Stalkers x อาชญากร สามารถติดตามคุณโดยใช้ Apple AirTags ได้หรือไม่?

Apple AirTags เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมในการติดตามสิ่งของที่คุณอาจจะวางผิดที่ แต่ในแง่ร้ายมันก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้ที่คิดจะสะกดรอยหรือเหล่า Stalkers คอยติดตามคุณได้เช่นกัน

ด้วยการเปิดตัว Apple AirTags เมื่อต้นปี ทำให้เราค้นพบวิธีแก้ปัญหาความหลงลืม อย่างไรก็ตาม ก็มีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าผู้สะกดรอยตามและอาชญากรสามารถใช้ AirTags เพื่อติดตามผู้คนได้เช่นเดียวกัน

สัปดาห์ที่ผ่านมา มันได้กลายเป็นเรื่องไวรัลบนทวิตเตอร์เกี่ยวกับแอปเปิ้ล AirTag ของ Jeana ซึ่งเธอค้นพบว่ามี AirTag ติดอยู่ใต้ช่องล้อหน้าของรถเธอ นั่นทำให้ Jeana รู้สึกตัวสั่นและกังวลว่าจะมีใครบางคนแอบตามเธออยู่อย่างลับๆ

รวมถึงข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีรายงานว่า AirTags เกี่ยวข้องกับการขโมยรถหรูซึ่งอาชญากรจะติดแท็กไว้กับยานพาหนะราคาแพงที่พวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถบุกเข้าไปได้ และใช้ AirTags เพื่อติดตามพวกเขากลับบ้าน

มันก็ได้เกิดคำถามที่ว่า อาชญากรสามารถสะกดรอยตามผู้คนโดยใช้ AirTags ได้หรือไม่ และ Apple กำลังพยายามรักษาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้ปลอดภัยหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีเคล็ดลับที่สำคัญในการป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อการสะกดรอยตามผ่าน AirTags

Jeana ซึ่งเธอค้นพบว่ามี AirTag ติดอยู่ใต้ช่องล้อหน้าของรถเธอ (CR:equestredeals.com)
Jeana ซึ่งเธอค้นพบว่ามี AirTag ติดอยู่ใต้ช่องล้อหน้าของรถเธอ (CR:equestredeals.com)

Stalkers สามารถติดตามโดยใช้ AirTags ได้หรือไม่

เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามที่ไม่ต้องการ Apple ได้รวมคุณสมบัติการป้องกันบางอย่างไว้ใน AirTags เช่น การแจ้งเตือน “AirTag Found Moving With You” กับ iPhone ที่มีการอัปเดต แต่ความจริงก็คือ AirTags เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก และทุกคนสามารถเก็บไว้ในข้าวของหรือยานพาหนะของคุณเพื่อติดตามตำแหน่งของคุณโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือการยอมรับจากคุณ

และต่อไปนี้คือบางวิธีที่ผู้สะกดรอยตามสามารถใช้ AirTags ให้เกิดประโยชน์ได้:

การถูกซ่อน Airtags ในบริเวณที่ลับตา

เหล่า Stalkers สามารถสอด AirTag เข้าไปในกระเป๋าในช่องลับต่าง ๆ ของยานพาหนะของเหยื่อ ซึ่งเหล่า Stalkers สามารถสะกดรอยตามเหยื่อได้นานถึงสามวันก่อนที่ AirTag จะสั่นหรือมีการแจ้งเตือน

ในขณะที่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อด้วย iPhone ที่อัปเดตจะได้รับการแจ้งเตือน “AirTag Found Moving With You” ผู้ที่ใช้โทรศัพท์ Android หรือไม่ได้ใช้ iOS 14.5 หรือเวอร์ชันที่ใหม่กว่านั้นจะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีคนติดตามคุณอยู่ 

วิธีเดียวสำหรับพวกเขาที่จะพบว่ามีคนกำลังติดตามพวกเขาคือถ้า AirTag ถูกย้ายไปมาเป็นเวลาสามวันหลังจากนั้นจะเริ่มส่งเสียงบี๊บเตือน และสามวันเป็นกรอบเวลาที่ยาวนานสำหรับผู้สะกดรอยตามในการค้นหารายละเอียดของเหยื่อของพวกเขา

ใช้ประโยชน์จาก iPhone รุ่นเก่าและโทรศัพท์ Android

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การป้องกันเพียงอย่างเดียวสำหรับผู้ใช้ Android และ iPhone รุ่นเก่าคือเสียงเตือน

แต่ถ้าโทรศัพท์ของเหยื่อปิดลำโพงล่ะ? AirTag จะมีเสียงเตือนหลังจากถูกแยกจาก iPhone ที่จับคู่กันเป็นเวลาสามวัน ซึ่งหมายความว่าผู้สะกดรอยตามมีเวลาเหลือเฟือในการรีเซ็ตตัวจับเวลา AirTag และขัดขวางไม่ให้การแจ้งเตือนเกิดขึ้น

นอกจากนี้ โปรดทราบว่าระยะห่างที่มากถึง 50 ฟุตก็เพียงพอสำหรับ AirTag เพื่อสื่อสารกับ iPhone ผ่าน Bluetooth

แต่จากข่าวล่าสุด Apple ได้พัฒนาแอป ‘Tracker Detect’ สำหรับ Android เพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ใช้สแกนหาอุปกรณ์ได้  ซึ่งหาก AirTag อยู่ใน ‘โหมดสูญหาย’ ทุกคนที่มีอุปกรณ์ที่รองรับ NFC สามารถแตะและรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการส่งคืนให้เจ้าของได้เช่นเดียวกัน 

Apple ได้พัฒนาแอป 'Tracker Detect' สำหรับ Android เพิ่มเติม (CR:AppleFarward)
Apple ได้พัฒนาแอป ‘Tracker Detect’ สำหรับ Android เพิ่มเติม (CR:AppleFarward)

การใช้ AirTags เป็นอุปกรณ์ติดตาม

อุปกรณ์ติดตามอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อผู้คนจากการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว ย้อนกลับไปในปี 2018 แฟนเก่าของเธอติดตามผู้หญิงคนหนึ่งในฮูสตันมาหลายวัน ก่อนที่เธอจะรู้ว่าอุปกรณ์ติดตามที่วางไว้ในรถของเธอเอง

แม้ว่า AirTags ของ Apple จะเป็นวิธีที่ง่ายและราคาไม่แพงในการติดตามสิ่งของที่สูญหายหรือถูกขโมยของคุณ แต่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังโดยคู่สมรสที่ไม่พอใจหรือใครก็ตามที่มีความแค้นอยู่ในใจกับคุณได้เช่นกัน

ความจริงก็คือผู้สะกดรอยตามสามารถใช้ AirTags เพื่อติดตามเหยื่อของพวกเขาได้อย่างสะดวกเช่นเดียวกัน

Apple ใส่ใจกับข้อกังวลเรื่องการสะกดรอยตามหรือไม่?

เพื่อตอบสนองต่อความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นและการคุกคาม ทาง Apple ได้อัปเดต AirTags เมื่อเร็วๆ นี้

นี่คือสิ่งที่การปรับปรุงเหล่านี้นำมาซึ่ง:

  • การอัปเดตใหม่นี้ช่วยลดเวลาที่ AirTag ใช้ในการส่งการแจ้งเตือนหลังจากอยู่ห่างจาก iphone ที่ถูกจับคู่ไว้
  • AirTags สามารถส่งเสียงแบบสุ่มได้ทุกที่ระหว่างแปดถึง 24 ชั่วโมง แทนที่จะเป็นสามวันหลังจากการย้ายที่ของ AirTag ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ Android เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนบนหน้าจอเหมือนกับผู้ใช้ iPhone
  • ขณะนี้ Apple กำลังทำงานบนแอป Android ที่สามารถตรวจจับ AirTags ใกล้เคียงได้ Apple อ้างว่าแอปจะตรวจจับการมีอยู่ของอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Find My ได้

4 เคล็ดลับในการป้องกัน AirTag ไม่ให้สะกดรอยตามคุณ

AirTag เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ แต่เป็นสิ่งที่สามารถถูกใช้โดยผู้สะกดรอยตามได้ง่ายเช่นเดียวกัน ดังนั้นเคล็ดลับต่อไปนี้เป็นวิธีการที่จะทำให้คุณสามารถป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของการสะกดรอยตามผ่าน AirTag:

1. ใช้แอป Bluetooth Scanner

แม้ว่า AirTags จะใช้สัญญาณบลูทูธเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Find My ของ Apple คุณไม่จำเป็นต้องจับคู่สมาร์ทโฟนเพื่อค้นหาสิ่งที่น่าสงสัยเสมอไป

คุณสามารถใช้แอปสแกน Bluetooth เพื่อสแกนพื้นที่ที่คุณอยู่แทนได้ คุณสามารถทำได้โดยเพียงแค่เดินไปรอบๆ ภายในบ้านหรือในรถของคุณโดยเปิดแอปไว้ แม้ว่าแอปเหล่านี้อาจไม่เปิดเผยชื่อ AirTags ในบริเวณใกล้เคียง แต่ก็อาจช่วยให้คุณระบุอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักในบริเวณใกล้เคียงได้

ตัวค้นหาอุปกรณ์ Bluetooth BLE และ BLE Scanner เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับวิธีการนี้

Apple ยังได้เปิดตัว ‘Tracker Detect’ ซึ่งเป็นแอป Android เพื่อสามารถค้นหา Airtags ที่อยู่ใกล้ตัวคุณได้เช่นกัน

หมายเหตุ: การสแกนเหล่านี้อาจไม่ได้ผลหากคุณอาศัยอยู่ในอาคารอพาร์ตเมนต์ เนื่องจากคุณอาจไปเจออุปกรณ์ของเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน

2. กำจัดบริเวณที่คุณคิดว่าจะถูกซ่อนอุปกรณ์ติดตาม

หากคุณสงสัยว่ามีคนกำลังติดตามคุณผ่าน AirTag คุณควรกำจัดบริเวณต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก พยายามคิดจากมุมมองของนักสะกดรอยตามและสิ่งที่พวกเขาอาจมีเกี่ยวกับคุณ

การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น ลดจำนวนสิ่งของส่วนตัวที่คุณพกติดตัว เปลี่ยนกระเป๋า หรือใช้ Uber แทนรถ คุณสามารถช่วยลดตำแหน่งของ AirTag ที่ซ่อนอยู่ได้

3. ค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag

หากคุณพบ AirTag ของ stalker ในสิ่งของของคุณ สิ่งแรกที่ต้องทำคือค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของที่แท้จริงของ AirTag จะไม่ได้รับการแจ้งเตือน

ค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag (CR:Apple Support)
ค้นหาหมายเลขซีเรียลของ AirTag (CR:Apple Support)

หากคุณเป็นเจ้าของอุปกรณ์ iOS ให้ดาวน์โหลดแอป Find My และถือ AirTag ข้างอุปกรณ์ของคุณ นี่จะแสดงชื่อของ AirTag บนหน้าจอ และเมื่อคุณแตะที่ชื่อ แอปจะแสดงหมายเลขซีเรียลแก่คุณ

4. ปิดการใช้งาน AirTags อย่างถาวร

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณพบ AirTag ที่ใช้ในการสะกดรอยตามคุณ แต่คุณไม่ต้องการที่จะตกเป็นเหยื่อของการติดตาม ทางออกที่ดีที่สุดของคุณก็คือปิดการใช้งานอย่างสมบูรณ์

วิธีที่ง่ายที่สุดในการปิด AirTag คือการนำแบตเตอรี่ออก สิ่งที่คุณต้องทำคือกดลงแล้วบิดฝาครอบแบตเตอรี่เพื่อเข้าถึงแบตเตอรี่แบบถอดได้ การดำเนินการนี้จะหยุด AirTag ไม่ให้ติดตามคุณและแจ้งเตือนเจ้าของแบตเตอรี่ว่าแบตเตอรี่ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป

เหยื่อที่ตื่นตัวคือฝันร้ายที่สุดของ Stalkers

เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มักมาพร้อมกับผลที่ไม่คาดคิด แม้ว่าคุณจะไม่ทำกุญแจหายอีกต่อไป แต่ Apple AirTags ก็ก่อให้เกิดปัญหาด้านการสะกดรอยและความปลอดภัยอย่างร้ายแรง

ตั้งแต่การติดตามอย่างลับๆ ที่ทำโดยคู่สมรสของคุณ ไปจนถึงการระบุตำแหน่งที่อยู่ของใครบางคน มีหลายสาเหตุที่ผู้สะกดรอยตามสามารถใช้ AirTags ให้เกิดประโยชน์ได้

อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการเชิงรุก เช่น ตื่นตัวตลอดเวลา อัปเดต iPhone iOS ของคุณ ใช้แอปสแกนบลูทูธ และระมัดระวังในที่สาธารณะ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงผู้สะกดรอยตามจาก AirTag และปกป้องคุณจากการตกเป็นเหยื่อรายต่อไปได้นั่นเอง

References : https://9to5mac.com/2021/12/13/apple-alleviates-android-user-concerns-with-tracker-detect-app-to-locate-nearby-airtags/
https://www.washingtonpost.com/technology/2021/05/05/apple-airtags-stalking/
https://www.makeuseof.com/apple-airtags-can-stalkers-track/


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube