Geek Monday EP113 : กรณีศึกษาแคมเปญ “Intel Inside” โดย Intel ที่ทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 5 เท่า

แคมเปญ Intel Inside ทำให้การเติบโตของมูลค่าตลาดของ Intel ในปี 1991 ก่อนเริ่มโครงการสร้างแบรนด์ “Intel Inside” มูลค่าตลาดของ Intel อยู่ที่ประมาณหนึ่งพันล้านเหรียญ ภายในปี 2003 หลังจากการรณรงค์ใช้แคมเปญดังกล่าวมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5 พันล้านเหรียญ 

การเติบโตของมูลค่าผู้ถือหุ้นนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของ Intel สถิติสำคัญอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นพลังของแคมเปญนี้ ได้แก่ ในปี 1992 แคมเปญ “Intel Inside” ยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 63% การรับรู้โลโก้ Intel ในหมู่ผู้ซื้อพีซีในยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 24% เมื่อเริ่มแคมเปญ “Intel Inside” ในปี 1991 เป็น 94% ภายในปี 1995 และในปี 2001 Intel ถูกระบุว่าเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกอันดับที่ 6

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/31V14ic

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3GIhaet

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3ETNn1J

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/33hUJOB

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/EoaraHjogTk

ประวัติ Ethereum ตอนที่ 7 : A Game of Coins

เมื่อทีม Ehtereum ได้กำหนดโครงสร้างทางกฏหมายในสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถที่จะขายไปยังสาธารณชนในสหรัฐอเมริกาได้อย่างถูกกฏหมายเช่นเดียวกัน ซึ่งพวกเขารู้ว่ามันเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่

ในปี 2014 ต้องบอกว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับโทเค็นดิจิทัลเลย ซึ่งการขายจึงอาจหมายความว่าพวกเขากำลังคิดที่จะนำหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องมาขายให้ประชาชนคนทั่วไป

ในเดือนเมษายน ปี 2014 แพลตฟอร์มการจัดเก็บไฟล์ Maidsafe ซึ่งสร้างขึ้นจากโครงการ Mastercoin ของ JR Willett ซึ่ง Vitalik มีส่วนสนับสนุนในอิสราเอล ระดมทุนได้ประมาณ 7 ล้านดอลลาร์ภายใน 5 ชั่วโมง

ไม่นานหลังจากนั้น ก.ล.ต. ได้ออกคำเตือนนักลงทุนว่า “ผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี หรือ นวัตกรรมใหม่ เช่น Bitcoin มีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดทั้งการฉ้อโกงและโอกาสจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง”

แน่นอนว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาดู Ethereum อย่างจริงจังอยู่แล้ว Anthony กำลังจะจัดการประชุม Bitcoin Expo ในโตรอนโต เหล่าผู้ร่วมก่อตั้งตัดสินใจที่จะไปพบกันที่นั่นเพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับ Ethereum

ซึ่งในช่วงเวลานี้นี่เองที่ทำให้เหล่าผู้ร่วมก่อตั้งได้ไปพบกับ Steven Nerayoff เป็นครั้งแรก Steven ซึ่งเป็นทนายความที่ลาออกจากงานในสำนักงานกฏหมายสุดหรูในนิวยอร์กในช่วงที่ดอทคอมเฟื่องฟูในช่วงปลายทศวรรษ 1990

Steven Nerayoff อดีตทนายความและนักลงทุนสายเทค ที่สนใจใน Ethereum (CR:Twitter)
Steven Nerayoff อดีตทนายความและนักลงทุนสายเทค ที่สนใจใน Ethereum (CR:Twitter)

เขาได้ทิ้งทุกอย่างและย้ายไปที่ Silicon Valley ซึ่งเขาได้ก่อตั้งบริษัทด้านอินเทอร์เน็ต 2 แห่งเพื่อแข่งขันกับ ebay หลังจากฟองสบู่อินเทอร์เน็ตแตก Steven จึงได้ย้ายกลับมาที่นิวยอร์กในปี 2002 และเริ่มต้นบริษัทที่สาม ซึ่งคราวนี้เป็นอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ

บริษัท Freedom Eldercare ของเขาได้ถูกซื้อกิจการโดยกองทุนไพรเวทอิควิตี้ในปี 2008 Steven ก็ยังคงสร้างบริษัทใหม่โดยเน้นไปที่เทคโนโลยีทางด้าน AI ซึ่งตั้งใจจะทำแพลตฟอร์มช่วยเหลือเมืองต่าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ตั๋วจอดรถ การเก็บขยะ การกำจัดหิมะ และอาชญกรรม

Steven ยังซื้อขายทองคำล่วงหน้าในเวลาว่าง และคิดว่า “Fiat Money” จะต้องล่มสลายในที่สุด ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินในปี 2008 ทำให้เขาแบ่งทรัพย์สินให้กลายเป็นเงินสดครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นทองคำ จากคำเตือนของเพื่อนของเขาที่กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น

เมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับ Bitcoin แนวคิดนี้ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที เขาได้ว่าจ้าง Jonathan Mohan ผู้ก่อตั้ง Bitcoin NYC เพื่อเป็นหูเป็นตาให้ในการลงทุนเกี่ยวกับ Bitcoin และนั่นทำให้เขาได้ยินเกี่ยวกับการระดมทุนของ Ethereum และท้ายที่สุดเขาก็มานั่งโต๊ะที่มีตู้ ATM Bitcoin เครื่องแรกในโตรอนโต ซึ่งรายล้อมไปด้วยกลุ่มผู้ก่อตั้ง Ethereum

Steven ได้อธิบายให้ทั้งกลุ่มฟัง หากไม่ทำมันให้ถูกต้อง จะมีผลทางกฏหมายตามมา เขาศึกษาข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับการยกเว้นประเภทต่าง ๆ ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดไว้สำหรับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนที่บริษัทและผู้ออกหลักทรัพย์สามารถปฏิบัติตามเพื่อทำให้ถูกต้องตามกฏหมายได้

Steven ได้พยายามมองเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในวงการสกุลเงินดิจิทัล แต่ก็ไม่ตรงกับสิ่งที่ Ethereum ต้องการที่จะทำ จากนั้นเขาก็ดูกฏระเบียบของ SEC เกี่ยวกับการระดมทุน แต่ช่องทางนั้นอนุญาตให้ระดมทุนได้สูงสุด 1 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

จากนั้นเขาได้ศึกษาข้อยกเว้นของ SEC ทั้งหมดสำหรับการเสนอขายหลักทรัพย์เพื่อค้นหาสิ่งที่ปลอดภัยสำหรับ Ethereum แต่มันก็ไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นใด ๆ เลย

สุดท้ายเขาก็เริ่มคิดว่าจะเปรียบเทียบกับอะไรได้บ้างในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่ทำงานเหมือน Ethereum ทำให้สามารถช่วยให้เข้าใจได้ว่าโทเค็นดิจิทัลนี้เหมาะกับส่วนไหน

ลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับ Ether คือ มันไม่ใช่แค่สกุลเงินดิจิทัลที่ใช้โอนมูลค่าได้ Ether ยังใช้เพื่อชำระเงินสำหรับการโอน และสำหรับการดำเนินการอื่นใดที่ดำเนินการโดย Ethereum Virtual Machine โดยใช้หน่วยที่เรียกว่า “แก๊ส”

ซึ่ง Steven มองว่า Ether เป็นเหมือนแสตมป์ที่ต้องใช้ในการส่งจดหมาย หรือ “แก๊ส” ที่เหมือนกับน้ำมันที่ใช้เป็นเชื้อเพลงรถยนต์ เขาพยายามครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้

ในวันหนึ่งเมื่อความคิดเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ : ไม่มีใครเคยคิดว่าแสตมป์หรือน้ำมันเป็นหลักทรัพย์ เป็นสินค้าที่มีราคาตลาดและสามารถซื้อขายได้ Ether ก็คือ concept เดียวกัน มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ฟังก์ชั่นบนแพลตฟอร์ม Ethereum ไม่ใช่เพื่อการลงทุน

หลังจากนั้น Steven ก็ได้เข้าไปคุยกับ Vitalik และบอก Vitalik ว่า “ที่คุณเรียก “แก๊ส” เพื่อจุดประสงค์ทางเทคนิค แต่ถ้าเราบอกว่า แก๊ส ถูกต้องตามกฏหมายเหมือน แก๊ส ในสินค้าโภคภัณฑ์ล่ะ”

Steven กล่าวต่อ “ถ้าเราบอกว่าสิ่งที่เราขายที่นี่เป็นสินค้าล่ะ มีฟังก์ชัน มีอรรถประโยชน์ ดังนั้น ผู้คนจึงจ่ายเงินสำหรับความสามารถในการส่ง Ether อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อความสามารถในการสร้าง dapps (Decentralized applications) รวมถึงเพื่อเติมเชื้อเพลิงให้กับ dapp เหล่านี้”

“นั่นมันสมเหตุสมผลมาก” Vitalik กล่าว

ในเดือนเมษายน 2014 หลังจากได้พิสูจน์แนวคิด Ethereum ได้สำเร็จ Gavin ได้เผยแพร่ Ethereum Yellow Paper ซึ่งเป็นข้อกำหนดทางเทคนิคของสิ่งที่ Vitalik คิด ในขณะที่เอกสาร White Paper ที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นการอธิบายแนวคิดของ Ethereum โดย Yellow Paper จะกล่าวถึงรายละเอียดที่แน่นอน ทั้งเรื่องของ Ethereum Virtual Machine และแนวทางสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ในระบบนิเวศของ Ethereum

Gavin ยังได้เขียนถึงสิ่งที่เขาคิดว่าภาพรวมของเทคโนโลยี blockchain ควรจะเป็น เขามองว่าเครือข่ายแบบกระจายอำนาจจะเป็นเครื่องมือในการสร้างอินเทอร์เน็ตในเวอร์ชันถัดไป หรือ Web 3.0

Web 1.0 คืออินเทอร์เน็ตของศตวรรษ 1990 ไม่ว่าจะเป็น Search Engine หรือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่จะอยู่เฉพาะในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเดสก์ท็อป ส่วน Web 2.0 คืออินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาที่ผู้ใชสร้างขึ้น การสตรีมวีดีโอและเพลง ซึ่งมันเติบโตบนอุปกรณ์พกพา

Web 3.0 ได้รับการเปิดเผยครั้งแรกในปี 2006 จาก The New York Times ที่เขียนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตในยุคที่ 3 ซึ่งจะเป็นยุคที่เว็บของข้อมูลสามารถประมวลผลได้ด้วยเทคโนโลยี AI , Machine Learning , Data Mining ตัวอย่างเช่น อัลกอริธึมจะช่วยตัดสินใจและแนะนำว่าใครควรซื้ออะไรใน Amazon นั่นคือภาพรวมของ Web 3.0

นอกจากฟีเจอร์เหล่านี้แล้วนั้น Gavin มองว่าควรจะรวมเอาเครือข่ายแบบ Peer-to-peer ที่ไม่มีเซิร์ฟเวอร์และไม่มีตัวกลางในการจัดการของการไหลของข้อมูล ซึ่ง Ethereum จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับวิสัยทัศน์ของ Web 3.0

ในขณะเดียวกัน ชาว Ethereum คนอื่น ๆ อาศัยอยู่ที่บ้านในเมือง Zug มาหลายเดือนแล้ว โดยไม่ได้รับค่าจ้างและแทบไม่ได้ทำอย่างอื่นนอกจากงาน ในขณะที่ Charles ก็กำหนดแผนที่เร่งรัดมากยิ่งขึ้น เพื่อการเตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับการระดมทุน

และด้วยรูปแบบการบริหารของ Charles นี่เองที่ทำให้ทีมงานหลายคนไม่ไว้วางใจ พวกเขาสงสัยในแนวคิดของ Charles ซึ่งเป็นต้นแบบของความคิดองค์กรที่ชั่วร้าย และจะทำลายจิตวิญญาณของ Ethereum พวกเขาต่างสงสัยว่า Charles ต้องการร่วมมือกับธนาคารใน Wall Street และกองทุนจาก Silicon Valley

คืนหนึ่ง Taylor และ Mihai คุยกันผ่าน Skype กับ Stephan และ Mathias ซึ่งได้ย้ายมาอยู่ที่สำนักงานในลอนดอน ในตอนนั้นทุกคนที่อยู่ในเมือง Zug กำลังนอนหลับอยู่ ทั้งสี่คนมีเครื่องดื่มอยู่ในมือ และนั่นไม่ใช่แก้วแรกของพวกเขา

“ตอนนี้มีคนหลายกลุ่มเริ่มก่อหวอด และด้วยจำนวนคนที่มากจนเกินไปที่กำลังมองทิศทางที่แตกต่างกัน และดูเหมือนว่าบางกลุ่มมีสิทธิ์เรียกร้องมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ” Stephan กล่าว

ต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

“เห็นได้ชัดว่า Gavin ต้องการพลังมากกว่านี้ เขาเป็นคนที่สร้าง Ethereum มากกว่า Vitalik เสียอีก แม้คนอย่าง Joseph Lubin หรือ Charles จะมีประสบการณ์ทางธุรกิจมากกว่า แต่ Charles มีปัญหาเพราะอัตตาของเขา และบางสิ่งที่เขาอ้างว่าเขาเป็น…”

“เห็นได้ชัดว่า Charles สูญเสียความไว้วางใจจากทุกคน” Taylor กล่าว “คุณไม่สามารถนำทีมที่ไม่มีคนเชื่อใจคุณได้”

“ทุกคนเสียสละทุกอย่างเพื่อโครงการนี้” Stephan กล่าว “ทุกอย่างแน่ๆ ฉันยากจน ฉันไม่มีเงิน ฉันกำลังคิดเรื่องบ้า ๆ อยู่รู้ไหม ฉันต้องกลับไปทำงานปรกติเพราะฉันไม่ได้รับเงินซักแดงเดียว แต่ฉันยังคงทำงานเหมือนคนบ้า ทำงานวันละ 18 ชั่วโมง ดังนั้นฉันเลือกข้างที่ฉันคิดว่ามีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะชนะ”

“และนั่นคือวิศวกร” Mathias กล่าว

Charles ที่ทำงานทุกวันตั้งแต่เดือนธันวาคม เดินทางไปมาระหว่างสวิตเซอร์แลนด์ โตรอนโต และนิวยอร์ก เขาต้องทำงานเพื่อเก็บทุกรายละเอียด โดยเฉพาะเรื่องกฏหมายและภาษี เขาได้เดินทางเพื่อมาหาทีมที่ Zug ในวันที่ 7 มิถุนายน ด้วยความเหนื่อยล้า

Taylar ได้รวบรวมข้อมูลที่เขาได้แบ่งปันกับคนจำนวนมากในบ้านที่ Zug โดยอธิบายว่าทำไมเขาถึงเชื่อว่า Charles ไม่ควรเป็น CEO อีกต่อไป ซึ่งชี้ให้เห็นว่า Charles สูญเสียความสามารถในการเป็นผู้นำของกลุ่มไปแล้วจริง ๆ

Charles Hoskinson ที่ได้สูญเสียความไว้วางใจจากทีมงาน (CR:CNN.com)
Charles Hoskinson ที่ได้สูญเสียความไว้วางใจจากทีมงาน (CR:CNN.com)

ฝั่งของ Anthony เดินทางมาที่ Zug เพื่อลงนามในเอกสารเพื่อจัดทำสิ่งที่พวกเขาตกลงกันไว้เมื่อเดือนเมษายนที่โตรอนโต : Ethereum จะถูกรวมเข้ากับผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 8 คนในฐานะเจ้าของ

“ไอ้พวกบ้า ๆ พวกนั้นมาทำอะไรกันที่นี่” Anthony ถามด้วยความสงสัย

ต้องบอกว่า ตอนนี้กลุ่มคนมากหน้าหลายตาได้เข้ามาอยู่บ้านที่เมือง Zug แม้กระทั่ง Kieren ลูกชายของ Joe Lubin ก็อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่ง Anthony มองว่านี่ควรจะเป็นการประชุมของผู้ร่วมก่อตั้งเท่านั้น

ส่วน Vitalik เพิ่งฉลองวัย 20 ปี ด้วยการเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่ได้รับเงินทุนจาก Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และมหาเศรษฐีนักลงทุน นั่นหมายความว่าเขาจะได้รับเงินสนับสนุน 100,000 ดอลลาร์ เพื่อทำงานในโปรเจกต์ Ethereum ซึ่งรางวัลนี้นี่เองที่เป็นจุดตัดสินใจครั้งสำคัญว่าเขาจะไม่กลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอีกต่อไปแล้ว

ขณะที่สถานการณ์ของทีมงานในตอนนั้น มันทำให้ Vitalik รู้สึกสับสนกับกลุ่มก๊วนต่าง ๆ ที่พยายามวิ่งเต้นให้เขาเข้าข้าง

เขาจึงขอให้ทุกคนนั่งรอบโต๊ะยาว มันเป็นวันสบาย ๆ ในฤดูใบไม้ผลิที่มีแดดข้างนอก โน๊ตบุ๊กและกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปิดสนิทวางอยู่ตรงหน้า

“เห็นได้ชัดว่ามีความตึงเครียดเกิดขึ้นในทีม” Vitalik กล่าวกับทีมที่รวมตัวกัน “ทำไมเราไม่ไปนั่งรอบโต๊ะแล้วระบายความคับข้องใจของแต่ละคนกัน”

มันเป็นวันที่ถึงจุดแตกหัก ทุกคนต่างเครียด Gavin อธิบายว่าสิ่งที่ตามมาเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดที่สุดในชีวิตเขา หลาย ๆ คนที่นั่งร่วมโต๊ะคิดว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่พวกเขาคิดจะทำ

สำหรับ Amir บรรยากาศรอบ ๆ โต๊ะเหมือนกับฉากแต่งงานสีแดงในซีรีส์ Game of Thrones ซึ่งเหยื่อถูกล่อเข้าไปในปราสาทของศัตรู เพื่อให้เจ้าภาพสังหารหมู่ Charles แทบไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็น CEO ส่วน Anthony ปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วม เพราะบางคนบนโต๊ะเขาแทบจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

แต่การสนทนาต้องดำเนินต่อไป ด้วยความแค้นที่มุ่งไปที่ตัว Charles ซึ่งพยายามโต้แย้งว่า Ethereum ควรมีโครงสร้างการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ Ethereum เดินไปข้างหน้าได้

แต่เสียงของ Charles ถูกกลบด้วยข้อกล่าวหา และการโจมตีต่าง ๆ นา ๆ ที่แทบจะเหยียบ Charles จมลงไปในผืนดินในตอนนั้น

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่โจมตี Charles ทั้ง Vitalik , Joe, Anthony และ Amir ไม่ได้พูดอะไรเชิงลบที่มีต่อ Charles แต่ก็ไม่ได้ปกป้องเช่นเดียวกัน Gavin ก็ไม่ได้พูดวิจารณ์ Charles เช่นเดียวกัน เขาไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับ Charles แม้ว่าส่วนตัวแล้ว Gavin มองว่า ถ้า Ethereum จะมี CEO ก็คงมี Vitalik ที่จะเป็นได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่ที่เซอร์ไพรส์ก็คือ Gavin เลือกโจมตีไปที่ Amir แทน โดยกล่าวว่า “Amir ไม่สมควรที่จะอยู่ในกลุ่มผู้นำ เขาแทบไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากนักกับโปรเจกต์นี้”

ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะเห็นคล้อยตาม Gavin แต่สำหรับ Amir เขาใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงในการทำงานในทุกด้านของโครงการ และแน่นอนว่าเขายังมีภาระในการมีส่วนร่วมกับ Colored Cons อยู่ ซึ่งใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมทีมถึงคิดว่าเขาไม่ได้มุ่งมั่นกับ Ethereum

ความตึงเครียด ความขุ่นเคือง เรื่องส่วนตัว และความสงสัย มันได้ทำให้สถานการณ์มาถึงจุดแตกหัก

สุดท้ายหลังจากการคุยกันอยู่นานก็ไม่ได้ข้อสรุป พวกเขาจึงตัดสินใจว่า ควรให้ Vitalik เป็นคนตัดสินใจในเรื่องใหญ่เช่นนี้ เพราะ Vitalik ต้องเป็นคนเลือกผู้นำทีม และตัดสินใจว่าจะนำโครงการไปข้างหน้าอย่างไร

Vitalik ที่เพิ่งเข้าสู่วัย 20 ภายนอกเขาอาจจะดูเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่ใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีซีดที่คลุมร่างบางๆ ของเขา แต่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้ที่อายุเท่าเขา แล้วต้องเผชิญกับสิ่งที่เขาต้องตัดสินใจในวันนั้น

ตอนนี้เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการตัดสินชะตากรรมของเหล่าชายหนุ่มที่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาร่วมสร้างฝันที่ Ethereum กับ เขา

Vitalik คิดเพียงอย่างเดียวคือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับ Ethereum เขาได้ไปนั่งกอดลูกบอลสีแดง ๆ ที่ทีมเก็บไว้ข้างนอกระเบียง ซึ่งเขาพยายามนั่ง โยกไปมาเบา ๆ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป

หลังจากผ่านไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาข้างใน และทุกคนก็รวมตัวรอบ ๆ เขา

“Ethereum จะเป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่ไม่แสวงหาผลกำไร” เป็นสิ่งแรกที่ Vitalik ประกาศ “ผู้ก่อตั้งทั้ง 8 คนจะยังคงเป็นผู้ก่อตั้งเสมอ และพวกเขาจะได้รับทุกอย่างที่ได้สัญญาไว้ ค่าจ้างย้อนหลังทั้งหมด และ Ether ทั้งหมดที่ควรได้รับ ในอนาคตจะยังมีทีมผู้นำ 8 คนเช่นเดิม ซึ่งประกอบด้วย Gavin , Jeff , Mihai , Joe , Anthony , Stephen , Talay และตัวเขา”

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ Vitalik ตัดสินใจถอด Charles และ Amir ออกจากทีม และเลื่อนตำแหน่งให้ Stephan และ Taylor ขึ้นมาแทนที่

ส่วน Charles แม้ว่าสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับ Ethereum แต่เขาสูญเสียการสนับสนุนและความไว้วางใจจากทีมที่เหลือ Anthony ยังคงอยู่ต่อ แต่วิสัยทัศน์ของเขาสำหรับวิธีการพัฒนา Ethereum นั้นถูกบดขยี้ Joe กำลังคิดที่จะลาออกจาก Ethereum เพื่อสร้างเลเยอร์แอปพลิเคชันที่เขาจินตนาการไว้

Charles แทบไม่ได้พูดกับใครเลย เขาไปที่ห้องของเขาที่ชั้นใต้ดินและนั่งลงบนฟูก สภาพของเขาแทบจะทรุด และในที่สุดผู้ช่วยส่วนตัวของเขา Jeremy Wood ก็ลงมาหาและแนะนำให้ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน

“ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน” Charles กล่าว “คุณช่วยซื้อตั๋วไปอังกฤษให้ฉันได้ไหม”

“ได้สิ แต่ทำไมคุณไม่กลับบ้านล่ะ” Jeremy ถาม Charles

“ฉันไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อแม่ ภรรยา และทุกคน ฉันอยู่ที่นี่ กำลังคุยกับ Google และได้ออกทีวี และได้พูดในการประชุมใหญ่ในฐานะ CEO ของ Ethereum ซึ่งจะมีมูลค่าเป็นพันล้านดอลลาร์ แต่ตอนนี้ฉันจะต้องกลับบ้านโดยไม่ได้อะไรเลย ฉันแค่ทำใจไม่ได้”

ส่วนที่ชั้นบน เหล่าทีมงานผู้ชนะในการเผด็จศึก Charles จัดปาร์ตี้ฉลองกันตลอดทั้งคืน กับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาทำได้สำเร็จในครั้งนี้

–> อ่านตอนที่ 8 : The Insider

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ