงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นถึง 50% เงินเดือนไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ผู้คนต่างประสบปัญหาทางด้านการเงิน การปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกู้ยืมระยะยาวเช่นการจำนองบ้าน กลายเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

ดังนั้นเมื่อ Alvaro ตรวจสอบที่กระเป๋าเงินดิจิทัล Ripio ของเขา (ซึ่งเขาซื้อและเก็บ bitcoin ไว้) จากล็อบบี้โรงแรมในบราซิล เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นปุ่ม “เงินกู้” ใหม่ปรากฎขึ้นในแอป

Alvaro ได้ทดสอบการยืมเงิน 4,500 เปโซ หรือมากกว่า 100 ดอลลาร์เล็กน้อยในตอนนั้น เพื่อทดสอบว่ามันทำงานอย่างไร แอปได้ตรวจสอบบัญชีเขาด้วยสำเนาบัตรประจำตัวและสลิปการชำระเงินเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สองวันต่อมาเขามีเงินเข้ามา 4,500 เปโซในกระเป๋าเงินดิจิทัลของเขา ซึ่งเขาต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย 6% ณ สิ้นเดือน

เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า เขาสามารถรับเงินกู้ได้เมื่อเขาไปเที่ยวพักผ่อน โดยที่ยังมีเม็ดทรายอยู่ระหว่างนิ้วเท้าของเขา โดยไม่ต้องไปนั่งที่ธนาคารและเซ็นชื่อบนเส้นประขณะพูดคุยกับผู้จัดการบัญชีที่แสนน่าเบื่อ มันใช้เพียงไม่กี่คลิก และที่สำคัญที่สุด ดอกเบี้ยก็ต่ำกว่าธนาคารแบบดั้งเดิมมาก

ไม่กี่วันหลังจากเขากลับบ้าน เขายื่นขอกู้ครั้งที่สองเป็นเงิน 75,000 เปโซ และเงินก็เข้าบัญชีอีกครั้งภายในสองวัน เขาใช้มันเพื่อลงทุนตามปรกติทันที เขาซื้อ bitcoin เพิ่ม แม้ตลาด cryptocurrency จะร่วงลง 6% ในเดือนกันยายน แต่ Alvaro ไม่ได้กังวล เพราะเงินเปโซยังอ่อนค่าลง 8% ในช่วงเวลาเดียวกัน

สิ่งที่ Alvaro ไม่รู้คืออีกด้านหนึ่งของเงินกู้ของเขาไม่ใช่ Ripio ให้ยืมเงินเขา เป็นโทเค็นของ Ripio Credit Network หรือที่เรียกว่า RCN และแปลงจาก RCN เป็นเปโซ ซึ่งผู้ให้กู้จะได้รับเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยคืนในรูปแบบ ether

เงินกู้เหล่านี้เป็น smart contract ที่ดำเนินการแลกเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ ซึ่งโทเค็นดิจิทัลและเครือข่ายที่ใช้ ethereum ช่วยให้พนักงงานในจังหวัดที่ห่างไกลของอาร์เจนตินาสามารถยืมเงินจากนักลงทุนที่ไม่ระบุชื่อซึ่งอาจอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

เป็นการปฏิวัติระบบทางการเงิน ที่มีคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเงินกู้จากธนาคารทั่วไป ดังนั้น Alvaro จึงสามารถได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าได้ และเครือข่ายทั่วโลกทำให้เขาสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ให้กู้ที่มีศักยภาพมากขึ้น และนักลงทุนอีกด้านหนึ่งก็ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน

ปรากฎการณ์ใหม่บน Ethereum เกิดขึ้นและเหมือนกับ ICO และ NFT ก่อนหน้านี้ มันเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของนวัตกรรมในพื้นที่ blockchain และ Ripio กำลังสร้างระบบการเงินใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาเลิกใช้วิธีการธนาคารแบบเดิม ๆ ที่บริษัททางการเงินควบคุมข้อมูลของผู้ใช้ แต่บริการทั้งหมดของ Ripio ถูกสร้างขึ้นบน Ethereum blockchain

เนื่องจากแอปเหล่านี้ทำงานบน blockchain Ethereum สาธารณะ หมายความว่าการระดมเงินทุนมีความโปร่งใส และทุกคนสามารถเข้าไปดูโอเพ่นซอร์สโค้ดและตรวจสอบมันได้ พวกเขาสามารถแยกโปรเจ็กต์และแก้ไขได้ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวรู้จักกันในชื่อ “decentralized finance” หรือ DeFi และ “open finance”

ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การระดมทุนแบบ ICO เท่านั้น มันเกี่ยวกับระบบการเงินทั้งหมด โครงการเหล่านี้ใช้ประโยชน์จาก Ethereum โดยสำรวจวิธีการสร้างแง่มุมที่ซับซ้อนมากขึ้นของโลกการเงิน เช่น สินเชื่อและอนุพันธ์ในรูปแบบกระจายอำนาจ วิสัยทัศน์ “Web 3” ที่ Ethereum จะเป็นคอมพิวเตอร์โลก ซึ่งแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดกำลังก้าวหน้าในภาคการเงินที่สำคัญมาก ๆ

MakerDAO ที่เป็นกระดูกสันหลังของระบบนิเวศทางการเงินที่เกิดขึ้นใหม่นี้ เนื่องจากสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ใช้เป็นหลักประกันในการสำรองเงินกู้ถูกฝากไว้ในแพลตฟอร์ม ผู้ใช้สามารถล็อค ether บน MakerDAO ได้และได้รับ Dai เป็นการตอบแทน ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin ที่เชื่อมโยงกับราคาของเงินดอลลาร์

แพลตฟอร์มเริ่มกลายเป็นเหมือนธนาคารกลางของระบบนิเวศ แทนที่จะถูกควบคุมโดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์เก่า ๆ หัวโบราณกลุ่มเล็ก ๆ เหมือนกับหน่วยงานธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศ ผู้ใช้ทุกแห่งสามารถออก Dai เพื่อต่อต้าน ether และโหวตอัตราดอกเบี้ยที่ควบคุมราคาของ Dai เพื่อให้ยังคงอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ได้

และไม่ใช่แค่แพล็ตฟอร์ม startup เกิดใหม่เพียงเท่านั้น บริษัทใหญ่ ๆ กำลังสร้างเครือข่ายแบบกระจายอำนาจมากกว่าที่เคย เพียงแค่สองปีหลังจากที่ Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan ระบุว่า Bitcoin เป็น การฉ้อโกง

Jamie Dimon ที่เคยกล่าวถึง bitcoin ว่าเป็นเรื่องฉ้อโกง (CR:CNBC)
Jamie Dimon ที่เคยกล่าวถึง bitcoin ว่าเป็นเรื่องฉ้อโกง (CR:CNBC)

ธนาคารสหรัฐฯ ได้เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองที่สร้างขึ้นบน Quorum ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่มุ่งเน้นไปที่องค์กรของ Ethereum ทั้ง Microsoft และ Amazon ใช้ Ethereum สำหรับแพลตฟอร์ม blockchain-as-a-service บริษัทบัญชียักษ์ใหญ่อย่าง EY ได้สร้างเครื่องมือเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถ สร้าง แลกเปลี่ยน และทำลายโทเค็นบน Ethereum ได้ ในโครงการที่เรียกว่า Nightfall

คุณค่าของเงินที่ไม่สามารถตรวจสอบได้สำหรับ crypto ยังคงอยู่ มันได้เริ่มมีความตระหนักมากขึ้นว่า Facebook และ Google ที่ยิ่งใหญ่มานานแล้ว ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นประตูหลักสู่อินเทอร์เน็ต

บริษัทของพวกเขาเหล่านี้สามารถทำสิ่งที่เลวร้ายได้อย่างมาก เป็นเวลานานเกินไปแล้วที่ผู้ใช้ละเลยที่จะตั้งคำถามว่าพวกเขาทำอะไรไปบ้างที่ให้เราใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้กันแบบฟรีๆ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอื้อฉาว Cambridge Analytica ซึ่งเปิดเผยว่าบริษัทที่ปรึกษาได้ใช้ข้อมูล Facebook ของผู้คนหลายล้านคนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขาเพื่อโน้มน้าวกิจกรรมทางการเมืองรวมถึง Brexit และการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา

ผู้คนต่างมอบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตของพวกเขา รวมถึงตำแหน่ง GPS แชทส่วนตัว และบันทึกการสนทนาที่แอบแฝง บริษัทเหล่านี้ได้กำไรจากข้อมูลเหล่านี้ เทคโนโลยี blockchain นำเสนอทางเลือกให้กับอนาคตที่มืดมน ซึ่งผู้คนจะควบคุมไม่ใช่แค่เงินของพวกเขา แต่รวมถึงข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาด้วย

ผ่านมาถึงช่วงกลางปี 2019 เป็นเวลาของสัปดาห์ blockchain ในเมืองนิวยอร์ก ถึงตอนนี้สถิติต่าง ๆ ของ Ethereum นั้นดีกว่าที่เคย เครือข่ายมีปริมาณธรุกรรมที่สูงกว่า Bitcoin และมีนักพัฒนามากกว่า bitcoin ถึง 4 เท่า ตามรายงานของ Electric Capital

ในตอนท้ายของสัปดาห์ blockchain ที่นิวยอร์ก ในพื้นที่ coworking space ขนาดใหญ่ในบรู๊คลิน เหล่าสาวก Ethereans รวมตัวกันอีกครั้งเพื่องาน hackathon ผู้คนแน่นขนัดที่โต๊ะในงานเพื่อติดตั้งแล็ปท็อป มีแฮ็กเกอร์ นักวิจัย โปรแกรมเมอร์ ประมาณ 400 คนกำลังสร้าง Ethereum dapps ด้วยแนวคิดใหม่ ๆ กันอยู่ ซึ่งบางที CryptoKittes ใหม่อาจจะถูกสร้างขึ้นในสุดสัปดาห์นั้น

มูลนิธิ Web 3 ของ Gavin Wood ได้ดำเนินการขายโทเค็น DOT ครั้งที่สองโดยมีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ และพร้อมที่จะเปิดตัวเครือข่าย Polkadot ในช่วงปีใหม่ที่จะถึง Joe Lubin ระดมเงินทุนให้กับ ConsenSys ได้ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ และกำลังดำเนินงานในฐานะโรงงาน startup Ethereum แบบเต็มรูปแบบ

Charles Hoskinson พยายามสร้าง Cardano เพื่อให้ทุกบรรทัดของโค้ดปลอดภัยจากเหล่าแฮ็กเกอร์ เขายังสนุกกับความมั่งคั่งที่เกิดจากสกุลเงิน crypto ของเขา ด้วย Lambo คันใหม่ล่าสุดและฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีม้าและแพะ ใกล้ Boulder รัฐโคโลราโด

Anthony Di Iorio ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Decentral ที่สร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล Jaxx โดยเลื่อนไปรับตำแหน่งประธานของบริษัท เขาได้เปลี่ยนโฟกัสไปที่อุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามด้วยการให้คำปรึกษาของเขาเอง เขายังได้จ่ายเงิน 28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก crypto เพื่อซื้อเพนต์เฮาส์ขนาด 16,000 ตารางฟุตบนชั้น 50 ของ St. Regis ในโตรอนโต

ย้อนกลับไปที่งาน hackathon ใน บรู๊คลิน เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตได้กลายมาเป็นเพื่อนในชีวิตจริง เหล่าแฮ็กเกอร์ผู้นิยมอนาธิปไตยทั้งหลาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมายกับ Ethereum ทั้งการดิ่งลึกลงไปสู่ความล้มเหลวของตลาด แต่ตอนนี้พวกเขากำลังพุ่งทะยานขึ้นมาจากเถ้าถ่าน

ศักยภาพของ Ethereum มันไม่มีวันสิ้นสุด งาน hackathon ครั้งนี้มันก็เหมือนใน ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขาเหล่านี้มารวมตัวกัน และมันได้เกิดกลุ่ม hackathon เหล่านี้ขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในบรู๊คลิน มันยังคงเกิดขึ้นในโกดังร้าง coworking space อพาร์ตเมนต์ที่แออัดยัดเยียด และศูนย์กลางการแฮ็กชั่วคราวที่เกิดขึ้นทั่วโลก

Vitalik มาถึง นิวยอร์ก hackathon กับเพื่อนสองคนที่หายตัวไปในงานอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เขาเดินไปที่แผงขายกาแฟเพียงลำพัง และต้องชงชาให้กับตัวเอง

ใช่! เขายังควบคุมมูลนิธิ แต่เขาลดบทบาทลงไปมากแล้ว เพื่อป้องกันมันจากความโกลาหลที่อาจจะเกิดขึ้นเหมือนในยุคก่อน และเป็นวิธีที่ปกป้องความฝันของเครื่องจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุดจากมือสกปรกของกลุ่มคนโลภที่จะเข้ามาหาประโยชน์

และแน่นอนว่าเขายังได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางในฐานะผู้สร้าง Ethereum แม้ว่าเขาจะพยายามลดอิทธิพลของตัวเองจากชุมชนลง ในการตัดสินใจประเด็นที่สำคัญ เช่น การตัดสินใจทางเทคนิคเกี่ยวกับโปรโตคอลของ Ethereum

ตอนนี้ Vitalik ได้กลายเป็นเพียงแค่หนึ่งเสียงในกลุ่มนักพัฒนาหลัก และนักวิจัยอื่น ๆ ที่มาจากทั่วโลก เขาเป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้นิยมอนาธิปไตย crypto ในอุดมคติ เป็นอีกคนที่สวมเสื้อยืดตลก ๆ ที่มียูนิคอร์นและสายรุ้งอยู่บนเสื้อ คนส่วนใหญ่ที่รายล้อมรอบตัวเขาในตอนนี้ยุ่งอยู่กับการแฮ็ก และคนอื่น ๆ ต่างหมกมุุ่นอยู่กับการสนทนาที่น่าตื่นเต้นกับโครงการใหม่ ๆ โอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมาย

เขาทำได้แค่เพียงมองไปรอบ ๆ และเข้าไปร่วมกับกลุ่มเล็ก ๆ เหมือนที่คนอื่นๆ ทำ เพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็นเพียงแค่ Ethereans อีกหนึ่งคน ที่เฝ้ามองเห็นอนาคตที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเครื่องจักรอันทรงพลังอย่างเครือข่ายของ Ethereum นั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Vitalik Buterin และ Ethereum จาก Blog Series ชุดนี้

ต้องบอกว่ามีหลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจจากชายที่ชื่อ Vitalik Buterin จากเด็กที่วัยยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ ที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก ๆ ในอนาคตของวงการ crypto และ blockchain

เขามีหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ที่กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านที่เรารู้จักกันดีอย่าง Mark Zuckerberg การเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่จากเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นมา

การลงทุนลงแรง ทำมันด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า เปลี่ยนแนวคิดจากเอกสาร White Paper ไม่กี่แผ่น ทำให้มันกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่จริง ๆ ได้สำเร็จ และตัดสินใจครั้งสำคัญในการลาออกจากการเรียนในมหาวิทยาลัยกลางคัน เมื่อเขาได้พบเจอเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น

การต้องตัดสินใจหลาย ๆ อย่าง ที่มีน้อยครั้งที่คนวัยอย่างเขา ต้องมาตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ เช่นนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตคนมากมายที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน

เหล่าแฮ็กเกอร์ นักวิจัย ที่เข้ามาร่วมกับ Vitalik ตั้งแต่แรกพวกเขาทิ้งทุกอย่าง บางคนจากบ้านมาจากแดนไกล ใช้เงินเก็บทั้งชีวิตของพวกเขา เพื่อเป้าหมายที่พวกเขามีร่วมกันกับ Vitalik ในการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหม่นี้

เรื่องราวของ Bitcoin อาจจะเป็นเรื่องราวโลกการเงินที่มีการกระจายอำนาจที่เป็นโลกในอุดมคติ ที่แน่นอนว่าหลายคนอาจจะเข้าใจมันยากกว่า เพราะต้องอาศัยความรู้ทั้งทางด้านคอมพิวเตอร์ และ เศรษฐศาสตร์ รวมถึงเรื่องอุดมการณ์อนาธิปไตยอันแรงกล้า

แต่โลกของ Ethereum มันแตกต่างไป มันได้เปิดโลกของเทคโนโลยีนี้ให้กับคนทั่วไป มันทำให้เรามองเห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้น จากแอปพลิเคชัน บริการต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมามากมายจากเทคโนโลยีนี้

นั่นทำให้ สถาบันการเงิน องค์กรธุรกิจ หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชนต่าง ๆ เริ่มเข้ามาสนใจเพิ่มมากขึ้น จากการเกิดขึ้นของ Ethereum ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น NFT,DeFi , GameFi … และแน่นอนว่าจะตามมาอีกมากมายในอนาคต

สิ่งที่เหล่าแฮ็กเกอร์เหล่านี้กำลังทำ พวกเขากำลังสร้างทางเลือกใหม่ให้กับโลกของเรา ซึ่งเดิมกระจุกตัวอยู่ในมือของหน่วยงานที่มีอำนาจเพียงไม่กี่แห่ง พวกเขา เหล่าแฮ็กเกอร์ นักวิจัย ต่าง ๆ ในชุมชน Ethereum จากทั่วโลก พยายามที่จะนำอำนาจนั้นไปอยู่ในมือของปัจเจกบุคคลมากขึ้น

มันทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น สิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของมันจริง ๆ ตั้งแต่ทรัพย์สินไปจนถึงข้อมูล และมีอิสระที่มากขึ้นในการใช้สิ่งเหล่านี้ในวิธีที่พวกเขาเลือกเอง ไม่ต้องมีใครมาคอยควบคุมชักใยอีกต่อไป

แน่นอนว่าเรื่องราวจาก blog series ชุดนี้มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลกเราในวงการเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้หลากหลายแง่มุมจากเทคโนโลยีนี้

ซึ่งไม่ว่าในอดีตจะมีใครกล่าวหาว่าร้ายกับมันยังไง ทั้งแชร์ลูกโซ่ scam ทั้งเรื่องหลอกลวง แต่สุดท้ายมันก็จะยังคงอยู่ต่อไป แพร่หลายมากยิ่งขึ้น และจะมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ กับโลกของเราในอนาคต ที่ตัวคุณเองไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้อย่างแน่นอนครับผม

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ