ประวัติ Ethereum ตอนที่ 3 : The Swiss Knife

หลังจากอยู่กับกลุ่ม Calafou ได้ไม่นาน Vitalik จึงตัดสินใจออกทัวร์อีกครั้ง เพื่อพบปะชุมชนต่าง ๆ ของชาว Bitcoiner ทั่วโลก โดยได้ไปที่อัมสเตอร์ดัม ซึ่ง Vitalik ได้เข้าไปฟังตัวแทนจากธนาคารกลางของเนเธอร์แลนด์และตำรวจในอัมสเตอร์ดัมอย่างกระตือรือร้นเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาด้านกฏระเบียบ ที่กำลังกลายเป็นประเด็นที่สำคัญในตอนนั้น

แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการประชุมที่อัมสเตอร์ดัมก็คือ Ripple เครือข่ายการชำระเงินแบบดิจิทัล P2P จะกลายเป็นโอเพ่นซอร์ส ซึ่งในขณะนั้นคำวิจารณ์ที่มีต่อ Ripple คือ เครือข่ายถูกควบคุมโดยบริษัทส่วนกลางที่ชื่อ Ripple Labs ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโค้ดได้โดยไม่ต้องถามใครในชุมชน รวมถึง Ripple Labs ยังเป็นเจ้าของ cryptocurrency ของ Ripple ที่ชื่อ XRP แทบจะทั้งหมด

Vitalik คิดว่าการทำให้โค้ดเป็นสาธารณะไม่ได้เปลี่ยนคำวิจารณ์เกี่ยวกับ Ripple Labs ที่ควบคุม XRP แต่อนุญาตให้ทุกคนตรวจสอบการทำงานภายในของโค้ดและสามารถเข้าร่วมเครือข่ายได้ ซึ่งหากใครมีความขัดแย้งในจุดใด ก็มีอิสระที่จะคัดลอกโค้ด แก้ไข และสร้าง Ripple ใหม่ของตัวเองได้

ในการประชุมดังกล่าวเขาได้พบกับ Amir Chetrit ซึ่งทำงานในอิสราเอลเกี่ยวกับโปรเจกต์ Colored Coins ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งเป้าไปที่การเป็นตัวแทนและจัดการทรัพย์สินในโลกแห่งความเป็นจริงในรูปแบบของโทเค็นบนเครือข่าย Bitcoin

Amir ที่เป็นคนตัวสูง หัวโล้น และมีเคราสีดำ เป็นคนยิ้มง่าย ได้เข้าร่วมกลุ่ม Bitcoin หลังจากตระหนักถึงความสามารถในการสร้างระบบการเงินทางเลือก และปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเงิน และสังคมที่มีอยู่

เขารู้ว่าโลกไม่ได้ทำงานตามกฏที่ยุติธรรม โดยพื้นฐานแล้วเขาเชื่อว่ารัฐบาลมีข้อบกพร่อง และรบบการเงินและการธนาคารถูกสร้างขึ้นมาเพื่อยกระดับให้กลุ่มชนชั้นนำไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งเขามองว่า Bitcoin เป็นระบบที่ไม่ยึดติดกับอำนาจส่วนกลางใด ๆ

Amir ทำงานกับทีม Colored Coins ในอิสราเอล ซึ่งกำลังสร้างระบบที่อนุญาตให้สกุลเงินและสินทรัพย์ต่าง ๆ สามารถซื้อขายบนเครือข่าย Bitcoin ส่วน Vitalik เองก็มีแผนที่จะไปทัวร์ที่อิสราเอลเช่นเดียวกัน ซึ่ง Amir เสนอให้ Vitalik ติดต่อกับ Ofir เพื่อนของเขาซึ่งกำลังสร้าง startup เกี่ยวกับ Bitcoin ใน เทลอาวีฟ

ไม่นานนัก Vitalik ก็นอนอยู่บนโซฟาของ Ofir ในเทลอาวีฟ ซึ่ง Vitalik ได้มาช่วย Ofir ในการสร้างเว็บไซต์ในระยะเวลาสั้น ๆ ต้องบอกว่านับตั้งแต่ที่ Vitalik มาถึง สิ่งที่ Ofir คิดว่าจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการทำให้มันสำเร็จ แต่ Vitalik สามารถแก้ไขปัญหาโดยเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที ทำให้ Ofir ถึงกับอึ้งไป ในขณะที่ Vitalik ยังเขียนโค้ดชิลล์ ๆ บนแล็ปท็อปของตัวเอง

ต้องบอกว่าการมาที่เทลอาวีฟ หนึ่งคนที่ Vitalik รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ที่ได้พบเจอก็คือ Ron Gross ซึ่งเป็นผู้นำทีม Mastercoin ที่ร้านกาแฟในเทลอาวีฟ ซึ่ง Ron ได้ลาออกจากงานที่ Google เพื่อมาสร้าง startup ของตัวเอง

Ron Gross ซึ่งเป็นผู้นำทีม Mastercoin ที่ร้านกาแฟในเทลอาวีฟ (CR:Youtube)
Ron Gross ซึ่งเป็นผู้นำทีม Mastercoin ที่ร้านกาแฟในเทลอาวีฟ (CR:Youtube)

จากนั้น Ron ลาออกจากบริษัท startup เพื่อเข้าสู่วงการ Bitcoin เมื่อเห็น White Paper ที่โพสต์บน BitcoinTalk ในปี 2012 ที่ผู้ก่อตั้ง Mastercoin คือ JR Willett เป็นคนโพสต์ และ Ron เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ตอบกลับไปพร้อมด้วยคำแนะนำ

ซึ่ง JR ได้มาโพสต์ White Paper ฉบับแก้ไขในเดือนกรกฎาคมปี 2013 และประกาศว่าเขาขาย Mastercoins เพื่อแลกกับ Bitcoin ซึ่ง Ron แนะว่า JR ควรชะลอการขายเพื่อให้ชุมชมมีเวลามากพอที่จะทบทวนโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการให้โบนัสแก่นักลงทุนรายแรก ๆ นอกจากนี้เขายังแนะนำให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อควบคุมเงินทุน แทนที่จะให้เข้าไปที่กระเป๋าเงินส่วนตัวของ JR

JR ภายใต้ชื่อ “dacoinminster” และ Ron ภายใต้ชื่อ “ripple234” ในฟอรัม BitcoinTalk มีการโต้ตอบกันในฟอรัม จนในที่สุดแล้วการขายก็ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ โดยขายได้กว่า 5,120 bitcoins หรือที่ประมาณ 500,000 ดอลลาร์ในขณะนั้น

JR ได้เขียนไว้ใน “เอกสารรายงาน Bitcoin ฉบับที่สอง” ว่า Mastercoin จะเป็นชั้นโปรโตคอลระหว่าง blockchain ของ Bitcoin ที่มีอยู่กับสกุลเงินของผู้ใช้ และแพลตฟอร์มจะมีเครื่องมือง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถออกแบบและปล่อยสกุลเงินของตัวเองได้ โดยไม่ต้องทำการพัฒนาซอฟต์แวร์ใด ๆ “

ต้องบอกว่าการระดมทุนเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการใช้งานที่เป็นไปได้ ซึ่งยังมีโอกาสต่างๆ อีกมากมายมหาศาล สำหรับสกุลเงินใหม่ที่จะออกบนเครือข่าย Bitcoin ซึ่งซอฟต์แวร์ Mastercoin จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง Smart Contract ได้ภายใน ecosystem ของ Bitcoin โดย Smart Contract ประกอบด้วยโค้ดที่ต้องดำเนินการด้วยตัวเอง แต่ต้องตรงตามชุดของกฏที่มีการกำหนดไว้อยู่แล้ว

มูลนิธิ Mastercoin ได้ก่อตั้งขึ้นหลังจากการขาย และ Ron ก็เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการที่มีทั้งหมด 7 คน ต้องบอกว่านี่กลายเป็นครั้งแรกที่ Startup blockchain ระดมทุนด้วยการขายโทเคนดิจิทัลของตัวเอง ซึ่งท้ายที่สุดกลไกการระดมทุนแบบนี้ถูกเรียกว่า ICO เป็นการเล่นคำกับ การเสนอขายต่อสาธารณะครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์หรือ IPO

JR Willett ชายผู้ถือกำเนิด ICO เป็นครั้งแรก (CR:Everipedia)
JR Willett ชายผู้ถือกำเนิด ICO เป็นครั้งแรก (CR:Everipedia)

สำหรับ Vitalik เองแล้ว Mastercoin ยังดีกว่าแนวทางของ Ripple อย่างน้อยเขาให้เหตุผลว่าเหรียญถูกแจกจ่ายให้กับชุมชนและไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของทั้งหมดโดยฝ่ายเดียว นอกจากนี้ กองทุนยังได้รับการจัดการโดยมูลนิธิไม่แสวงหาผลกำไร และไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความเพ้อฝันของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ครองอำนาจอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของบริษัท

สี่เดือนหลังจากการขาย Ron ได้กลายเป็นผู้อำนวยการโครงการ เขาได้บอกกับ Vitalik ว่า นักพัฒนา Mastercoin กำลังทำงานเพื่อตั้งค่าฟังก์ชันต่าง ๆ ที่จะขยายไปสู่ Bitcoin

แต่ Ron ก็ต้องตกใจกับคำถามของ Vitalik ที่อ่านเอกสารทั้งหมดและเข้าใจเทคโนโลยีดังกล่าวได้ลึกซึ้งกว่าที่เขาทำ ในตอนท้ายของการสนทนา Vitalik ถามว่ามีอะไรที่เขาสามารถช่วยได้หรือไม่ Ron ได้ชี้ไปที่กระดานออนไลน์ของทีม ซึ่งใช้ในการติดตามงานและโครงการวิจัยที่พวกเขากำลังทำอยู่

“แค่เลือกสิ่งที่ดูน่าสนใจ” Ron กล่าวกับ Vitalik

ในขณะที่อยู่ที่อิสราเอล Vitalik ได้ไปพบกับ Yoni Assia ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง eToro ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายหุ้นและการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งได้มีการเพิ่มการซื้อขาย Bitcoin และได้ร่วมมือกับ Colored Coins

โดยทางทีมงานของ Colored Coins พยายามนำสินทรัพยในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ นำมาเข้ากับ blockchain ของ Bitcoin

Vitalik ได้ติดตามโครงการดังกล่าวและมีส่วนร่วมในการเขียนโค้ดตั้งแต่ปลายปี 2012 เขาได้ถาม Yoni ว่าจะช่วยงานเพิ่มมากขึ้นได้หรือไม่ในขณะที่เขากำลังอาศัยอยู่ที่อิสราเอล ซึ่งแน่นอนว่า Yoni ตอบตกลง โดยเสนอที่จะจ่าย bitcoins ให้กับเขาเพื่อแลกกับการทำงานที่สำนักงานของ eToro ถ้าเขาต้องการ

Vitalik เดินเท้าเป็นเวลาหลายชั่วโมงจากอพาร์ตเมนต์ของ Ofir ในเทลอาวีฟไปยังอาคารสำนักงานของ eToro ในเขตชานเมืองเกือบทุกวัน เขาต้องการประหยัดค่าโดยสารเพียงไม่กี่เหรียญ และเขาก็เป็นคนชอบเดินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย

หน้าที่ของ Vitalik ที่ eToro คือการเขียน White Paper ของ Colored Coins ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์และได้ส่งกลับไปใน Google Group ของ Colored Coins โดยเขาได้เกริ่นสั้น ๆ เกี่ยวกับการสร้าง Bitcoin และข้อดีของมันเหนือระบบการชำระเงินที่มีอยู่ รวมถึงการไม่ถูกเซ็นเซอร์จากคนกลางใด ๆ สามารถทำธุรกรรมให้เกิดความโปร่งใสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่ เขาได้ตั้งคำถามว่า จากข้อดีทั้งหมดของ Bitcoin ที่เกริ่นไป เป็นไปได้ไหมที่จะใช้ฟังก์ชันเดียวกันสำหรับแอปพลิเคชันอื่นด้วย? คำตอบคือ “ใช่”

Vitalik ได้เอ่ยถึงเทคโนโลยีเดียวกับที่ Satoshi Nakamoto ได้จินตนาการไว้นั้น สามารถใช้ในการรักษาความเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัท ทรัพย์สิน เงินฝากธนาคาร รวมถึงอะไรก็ได้อีกมากมายที่สามารถกลายเป็นทรัพย์สินดิจิทัลได้ ซึ่งหมายความว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ๆ ได้ในแต่ละครั้ง

แต่อย่างไรก็ตาม Vitalik ได้กล่าวว่า Bitcoin นั้นไม่ได้รวมเอาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะใช้ในการดำเนินการเหล่านี้เป็นค่าเริ่มต้น มันยังเป็นต้องมีโปรโตคอลเพิ่มเติม ซึ่งก็คือส่วนของ “Colored Coins” นั่นเอง

และต้องบอกว่าในช่วงเดียวกันนั้น Vitalik ก็ทำงานกับ Mastercoin ด้วยเช่นกัน เขาได้ทบทวนงานวิจัยและงานที่ทำไปแล้ว และส่งอีเมลถึง Ron และ JR เพื่อเสนอให้เขียนข้อกำหนดสำหรับสัญญาส่วนต่าง (วิธีเดิมพันราคาหลักทรัพย์ในอนาคต) Ron ตอบกลับมาว่า “ยอดเยี่ยม”

Ron และ JR จึงได้ตัดสินใจจ่ายเงินให้กับ Vitalik 1,000 ดอลลาร์ สำหรับงานที่เขาทำ ในไม่ใช้ Vitalik ก็ค้นพบอะไรบางอย่างจากการเรียนรู้ในการทำงานทั้งกับ Colored Coins และ Mastercoin และได้อัปเดทกับ Ron และ JR โดยกล่าวว่า “แนวคิดเกี่ยวกับสัญญาทางการเงินทั่วไปของเขาสามารถนำไปใช้ได้ทั้ง CFDs , ธุรกิจประกัน หรือแม้กระทั่งในธุรกิจด้านการพนัน ด้วยความซับซ้อนของโปรโตคอลที่น้อยที่สุด (ความซับซ้อนจะถูกผลักออกไปที่แต่ละแอปพลิเคชันแทน)

แต่ Vitalik มองว่า Mastercoin เองนั้นยังมีปัญหาเนื่องจาก ได้ใช้กระบวนการบางอย่างที่ไม่มีโครงสร้างที่ดีพอในการทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และเหมือนว่า Vitalik พยายามอธิบายความคิดของเขาให้กับ Ron และ JR ฟัง แต่เหมือนทั้งคู่จะไม่เข้าใจแนวคิดของเขา เมื่อ Vitalik มามองดูโปรเจ็กต์ Bitcoin 2.0 เหล่านี้มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นมีดของ Swiss Army ซึ่งคนเหล่านี้ ( ทั้งกลุ่มที่พัฒนา Mastercoin และ Colored Coin) ใช้เวลามากมายไปกับการทำตะไบเล็บ หรือ กรรไกรเล็ก ๆ แต่ไม่มีใครต้องการใช้สิ่งเหล่านี้ในตอนนี้

พวกเขาแค่ต้องการมีด หรืออย่างอื่น ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทำไมเราไม่มาสร้างตัวต่อเลโก้ที่จะทำให้ใคร ๆ ก็สามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการล่ะ?

หลังจากนั้น เขาได้กลับมาทำงานกับ Colored Coins และให้คำแนะนำบางอย่างกับทีมงานไว้ เพื่อปรับปรุง White Paper ให้ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะพอใจกับการอัปเดตและข้อเสนอแนะที่มีเข้ามาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากตัว Vitalik

Alex Mizrahi หนึ่งในนักพัฒนาที่มีความกระตือรือร้นที่สุดในโครงการ เขียนใน Google Group ไว้ว่า

“ปัญหาคือ Vitalik เริ่มเขียน White Paper โดยไม่ได้พูดคุยกับใครก่อน เขาแทบไม่รู้เรื่องที่ทีมงานคุยกันใน mailing list ที่มีการคุยกันเป็นเวลา 1 ปีก่อนหน้า และเขาก็ไม่มีเวลาพอที่จะทำอย่างให้ถูกต้อง เขาต้องการทำทุกอย่างให้เสร็จภายใน 1-2 เดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังมาก แน่นอนว่าความคิดของเขามีมากมาย และเมื่อพิจารณาจาก Colored Coins ที่เขาออกแบบไว้ 3 อันหรือมากกว่านั้น มันไม่เข้าท่าเลย เท่าที่ผมรู้ ไม่มีการใช้งานใดที่นำความคิดของเขาไปใช้เลยด้วยซ้ำ”

ต้องบอกว่า แม้ Vitalik จะได้พบกลุ่มคนที่เป็นมิตรในเทลอาวีฟที่มาจากฟอรัม Bitcoin แต่ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจความคิดของเขาในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะตอนนี้ความคิดของเขามันได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของชุมชน Bitcoin ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ระหว่างเดินจาก eToro กลับไปที่เทลอาวีฟ เขาเชื่อว่าต่อจากนี้ไป เขาไม่ต้องการ Colored Coins หรือ Mastercoin อีกต่อไป เขาต้องการทำสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น

“ช่างมันเถอะ เราจะทำมันเองให้โลกได้เห็น” เขาคิด

–> อ่านตอนที่ 4 : Decentralized Autonomous Organisation (DAO)

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ