ประวัติ Ethereum ตอนที่ 10 : Crypto Emergency

Christian Reitwiessner เป็นหนึ่งในทีมงานที่ดูแลภาษา Solidity ซึ่งเป็นภาษาทางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุม Smart Contract ของ Ethereum เขาได้สังเกตุเห็นข้อบกพร่องที่สามารถเจาะเข้าไปขโมยเงินทุนจากสัญญาบางสัญญาได้ เขาได้เข้าไปที่ GitHub ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับนักพัฒนาเพื่อพูดคุยและจัดเก็บโค้ดของพวกเขา ซึ่ง Christian ได้แจ้งเตือนชาว Ethereum คนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

แม้จะดูเหมือนจะไม่มีอันตรายมาก แต่ยังไม่มีใครเจอปัญหาเหล่านี้ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อ Smart Contract บางสัญญา ที่อาจถูกโจมตีได้ ซึ่งอาจทำให้ hacker เข้ามาแล้วถอนเงินได้มากกว่าที่มีจริง ๆ ซึ่ง Bug ก็คือคอมพิวเตอร์สามารถรับคำสั่งให้ลดยอดเงินคงเหลือของผู้ใช้หลังจากส่งเงินไปแล้วได้

ซึ่งความน่าสนใจก็คือมันสามารถเกิดได้ซ้ำ ๆ จนกว่าแก๊สทั้งหมดในธุรกรรมจะหมดลง ซึ่งหมายความว่า ใครบางคนสามารถขอเงินหลายครั้งก่อนที่ยอดเงินจะอัปเดต และก่อนที่คอมพิวเตอร์จะสังเกตเห็นว่าบัญชีของตนไม่มีเงินเหลือแล้ว

Christian ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวในวันที่ 5 มิถุนายน และในวันที่ 9 มิถุนายน นักพัฒนาอีกคนหนึ่งคือ Peter Vessenes ได้เขียนบล็อกโพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้

“โค้ดใน GitHub ชี้ให้เห็นถึงการโจมตีที่น่ากลัวมาก ๆ ใน smart contract” เขาเขียน “Smart Contract ของคุณอาจเสี่ยงต่อการโดนปล้น หากไม่มีการติดตามยอดเงินคงเหลือของผู้ใช้ และหากไม่มีความระมัดระวังเพียงพอ”

นี่เป็นครั้งแรกที่มีการแชร์ช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่นักพัฒนา Ethereum ต่างดิ้นรนหาว่าสัญญาใดที่มีความเสี่ยง หรืออาจจะถูกโจมตีจากเหล่าแฮ็กเกอร์ได้”

สามวันหลังจากการโพสต์ของ Peter ทีมงาน พบว่าโค้ดของพวกเขามีช่องโหว่จริง ๆ และลองโจมตี Smart Contract ที่มีความเสี่ยงด้วยตนเองดู ซึ่งพบว่ามันสามารถขโมยเงินออกมาได้จริง ๆ

หลังจากนั้น Emin Gun Sirer ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Cornell University ได้โดดเข้ามร่วมวง ซึ่งเขาได้ตรวจสอบมาซักระยะหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว

Emin กำลังตรวจสอบโค้ด เพื่อหาช่องโหว่ที่เกิดขึ้น ในวันที่ 11 มิถุนายน เขาได้ส่งอีเมลถึง Phil Daian นักเรียนที่ฉลาดที่สุดของเขา

Emin Gun Sirer ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Cornell University กำลังตรวจสอบหาช่องโหว๋ (CR:Coindesk)
Emin Gun Sirer ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Cornell University กำลังตรวจสอบหาช่องโหว๋ (CR:Coindesk)

“ฉันค่อนข้างแน่ใจว่า ฉันรู้วิธีที่จะขโมยเงินให้เหลือ 0” Emin กล่าว และพวกเขาทั้งสองก็ยังเปิดดูโค้ดต่อไป

Phil ใช้เวลาสองสามชั่วโมงในการอ่านโค้ดและสรุปว่าไม่มีทางที่จะทำให้เกิดช่องโหว่นี้ได้ เขาตอบ Emin และด้วยเหตุนี้ ศาสตราจารย์จึงวางใจนักเรียนที่ฉลาดเป็นกรดของเขาและกลับไปนอน

Vitalik อยู่ในเซี่ยงไฮ้ โดยพักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของเพื่อน เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน เขาได้รับข้อความจากทีมงานว่า Ethereum กำลังถูกแฮ็กครั้งใหญ่

หลังจากนั้น Vitalik ได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่ามี ether หายไปประมาณ 100 เหรียญในทุกวินาที ณ จุดนี้ทำให้ราคา ether เพิ่มขึ้น ยอดรวมใน Smart Contract ทั้งหมดเท่ากับ 250 ล้านดอลลาร์ เขาพยายามติดต่อไปยังทีมนักพัฒนาหลักของ Ethereum

ต้องบอกว่าสถานการณ์ของ Ethereum อยู่ในความเสี่ยงขั้นสูงสุดเป็นครั้งแรกหลังจากการเปิดตัว ในตอนนั้น Ethereum ซึ่งเป็นเหมือนหีบสมบัติขนาดยักษ์ที่ถือครองประมาณ 14% ของ ether ทั้งหมดถูกโจมตี ซึ่งหากแฮ็กเกอร์ประสบความสำเร็จ เขาไม่เพียงแค่จะฆ่าไม่เพียงแค่โปรเจ็กต์นี้เท่านั้น แต่ยังสามารถฆ่า Ethereum ได้อีกด้วย

สิ่งแรกที่ Vitalik คิดจะทำก็คือการสแปมเครือข่ายเพื่อทำให้การโจมตีช้าลง ในขณะที่เขาและนักพัฒนาคนอื่น ๆ พยายามระบุให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทีมงานของ Ethereum ได้เปลี่ยนห้องอาหารให้เป็นบังเกอร์สงคราม เพื่อเตรียมสู้กับแฮ็กเกอร์

เหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ในโครงการต่างๆ ก็โทรหานักพัฒนาคนอื่น ๆ ส่งข้อความและอีเมลหลายสิบฉบับ และเจาะลึกลงไปในโค้ดเพื่อหาว่าเงินหมดไปได้อย่างไร ใครเป็นผู้โจมตี และพวกเขาจะทำอย่างไรเพื่อหยุดมัน

Alex Van de Sande ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Avsa เขาตื่นขึ้นมาในอพาร์ตเมนต์ของเขาที่ริโอเดอจาเนโร มีข้อความต่าง ๆ เข้ามาหาเขา สถานการณ์ในตอนนั้นเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ ตลาดแลกเปลี่ยน และเหล่านักวิจัย ผู้คนต่างเรียกร้องให้ปิดตลาดชั่วคราว ระงับการซื้อขาย และใช้รหัสฉุกเฉินเป็นการด่วน

George Hallam โฆษกของ Ethereum Foundation กล่าวในห้องสนทนากับหัวหน้าแผนกในแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ว่า “แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนทั้งหมด : โปรดหยุดซื้อขาย ether โดยด่วนที่สุด”

Alex แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นกับตา “ที่รัก จำเงินก้อนโตที่ฉันกำลังพูดถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ไหม? ที่มันปลอดภัยด้วยรหัสที่ไม่สามารถแฮ็กได้?”

Alex ซึ่งกำลังมองไปที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของเขาและมองสิ่งที่เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ “ใช่? ตอนนี้มันโดนแฮ็กแล้ว” เขากล่าวกับภรรยาด้วยความตื่นตระหนก

เหล่านักพัฒนาอยู่ในความโกลาหล พวกเขาพยายามคิดว่าต้องทำอย่างไร บางทีพวกเขาอาจจะต้องลองพยายามจำลองการโจมตีและดูดเงินจากผู้โจมตีตัวจริง หรือพวกเขาสามามารถที่จะระบายเงินที่ยังอยู่ใน DAO (Decentralized Autonomous Organisation) หลักไปยังที่ปลอดภัย

อีกหนึ่งทางเลือกคือการทำ Soft fork แต่เป็นตัวเลือกที่มีความยุ่งยาก เพราะมันขัดต่อหลักการที่สำคัญของระบบแบบกระจายอำนาจ ซึ่งควรจะต่อต้านการเซ็นเซอร์ ซึ่งควรทำการเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อมีความเห็นพ้องต้องกันในหมู่ผู้เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่

แต่สำหรับ Vitalik แล้วนั้น การทำ soft fork เป้นวิธีแก้ปัญหาที่ค่อนข้างเร็ว และเขาเชื่อว่าข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุนเพียงพอจากเหล่านักพัฒนา ดังนั้นเขาจึงมีการเผยแพร่ประกาศออกสูสาธารณะ

“CRITICAL UPDATE Re:DAO Vulnerability” เป็นพาดหัวของบล็อกโพสต์ “พบการโจมตีและใช้ประโยชน์ใน DAO และผู้โจมตีกำลังอยู่ในกระบวนการระบาย ether ที่มีอยู่ใน DAO ไปยัง DAO ลูก”

Vitalik ได้อธิบายว่า ผู้โจมตีจะไม่สามารถถอน ether ใด ๆ ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 27 วัน และปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อ DAO โดยเฉพาะ ส่วน Ethereum นั้นปลอดภัยอย่างสมบูรณ์

ต่อมาในวันนั้นและด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ ผู้โจมตีหยุดใช้เงิน เขาได้ขโมยเหรียญจำนวน 30% หรือ 3.6 ล้าน ether จากจำนวนทั้งหมด 12 ล้าน ether ไปยัง DAO ลูกของเขา ในขณะที่ส่วนที่เหลือยังคงอยู่ใน DAO หลัก

นั่นทำให้ ราคาของ ether ร่วงดิ่งจาก 21 ดอลลาร์ก่อนการแฮ็ก เหลือประมาณ 15 ดอลลาร์ ทำให้สูญเสียมูลค่าไปประมาณหนึ่งในสามในระยะเวลาเพียงแค่ 1 วัน

ในระหว่างนี้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โต้เถียงกันว่าควรจะทำการ soft fork หรือ hard fork หรือเพียงแค่ยอมรับว่า DAO ถูกแฮ็กและปล่อยเลยตามเลย ตามอุดมการณ์หลักของ blockchain ที่ไม่ควรมีคนกลางเข้ามาแทรกแซง

สำหรับหลาย ๆ คน มันจะทำให้ Ethereum สูญสิ้นศรัทธา มันเป็นโครงการที่ใหญ่เกินกว่าที่จะล้มเหลว และสมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือ มันแทบไม่ต่างอะไรจากปัญหาของธนาคารใน Wall Street ในปี 2008 มันแทบไม่ต่างกันเลย แนวคิดการเข้ารหัส และไร้การเซ็นเซอร์ ไม่มีคนกลาง ควรเป็นหลักการพื้นฐานที่ไม่ควรถูกทำลาย

บางคนก็แย้งว่า โค้ดเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้คน หากนักพัฒนารู้วิธีแก้ไขปัญหาเพื่อให้สามารถคืนเงินให้กับเจ้าของที่ถูกขโมยได้พวกเขาก็ควรทำ ไม่อย่างงั้นมันก็ไม่ได้ดีกว่าหัวขโมย บางคนกล่าวว่า ศรัทธาใน Ethereum จะหายไปหากมีการทำการรีเซ็ตด้วยการทำ soft fork

สถานการณ์ในตอนนั้นดูเหมือนวิธีที่ดีที่สุดจะกู้เงินที่ถูกขโมยไปคือการ soft fork ในตอนนั้น Peter Szilagyi ซึ่งกลายเป็นมือขวาของ Jeff Wilcke ในทีม Go Ethereum เป็นผู้นำในความพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยทำการอัพเกรดซอฟต์แวร์ในเวอร์ชั่นที่มีชื่อว่า “DAO Wars”

และเพื่อให้มีการใช้ soft fork ผู้ขุดส่วนใหญ่จะต้องอัปเดทซอฟต์แวร์ด้วยเวอร์ชัน “DAO Wars” ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ผู้ขุดส่วนใหญ่ได้ส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมอัปเดทแล้ว

แต่ต้องบอกว่ามันเป็นอีกครั้ง มันไม่ง่ายอย่างงั้น สองวันก่อนจะมีการ soft fork ที่วางแผนไว้ Emin Gun Sirer ศาสตราจารย์ของ Cornell ที่เคยพบจุดบกพร่องใน DAO มาก่อน และนักเรียนสองคนของเขา ได้ประกาศว่าการอัปเดทดังกล่าว อาจจะทำให้ Ethereum โดนโจมตีแบบ DDoS ที่อาจเกิดขึ้นได้

ด้วยเหตุนี้ soft fork จึงถูกยกเลิกไป ทีมงานได้ปล่อยโค้ดเพื่อเลิกทำการเปลี่ยนแปลงที่จะไปใช้ในเวอร์ชัน “DAO Wars” เพื่อให้สอดคล้องกับธีม Star Wars/DAO Wars ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่จึงถูกเรียกว่า “The Network Strikes Back”

soft fork ถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน กำหนดเดิมพวกเขามีเวลาแค่ 27 วัน โดยในวันที่ 21 กรกฎาคม ผู้โจมตีจะสามารถถอนเงินจาก DAO ได้ทั้งหมด

“Hard fork เป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อน” Jeff Wilcke เขียนในบล็อกโพสต์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ในหัวข้อ “To Fork or Not to Fork” เนื่องจากนี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่มูลนิธิ Ethereum ตัดสินใจได้แต่เพียงผู้เดียว เขาจึงได้หันไปขอความเห็นจากชุมชนอีกครั้งเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลที่มีความเหมาะสมที่สุด”

เครื่องมือการลงคะแนนบนเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยนักพัฒนานอกมูลนิธิเพื่อใช้ในการโหวตว่าจุดยืนของชุมชนอยู่ตรงไหน โดยจะให้น้ำหนักของคะแนนโหวตตามจำนวน ether ที่ถือครอง การลงคะแนนใช้เวลาหนึ่งวัน และมีผู้ถือครองเพียง 5.5% ของจำนวน ether ทั้งหมดเข้าร่วมโหวตในครั้งนี้

ประมาณ 80% ของการโหวตเลือกไม่รับการ hard fork แม้การโหวตจะไม่ได้เป็นตัวแทนของชุมชนทั้งหมด ทั้งโพลใน Twitter และ โพสต์ใน Reddit ก็ไม่ต้องการ hard fork

แต่สถานการณ์ที่บีบคั้นในตอนนั้น ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการ hard fork อีกแล้ว เหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ไคลเอนต์ Ethereum เลือกที่จะยอมรับ เป็นการยืนยันว่า hard fork จะเป็นค่าเริ่มต้นในการอัปเกรดซอฟต์แวร์

ในวันที่ 20 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันกำหนดการที่จะมีการ hard fork ตัวของ Vitalik เองอยู่ที่ Cornell University ในรัฐนิวยอร์ก Vitalik หวังว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งนี้จะทำให้ Ethereum แข็งแกร่งขึ้น

เขาอยู่ที่นั่นเพื่อเข้าร่วม bootcamp ด้าน blockchain ซึ่งนำโดย Emin ศาสตราจารย์ที่คอยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของ DAO เหล่านักพัฒนาและนักวิจัยที่รวมถึง Alex (Avsa) ที่อยู่รายล้อมตัว Vitalik

“มันกำลังเกิดขึ้น” Alex พูดขึ้นในขณะที่ Vitalik หัวเราะด้วยความประหลาดใจ ซึ่งการ hard fork ทำงานได้โดยไม่มีความผิดพลาด แม้แต่คนที่ท้อแท้กับการตัดสินใจที่จะทำ hard fork รวมทั้งตัว Vitalik เองก็รู้สึกโล่งใจ

Emin เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีเหตุผลใดที่จะปล่อยให้ แฮ็กเกอร์ขโมย ether จำนวนมหาศาลไปได้ เขากล่าวว่า “กฎหมายก็คือกฎหมาย เราจะไม่ทำลายระบบการเงินทั้งหมดและสร้างระบบใหม่ขึ้นมาเพื่อตกเป็นทาสของอัลกอริธึมที่เราคิดค้นขึ้น ระบบการเงินต้องรับใช้ประชน และหากไม่รับใช้ประชาชน ประชาชนจะหาทางเลือกอื่นแทน”

Vitalik เชื่อในคุณค่าของการไม่มีคนกลางเข้ามาแทรกแซง แต่เขายังเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทำให้ Ethereum ตกอยู่ในความเสี่ยง และจำเป็นต้องมีมาตรการรุนแรง เมื่อเครือข่ายเติบโตขึ้น โอกาสที่ช่องโหว่ในโครงการย่อยโครงการเดียวอาจจะกระทบต่อห่วงโซ่ทั้งหมด”

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาหลังจากทำการ hard fork กลุ่ม Ethereum ในห่วงโซ่เก่า ที่ทุกคนคิดว่ามันได้ถูกปิดฉากไปหมดแล้ว จู่ ๆ มันก็เติบโตขึ้นพร้อมกับห่วงโซ่ใหม่

“เกิดอะไรขึ้น? มีคนกำลังขุดในสิ่งที่ไม่ทำกำไร? เพื่ออะไร?” Alex กล่าว

เพื่อให้ห่วงโซ่เก่าเติบโตต่อไป ต้องมีใครบางคนเชื่อมต่อกับเครือข่ายเก่าและใช้พลังงานเพื่อยันยันบล็อกบนบล็อกเชนด้วยสกุลเงินดิจิทัลที่ไร้ค่าไปแล้ว

ห่วงโซ่เก่าหลังจากการ hard fork เปรียบเสมือนจักรวาลคู่ขนานที่ไร้ค่า สกุลเงินที่ถูกขุดในห่วงโซ่เก่าจะไม่มีค่า มันคือสกุลเงินดิจิทัลของห่วงโซ่คู่ขนาน ether จะถูกขุดได้เฉพาะในสายโซ่ใหม่ที่ทำการ hard fork เท่านั้น

Blockchains ควรจะทำงานบนสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Ethereum แบบเก่า ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Ethereum Classic ซึ่งมีแนวโน้มที่สกุลเงินดิจิทัลของห่วงโซ่เก่านี้อาจได้รับมูลค่าในภายหลังและจะได้รับการชดเชย

ในขณะที่ Vitalik กำลังพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้รับข้อความจาก Gregory Maxwell ผู้พัฒนา Bitcoin ที่มีชื่อเสียง ซึ่งต้องการซื้อเหรียญของ Vitalik ใน Ethereum Classic เขาได้ส่งสัญญาณถึงการสนับสนุน Ethereum Classic เหมือนเป็นการตบหน้า Vitalik อย่างรุนแรง

ซึ่งในไม่ช้าใครที่ต้องการซื้อ Ethereum Classic หรือขายเหรียญที่พวกเขาได้รับฟรี ๆ (ใครก็ตามที่ถือ ether จะได้รับ Ethereum Classic ในจำนวนที่เท่ากัน)

แม้แต่แฮ็กเกอร์ที่เข้ามาขโมยเงิน ก็สามารถถอนเงินได้ ในวันที่ 24 กรกฎาคม สี่วันหลังจาก hard fork ตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล Poloniex เป็นแพลตฟอร์มแรกที่เปิดให้เทรด Ethereum Classic โดยใช้สัญลักษณ์ ETC (สัญลักษณ์ของ Ether คือ ETH)

หลังจากนั้นแพลตฟอร์มอื่น ๆ ก็ทำตาม ไม่ว่าจะเป็น Kraken และ Bitfinex รวมถึง Coinbase ก็ได้เพิ่ม ETC ในสัปดาห์ต่อมา ซึ่งทำให้ภายในเดือนสิงหาคม ETC ซื้อขายกันที่ 1 ดอลลาร์ และ ETH อยู่ที่ราคา 13 ดอลลาร์ โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 10% ของ Ethereum

กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่มีชื่อว่า Robinhood ที่เป็นแฮ็กเกอร์สาย Whitehat ซึ่งเป็นสายที่ไม่มีความเป็นอันตราย ที่นำโดย Alex Van De Sande (Avsa) ซึ่งพวกเขาเข้ามาช่วยเพื่อนำเงินที่โจรแฮ็กเกอร์ไปคืนกลับแก่เจ้าของให้มากที่สุด

Alex Van De Sande หรือ Avsa นำทีมเพื่อดึงเงินกลับคืนมา (CR:Youtube)
Alex Van De Sande หรือ Avsa นำทีมเพื่อดึงเงินกลับคืนมา (CR:Youtube)

กลุ่มดังกล่าวได้ทำการเข้าแฮ็กซ้ำบน Ethereum Classic โดยที่ไม่มีใครสนใจว่าผู้โจมตีจะเป็นใครแล้วในตอนนั้น แน่นอนว่าพวกโจรได้เงินไปมากพอแล้ว ซึ่งกลุ่ม Whitehat สามารถกู้คืนเงินได้ และส่งคืนให้กับเจ้าของเงินได้เกือบทั้งหมด

ในช่วงเวลานั้น เมื่อวันที่ 5 กันยายน ผู้โจมตีกลุ่มแรก ได้ถอนเงินของเขาออกจากระบบ บนเครือข่าย Ethereum Classic ประมาณ 3.6 ล้าน ETC หรือที่ 5.5 ล้านดอลลาร์ในขณะนั้น แต่ยังใจดีโดยบริจาค 1,000 ETC ให้กับกองทุนพัฒนา Ethereum Classic

แต่ต้องบอกว่าไม่ใช่ทุกคนในชุมชน Ethereum ที่มองโลกในแง่ดีนัก DAO และ hard fork เป็นการทำลายจิตวิญญาณของชาว Ethereum จำนวนมาก

Rune Christensen ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Stablecoin อย่าง eDollar ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ Ethereum ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่ง Rune ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการ hard fork ครั้งนี้

เขาสนใจสกุลเงินดิจิทัลเนื่องจากความเชื่อแบบเสรีนิยมที่หยั่งรากลึกของเขา เขาชอบความอิสระเสรีที่ blockchain เป็น การไม่มีตัวกลางคอยควบคุม ซึ่งการกำกับกำดูแลควรจะเป็นไปโดยอัตโนมัติและกำหนดโดยคอมพิวเตอร์โค้ด

สำหรับตัวเขา หากมนุษย์ทำให้รหัส DAO เกิดความยุ่งเหยิงจนถูกแฮ็กได้ พวกเขาควรปล่อยให้รับผลที่ตามมา เขาคิดว่าการโหวตให้มีการ hard fork ทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง สำหรับเขาแล้ว hard fork ของ Ethereum ในครั้งนี้ เป็นทางเดินสู่หายนะที่อาจะส่งผลให้เทคโนโลยี blockchain สิ้นสุดลงได้เลย

–> อ่านตอนที่ 11 : The Rise of Crypto

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ